รับกระเป๋าเสร็จ ออกมาดูอาคารภายนอก สวย สะอาด เป็นระเบียบเชียว
คุณเฮือง เอเจนซี่ที่เราจองไว้มารอรับที่สนามบินตั้งแต่เช้าแล้ว จัดรถตู้มาให้ 1 คันแบบเหมาส่วนตัว คันใหญ่ กว้างนั่งสบายไม่ต้องไปนั่งรวมกับใคร แต่คุณเฮืองไม่ได้มากับเราด้วย ให้เรามาก่อนเดี๋ยวค่อยมาเจอที่สำนักงานเราออกจากสนามบินเวลา 8.30 น.
สมาชิกกรุ๊ปเดิม ตอนเช้าหน้าใสเชียว
ถนนหนทางบ้านเค้า จากสนามบินสู่ตัวเมืองฮานอย
ถนนเค้ากว้าง รถโล่งจัง
ข้ามสะพานผ่านแม่น้ำแดงก็ถึงตัวเมืองฮานอยแล้วครับ
สะพานเญิตเติน (Nhat Tan) ยาว 1,500 เมตรเป็นที่ตั้งเสาคอนกรีตที่ประกอบกันขึ้นเป็นหอคอยรูปอักษร A เป็นที่ยึดเหนี่ยวของสายเคเบิ้ลขนาดใหญ่ประกอบกันขึ้นเป็นสะพานขึงใหญ่ที่สุดในเวียดนามที่มีความยาวทั้งระบบเกือบ 9 กม. รวมมูลค่าก่อสร้างกว่า 600 ล้านดอลลาร์ สะพานกับถนน 8 เลนช่วงนี้ของถนนวงแหวนชั้นใน ช่วยร่นระยะทางจากสนามบินนานาชาติเข้าสู่ตัวเมืองได้ครึ่งต่อครึ่ง
เข้าสู่ตัวเมืองฮานอยแล้ว
เวลา 09.15 น.ถึงสำนักงานเอเจนซี่ (ย่านเมืองเก่า) จากสนามบินมาถึงตัวเมืองฮานอยประมาณ 45 นาที สำนักงานเอเจนซี่จะเป็นตึกแถวสูง 6 ชั้นไม่มีลิฟต์ ชั้น 1-3 จะเป็นร้านอาหาร
อย่าถามว่าสำนักงานอยู่ตรงไหน เพิ่งมาครั้งแรกเหมือนกัน รู้ว่าอยู่ตรงกลางเมืองใกล้ทะเลสาบคืนดาบหรือฮวาเกี๊ยม เอเจนซี่เปิดห้องให้เรา 1 ห้องอยู่ชั้น 5 ไว้ฝากกระเป๋า นอกห้องจะมีห้องน้ำไว้ให้อาบน้ำ ล้างหน้า ชั้น 4-3 ใช้ห้องน้ำได้ น้ำแรงมาก
ห้องไม่ค่อยใหญ่ แต่เตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้อาบน้ำครบทุกคน พร้อมแอร์ พัดลม ปลั๊กไฟ แบบจัดเต็ม
ฝั่งตรงกันข้ามถ่ายจากชั้น 5 ในห้องพัก
นั่งรอได้ซักพัก คุณเฮือง มาถึงก็คุยเรื่องการเดินทาง ที่พักพร้อมจ่ายส่วนที่เหลือ ระหว่างรอคุณเฮือง เอาตังค์กองกลางมานับเล่น 20 ล้านกว่าๆ หุหุ เป็นเศรษฐีในพริบตา
เราซื้อเนทซิมกับน้องชายคุณเฮือง ทั้งฮานอย ซาปา ฮาลอง เบย์ ใช้ได้ทุกที่ สัญญาณโอเค ระหว่างการเดินทางบนรถ ในเรือก็ใช้ได้อยู่นะ สรุป ยี่ห้อนี้ใช้ดี อายุการใช้งาน 3 เดือน ราคา 5 US โทรไม่ได้ ใช้แค่เนทอย่างเดียว อาศัยโทรไลน์เอา เล่นเฟส เมล์ ดูเวปต่างๆลื่นปลื้ดดดดดด ใช่แค่นี้ ส่วนโหลดหนักๆอย่างอื่นไม่ได้ใช้
หลังจากคุยกับคุณเฮืองเรียบร้อยก็ลงไปหาอะไรกิน บันไดตึกจะแคบหน่อยแถมพื้นจะออกลื่นๆ เดินระวังด้วยแล้วกันครับ
ผ่านห้องอาหารชั้น 2-3
ลงมาชั้นล่าง ด้านตรงกันข้ามจะเป็นโรงแรม
เราอยู่ถนนนี้
ออกจากตึกสำนักงานถ้าเลี้ยวซ้ายเดินตรงไปเจอสามแยกตัวทีเลี้ยวขวาไปนิดเดียวก็จะแยกน้ำพุ เลี้ยวซ้ายก็เป็นทะเลสาบฮวาเกี๊ยม ส่วนเราเลี้ยวขวาเดินตรงไปไม่ไกลก็เจอร้านนี้เลยครับ ได้เวลามื้อเที่ยงหิวแล้ว รองท้องก่อน
ได้โต๊ะแล้ว เมนูมา
สั่งบุ่นจ่า ไป 4 ชุด ได้มาอย่างนี้ มีถ้วยใส่น้ำซุป ในน้ำซุปจะมีเนื้อหมูย่างกับหมูก้อนให้มา 4 ถ้วย ถ้วยดำๆซ้ายมือนั้นแหละ 4 ถ้วย เสริฟพร้อมขนมจีนให้มาเป็นเข่ง ผักให้มาอีก 1 ไร่ เครื่องเคียงมีกระเทียมสับกับพริกขี้หนู ส่วนถ้วยที่มีน้ำใสๆไม่รู้ใช่มะม่วงเปล่า ให้มา 3 ถ้วย ครบ 7 ถ้วยพอดี พวกเรานั่งมืนๆกันทั้งแกงค์ เราจะกินกันยังไง งงได้ซักพัก เจ้าของคงสงสารเดินมาบอกวิธีการกินให้ พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง อาศัยภาษามือถึงเข้าใจ
วิธีกินคือ ให้เอาขนมจีนจุ่มน้ำซุปแล้วกินหรือจะใส่ไปในถ้วยน้ำซุปตามด้วยผัก แล้วกินก็ได้ ส่วนพริก กระเทียมใส่ในน้ำซุปตามใจชอบ รสชาติออกหวานปะแล่มๆ ส่วนหมูย่างอร่อยเลยเนื้อนุ่มรสเข้มข้น ส่วนหมูก้อนเฉยๆ ใส่เสร็จหน้าตาจะเป็นแบบนี้
เมนูต่อไป ปอเปี๊ยะทอด สั่งมา 4 ชิ้น กินรองท้องไปก่อน
ร้านนี้ค่าใช้จ่าย บุ่นจ่า 4 ชุด ปอเปี๊ยะทอด 4 ชิ้น น้ำเปล่าจำไม่ได้ ราคาทั้งหมด 290,000 ด่อง จิ๊บๆ หลังจากนั้น ออกจากร้านก็เดินไปทางขวามือตรงไปถึง 4 แยกเลี้ยวขวามืออีกที เดินไปถึงสามแยกทางซ้ายไม่ต้องเลี้ยว ให้ตรงไปจะถึงสามแยกทางขวามือให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป เจอ 3 แยกขวามือให้ตรงไปผ่านไอติม Swensen เลยไปนิดนึงก็ถึงร้านนี้แล้วครับ ร้าน Green Tangerine ที่อยู่ 48 Hang Be อยู่ระหว่าง ถนน Cau Go ตัดกับ ถนน Hang Be
ร้านนี้สมาชิกหาข้อมูลมา ต้องมาให้ได้ เป็นร้านตกแต่งน่ารัก อาหารสไตล์ฝรั่งเศสเมนูจะเสริฟเป็นคอร์ส มาดูบรรยากาศภายในร้านกันก่อน บุ่นจ่า ยังไม่ย่อยลุยต่อเลยแล้วกัน
ได้เวลากินแล้วประมาณบ่ายโมง อาหารสั่งคนละเซทจะมี 3 คอร์สเมนู มีออร์เดิร์ฟ เมนคอร์สและของหวาน
หน้าตาอาหารที่สมาชิกสั่ง ออร์เดิร์ฟกับเมนคอร์ส ถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้างแล้วแต่ลิ้นใครลิ้นมัน
ของหวาน
ส่วนเซทนี้ของผมออร์เดิร์ฟ ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว รสชาติยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่แต่ก็กินหมดจานเหมือนกัน
เมนคอร์ส เป็ดราดซอสเบอรี่ เป็ดออกเหนียวไปหน่อยแต่ทอดกำลังดีไม่สุกเกินไป ชอบองุ่นบนครีมกินกับมะเขือม่วงอร่อย
ของหวาน เป็นไอครีมออกเปรี้ยวๆ เมนูนี้เฉยๆ
ร้านนี้แต่งร้านน่ารัก พนักงานบริการสุภาพ ส่วนรสชาติแล้วแต่ลิ้นใครลิ้นมัน สำหรับผมรสชาติปานกลางยังไม่ถึงกับแย่ ถ้าให้คะแนนประมาณ 3.5/5 ส่วนราคาไม่สูง รับได้เลย ทั้งหมด 7 เซทรวมน้ำเปล่า 2,911,000 ด่อง ตกคนละหกร้อยกว่าบาท
อิ่มแล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนไปเที่ยวต่อ
ออกจากร้านก็เดินวนขวา จะมาถึงปากถนนหน้าทะเลสาบคืนดาบ ขายรองเท้า เสื้อ ผ้า กระเป๋า เพียบ
โรงละครหุ่นกระบอกน้ำก็อยู่บริเวณนี้ หน้าทะเลสาบ
ได้เวลาเที่ยว วัดหง็อกเซิน ค่าเข้าชมราคาคนละ 30,000 ด่อง อยู่ในทะสาบคืนดาบ
ประตูทางเข้าสะพานเทฮุก
จุดจำหน่ายบัตรค่าเข้าวัด
สะพานเทฮุก (The Huc) หรือ สะพานแสงอาทิตย์ ที่มีสีแดงสดใสถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของฮานอย จะใช้ข้ามเพื่อเข้าไปในวัดหง็อกเซิน
ข้ามสะพานต้องผ่านทางเข้าเล็กๆ 2 ชั้น ซึ่งทาสีขาว และมีลวดลายสัตว์มงคลต่างๆสีสันสดใส มองเผินๆคล้ายศิลปะจีน แต่ของเวียดนามจะใช้สีที่แตกต่างกว่า เช่น สีเหลือง ฟ้า ขาวม่วง ชมพู
ผ่านประตูจะเป็นวัดหง็อกเซินขนาดเล็ก ภายในวัดมีวิหารชั้นเดียว ภายในวิหารจัดแท่นบูชาเทพเจ้าคล้ายกับวัดจีนบ้านเรา
ที่สำคัญพลาดไม่ได้ ที่วัดจะสตั๊ฟตะพาบไว้ในกระจก โดยมีตำนานเล่าขานมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่15 ถึงที่มาของเต่าและทะเลสาบว่า จักรพรรดิ เลไทโย (Le Thai Yo) แห่งราชวงศ์เลย์ผู้ตั้งกรุงฮานอยเป็นราชธานี ได้ดาบอาญาสิทธิ์มาจากเต่าตัวหนึ่งในทะเลสาบนี้ เพื่อต่อสู้กับกองทัพจีนเป็นเวลาถึง 10 ปี จนสามารถขับไล่กองทัพจีนออกไปได้ และปลดปล่อยเวียดนามให้เป็นอิสระจากจีน หลังจากนั้นพระองค์จึงลงเรือไปกลางทะเลสาบแห่งนี้ เพื่อคืนดาบศักดิ์สิทธิ์ให้กับเต่า ตามตำนานเล่าว่า เต่าได้คลานขึ้นมาคาบดาบไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วว่ายหายไปในทะเลสาบ
หน้าวัดจะมีศาลาไว้ให้นั่งพักชมวิวทะสาบคืนดาบ
มองไปในทะเลสาบจะมีเจดีย์โบราณโผล่พ้นน้ำขึ้นมากลางทะเลสาบ สร้างขึ้นในสมัย ศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว (Thaprua) ซื่งหมายถึง หอคอยเต่านั่นเอง ในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล หากโชคดีจะได้เห็นเต่าขนาดใหญ่ขึ้นมาให้ชม (ที่จริงคือตะพาบแต่ตำนานเค้าเรียกเต่าครับ)
ทางออก (ทางเดียวกับทางเข้านั้นแหละ) จะมีร้านขายของที่ระลึก
ประมาณบ่ายสามเราก็ออกจากวัดเลี้ยวซ้ายเดินรอบทะเลสาบก็มาถึงแยกน้ำพุ ผมเอาจุดนี้เป็นแลนด์มาร์คเวลาเดินหลง
เดินไปเรื่อยๆก็ถึง โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral) ตั้งอยู่บนถนนยาจุง (Nha Chung) ทางด้านเหนือของทะเลสาบคืนดาบ (ฮว่านเกี๋ยม)
ไม่ค่อยมีอะไรดีว่าเดินไม่ไกลเท่าไหร่ เพิ่งสี่โมงเย็น เวลายังเหลืออีกเยอะ เราเดินไปที่ วัดว่านเหมี่ยว (VanMieu) อยากบอกว่าเดินไกลมาก ต้องเดินผ่านทางรถไฟแล้วตรงไปอีกไกล ขาแทบลาก ผ่านโรงพยาบาลด้วย
วัดว่านเหมี่ยว มีรถเมล์ผ่าน รถเมล์สาย 23 วิ่งจากถนน Hang Tre อ้อมขึ้นเหนือมาจนถึงสะพานเหล็กแล้ววกลงมาตามถนน Ly Nam De จนกระทั้งมาถึงหน้าวัด ที่เห็นไม่ใช่รถเมล์นะครับ เป็นรถทัวร์รับนักท่องเที่ยว จากป้ายนี้เลี้ยวขวาไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว ซื้อบัตรเข้าไปข้างใน
ราคาคนละ 30,000 ด่อง
เข้าประตูด้านหน้า
ประวัติวัดว่านเหมี่ยว ยาวใครสนใจดูของคุณหนุ่มเมืองกรุง รีวิวไว้ในพันทิปได้เลย ละเอียดมาก คลิ๊กเลย เดินผ่านประตูแสงอาทิตย์
เดินตรงไป
เจอสระน้ำอยู่ตรงกลาง
รอบสระน้ำจะมีแผ่นศิลาจารึกอยู่บนหลังเต่าเพื่อเป็นเกียรติให้กับบัณฑิตที่สอบผ่านจอหงวนได้รับราชการต่อไป สำหรับคนเวียดนามเชื่อว่าถ้าได้ลูบหัวเต่าจะมีสติปัญญาดี สงสัยลูบกันเยอะช่วงที่ผมไปถึงกับทำไม้กันกันเลยที่เดียว
เดินผ่านสระน้ำเข้าประตู จะเจอหอบูชาปรมาจารย์
ซ้ายมือด้านหลังจะมีห้องน้ำ ส่วนด้านขวามือจะขายน้ำ ขนมและของที่ระลึก
เข้าไปชมด้านในกันครับ
เจอนางแบบมาถ่ายภายในวัด เลยขอเนียนซักรูปสองรูป
ภายในหอจะมีเทพท่านขงจื้อ ไว้ให้คนเวียดนามและนักท่องเที่ยวไหว้สักการะ
ด้านข้างแท่นบูชาจะมีนกกระเรียนเหยียบหลังเต่า ความหมายคราวๆนกกระเรียนกับเต่าจะหมายถึงมีอายุยืนยาว
สังเกตตรงหน้าอกนกกระเรียนกับหัวเต่าจะมีคนมาลูบกันมาก
ประมาณห้าโมงเย็นเราก็เดินกลับ ได้เห็นการจราจรแล้ว อืมๆๆ ขับได้มันส์มาก แต่ไม่เห็นมีทะเลาะกันเลย ถึงจะดูวุ่นวายแต่ก็มีน้ำใจ หลบหลีกกันสบายๆ เป็นเมืองไทยยิงกันตายแน่
เดินมาเพลินๆ เรียกว่าตื่นตาตื่นใจมากกว่า กับจราจรบ้านเค้า ชอบๆ แล้วก็มาถึงทะเลสาบคืนดาบ
ขากลับผมเดินอ้อมทะเลสาบอีกฝั่งกับขามา ผ่านหน้าอนุสาวรีย์พระเจ้าลี้ไทโค
ทางเข้าสะพานเทฮุก
อีกฝั่งไม่รู้อนุสาว์รีย์ใคร
ถึงตรงนี้ประมาณสองทุ่มแล้วครับ สะพานเทฮุกเปิดไฟก็สวยดีเหมือนกัน
ถึงจุดแลนด์มาร์คของเราแล้ว
เดินข้ามถนนตรงหัวมุมตึกเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายเข้าซอยก็ถึงตึกเอเจนซี่เราแล้ว ก่อนถึงแวะกินขนมปังแซนวิช "บั่นหมี่" อยู่ข้างหน้าซอย จะมีไส้ต่างๆให้เราเลือก คล้าย Subway ชอบแบบไหนก็จิ้มๆเอา
ของผมใส่มันทุกอย่าง หน้าตาจะเป็นแบบนี้ อร่อยดีเหมือนกัน
กินเสร็จเดินไปสำนักงาน สามทุ่มคุณเฮืองไปส่งที่สถานีรถไฟ
จากที่สำนักงานมาสถานีรถไฟประมาณ 20 นาที คุณเฮือง จัดการเรื่องตั๋วรถไฟเสร็จเดินไปส่งถึงตู้รถไฟ พร้อมให้คำแนะนำดีมาก
เรานอนขบวนนี้
ลืมบอก คืนนี้เรานอนบนรถไฟไปเมืองซาปา รถไฟออกสี่ทุ่ม เราจองเหมาห้องทั้งหมด 2 ห้อง 8 เตียง จะได้ไม่ต้องมีใครมานอนด้วย มีประตูล็อคห้องด้วย 1 ห้องจะมี 4 เตียงชั้นล่าง 2 ชั้นบน 2 ภายในห้องจะตกแต่งด้วยม่านและผ้าห่มสีม่วง ค่อนข้างสะอาดไม่มีกลิ่มอับหรือเหม็นหื่น ปลั๊กไฟอยู่ด้านล่างมีโคมไฟไว้บนโต๊ะกลาง มีน้ำดื่มฟรีให้ 4 ขวด รองเท้าแตะ 2 คู่ เตียงไม่แคบมากพอขยับตัวได้
ภายในโบกี้นอกห้อง เป็นพื้นไม้
ตั๋วรถไฟเก๋มาก เป็นโปสการ์ด
ด้านหัวและท้ายโบกี้จะมีตู้น้ำดื่มแบบกดทั้งเย็นและร้อน บริการฟรี
เลยไปหน่อยจะเป็นห้องน้ำ สะอาดอยู่
หน้าห้องน้ำจะมีอ่างล้างหน้า
สี่ทุ่มตรงรถออกตามเวลา ประมาณห้าทุ่มเปลี่ยนชุดนอนบนรถไฟ ผมนอนเตียงชั้นบนรถค่อนข้างโครงเครงเหมือนนอนเปลญวน แต่พอวิ่งทางตรงก็นิ่งอยู่เหมือนกัน ส่วนเสียงดังเปล่าไม่รู้ เท่าที่นอนก็ไม่มีเสียงภายนอกมารบกวน ถือว่าเงียบแล้วกัน หรือว่าเดินทางทั้งวันทำให้เพลียหลับสนิทเลยไม่ค่อยได้ยินเสียงเท่าไหร่ มาตื่นประมาณตีสามแล้วก็หลับต่อ พรุ่งนี้ไปเที่ยวซาปากันครับ คลิ๊กเลย
*** รถไฟมีหลายเจ้า หลายราคา เอเจนซี่แนะนำให้ใช้ของขบวนนี้ ขาไปได้อัพเกรดห้องขึ้นมาหน่อย แต่มาเสียรู้ค่าเครื่องดื่ม นึกว่าแจกฟรี พวกกาแฟ ชา ช็อคโกแลคร้อน ชงๆใส่แก้วมาเสริฟแล้วถามว่ารับเปล่า ตอนแรกนึกว่าบริการฟรี พอตอนเช้าเดินมาเก็บเงินเฉยเลย เราผิดเองเนาะที่ไม่ได้ถาม พลาดๆ
ส่วนรถบัสแบบนอนจะวิ่งจากฮานอยไปถึงซาปาราคาจะถูกกว่า ยิ่งถ้าจองเองจะประหยัดมากกว่านี้ แต่เพื่อความสะดวกผมให้เอเจนซี่จัดการให้หมด เค้าบวกราคานิดหน่อยแลกกับความสะดวก สบาย ใครชอบแบบไหน ก็จองตามที่ถนัดได้เลย
ค่าใช้จ่ายวันนี้*** จ่ายส่วนตัว
- เงินกองกลาง
*** ตั๋วเครื่องบิน 2 คน 5,480 บาท (คนละ 2,740 บาท)
*** ค่าแท็กซี่นนท์-ดอนเมือง 140 บาท (มิเตอร์ 127 บาท)
*** ค่าประกันเดินทาง 2 คน 1,100 บาท (คนละ 550 บาท)
***ค่าซิมเนทไวไฟ 2 ซิม 10 US
*** เสื้อกันฝน North Face 2 ตัว 450 บาท
- อาหารมื้อแรก 290,000 ด่อง
- อาหารร้าน Green Tangerine 2,911,000 ด่อง
- ค่าเข้าวัดหง็อกเซินคนละ 30,000 ด่อง
- ค่าเข้าวัดว่านเหมี่ยวคนละ 30,000 ด่อง
- ค่าแซนวิช (บั้นหมี่)มื้อเย็น ลืมจด
- ค่ารถไฟไป-กลับ ฮานอย-ลาวไก คนละ 61 US
ค่าเครื่องบิน นกแอร์ ไป-กลับ คนละ 2,740 บาท
ค่าประกันเดินทางคนละ 550 บาท
กองกลางเก็บก่อนเดินทาง
- ค่าเดินทาง + ที่พัก คนละ 180 US = 6,210 บาท
- ค่าอาหารตลอดทริปคนละ 5,500 บาท
จบทริป
- คืนค่าเดินทางคนละ 500,000 ด่อง = 750 บาท
- คืนค่าเดินทางคนละ 20 US = 690 บาท
- คืนค่าอาหารคนละ 1,000,000 ด่อง = 1,500 บาท
รวมทั้งหมดต่อคนเป็นเงิน 12,060 บาท ไม่รวมค่าช้อปต่างหาก
ค่าเครื่องบิน 2,740 บาท
ค่าประกันเดินทาง 550 บาท
ค่าเดินทาง 4,770 บาท
ค่าอาหาร 4,000 บาท
***ค่าของฝากประมาณ 2,500 บาท