19. แผลในใจ
19. แผลในใจ



(RIT part)



คุณรุจพาเรามาร้านซีฟู้ดของโปรดของผม ที่เราเคยมาตอนเลี้ยงรับพี่โน่กลับบ้าน บรรยากาศในวันนี้ดีกว่าวันนั้นมาก มาร์คยังคงพูดน้อยเหมือนเคย แต่ยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้น ถึงผมจะไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกที่มาร์คมีให้ได้ แต่ผมก็รู้สึกดีกับเพื่อนรักคนนี้เสมอ

“หนูริทเลือกเลยนะ พี่กับไอ้โน่ลิ้นจระเข้ กินได้ทุกอย่าง ยกเว้น...”

“ผัก” มาร์คหันไปมองคุณรุจทำหน้าล้อเลียน

“อะไรล่ะ หนูริทก็ไม่กินผักเหมือนกันนะ ไม่ใช่พี่คนเดียวซะหน่อย ก็มันเหม็นเขียวจะตาย” คุณรุจทำจมูกย่น เบะปาก

“ก็คุณรุจไม่กินไง ริทก็ตามคุณรุจ ริทไม่ผิดซะหน่อย ถ้าคุณรุจกิน ริทก็กิน” ผมพยายามเถียงว่าผมไม่ผิดที่ไม่กินผัก

ผมแกล้งเขี่ยๆ ผักในจานกับข้าว แล้วก็ตักผักทั้งหมดไปใส่ในจานของพี่โน่

“กินได้ก็กินให้หมดเลยนะ ริทยกให้” ผมยิ้มชอบใจที่แกล้งเค้าได้

“ใจคอจะไม่ให้พี่บริโภคโปรตีนกับเค้าบ้างเลยเหรอเนี่ย” พี่โน่ตักผักใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ

พวกเรารับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะไปตลอดมื้ออาหาร หากจะไม่มีเสียงโทรศัพท์ของใครบางคนดังขึ้น ทำลายบรรยากาศสนุกสนานนี้ซะก่อน

“ภาคินครับ ครับๆ ใช่ครับ ร้านนี้แหละ เดี๋ยวผมออกไปรอหน้าร้าน” อยู่ๆ พี่โน่ก็ผุดลุกขึ้น เดินออกไปโดยไม่บอกซักคำ เค้านัดใครไว้นะ ผมมองตามด้วยความสงสัย แต่คุณรุจกับมาร์คกลับนิ่งเฉยไม่สนใจเพื่อนร่วมโต๊ะที่หายไปเอาซะเลย บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป แต่ผมรู้สึกว่ามันหมดความสนุกตั้งแต่เค้าลุกไปแล้ว

พี่โน่หายไปนานจนผมรู้สึกร้อนใจ ในที่สุดความอดทนของผมก็สิ้นสุดลง

“ริทไปห้องน้ำนะครับคุณรุจ” อยากออกไปดูให้เห็นกับตาว่าพี่โน่นัดใครไว้

.......................................................................

ภาพชายหนุ่มหญิงสาวกำลังหัวร่อต่อกระซิกอย่างสนิทสนม ทำให้ขาของผมหยุดชะงักลงทันที พี่โน่กับใครบางคน...ที่ผมไม่รู้จัก ผมเปลี่ยนใจหันหลังกลับ รู้สึกเจ็บลึกๆ คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว

“หนูริท” เสียงที่ผมคุ้นเคยแต่ไม่ต้องการได้ยินตอนนี้ เรียกให้หยุด ผมหันกลับไปเผชิญหน้า หญิงคนนั้นมองมาด้วยแววตาฉงน อมยิ้มพยักหน้าให้ ผมเสมองไปทางอื่น ไม่สนใจกิริยาทักทายที่เธอส่งมา เดินไปฉุดแขนคนร่างสูง

“คุณรุจกินปูจะหมดแล้วนะ” ผมทำเสียงกะเง้ากะงอด อยากให้เค้าตามกลับไปที่โต๊ะ

“ภาคิน...” หญิงสาวคนนั้น ฉีกยิ้มกว้าง มองเราสองคน เหมือนหล่อนอยากจะรู้ว่าผมเป็นใคร

“น้องชายของผมครับ หนูริท...สวัสดีพี่ส้มสิ” ผมยกมือไหว้ ฉุดแขนพี่โน่แรงขึ้น

“ริทหิวข้าวแล้วนะ จะไปได้รึยัง” ผมเน้นเสียงดังขึ้น ต้องการให้รู้ว่าไม่พอใจ

“นั่งโต๊ะไหนคะ เดี๋ยวฉันตามไป ร้านนี้คนเยอะจริงๆ ไม่รู้เจแปนหาที่จอดรถได้รึยัง”

พี่โน่ไม่ยอมขยับ ซ้ำร้ายยังทำท่าว่าจะยืนรอใครบางคนที่หล่อนเอ่ยถึง

ก่อนที่ความอดทนของผมจะขาดสะบั้นลง ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มผิวขาวจัด รูปร่างสันทัด หน้าตาหล่อเหลากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่เราสามคน

“เชี่ยคิน ยังไม่ตายนะ กูนึกว่ามึงจะลากสังขารมาไม่ไหว” ชายหนุ่มคนนั้นโผเข้าหาพี่โน่ ทั้งคู่กอดรัดกันเต็มแรง จนเซเสียหลักเกือบจะล้มทั้งยืนด้วยกันทั้งคู่

ผมยืนมองงงๆ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน พี่โน่ พี่ส้ม และชายแปลกหน้าที่มาใหม่ เจแปน นี่คงเป็นคนที่พี่โน่กับผู้หญิงคนนี้รอคอยอยู่กระมัง ผมเดินเลี่ยงออกไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักไว้เพียงเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยถึงผม

“นี่คงเป็นหนูริท...ของนายใช่มั้ย”
ผมยกมือไหว้ ยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ มือเจ้าของคำถามนั้นก็ถือวิสาสะเชยคางผมขึ้น แล้วจ้องค้างตะลึงอยู่อย่างนั้น ผมเห็นความสงสัยอะไรบางอย่างในดวงตาของเค้า

“ของผม” พี่โน่ปัดมือผู้ชายคนนั้นออก ดึงไหล่ผมมากอดไว้ ผายมือให้หญิงสาวเดินตรงไปยังโต๊ะของเรา

ผมปัดมือที่ค้างอยู่บนไหล่ อารมณ์ยังกรุ่นๆ นอกจากไม่ยอมปล่อยแล้ว ซ้ำยังบีบไหล่แน่นขึ้น ผมผลักอย่างแรง เรียกชื่อเสียงเขียว

“โตโน่!”

หญิงสาวหันขวับมองมาที่ผมกับพี่โน่ที่เซไปตามแรงผลักแทบจะทันที น้ำเสียงเจือความสงสัย

“ภาคิน?...”

คนที่ถูกเรียกชื่อไม่ตอบอะไร เอาแต่หัวเราะขำชอบใจที่แกล้งให้ผมหงุดหงิดได้

“พี่โน่ชอบแกล้งริท” ผมหันไปฟ้อง แต่เธอกลับไม่สนใจคำพูดของผมด้วยซ้ำ ยืนใจลอยรำพึงชื่อพี่โน่ซ้ำไปซ้ำมา

“โน่...โตโน่...โตโน่ซามะ”

......................................................................

เราเดินมาถึงโต๊ะอาหาร คุณรุจดูไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของเพื่อนพี่โน่เลย อาหารถูกสั่งมาวางเต็มโต๊ะ เหมือนรู้มาก่อนว่าจะมีแขกมาเพิ่ม

“เชิญนั่งครับ” คุณรุจขยับเก้าอี้ให้คนมาใหม่ หญิงสาวร่างเล็กดูปราดเปรียวเจ้าของรอยยิ้มเขี้ยวเสน่ห์สองข้าง ใบหน้าเรียวหวานชวนมอง ดวงตาดำขลับส่องประกายวิบวับสวยอมโศก ผมเหยียดตรงเป็นเงาดำขลับ ท่าทางเป็นรุ่นพี่ของพี่โน่หลายปีอยู่ แต่ก็คาดเดาอายุไม่ถูก มาร์คกับพี่เจแปนนั่งมองผมสลับกับพี่ส้มไปมา จนผมเริ่มรู้สึกแปลกใจกับกิริยาท่าทางของคนในโต๊ะอาหาร

“ขับรถมาเองจากขอนแก่นเลยเหรอครับ”
ผมเริ่มเก็บข้อมูลจากบทสนทนาของคุณรุจกับคนทั้งสอง

“ครับ...เหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็สะดวกสบายดี แวะพักมาเรื่อยๆ ตามใจส้มครับ เค้าชอบเที่ยว ชอบเดินทาง ตระเวนไหว้พระ ทีแรกจะไม่เข้ากรุงเทพฯ แต่ได้จังหวะมารับภาคิน” ชายหนุ่มที่มาใหม่ หันไปตอบคำถามคุณรุจ ดึงความสนใจที่เค้ามีต่อผม ให้คลายความอึดอัดลงไปได้บ้าง

“ขากลับ ว่าจะขึ้นเขาปักค่ะ ภาคินไปค้างวังน้ำเขียวซักคืนก่อนนะ”

ผมสะดุดหูกับคำพูดของเค้าทั้งคู่ พี่เจแปนบอกว่าจะมารับพี่โน่กลับไปด้วย ส่วนพี่ส้มชวนพี่โน่พักค้างคืนระหว่างทาง หมายความว่ายังไง พี่โน่จะกลับขอนแก่นงั้นเหรอ...ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“เนี่ยครับ...วันนี้ก็พามันไปทำบุญ แล้วเลยมาเลี้ยงส่งด้วยทีเดียวเลย ผม หนูริทน้องชายคนเล็ก กับน้องมาร์คเพื่อนของริทเค้าน่ะครับ” คุณรุจเพิ่งได้จังหวะแนะนำผมกับมาร์คอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เราสองคนนั่งฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันได้ซักพัก

“ผมรู้สึกคุ้นหน้าพี่ส้มจัง” อยู่ๆ มาร์คก็ทักขึ้นมา

“จริงเหรอ พี่เป็นคนร้อยเอ็ด แต่มาทำงานที่ขอนแก่นได้หลายปีแล้วล่ะค่ะ รู้จักภาคินตั้งแต่วันแรกที่เค้าย้ายไปที่นั่น” พี่ส้มยิ้มหวานอวดเขี้ยวเสน่ห์ ผมอดชื่นชมเธอไม่ได้ พี่ส้มมีใบหน้าเก๋ชวนมองจริงๆ

“ผมอยู่ชัยภูมิ อีสานเหมือนกัน พี่ส้มหน้าเด็กมากเลยนะครับ เดาอายุไม่ถูกเลยทีเดียว” มาร์คยิ้มเขินๆ

“3 รอบแล้วค่ะ” ผมแปลกใจกับคำเฉลยอายุที่ช่างสวนทางกับใบหน้าจริงๆ จนต้องหันกลับไปมองหน้าพี่ส้มอย่างพิจารณาอีกครั้ง...ความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ ก่อตัวขึ้นมาในใจ “ส้ม” ชื่อของใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของผมที่คุณพิมเคยบอกไว้

ใครบางคนตักอะไรบางอย่างใส่ลงในช้อนของผม อารมณ์เหม่อลอยทำให้ผมหยิบช้อนนั้นขึ้นใส่ปากทันทีด้วยสัญชาตญาณ
“หนูริท!! อย่า....”

“โอ๊ย! เผ็ดๆๆ” ผมคายสิ่งนั้นออกแทบไม่ทัน แลบลิ้นเอามือโบกพัดไปมาที่ปาก

“เป็นไรรึเปล่า นั่นพริกทั้งเม็ดเลยนะ” พี่โน่ตกใจกับอาการของผม หยิบแก้วน้ำส่งให้ ลูบหลังลูบไหล่ไปมา

“พี่ขอโทษๆๆ แค่จะแกล้งหนูริทเล่นๆ แล้วหนูริทกินเข้าไปทำไม”

“ริทไม่รู้...” ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ คงมัวแต่ใจลอยคิดถึงความลับที่คุณพิมเคยบอกไว้ จนไม่ได้สนใจสิ่งใดตรงหน้า

“โตโน่...นายที่มัน...” คุณรุจยื่นแก้วน้ำอัดลมให้ผม หวังว่ารสหวานคงช่วยให้ดีขึ้น

“โตโน่....” เสียงรำพึงเบาๆ ของพี่ส้มดึงความสนใจจากผมอีกครั้ง จนเกือบลืมความเผ็ดร้อนในปาก ผู้หญิงน่าค้นหาคนนี้มีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่นะ

“คุณแม่ของผมเคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาลัยนั้น แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 3-4 ปี” คุณรุจเริ่มบทสนทนาใหม่อีกครั้ง

“เคยได้ยินเหมือนกันค่ะ แต่ภาคินเค้าโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องเค้าซักเท่าไหร่หรอกค่ะ อยากรู้ต้องรอตอนเหล้าเข้าปาก จะจ้อไม่หยุดจนขี้เกียจฟังเลยทีเดียว จริงมั้ยเจแปน”

“แหม พี่ส้มพูดซะเปรี้ยวปาก” พี่โน่แลบลิ้นแผล่บเลียริมฝีปาก

“เมื่อคืนยังเมาไม่พออีกเหรอมึง หรือแอบติดใจอะไรรึเปล่า” พี่เจแปนมองหน้าพี่โน่อย่างรู้ทัน
เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หลบสายตาวูบจนผมสงสัย เมื่อคืนพี่โน่หายไปไหนมา แล้วที่เอาแต่นั่งสัปหงกบนรถทั้งวันคงเพราะเหตุนี้ใช่มั้ย ผมกับเค้าคงมีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกยาว...แต่ตอนนี้สิ่งที่ดึงความสนใจมากกว่าเรื่องระหว่างเรา คือหญิงสาวตรงหน้าคนนี้มากกว่า...

“มาร์คจะไปห้องน้ำ ริทไปด้วยกันมั้ย” เพื่อนรักมองหน้าผมแฝงความรู้สึกบางอย่าง ที่มากกว่าแค่ชวนผมไปปลดทุกข์ ผมพยักหน้าขยับลุก

มาร์คเดินนำผมไปยังสวนหย่อมเล็กๆ ของร้านอาหาร เดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย เค้าน่าจะมีเรื่องคุยกับผม

“ผู้หญิงคนนั้น หน้าเหมือนริทเลย”

“หืม...” แล้วมาร์คก็พูดสิ่งที่อยู่ในหัวผมออกมา

“พี่ส้มไง มีเขี้ยวสองข้างด้วย เหมือนริทตอนก่อนจัดฟันเลย มาร์คว่าน่ารักดี” ผมไม่รู้ว่าประโยคหลัง มาร์คหมายถึงพี่ส้มหรือหมายถึงใคร ผมตีหน้าเฉยทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของเค้า จบแล้วก็จบ ไม่ควรมีเยื่อใยอะไรอีก

“อะไรล่ะ เราสองคนอายุจะ 20 แล้วนะ พี่ส้มเค้าแค่ 36 เอง” อยู่ๆ ผมก็หลุดคำพูดในใจบางอย่างออกไปโดยไม่รู้ตัว มาร์คหันมามองผมงงๆ เอ่ยปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ผมตัดบทเค้าซะก่อน

“ริทยังไม่อิ่มเลย ไปแล้วนะ” ผมเดินหนีมาดื้อๆ พยายามสลัดความคิดแปลกๆ ออกไปจากหัวตัวเอง

.................................................................

“หนูริท ทานอะไรอีกมั้ย” คุณรุจขยับที่นั่งให้ผม สายตาที่มองมาแฝงอะไรบางอย่างอีกแล้ว ทำไมนะ ตั้งแต่ชายหนุ่มหญิงสาวสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้น ผมก็ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ ของคนร่วมโต๊ะ จนรู้สึกได้ว่าผมไม่ได้คิดไปเองแน่นอน

“ริทอิ่มแล้ว” ผมนั่งลงข้างคุณรุจอย่างเซ็งๆ พี่โน่ยังคงให้ความสนใจปูทะเลมากกว่าสิ่งใดในโลกอย่างเคย เวลาที่ผมต้องการใครซักคน ทำไมเค้าต้องเห็นก้ามปูดีกว่าผมอยู่เรื่อยเลยนะ

หลังจากมื้ออาหาร ชายหนุ่มหญิงสาวสองคนนั้นก็แยกตัวไป เราสี่คนเดินเล่นเรื่อยๆ ไปที่จอดรถของเราที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง อยู่ๆ พี่โน่ก็โพล่งขึ้น

“ดาวตก! อธิษฐานเร็ว”

ผมมองตาม เห็นแสงวาบจากฟ้าประกายสวยงาม รีบหลับตาปี๋ แต่กลับถูกมือแข็งแรงของใครบางคนคว้าร่างไปกอดไว้แน่น

“เฮ๊ย! ไอ้โน่” เสียงโวยวายของคุณรุจ ผมลืมตาขึ้นมองงงๆ คุณรุจถูกผลักไปยืนอยู่ตรงหน้ามาร์ค เพื่อนรักของผมลืมตาขึ้นมาบ้าง เงยหน้ามองคุณรุจอย่างงงๆ แล้วหันมามองผมที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่ข้างๆ เค้า แต่ตอนนี้กลับยืนพิงอกอยู่ในอ้อมกอดรัดแน่นหนาของพี่โน่

“น้องมาร์คอธิษฐานว่า...ขอให้ลืมตาขึ้นมา แล้วเจอเนื้อคู่ยืนอยู่ตรงหน้าใช่มั้ยล่ะ” พี่โน่ยังไม่วายมีอารมณ์ไปกะเซ้าเย้าแย่มาร์ค ที่ยืนหน้าตูม คุณรุจขยี้หัวพี่โน่ด้วยความหมั่นเขี้ยว สาวเท้าเดินหนีไปเหมือนเมื่อครู่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

“พี่โน่ ทำอะไรน่ะ เมื่อกี้ริทยังไม่ได้อธิษฐานเลยนะ ดูสิ พลาดโอกาสดีๆ ไปแล้ว นานๆ จะได้เห็นดาวตก”

“หนูริทจะอธิษฐานทำไมล่ะ เนื้อคู่ก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วไง” คนเจ้าเล่ห์ไม่พูดเปล่า ขโมยหอมแก้มผมฟอดใหญ่ คิดว่าจะลบล้างความผิดที่ปิดบังผมเรื่องกลับขอนแก่นงั้นเหรอ ถึงบ้านก่อนเถอะมีเคลียร์แน่ๆ

พี่โน่กอดประคองผมเดินตามคุณรุจกับมาร์คไปห่างๆ โชคดีที่แถวนั้นไม่มีคนพลุกพล่านนัก ไม่งั้นผมคงอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ก็พ่อตัวดีของผมเล่นซุกจมูกคลอเคลียอยู่กับแก้มของผมไม่ยอมห่างเลย

“พอได้แล้ว ดูสิปากมีแต่กลิ่นปู เดี๋ยวสิวขึ้น” ผมแกล้งผลักออกเบาๆ

คุณรุจกับมาร์คนั่งเปิดแอร์รออยู่ในรถแล้ว พี่โน่เปิดประตูรถผายมือให้ผมขึ้นไปนั่งอย่างสวยงาม แล้วปิดประตู

“อ้าว...พี่โน่” ผมกดกระจกรถลงทันที...แล้วก็พบกับคำตอบ เมื่อเห็นรถของพี่เจแปนเลื่อนมาจอดข้างๆ รถของเรา

“ป่ะ ภาคิน” พี่เจแปนโบกมือเรียกพี่โน่ขึ้นรถ ผมมองเค้าค้อนขวับ แต่พี่โน่กลับไม่สนใจผมเลยซักนิด

“ฝากดูแล...หัวใจของผมด้วยนะครับ” คนเจ้าเล่ห์ที่มีความผิดอันใหญ่หลวง กับทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ยกมือตะเบ๊ะให้คุณรุจ แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่รถอีกคัน ผมมองตามรถโฟล์วิวที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไปด้วยความน้อยใจที่ถูกเค้าทอดทิ้ง พลันน้ำตาเจ้ากรรมก็รื้นขึ้นมาทันที

………………………………………………….

เราแวะส่งมาร์คที่บ้าน ผมย้ายมานั่งหน้าคู่กับคุณรุจ รู้สึกอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด คุณรุจที่ดูเหมือนรู้ทุกเรื่อง แต่กลับนิ่งเงียบไม่บอกอะไรผมเลย ดูสิ ยังมีแก่ใจผิวปากฮัมเพลงอารมณ์ดีอยู่ได้ ความอดทนผมสั้นเสมอ ในที่สุดก็จำเป็นต้องจัดการพี่ชายคนโตของผมให้รู้ฤทธิ์น้องชายคนเล็กซะบ้าง

“คุณรุจ มีความลับกับริท”

“ไอ้เราก็นึกว่าหลับ เห็นนิ่งเงียบตลอดทาง ที่ไหนได้ งอน?”

ยังมีหน้าเสียงล้อเลียนอีก ไม่สนใจอารมณ์กรุ่นที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของผมเลย

“คุณรุจรู้มาตลอดใช่มั้ย” คำถามง่ายๆ แต่กลับไม่มีคำตอบ

สุดท้ายคนที่หมดความอดทนก็คือผม เลิกเซ้าซี้เค้าเรื่องพี่โน่ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เหลือไพ่ในมือ

“พี่เจแปนกับพี่ส้มเค้าดูเหมาะสมกันดีนะ ริทชอบพี่ส้มจัง” ได้ผล คนร่างสูงเหลือบมามองผมแว่บหนึ่งทันที

“ผู้หญิงคนนั้น เค้าทำให้ริทคิดถึงความลับของเรา 3 คน… มาร์คบอกว่าริทหน้าเหมือนพี่ส้มด้วยล่ะ”

ผมยังไม่หยุด เอื้อมมือกดสวิตซ์ไฟในรถ ไสลด์กระจกพิจารณาใบหน้าตัวเองทั้งที่แสงไฟขาวสว่างอมส้มไม่ได้ทำให้ภาพที่มองอยู่ชัดขึ้นเลย ทำท่าเอียงหน้าซ้ายขวา ไม่สนใจความรู้สึกของคนข้างๆ สรรหาคำพูดต่างๆ นานา ที่คิดว่าเมื่อพูดออกมาแล้วจะทิ่มแทงให้เค้าเจ็บปวดจากการที่ปิดบังผมเรื่องพี่โน่

“ถ้าริทไม่จัดฟัน ริทก็จะมีเขี้ยวสองข้างเหมือนพี่ส้ม ถ้าริทผมยาว ริทก็จะ...” ประโยคยืดยาวที่ผมตั้งใจจะพูดถูกตัดบทด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเยือกเย็นของคุณรุจ

“ถ้าหนูริทอยากคุยกับคุณส้ม พี่จะนัดให้”

“ความจริงก็คือ คุณรุจรู้มาตลอด รู้ทุกเรื่อง แต่คุณรุจก็กีดกันและปิดบังริทมาตลอด...ทุกเรื่อง!!”

ผมปาดน้ำตาลวกๆ กลั้นก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นในอกจนเจ็บร้าว

“พี่ขอโทษ”

“ชีวิตวัยเด็กของริทที่ถูกขังไว้กับความรักของคุณรุจ แค่คำขอโทษคำเดียว...ริทยกโทษให้ก็ได้ ฮึ! ใช่สิ ถ้ามันใช้ไม่ได้ผล เค้าจะคิดคำขอโทษขึ้นมาทำไม” ผมเบือนหน้าหนีมองออกข้างทาง โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนข้างๆ อีกเลยจนถึงบ้าน

ผมเหวี่ยงประตูรถปิดอย่างแรงที่สุดเท่าที่แขนสองข้างจะมีกำลัง อยากจะวิ่งหนีขึ้นไปให้ถึงห้องนอนอย่างเร็วที่สุด ทั้งที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครตามมา


.................................................................


คำพูดที่เหมือนกับมีดคมกริบกรีดลงกลางใจของศุภรุจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหนุ่มที่มีครบทุกอย่างในสายตาของคนภายนอก รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ มันสมอง เป็นที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคม แม้แต่น้องชายคนเล็กที่เติบโตมาด้วยกัน ยังไม่สามารถหยั่งถึงความรู้สึกเหงา ว้าเหว่ที่ซ่อนอยู่ภายใน ครอบครัวที่แตกร้าวตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ น้องชายแท้ๆ ที่ถูกกีดกันความสัมพันธ์ด้วยฐานะทางสังคม แล้ววันหนึ่งแม่พิมก็กลับมา ความหวังที่จะมีครอบครัวอันอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตากลับมาอีกครั้ง แต่เพียงเวลาไม่กี่ปีแม่พิมก็ทิ้งเค้าไปอย่างไม่มีวันกลับ สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คือของขวัญที่มีชีวิตของแม่พิม สิ่งสวยงามและมีค่าที่สุด ที่เค้ามิอาจครอบครอง เสียงเล็กๆ ที่เพ้อละเมอถึงคนๆ เดียวตลอด 3 คืนที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ประกายตาระยิบระยับวับวาวเพียงแค่ได้ยินชื่อ “ภาคิน”

...ร่างสูงแหงนมองระเบียงห้องนอนของน้องชายคนเล็ก แสงไฟส่องสว่าง ทว่ากลับไม่มีเงาของคนร่างเล็กปรากฏให้เห็น ใบหน้าเรียวคมแหงนมองสูงขึ้น แสงดาวระยิบระยับวับวาวบนฟ้าพล่ามัวลงเรื่อยๆ ด้วยม่านน้ำตา พระจันทร์สีซีดเว้าแหว่งเหมือนใจของคนที่ถูกคมคำพูดของคนที่รักที่สุดกรีดลึกจนขาดวิ่น

“แม่พิมครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ผมมันเลว ผมผิดสัญญาที่จะพาหนูริทตามหาแม่ ผมทิ้งโตโน่ให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ผมพร้อมรับความเจ็บปวดอย่างสาสมกับที่ผมทำไว้ ผมไม่หวังคำว่าให้อภัยจากใคร ขอเพียงกำลังใจให้ผมผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้เพียงเท่านั้น”




Create Date : 10 มีนาคม 2554
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 0:32:10 น.
Counter : 326 Pageviews.

0 comments

Phoenix_x
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เราเป็นคนขี้เกียจแล้วก็ชอบนอนมากๆ
วันๆ เราไม่ทำอะไรเลย เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงเฉื่อย

มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
9
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31