หลังจากหลงเข้าผิดวัด เราก็มาถึง Putuo Zongcheng Temple(ผู่ถัวจงเชิง) หรือวัดโปตาลากงน้อย(เสี่ยวโปตาลากง) จนได้วัดนี้สร้างขึ้นในปี 1769 มีพื้นที่ 54 เอเคอร์ เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเฉินเต๋อ (คำนวณเอาเองแล้วกันนะว่ากว้างแค่ไหน) มีอาคารใหญ่สีแดงสร้างเลียนแบบพระราชวังโปตาลา ข้างในมีสมบัติทางพุทธศาสนาเก็บรักษาอยู่มากมาย รวมถึงรูปประติมากรรมในนิกายหมวกแดงด้วย วัดนี้มีกลุ่มของหอ ระเบียง และเจดีย์ถึง 60 หมู่ด้วยกัน สถานที่ท่องเที่ยวทุกที่ ไม่ว่าวัดไม่ว่าวังหรือสุสานจะมี lay out ที่ตั้งให้นักท่องเที่ยวศึกษาทางหนีทีไล่ เอ๊ย..ม่ายช่าย ให้รู้ว่าตรงไหนมีอะไร จะได้เดินเที่ยวให้ถูกทางซุ้มประตูเพื่อเข้าไปในวัดประตูชั้นที่สองนี่เป็นแบบทิเบตแล้ว คงมีใครถามว่าแบบทิเบตเป็นยังไง ก็อธิบายไม่ถูกหรอกนะ แต่เป็นแบบนี้ที่เห็นนี่แหละ...เป็นแท่งๆ สีแดงๆ มีกรอบคล้ายหน้าต่างเล็กๆ (บางทีก็เป็นหน้าต่างจริง) และก็มีเจดีย์หน้าตาแบบที่เห็นความที่พื้นที่ใหญ่ ก็เลยมีเสลี่ยงไว้บริการด้วย...แต่ดูแล้วไม่น่าจะ work เท่าไรนะ เพราะบริเวณวัดจะต้องขึ้นเขาขึ้นบันไดอยู่ตลอด และก็เท่าที่ดูก็ไม่เห็นคนใช้บริการเท่าไร อาจจะเป็นเพราะวันที่เราไปไม่ค่อยมีคนเท่าไรด้วยล่ะทุกวัดจะต้องมีซุ้มประตูนี้ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของสมัยราชวงศ์ชิง ที่ประดับด้วยกระเบื้องสีเขียวสีเหลือง...เวลาเลือกรูปก็งงเหมือนกันนะว่าซุ้มประตูนี้ของวัดไหนกันแน่ดูรูปซุ้มประตูสวยๆ แบบไม่มีอะไรมาบังบ้างดีกว่าด้านหลังคือเสี่ยวโปตาลากง ตอนนั้นชักจะเมื่อยๆ แล้ว มองขึ้นไป เหอ...ขี้เกรียจเดินแล้วสิ แล้วจะขึ้นไปไหวมั๊ยเนี่ย คิดถึงเสลี่ยงตรงทางเข้าเมื่อกี้จังระหว่างทางขึ้นก็จะมีเจดีย์กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยกระจายอยู่ทั่วตัววัดด้านนอกสร้างดูเรียบๆ ง่ายๆ เป็นเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมมีหน้าต่างเล็กๆ ข้างบนเป็นลานสำหรับไหว้พระอันนี้ไม่ใช่เสาธงนะ แต่เป็นเสาสำหรับขอพร...อยากขออะไรก็เขียนใส่ธงแล้วก็ชักขึ้นไป จะมีพระคอยยืนกำกับการชักธงด้วยชักพรขึ้นเสาแล้วก็มาจุดธูปสวดมนต์ที่นี่พระพุทธรูปที่วัดนี้ไม่ได้อยู่ข้างล่างอย่างของเรา แต่จะใส่ไว้ในช่องเรียงขึ้นไปเป็นชั้นๆ เดินขึ้นบันไดไปข้างบนวัดที่ดูเหมือนกล่องสี่เหลี่ยม แต่ตัวอาคารที่อยู่ข้างบนไม่ยักเหลี่ยมนะ มีอยู่หลายหอและแยะห้อง แต่ละหลังจะสร้างอย่างสวยงาม เป็นทั้งที่เก็บพระพุทธรูปและหอสวดมนต์สีและลวดลายตามหลังคาข้างบนจะมีห้องเก็บพระพุทธรูปโบราณแยะมาก และเป็นระเบียงยาวเดินได้รอบ มีระเบียงออกไปข้างนอกเป็นหอสวดมนต์อีกหลังจากระเบียงด้านนอก มองเห็นเขาฆ้อน(ปั้งฉุยซาน) ที่ได้ชื่อนี้เพราะยอดเขามีลักษณะคล้ายฆ้อนหินอันใหญ่ เฉพาะเขาฆ้อนนี้สูงประมาณ 18 เมตร จะเดินขึ้นไปหรือนั่งกระเช้าแบบสกีลิฟท์ขึ้นไปก็ได้ ข้างบนจะมองเห็นพราะราชวังฤดูร้อนและวัดทั้งแปดในเฉินเต๋อทั้งหมด เสียดายไม่ได้ขึ้นไปเพราะไม่มีเวลาปิดท้ายพาด้วยการพาลงบันไดด้านหลัง เดี๋ยวเราไปเที่ยวอุทยานฤดูร้อนต่อกัน....Last Update : 9 เมษายน 2549 12:41:26 น1053
ชอบทุกภาพเลย ผมชอบอะไรที่เป็นทิเบตๆ อ่ะ
สงสัยชาติก่อนเกิดเป็นจามรีแถวนั้น