Group Blog
 
 
เมษายน 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
4 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
จอมใจเศรษฐวัตร จอมทัพศรีสุริยวรมัน บทสี่ : พบหน้าบุรุษหนุ่มหน้ามน







บทสี่ : พบหน้าบุรุษหนุ่มหน้ามน




รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือน ยามแสงทองทาทาบขอบฟ้า ม้าด่วนแจ้งข่าวการเสด็จมาของเจ้าชายเศรษฐวัตรแห่งวรัณธยาปุระร่วมงานเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าไชยศรีวรรมันแห่งเหมรัฐปุระนครา อักษรที่ปรากฎในสาส์นบอกเพียงว่าเจ้าชายแห่งวัณธยาปุระทรงเสด็จมาร่วมงานเฉลิมฉลองและขอพำนักเยี่ยมเยียนเหล่าพระญาติ ขอให้เหมรัฐปุระนคราเตรียมการต้อนรับให้สมพระเกียรติ




อักษรในสาส์นบอกเพียงแค่นั้นแต่ต่างฝ่ายรู้แก่ใจว่าเป็นการโยนหินถามทางหยั่งรู้ฐานเสียงฝ่ายตรงข้าม ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าเหมรัฐปุระนครามีใจแปรพรรคออกห่างต้องการแยกแคว้นเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อวรัณธยาปุระ เหมรัฐปุระนครารู้ดีว่าการเสด็จมาของเจ้าชายจากแคว้นใหญ่ไม่ชอบมาพากล หากแต่ว่าเมื่อมีแขกมาถึงเรือนชานผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงต้องต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ



ยามค่ำคืนเงียบสงัดภายในจันทราพิมาน แสงชวาลาภายในห้องพระบรรทมถูกดับลงนานแล้ว เหลือแต่แสงเดือนเพ็ญกระจ่างสาดส่องลอดช่องพระแกลเข้ามา วรองค์แบบบางอรชรบนพระแท่นบรรทมพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ สลับกับอาการลอบถอนอัสสาสะปัสสาสะ ข่าวการเสด็จมาของเจ้าชายเมืองไกลเมื่อเพลาบ่ายยังคงวนเวียนก้องในหทัยเจ้านางศิริจันฑรามิรู้หาย


“มาทำไม มาเพื่อกิจใด ทำไมต้องเสด็จมาเอง“ สุรเสียงแผ่วหวานพึมพำกับองค์เอง


พระขนงโก่งดุจวงเดือนขมวดเข้าหากันจนเกือบเป็นเส้นตรง พักตร์งามผ่องทอดเนตรกลมคมโตแลผ่านพระแกลอย่างครุ่นคิดหทัยคล้ายเหม่อลอย ดวงจันทราเบื้องหน้าแจ่มกระจ่างสาดแสงต้องวรองค์กว่าทิวาใด กว่าค่อนคืนที่ฝืนข่มหทัยให้บรรทมลงได้โดยพยายามไม่หวนคิดเรื่องที่ผ่านเข้ามา



เสียงฝีเท้าม้าหลายตัวดังกึกก้องประสานกันสะท้านทั่วไพรชัฎ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเหยาะย่างอย่างเป็นจังหวะเมื่อเห็นแนวกำแพงเมืองชั้นนอกของเหมรัฐปุระนคราอยู่เบื้องหน้า กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าสีเข้มฝีเท้าจัดกำลังลัดเลาะไปตามแนวกำแพงเมืองด้วยท่าทีระมัดระวัง ท่ามกลางเหล่าชายฉกรรจ์ชายร่างสูงใหญ่ปรากฎกายบนม้าสีดำปลอดขนเป็นมันวาวแสดงถึงการดูแลเป็นอย่างดี มือใหญ่ของชายร่างสูงตวัดสายบังเหียนม้าคู่กายแยกออกจากกลุ่มไปอีกทาง ม้าพันธุ์ดีสีดำโผนทะยานเข้าป่าลึกนอกเขตกำแพงเมืองทันที



เสียงฝีเท้าของอาชาตัวใหญ่สะท้อนก้องเชิงผาเบื้องหน้าสลับกับเสียงซ่านซ่าของกระแสน้ำตกที่ไหลลงสู่เบื้องต่ำกระทบโขดหินแตกกระเซ็นเป็นฟองฝอย เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆชะลอลงเหลือเพียงเสียงเหยาะย่างแทนที่ คล้ายคนบังคับม้าสดับรับได้ถึงสรรพเสียงบางอย่าง เบื้องหน้าชายหนุ่มร่างสูงเป็นแอ่งธารใสดุจกระจกสีเขียวมรกต



เสียงกระแสน้ำในลำธารใสไหลมาจากผาสูงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เป็นสถานที่ที่งดงามเงียบสงบเหมาะแก่การผ่อนคลายกายใจที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางเป็นอย่างยิ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดมีเสียงน้ำตกเห่กล่อมรับกับเสียงเจี้อยแจ้วขับขานของเหล่ามวลหมู่นกป่า



“ฮี้ ฮี้ ฮี้” เสียง ม้าร้องดังก้องหน้าผา


“โอ๊ย” เสียงเล็กใสดังแว่วแทรกเสียงน้ำตกเข้ามา ตามติดมาด้วยเสียงดัง “ ตุ๊บ ” เสียงคล้ายของหนักหล่นสู่พื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงัดดุจเดิม



ร่างสูงบนหลังม้าหันขวับตามเสียงเร่งกระตุกบังเหียนตามเสียงนั้นไป ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าทำให้คนบนหลังม้าเกิดความประหลาดใจ บุรุษหนุ่มน้อยแต่งกายสวมคลุมมิดชิดด้วยต่วนแพรสีดำสนิทคล้ายชาวจีนโพ้นทะเล นอนตะแคงหันข้างให้ไม่ไหวติง คล้ายสลบหรือหมดสติแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินเฉอะแฉะข้างโขดหินริมลำธารใส


ผมดำขวับรวบมุ่นเป็นมวยแน่นดูมีระเบียบบอกถึงความมีเชื้อแถวมากกว่าชาวบ้านทั่วไป คนร่างสูงบนหลังม้าบังคับม้าเข้าใกล้ จ้องมองดูร่างเบื้องหน้าอย่างพิจารณา ข้างกายคนสลบพบม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลเข้มล้มนอนลงพ่นลมหายใจครืดคราดใกล้จะขาดห้วงเต็มทีอยู่ไม่ห่าง ปลายขาขวาหน้ามีรอยเขี้ยวของอสรพิษร้ายขบเอาไว้จนเลือดไหลซึมเป็นทาง ท่าทางคงจะไม่รอด



ร่างสูงใหญ่บนหลังอาชาแต่งกายคล้ายชาวบ้านทั่วไป สวมเสื้อทอจากฝ้ายหยาบสีน้ำเงินซีดไม่รัดตรึงใดๆ เผยให้เห็นมัดกล้ามและแผงอกกำยำล่ำสัน คาดเอวด้วยแถบผ้ายาวสีตุ่นชิ้นเล็ก นุ่งผ้าสั้นสีน้ำตาลรั้งสูงถึงโคนขา ผมเผ้าที่มวยมุ่นหลุดรุ่ยเพราะแรงปะทะของสายลม ผิวสีเข้มออกน้ำตาลแดงกรำแดดกรำฝนมาหลายเพลาขับใบหน้าเข้มคมคายยิ่ง



หนวดเคราเขียวครึ้มเหมือนไม่ใส่ใจที่จะตัด อกคาดสายหนังที่ทำเป็นกระเป๋าสำหรับใส่อิษุธนุอย่างดีเย็บเก็บริมเรียบร้อยปราณีต คาดคันธนูใหญ่ทำจากไม้เนื้อดีทับอีกชั้น แลแปลกตามีค่าเกินกว่าคนธรรมดาจะมีไว้ครอบครอง ร่างใหญ่ก้าวลงจากหลังม้าปล่อยให้อาชาแทะเล็มต้นหญ้าอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่เพียงลำพัง



คนร่างสูงย่อตัวลงข้างคนสลบ เห็นแน่นิ่งไม่ไหวติง จึงตักน้ำจากลำธารราดรดที่หน้า น้ำเย็นเฉียบถูกเทจากกระบอกไม้ไผ่กระทบใบหน้าหนุ่มน้อยที่นอนหลับใหลไม่ได้สติเข้าอย่างจัง เจ้าของร่างถึงกับสะดุ้งเฮือกเปิดเปลือกตาสะบัดหน้าขาวราวสรีหลบสายน้ำนั้น มือบางยกขึ้นปาดหยดน้ำที่เกาะพราวทั่วใบหน้า ถลันผุดลุกขึ้นนั่งอย่างงวยงง จ้องเขม็งมองคนร่างสูงที่กำกระบอกไม้ไผ่ไว้แน่นราวกับขุ่นข้องหมองใจกันมาช้านานอย่างไม่ยอมละสายตา



ร่างสูงไม่หวาดหวั่นกลับประสานสายตากลับ ตาคมวาวลอบยิ้มเยาะ ทำเอาคนถูกจ้องต้องหันหน้าหนี หันรีหันขวางควานหาอาวุธประจำกาย บัดนี้คันศรนั้นบิดเบี้ยวสายขาดผึ่งแทบใช้การไม่ได้ตกอยู่ใต้ร่างคนสลบ ใกล้กันพบกระเป๋าหนังเสือฝีมือปราณีตบรรจุอิษุลูกศรเต็มซองตกอยู่ไม่ห่างกัน มือบางรวบของทั้งสองสิ่งไว้ในอุ้งมืออย่างระมัดระวัง


“บ้าชะมัด” เสียงเล็กใสสบถสะบัดห้วนเบาๆในลำคอ


หน้าขาวของบุรุษหมดจดคล้ายสรีชาวูบใจหายวาบ เมื่อหันมาเห็นเจ้าสีกุกม้าคู่กายนอนแน่นิ่งอยู่ด้านหลัง หน้าขาวซีดเผือดจัดราวกับกระดาษ ตาสวยฉายแววสงสารจับใจ บุรุษร่างบางหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไล่เรียงประติดประต่อจนรู้ความเป็นมา เมื่อขบวนล่าสัตว์ของพระเชษฐาทั้งสามเสด็จกลับจากป่าลึก กำลังจะลุเข้าเขตกำแพงเมือง แต่พระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียวกลับกระตุกบังเหียนอาชาทรงสีน้ำตาลเข้ม ปลีกองค์ออกมาอีกทาง ม้าทรงฝีเท้าจัดโผนทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วปานประหนึ่งสายลมพัด จนคลาดกับเหล่าทหารคนสนิทที่ตามเสด็จมาในที่สุด



สรีในร่างบุรุษหนุ่มชะลอฝีเท้าม้าเมื่อลุเข้าเขตป่าชัฎ มาหยุดชะงักหน้าริมลำธารใหญ่ เพลินเพลิดสรรพสิ่งรอบกายใกล้น้ำตกแลลำธารใสน่าลงเล่นให้คลายร้อน จึงได้บังคับม้าสำรวจไปรอบๆ อสรพิษร้ายจงอางใหญ่เลี้ยวปราดมาสกัดอาชาทรงเอาไว้ มัจจุราชตัวเขื่องดำมะเมื่อมเป็นมันปลาบยกหัวแผ่แม่เบี้ยดักรอเหยื่อก่อนที่บุรุษหนุ่มในคราบสรีจะทันกระตุกสายรัดบังเหียนหลบ



เจ้าสัตว์ร้ายก็ฉกเข้าที่ขาหน้าด้านขวาของเจ้าสีกุกเต็มแรง พิษร้ายแผ่ซ่านสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสทั่วร่างทันที ผนวกกับความตกใจทำให้มันยกขาคู่หน้าขึ้นดีดคนบนหลังมันกระเด็นร่วงหล่นลงมาสลบคาที่ ไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปนานเท่าใดจนกระทั่งนายพรานร่างสูงใหญ่ผ่านมาพบเข้า ร่างบางในคราบบุรุษค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น แต่ข้อเท้าที่เคล็ดบวมเป่งหลังตกจากหลังม้าพลิกซ้นจนทำให้ล้มคะมำลงพื้น ส่งผลให้ความเจ็บแล่นแปลบปวดหนึบขึ้นมาทันที



“อูย” เสียงเล็กใสอุทานแผ่วเบารอดไรฟันออกมาอย่างเจ็บปวดแทบไม่ได้ยิน



หน้าขาวคะมำเปื้อนฝุ่นโคลนมือเรียวบางยกขึ้นปาดเหงื่อกาฬแห่งความเจ็บปวด ดวงหน้าหมดจดเขรอะขี้โคลนที่เปรอะติดมือมาอย่างไม่ตั้งใจ มือคู่บางราวสรีก้มเกาะกุมข้อเท้าข้างนั้นเอาไว้ หน้าขาวซีดแววตาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแต่ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยคำใดแสดงออกมา สำแดงถึงความอดทนอดกลั้นและเด็ดเดี่ยวถึงที่สุด


ครานี้บุรุษหนุ่มน้อยตรงหน้าพยายามตั้งสติใช้มือทั้งสองยันกายค่อยๆลุกขึ้น คิ้วโค้งได้รูปขมวดเข้าหากัน ปากบางเม้มสนิทแววตาฉายความเด็ดเดี่ยวมั่นใจ แม้จะปวดแปลบที่ข้อเท้า แต่ฮึดสู้อดกลั้นทนลุกขึ้นยืนจนได้ ก่อนจะเดินกระเผลกไปนั่งพักที่โขดหินเตี้ยๆ



ร่างใหญ่มองตามร่างหนุ่มน้อยอยู่เงียบๆ หน้าครึ้มเคราเขียวคมคายขรึมเดินไปหาม้าพันธุ์ดีสีดำสนิทกระโจนขึ้นหลังอย่างว่องไว กระตุกสายรัดม้าให้หันกลับมามองดูบุรุษหนุ่มน้อยเบื้องหน้าอย่างชั่งใจ แววตาครุ่นคิดราวกับมีความในใจ คนข้อเท้าเจ็บมองตามร่างสูงใหญ่บนหลังม้าที่มีทีท่ากำลังจะจากไป 


แวบหนึ่งในความคิดวูบเข้ามาทำเอาบุรุษหนุ่มหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาทำหน้าเรียบนิ่งดุจเดิม ม้าก็ตายเท้าดันมาเจ็บ แถมยังเข้ามาอยู่ในป่าลึกอีก ร่างบางคิดไปต่างๆนานา แต่ไม่ทันจะเอ่ยอะไร คนร่างสูงบนม้าเหมือนกับรู้ทัน ส่งเสียงห้าวห้วนสวนออกมา



“ถ้าอยากจะไปก็ขึ้นม “



สิ้นเสียงกึ่งขู่กึ่งตวาด ฟังดูน่าเกรงขามมากกว่าดุร้าย ไม่เหมือนนายพรานทั่วไป บุรุษร่างบางคล้ายสรี รีบเขย่งปลายเท้าข้างที่เจ็บเดินกระย่องกระแย่งไปหา ก่อนจะโหนตัวเหนี่ยวร่างของตนขึ้นไปนั่งข้างหน้าคนบังคับม้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทำเอาคนที่นั่งอยู่ก่อนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ร่างสูงใหญ่โอบร่างบุรุษแบบบางคล้ายสรีไว้เกือบมิด ตวัดสายรัดบังเหียนกระตุกม้าใหญ่พันธุ์ดีฝีเท้าจัดสีดำสนิทโผนทะยานไปเบื้องหน้าราวกับพายุ อกใหญ่กำยำของคนที่นั่งอยู่ข้างหลังบังคับม้าควบเป็นจังหวะขึ้นลง ทำให้อกกว้างแนบชิดติดกับร่างบางอย่างไม่ตั้งใจ แม้มีต่วนแพรกั้นขวางเอาไว้แต่ก็ทำเอาสรีในร่างบุรุษใจเต้นระทึกรัวราวกับกองศึกได้เหมือนกัน



“เย็นไว้ เจ้าจันทราเอ๋ย” ร่างบางพยามบอกกับตัวเอง



ตั้งแต่เริ่มมีระดูแตกเนื้อสาวจนเข้าวัยขบเผาะ หาเคยประชิดใกล้แนบเนื้อชายเช่นนี้มาก่อน เสียงหัวใจของดรุณีแรกรุ่นสั่นระรัวโครมครามราวจะหลุดออกมานอกอกจนเจ้าของหัวใจกลัวคนใกล้ตัวจะได้ยิน ขณะที่หน้าคมคายหล่อเหลาของคนเบื้องหลังหารู้ไม่ว่า อ้อมแขนใหญ่ของตนนั้นได้โอบอุ้มเจ้านางศิริจันฑรา
พระธิดาแห่งเหมรัฐปุระนคราเอาไว้



ร่างสูงบนหลังม้ากระตุกบังเหียนอีกคราเพื่อชะลอฝีเท้าม้าให้ช้าลง เมื่อลุเข้าใกล้แนวกำแพงนอกเมืองเหมรัฐ ฝีเท้าม้าที่ช้าลงทำให้คนนั่งอยู่ข้างหลังเพิ่งสังเกตเห็นท้ายทอยนวลขาวเต็มไปด้วยไรผมรุ่ยหลุดออกมา ดูช่างนวลเนียนผิดจากท้ายทอยบุรุษทั่วไป ไหล่บางยกตั้งตรงองอาจผึ่งผายมีสง่าคล้ายคนมีเชื้อมีแถวร่างโปร่งค่อนข้างสูงสมส่วน แต่ดูบางไปนิดสำหรับทหาร แก้มสองข้างเปรอะคราบฝุ่นโคลนแต่ก็ยังดูมีสุขภาพดี ข้อมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อยาวออกมาบางเรียวอย่างกับไม่เคยจับต้องศัสตราวุธใดมาก่อน หรือไม่ก็คงไม่เคยออกกรำแดดลมให้แผดต้องผิว ฤๅมัวหลบอยู่ในแต่สำเภาให้เหล่าสรีปรนเปรอปฏิบัติเฉกเช่นชายหนุ่มคหบดีจีนทั่วไป ผิวจึงขาวใสดั่งเดือนเพ็ญเช่นนี้



สายตาคมกล้ากราดเพ่งพิจารณาสงสัยของคนร่างใหญ่กลับสะกิดใจตนเองขึ้นมา ฤๅว่าข้าจะอยู่กับป่าเขาพงพนามากเกินไป จิตใจจึงฝักใฝ่วิปลาสมีจิตประดิพัทธ์ต่อบุรุษด้วยกันเสียแล้ว หน้าคนคมเข้มแย้มยิ้มกับความคิดของตนเองทว่ากลับยั้งใจไว้ไม่อยู่โน้มจมูกเข้าใกล้ข้างใบหูคนตรงหน้าเสียดื้อๆ


ลมหายใจร้อนผ่าวของคนข้างหลังที่พ่นรดออกมา ทำให้คนข้างหน้าขนลุกชัน แต่ยังพยายามฝืนข่มกิริยาให้เป็นปกติเข้าไว้ จมูกคนข้างหลังดอมดมกลิ่นหอมอยู่นาน กว่าจะยอมขยับถอยกลับมาดุจเดิม เมื่อม้าใหญ่ฝีเท้าดีพาสองร่างลัดเลาะมาจนลุถึงป่าละเมาะระหว่างทางเข้าเมือง คนบังคับม้ากระตุกบังเหียนเพียงเบาๆม้าตัวใหญ่ชะงักฝีเท้าสนิทยืนนิ่งไม่ไปไหน



“ข้ามีบางอย่างต้องไปทำ“



 ครั้นเสียงทุ้มกังวานห้าวห้วนออกปากไล่ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของบุรุษหนุ่มน้อย แม้ข้อเท้าจะเจ็บอยู่มากแต่บุรุษหนุ่มร่างบางกระโดดย่อตัวลงต่ำเพื่อช่วยพยุงข้อเท้าข้างที่เจ็บให้รับแรงกระแทกน้อยที่สุด ลงจากหลังม้าอย่างระมัดระวัง พอถึงพื้นจึงค่อยลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคงกว่าคราแรก คนบนหลังม้ามองตามโดยไม่ยอมละสายตาเหมือนจะดูให้แน่ใจว่าบุรุษเบื้องหน้าสามารถที่จะช่วยเหลือตนเองได้บ้างแล้ว



สายตาคมกล้าจับจ้องประสานตรงลงมาสบสายตาผู้ยืนเบื้องล่างที่เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ตาต่อตาประสานกันนิ่ง ตาคมกลมโตหวานคล้ายสรีจับจ้องสายตาดุดันของคนหน้าเข้มคมคายนิ่ง อย่างไม่มีใครยอมใครจวบจนบุรุษหนุ่มยกมือแบบบางขึ้นปลดซองหนังที่คาดอกไว้พร้อมคันธนูบิดเบี้ยวยื่นค้างส่งให้คนบนหลังม้าเพื่อแทนคำขอบคุณ สายตาวาวหวานทอประกายมาดมั่นจริงใจ



เสียงหัวเราะดังก้องป่าละเมาะคนหน้าคมก้มมองบุรุษเบื้องล่าง หน้าเกลื่อนแววเยาะเย้ยขบขัน มือใหญ่คว้ากระเป๋าหนังและคันธนูจากมือเรียวบางมาถือไว้ อาการกึ่งกระชากของมือใหญ่แข็งแรงทำให้ข้อมือน้อยสะบัด ชายแขนเสื้อเพยิบพะยาบเผยให้เห็นตำหนิปานแดงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวเล็กๆที่ข้อมือขวา ร่างสูงตระหง่านบนหลังม้าเพ่งจ้องตาไม่กระพริบ ก่อนกระชากบังเหียนควบม้าฝีเท้าดีจากไป



ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้องทั่วป่าละเมาะระหว่างทางเข้าเมือง หน้างามหมดจดของสรีในคราบบุรุษขมวดคิ้วเข้าหากันคล้ายทบทวนบางอย่าง เหมือนพยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองว่าร่างสูงตระหง่านบนม้าสีดำปลาบที่ดูสง่าน่าเกรงขามนั้นเป็นผู้ใด แต่ที่แน่ใจก็คือต้องไม่ใช่พรานไพรชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน



เสียงม้าพันธุ์ดีสีดำปลอดควบเร่งรุดรี่ตรงมายังป่าละเมาะด้านหลังกำแพงเมืองหนาสูงแข็งแรงของเหมรัฐปุระนครา เสียงฝีเท้ามาชะลอลงเหลือเพียงเสียงเหยาะย่างใกล้พุ่มไม้รกหนาเบื้องหน้า แสงจากคบไฟและกองอัคคีที่จุดยามอาทิตย์อัสดงลับเหลี่ยมเขาไป ส่องสว่างลุกโชติท่ามกลางเหล่าชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายพรานไพรเกือบสิบคน



บุรุษร่างสูงตระหง่านเพิ่งก้าวเข้ามาสบทบ ทันทีที่แสงกระทบดวงหน้าคมเข้มของผู้มาใหม่ถนัดแจ้งชัด ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำทั้งหลายต่างทรุดกายก้มกราบแทบพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน ผู้มาใหม่ยืนตระหง่านท่ามกลางวงสนทนา ปัจจะ วศิน สองสหายสนิทแม่ทัพซ้ายขวา กราบทูลรายงานถวาย



“เพลานี้ ข่าวลือเรื่องเจ้าชายรัชทายาทคิดทรยศเป็นกบฏต่อบัลลังก์วรัณธยานั้น เห็นจะเป็นจริงตามนั้นทุกประการ มีการซ่องสุมผู้คนแลอาวุธมากมายรอสบโอกาสลุกฮือขึ้นประกาศให้เหมรัฐปุระนคราเป็นเอกเทศอย่างแน่นอน สายสอดแนมของเราแจ้งความมาเมื่อเพลาบ่าย พ่ะย่ะค่ะ” วศินทูลกล่าวรายงานเสียงห้าวเข้มเคร่งเครียด



“บังอาจ“ สุรเสียงกร้าวกังวานตวาดลั่น พักตร์เข้มดุดัน ขบกรามแน่นเป็นสันนูน กราดเนตรมองกองอัคคีเบื้องหน้าอย่างเดือดดาล สุรเสียงแผดพิโรธทำเอาบรรดาทหารที่ติดตามมาต่างก้มหน้านิ่ง ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น วรองค์ร่างสูงตระหง่านกระแทกเสียงแข็งกร้าวบัญชา 



“ปัจจะ วศิน เร่งสืบหาจับตัวผู้ที่มีส่วนร่วมคิดคดทรยศมาให้หมด ข้าจะเอาเลือดของพวกมันพลีแก่องค์สุริยเทพแห่งวรัณธยา“ พักตร์กร้าวกราดเขม็งจ้องตรงไปพิมานหลวงตรงหน้าอย่างโกรธา




Create Date : 04 เมษายน 2552
Last Update : 22 ตุลาคม 2556 15:48:48 น. 0 comments
Counter : 401 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Setakan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





อยากให้คนที่เข้ามาได้รอยยิ้ม
และความสุขกลับไปค่ะ

..................

นิยายปี 53










นิยายปี 54










งานเขียนในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ. พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ส่วนหนึ่งส่วนใด โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร




TOP : Users Online hits
Friends' blogs
[Add Setakan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.