วางหมาก...กระดานหุ้น ตอน มายืดเส้นยืดสาย ก่อนขึ้นกระบวนท่าที่ 3 ด้วย หมากเขียวเรโช
ปีที่ 1 เล่มที่ 3 ฉบับที่ 2 วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2548
มีเพื่อนๆ ทักผมว่า ไม่คิดที่จะตั้งชื่อกระบวนท่าทั้งสองที่ได้โพสไว้แล้วหรือ?
ดังนั้น ผมจึงขอตั้งชื่อกระบวนท่าทั้งสองดังนี้ครับ
กระบวนท่าที่ 1 ฝึกจิตดั่งภูผา กระบวนท่าที่ 2 กระบวนท่าสัมพันธ์กับใจ
ตอนที่แล้ว วางหมาก...กระดานหุ้น ตอน กระบวนท่าที่ 2 กระบวนท่าสัมพันธ์กับใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่ อย่าเข้าตลาดหุ้น หรือ ยุทธภพ ด้วยการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรระยะสั้น (Speculator) แต่ให้เล่นหุ้น แบบ VI หรือ VSOP ก็ได้แล้วแต่ความถนัด จากนั้นถ้าอยากจะลองแบบ VS ดูก็ได้ ตามลิงค์นี้ครับ
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3617424/I3617424.html
ก่อนจะขึ้นกระบวนท่าที่ 3 วันนี้ ผมพาพวก จอมยุทธ์ ทั้งหลาย มายืดเส้นยืดสายด้วย หมากเขียวเรโช ที่ผมได้ลองจับอัตราส่วนทางการเงินยอดฮิตของชาว VI นั่นคือ P/E ratio (อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น) กับ P/BV ratio (อัตราส่วนราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี) มาผสมผสานกัน ให้เกิด ratio ใหม่ เพื่อใช้ดูว่าหุ้นใดราคา ถูก หุ้นใดราคา แพง ลองอ่านกันดูครับ
วางหมาก...กระดานหุ้น ตอน มายืดเส้นยืดสาย ก่อนขึ้นกระบวนท่าที่ 3 ด้วย หมากเขียวเรโช
ปฏิเสธกันไม่ได้ว่า อัตราส่วนทางการเงินที่ชาว VI หรือแม้แต่กระทั่งชาว VSOP มักจะดูกันเป็นอันดับต้นๆ คือ P/E และ P/BV
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ก็น่าจะมาจาก หาข้อมูลได้ง่าย (ตามหน้า น.ส.พ. หุ้น หรือ น.ส.พ. เศรษฐกิจ มีรายงานทุกวัน) อีกทั้งยังสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย
P/E นั่น หลักการดูง่าย คือ ยิ่งน้อยๆ ยิ่งดี (แต่ต้องไม่ติดลบนะ) ซึ่ง ดร.นิเวศน์ เคยบอกว่า หุ้นจะถูกจะแพง อย่าไปดูที่ ราคาหุ้น ให้ดูที่ P/E ซึ่งท่าน ให้หลักนิยามสไตล์ VI ว่า ตัวเลข P/E นั่นสื่อถึงว่า เงินที่เราลงทุนไปกับหุ้นตัวนั้น จะได้คืนทุนมาภายในกี่ปี กล่าวคือ ถ้าคำนวณ P/E ได้เท่ากับ 7.5 แปลความหมายว่า จะใช้เวลาลงทุน 7 ปีครึ่ง ถึงจะได้ทุนคืนทั้งหมด เป็นการแปลความอัตราส่วนทางการเงินให้เป็นภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ นั่นเอง
ส่วน P/BV นั่น เป็นการดูเทียบระหว่างราคาปิดของหุ้น ณ วันนั้น ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งส่วนของผู้ถือหุ้นนี้ ถูกบันทึกอยู่ในงบดุลของบริษัทหลังจากที่ได้ทำการกระจายหุ้นออกสู่ตลาด (จึงเรียกว่า Book Value) ดังนั้น P/BV ยิ่งต่ำๆ ยิ่งดี (แต่ต้องไม่ติดลบนะ) เพราะสื่อถึงว่า ราคาหุ้น ณ วันนั้นๆ มีค่าใกล้เคียงหรือต่ำกว่ามูลค่าของตัวมันเองที่บันทึกอยู่ในงบดุล
ทีนี้ก็เกิดคำถามว่า แล้ว P/E และ P/BV ต่ำๆ ยิ่งดีนี้ ต่ำขนาดไหนล่ะ ใช้อะไรวัด?
ตามความคิดของผม การจะดูว่า P/E และ P/BV จะมีค่าต่ำหรือสูงนั่น ผมใช้ P/E และ P/BV รายหมวดธุรกิจ หรือ ราย Sector เป็นตัววัด
กล่าวคือ ถ้า P/E และ P/BV ของหุ้นรายตัว มีค่า น้อยกว่า รายหมวดธุรกิจ P/E และ P/BV นั่นมีค่า ต่ำ
แต่ถ้า P/E และ P/BV ของหุ้นรายตัว มีค่า มากกว่า รายหมวดธุรกิจ P/E และ P/BV นั่นมีค่า สูง
การพิจารณาว่า หุ้นใดราคา แพง หุ้นใดราคา ถูก หากดูที่ P/E เพียงอย่างเดียว ในความคิดของผม เห็นว่ายังไม่ครอบคลุมพอ เพราะ P/E นั่น ตัว E หรือ Earning per Share ที่ใช้ เป็นเพียงระยะสั้นคือภายในระยะ 12 เดือน การมองเพียงตัวเดียวอาจจะเป็นการมองที่สั้นเกินไป
หากพิจารณา P/BV ซึ่งเป็นมองในระยะยาวกว่า เนื่องจาก BV หรือ Book Value เป็นค่าที่บันทึกอยู่ในงบดุล จะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อมีการออกหุ้นเพิ่มทุน หรือการซื้อหุ้นคืน หรือการจ่ายปันผลเป็นหุ้น
ดังนั้น หากนำอัตราส่วนทั้งสองมาใช้ผสมผสานกันและใช้สร้างอัตราส่วนขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้พิจารณาว่า หุ้นใดราคา ถูก หุ้นใดราคา แพง จึงน่าจะเหมาะสมกว่า
คุณ แพะโง่ (ผมไม่ได้ไปว่าเขานา...เขาตั้งของเขาแบบนี้เอง) ได้เคยนำเสนอ แพะเรโช ให้ได้รู้จักกันไปแล้ว คือ การนำเอา PE คูณ PBV หากน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10 จะน่าลงทุน
ท่านที่สนใจ แพะเรโช หรือเรโชของท่านอื่นๆ สามารถอ่านได้ที่ลิงค์นี้ครับ
//topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I2423323/I2423323.html
อัตราส่วนที่ผมสร้างขึ้นนั้น แตกต่างกันกับของคุณแพะโง่ โดยผมนำแนวคิดพื้นฐานของ Finance ดังที่อธิบายไปแล้วข้างต้นมาสร้างอัตราส่วน ได้สองอัตราส่วน คือ ระดับจุลภาค และระดับมหภาค ดังนี้ครับ
หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค เวอร์ชั่น 1.0
โดยที่ PE (i) และ PBV (i) เป็น ค่า P/E และ P/BV ของหุ้นรายตัว ส่วน PE (sec) และ PBV (sec) เป็นค่า P/E และ P/BV ของรายหมวดธุรกิจ
แนวคิดก็คือ
ถ้า P/E และ P/BV ของหุ้นรายตัว มีค่า น้อยกว่า รายหมวดธุรกิจ P/E และ P/BV นั่นมีค่า ต่ำ
ดังนั้น ค่า PE (i) หาร PE(sec) ของหุ้นที่มีราคา ถูก ควรจะต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่ง
และค่า PBV (i) หาร PBV (sec) ของหุ้นที่มีราคา ถูก ควรจะต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่งเช่นเดียวกัน
เมื่อต้องการสร้างข้อจำกัดขึ้น ในการพิจารณาว่า
หุ้นที่มีราคาถูก P/E และ P/BV ของหุ้นนั้นควรจะต้องมีค่าที่ต่ำเมื่อเทียบกับรายหมวดธุรกิจ
ดังนั้น จึงนำ ค่า PE (i) หาร PE(sec) และPBV (i) หาร PBV (sec) มา คูณ กัน เพื่อสร้างอัตราส่วน โดยอาศัยกฎพื้นฐานของคณิตศาสตร์เรื่องการคูณทศนิยม
จากกฎพื้นฐานของคณิตศาสตร์ว่าด้วยเลขทศนิยม
เลขทศนิยมที่น้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่ง สองจำนวนคูณกัน ต้องได้ผลลัพธ์ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่งด้วย
และจากเงื่อนไขการคำนวณ P/E กับ P/BV ของรายหมวดธุรกิจ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่กำหนดว่า จะเลือกเฉพาะหลักทรัพย์ที่มีค่า E กับค่า BV ที่มากกว่า 0 เท่านั้นมาใช้คำนวณ P/E กับ P/BV รายหมวดธุรกิจ
จากแนวคิด และเงื่อนไขการคำนวณของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้ออกมาเป็น
หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค เวอร์ชั่น 1.0 หากค่าที่คำนวณได้ออกมาแล้วได้ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ถือว่าเป็นหุ้นที่มีราคา ถูก
ประโยชน์
ไว้ช่วยตรวจสอบหุ้นรายตัวว่า หากคำนวณ หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค แล้วได้ค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่ง หุ้นนั้นมีราคา ถูก (ส่วนจะเป็นของดีราคาถูก หรือของห่วยราคาถูก ต้องดูปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ประกอบ)
ตัวอย่าง (เป็นการสมมติเท่านั้น มิใช่ข้อมูลจริง)
หุ้น A เป็นหุ้นในกลุ่ม bank มี P/E เท่ากับ 9.31, P/BV เท่ากับ 1.54 P/E กลุ่ม bank เท่ากับ 14.47, P/BV กลุ่ม bank เท่ากับ 1.17
หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค = (9.31/14.47) x (1.54/1.17) = 0.85
ผลการคำนวณสรุปว่า หุ้น A มีราคา ถูก
จาก หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค ซึ่งใช้ดู หุ้นรายตัว สามารถ ขยายการมองภาพที่ใหญ่ขึ้นอีก ด้วยการสร้าง หมากเขียวเรโช ระดับมหภาค เวอร์ชั่น 1.0 เพื่อใช้ดู พอร์ทการลงทุน
หมากเขียวเรโช ระดับมหภาค เวอร์ชั่น 1.0
โดยที่ w(i) คือ Weight หรือน้ำหนักการลงทุนของหุ้นแต่ละตัวในพอร์ท มีหน่วยเป็น % summation ของ w(i) โดยที่ i เท่ากับหนึ่ง ถึง j คือ ผลรวมของน้ำหนักการลงทุนของหุ้นตัวที่ 1 จนถึงตัวที่ j (พอร์ทมีหุ้น j ตัว)
ซึ่งตามกฎผลรวมของ Weight
น้ำหนักการลงทุนของหุ้นตัวที่ i จนถึงตัวที่ j (พอร์ทมีหุ้น j ตัว) ต้องเท่ากับ หนึ่ง หรือ 100%
ดังนั้น เมื่อนำ หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค มาพิจารณาร่วมกัน
ผล summation ของทั้งสมการ ต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1
แนวคิด
เมื่อหุ้นแต่ละตัว ถูกคัดสรรมาโดยการดู หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค ซึ่งถ้าค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่ง จะถือว่าหุ้นตัวนั้นๆ มีราคา ถูก
เมื่อนำหุ้นแต่ละตัว มารวมเป็น พอร์ทการลงทุน พอร์ทการลงทุนนั้น ก็ควรจะเป็นพอร์ทการลงทุน ที่ถือว่าเป็น กลุ่มของหลักทรัพย์ที่มีราคาถูก เช่นเดียวกัน
ประโยชน์
ไว้ใช้ช่วยตรวจสอบพอร์ทการลงทุนของท่านว่า หากคำนวณ หมากเขียวเรโช ระดับมหภาค แล้วได้ค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่ง บ่งบอกว่า พอร์ทการลงทุนของท่านประกอบด้วยกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีราคา ถูก (ส่วนจะเป็นของดีราคาถูก หรือของห่วยราคาถูก ต้องดูปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ประกอบ)
ตัวอย่าง (เป็นการสมมติเท่านั้น มิใช่ข้อมูลจริง)
ในพอร์ทการลงทุน มีหุ้น A อยู่ 60% และหุ้น B 40% หุ้น A เป็นหุ้นในกลุ่ม bank มี P/E เท่ากับ 9.31, P/BV เท่ากับ 1.54 P/E กลุ่ม bank เท่ากับ 14.47, P/BV กลุ่ม bank เท่ากับ 1.17
หุ้น B เป็นหุ้นในกลุ่ม สื่อสาร มี P/E เท่ากับ 12.49, P/BV เท่ากับ 3.06 P/E กลุ่ม สื่อสาร เท่ากับ 15.44, P/BV กลุ่ม สื่อสาร เท่ากับ 2.36
หมากเขียวเรโช ระดับมหภาค = 0.6 x (9.31/14.47) x (1.54/1.17) + 0.4 x (12.49/15.44) x (3.06/2.36) = 0.93
ผลการคำนวณสรุปว่า พอร์ทการลงทุน ประกอบด้วยกลุ่มหลักทรัพย์ ที่มีราคา ถูก
จะหาข้อมูลมาคำนวณได้อย่างไร?
ค่า P/E และ P/BV ของหุ้นรายตัวนั้น หาได้ง่าย ทั้งในเวบไซด์หุ้น และ น.ส.พ.หุ้น แต่แต่ละสำนัก บางครั้งค่าจะไม่ค่อยตรงกัน เหตุผลเนื่องมาจาก การเลือกส่วนประกอบที่ใช้ในการคำนวณอาจจะไม่เหมือนกัน
เนื่องจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้กำหนดค่าสถิติเบื้องต้น และวิธีการคำนวณเบื้องต้น ออกมาใหม่ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2547 โดยระบุใน คู่มือ Set Smart ฉบับปรับปรุง ม.ค. 48 ดังนี้
ซึ่งบางสำนักอาจจะไม่ยึดหลักการคำนวณตามตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือการคำนวณหาค่า E และ ค่า BV ที่แตกต่างกันตามนิยามของแต่ละสำนัก
ยกตัวอย่างเช่น ของ Set Smart ถ้าจะคำนวณหาค่า EPS ณ ไตรมาส 2 ให้คำนวณมาจาก EPS ทั้งปี 47 ลบด้วย EPS ไตรมาส 1,2 ของปี 47 บวกกลับด้วย EPS ไตรมาส 1,2 ของปี 48
ส่วนค่า P/E และ P/BV ของรายหมวดธุรกิจนั้น ไม่ค่อยมีเผยแพร่เท่าไหร่ เท่าที่ผมหาเจอ ก็มี Set Smart หนึ่งที่ ที่มีบริการให้ค้นหา
หลักการคำนวณ P/E และ P/BV ของรายหมวดธุรกิจตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีดังนี้
ผมได้ลองคำนวณ หา P/E และ P/BV ของรายหมวดธุรกิจ โดยการนำ P/E ของหุ้นรายตัวมา Weight ด้วย Mk Cap และนำ P/BV ของหุ้นรายตัวมา Weight ด้วย Mk Cap เช่นเดียวกัน
วิธีการหา Mk cap ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดขึ้น มีดังนี้ครับ (Mk Cap ก็เป็นข้อมูลหนึ่งที่สามารถหาได้ง่าย)
แต่ผลปรากฏว่าค่า P/E และ P/BV ของรายหมวดธุรกิจ ที่ผมคำนวณได้ค่อนข้างต่างกันพอสมควรกับทาง Set Smart
ทาง Set Smart ยังให้คำตอบผมไม่ได้ว่า คำนวณ P/E และ P/BV ของรายหมวดธุรกิจมาได้อย่างไร
ค่าที่ผมคำนวณได้จากวิธี Weight average ให้ค่าที่ใกล้เคียงกับวิธี Arithmetic mean (เอาค่ามาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนข้อมูล) ดังนั้น ผมคิดว่าค่าที่ผมคำนวณ น่าจะเป็นค่าที่ใกล้เคียงกับความจริงมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อ Set Smart ขึ้นตรงกับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ข้อมูลที่ให้บริการ น่าจะตรงตามหลักเกณฑ์ และได้มาตรฐานที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ผมจึงใช้ข้อมูลอื่นๆ จากที่นี่ครับ (มิได้มีเจตนาโฆษณาให้ Set Smart แต่อย่างใด) แต่ P/E และ P/BV ของรายหมวดธุรกิจ ผมใช้วิธีคำนวณเอง
ตอนนี้คงขอจบแต่เพียงเท่านี้ หวังว่า หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค และมหภาค คงจะเป็นประโยชน์ ต่อนักลงทุนได้ ไม่มากก็น้อย
ยืดเส้นยืดสายกันพอสมควร ไว้พบกันตอนหน้า กระบวนท่าที่ 3 (ยังนึกชื่อท่าไม่ออกแฮะ)
แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้
***สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามทำการคัดลอก ดัดแปลง แก้ไข โดยไม่ได้อ้างอิงหรือขออนุญาตล่วงหน้า***
Create Date : 03 สิงหาคม 2548 |
|
3 comments |
Last Update : 11 สิงหาคม 2548 11:40:34 น. |
Counter : 2236 Pageviews. |
|
|
|
หมากเขียวเรโช ระดับจุลภาค