กุมภาพันธ์ 2556

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
18
19
20
22
23
25
26
27
28
 
 
All Blog
ห้วงพันธนาการ บทที่ 7

Chapter 7

การเดินทางจากกรุงเทพมหานครถึงที่หมายปลายทางสนามบินเชียงใหม่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษทำให้รู้สึกถึงความรวดเร็วและสะดวกสบาย แม้จะเกิดอาการคลื่นเหียนเล็กน้อย วิงเวียนนิดหน่อยหรือหูอื้อไปบ้าง แต่นับได้ว่าเงินทองสามารถซื้อเวลาได้จริง หากโดยสารมากับรถทัวร์คงกินเวลานานค่อนวันหรือเดินทางกับรถไฟคงนั่งจนล้า ปวดเมื่อยตามร่างกาย เกิดอาการตะคริว หรือเป็นหน็บชาไปตามกัน

สองสาวเพื่อนสนิทยกกระเป๋าเป้สะพายขึ้นหลังก้าวเดินตามอาคารที่พักผู้โดยสาร มองหาประตูทางออกเตรียมติดต่อรถบริการของสนามบินเพื่อเดินทางยังจุดหมายที่นิลนราพยายามตามหาใครสักคนเก้าอี้รับรองถูกผู้เดินทางไกลจับจองที่นั่ง คอยรถให้บริการที่ทางเจ้าหน้าที่สนามบินประสานงานติดต่อให้

“รอก่อนนะพี่เขากำลังเรียกรถมารับ”

วิภานีส่งข่าวเมื่อเจรจานัดหมายกับพนักงานของสนามบินเรื่องรถเช่าเป็นที่เรียบร้อยกระเป๋าเป้ถูกจับออกจากไหล่วางลงยังเก้าอี้ด้านข้างหย่อนกายนั่งลงข้างหญิงสาวอีกคนที่ส่งยิ้มให้จางๆ

“เราทำให้วิลำบากหรือเปล่า”

“โอ้ย..ลำบากอะไรแก เอ่อ.. ไม่ลำบากอะไรหรอกนะ เรายินดีช่วยเหลือคุณเต็มที่”

วิภานีอึกอักเปลี่ยนท่าทางกะทันหันเนื่องจากเธอเก็บไปนั่งคิดนอนคิดทั้งคืนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่ทุกอย่างที่นิลนราบอกกล่าวและแสดงออกมากลับสมจริง จนทำให้เธอวางตัวไม่ถูกกับร่างกายเพื่อนเก่าแต่เป็นอีกคนคล้ายเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักได้เพียงไม่นาน

“วิ..เราขอร้อง คุยกับเราเหมือนเดิมได้ไหม เราไม่อยากให้วิ หรือใคร หรือแม้แต่ตัวเราเองต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้”

น้ำเสียงซึมบ่งบอกถึงความโศกเศร้าที่แสดงออกมาพร้อมกับสายตารวดร้าวจ้องมองอย่างอ้อนวอนให้หญิงสาวที่เคยตั้งตนเป็นเพื่อนสนิทปฏิบัติการกระทำต่อกันเหมือนเคย

“คุณไม่ถือเราใช่ไหมที่เราเป็นใครก็ไม่รู้ เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ขอให้คุณคืนนิลกลับมาให้เราทั้งที่เรื่องทั้งหมดคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายเดือดร้อนที่สุด”

“เราซะอีกที่ต้องขอบใจวิเพราะวิคอยอยู่เคียงข้างเรามาจนถึงตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันอาจเป็นเวรกรรมที่เราเคยก่อไว้ก็ได้ เราอยากให้วิคิดว่าเราเป็นเพื่อนวิเป็นนิลคนเดิม ถึงแม้เราจะไม่ใช่นิลตัวจริง แต่เรายังคบกันเป็นเพื่อนได้ใช่ไหม”

วิภานีแย้มยิ้มส่งให้หญิงสาวพลางเอื้อมมือโอบไหล่นำศรีษะชนแตะกันเบาๆประกาศให้รู้ว่าเธอยินดีและเต็มใจที่จะรับหญิงสาวด้านข้างไว้เป็นเพื่อนรัก เพื่อนแท้แม้จะเป็นตัวตายตัวแทน แต่เธอยังคงเป็นนิลนราไม่เปลี่ยนแปลง

“ได้..ฉันจะทำตัวเหมือนเดิมกับแกนะไอ้นิล”

“ขอบใจนะ..”

น้ำตาแห่งความปลื้มปิติเอ่อซึมขอบตารู้สึกถึงมิตรภาพใหม่ที่กำลังเริ่มต้นอีกครั้ง

“คุณครับรถที่ติดต่อไว้มารับแล้วครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

สองสาวผละร่างกายออกจากกันถูกขัดจังหวะอารมณ์ซึ้งโดยเจ้าหน้าที่ของสนามบินทำให้ทั้งสองเพื่อนซี้มองหน้ากันพร้อมหลุดขำแก้เขิน ยกเก็บข้าวของสัมภาระก่อนเดินขึ้นยังรถรับจ้างเพื่อไปยังสถานที่ในความทรงจำที่นิลนราจำได้ขึ้นใจกับเวลานี้ เมื่อได้รู้ความจริงแล้วว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน

“นิลฉันถามแกหน่อยสิ แกเป็นแฟนกับอิฐเหรอ”

“จะบ้าเหรอทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ อย่าเข้าใจผิดนะ เราไม่ได้เป็นแฟนกับนายอิฐนั่นซะหน่อย”

“ทำไมล่ะแกเขาน่ารักออก”

“น่ารักดูดี แค่ภายนอก จริงๆ แล้วนายอิฐเป็นฆาตกรโรคจิต โหดร้าย ป่าเถื่อน รู้หรือเปล่าวิ”

วิภานีชะงักคำพูดกรอกสายตามองคนด้านข้างที่นั่งขำ นิลนรารู้สึกดีที่แหย่ให้วิภานีหวาดผวาได้สำเร็จ เพราะเธอมักแกล้งแซวคนอื่นเสมอคราวนี้โดนเอาคืนบ้าง คงจะสำนึกได้บ้าง

“แกพูดเล่นใช่ไหมสุดหล่อของฉันคงไม่ได้เป็นอะไรๆ อย่างที่แกว่า กล้ามากนะที่หลอกให้ฉันกลัว”

“แค่ล้อเล่นน่าอิฐเป็นคนดี เรารู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้วล่ะ”

“เขามีแฟนไหม..แล้วนิสัยเขาเป็นยังไง”

“เท่าที่รู้ไม่มีนะ ไม่เห็นนายนั่นจะสนใจใคร ส่วนนิสัย..”

นิลนราทำนิ่งคิดนึกย้อนถึงชายหนุ่มที่กำลังเป็นประเด็นสนทนา ในช่วงของความทรงจำที่ยังขาดๆ เกินๆค่อยๆ ทยอยทบทวน

“ยังไงแก..”

“คือ..อิฐ.. เท่าที่ฉันจำได้ เขาเป็นคนขี้เล่น ทะเล้น ห่วงใยเพื่อน มาดเซอร์ ชอบงานศิลป์คงคล้ายๆ วินั่นล่ะ ว่าแต่วิสนใจอิฐงั้นเหรอ ไว้เราติดต่อให้เอาไหม”

วิภานีส่งยิ้มแพรวพราวทำตาลุกโตพยักหน้าหงึกโดยไม่คิดหน้าพะวงหลัง ทำเอานิลนราหลุดขำไม่รู้รอบที่เท่าไหร่หากเธอได้อยู่ใกล้ชิดหญิงสาวอารมณ์ดีคนนี้ตลอดเวลามีหวังได้ขำจนท้องคัดท้องแข็งทั้งวันเป็นแน่ นิลนรารู้สึกปลาบปลื้มใจ และนึกขอบคุณนิลตัวจริงขึ้นมาที่ทำให้เธอได้รู้จักกับคนดีๆ อย่างวิภานี

“ว่าแต่แกมีคนที่รักหรือเปล่า”

คำถามส่งตรงราวกับสายฟ้าฟาดกลางศรีษะทำนิลนรานิ่งอึ้งชาวูบวาบในความรู้สึก วงหน้าของผู้ชายคนหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองทันทีคนที่รักหรือคนสำคัญ เธอยังคิดถึงและจดจำเขาได้ติดตากับเวลานี้ เขาคนนั้นจะเป็นอย่างไรอยากเจออีกครั้ง

“มี..”

“เขาลักษณะเป็นไงบ้างอะแกหล่อไหม แฟนแกจะเหมือนพี่ไตรหรือเปล่า”

“ไม่เหมือนหรอกคุณไตรของวิเขาเป็นคนอบอุ่น ห่วงใยคนอื่น รักครอบครัวแต่คนที่เรารักเขาไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่กับความรู้สึกในใจจนบางครั้งเราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่”

“พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำเอาเครียดอีกแล้วแกจะทำยังไงต่อไป ไหนจะสามี ไหนจะลูก แล้วที่แกมาเชียงใหม่ ก็เพื่อมาหาแม่ที่เขาคิดว่าแกตายไปแล้วถ้าหากเขารู้ว่าลูกสาวไปสิงร่างคนอื่นแบบนี้ เขาจะช็อคหรือเปล่า ถ้าฉันเป็นแม่แก ต้องช็อคตายคาที่แน่ๆ”

“เราคงไม่บอกหรอกว่าเราอยู่ตรงนี้”

น้ำเสียงแผ่วลงจนเพื่อนด้านข้างสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอที่อัดแน่นในความรู้สึกของเพื่อนสนิทแต่ยังไม่เข้าใจกับเหตุผลที่ต้องการปิดบังความจริง

“อ้าวทำไมถึงไม่อยากให้เขารู้ล่ะแก!”

“ไม่รู้สิ..ปล่อยให้ลี่ตายไปแล้วในความรู้สึก ยังดีกว่าให้แม่มารับรู้ว่าเราเป็นคนอื่นแบบนี้ เราไม่อยากให้แม่ต้องทำใจซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองเพราะอนาคตของเราเองจะเป็นยังไงบ้าง ก็ยังไม่มีใครรู้”

สีหน้าสลดสร้างบรรยากาศอึมครึมพาจิตใจรวดร้าวทุกเรื่องราวคงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมถึงแม้จะออกมาพิสดารสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่คงต้องยอมรับมันให้ได้

การเดินทางสิ้นสุดรถยนต์รับจ้างขับเคลื่อนมาจนถึงที่หมายวิภานีเจรจากับคนขับรถที่พาพวกเธอมาส่งให้รอคอยรับกลับไปยังสนามบินอีกครั้งหลังจากเสร็จธุระสำคัญเมื่อการเจรจาเสร็จสิ้นสองสาวย่างก้าวตามถนนดินลูกรังสีส้มเข้มสองฝั่งทางเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด ริมทางเดินมีฝูงไก่หลายสิบตัว ทั้งแม่ตัวใหญ่กับลูกเจี๊ยบตัวเล็กตัวน้อยเกาะกลุ่มคุ้ยขาเขี่ยหาอาหารตามเศษดิน บ่งบอกลักษณะของชนบทที่ดูสงบเงียบไม่วุ่นวายอย่างในเขตเมือง บรรยากาศทุกอย่างที่สายตาทอดผ่านเป็นภาพเดียวกันกับที่นิลนราเคยเห็นมาแล้วระหว่างที่พักอยู่ในโรงพยาบาล

สองสาวเดินทางผ่านลานดินกว้างจนหยุดยืนอยู่หน้าบ้านที่ปลูกด้วยไม้แข็งแรงรอบบริเวณเขตบ้านกินพื้นที่กว้างขวาง แบบบ้านชั้นเดียวมีใต้ถุนสูงมองทะลุไปอีกฟากได้อย่างสบายประตูเปิดคาไว้บ่งบอกถึงการมีผู้อยู่อาศัย ทั้งสองสาวเพื่อนซี้ชะเง้อคอมองขึ้นไปบนบ้านหลังนั้นหาใครสักคนที่อยู่ใกล้เคียงให้รับรู้ถึงการมาเยือน

“มาหาใครคะคุณ”

หญิงรูปร่างท่วมก้าวเดินหาบุคคลแปลกหน้าซึ่งไม่เคยเห็นกันมาก่อน พยายามถามไถ่ธุระการติดต่อก่อนจะต้อนรับขับสู้แก่แขกผู้มาเยือน

“มาหาคุณนวลค่ะไม่ทราบว่าท่านอยู่หรือเปล่าคะ”

“อยู่ที่วัด..พวกคุณมีธุระอะไรกันหรือเปล่า”

“คือ..พอดีเราสองคนเดินทางมาจากกรุงเทพ เป็นเพื่อนของลูกสาวคุณนวลน่ะค่ะ แวะมาเยี่ยมท่านไม่ทราบว่าพอจะพาไปหาท่านได้หรือเปล่าคะ”

“อ่อได้สิตามมาทางนี้เลย ใกล้ๆ นี่เอง”

นิลนราก้าวเดินตามคำชวน พร้อมกับวิภานีออกตัวขนาบข้างไปยังสถานที่สงบร่มเย็นหญิงร่างท้วมแม้หน้าตาจะดูน่ากลัวแต่ท่าทางมีไมตรีจิต เต็มใจให้ความช่วยเหลือสมกับเป็นเจ้าของถิ่นแสดงถึงความมีน้ำใจ

“คุณป้าคะแล้วคนอื่นๆ ที่คอยดูแลคุณนวลหายไปไหนหมดคะ”

“ตั้งแต่ไปอยู่ที่วัดคนดูแลก็แยกย้ายคนละทิศคนละทาง มีแต่ป้านี่ล่ะคุณ ที่คอยเทียวไปเทียวมาดูบ้านทำความสะอาดให้ สงสารแกตัวคนเดียว ลูกสาวก็เพิ่งเสียได้ไม่นานสามีก็จากไปเป็นสิบปีแล้ว นี่ถ้าลูกสาวไม่ด่วนจากไปเสียก่อนก็คงยังอยู่ที่กรุงเทพด้วยกัน”

เรื่องราวสะเทือนใจทำคนฟังถึงกับหดหู่ตามกันวิภานีเอื้อมจับบีบไหล่หญิงสาวที่เดินเคียงข้างปลอบใจ เมื่อต้องนึกถึงครอบครัวที่เคยอยู่ดูแลกันมาลำพังโดยขาดหัวหน้าครอบครัวเป็นที่พึ่งพิงวิภานีเริ่มเห็นอกเห็นใจชีวิตของผู้หญิงที่ชื่อลี่ ทำไมจึงอาภัพเพียงนี้อยู่กับแม่เพียงสองคน แต่ตนเองก็มาด่วนจากไปก่อนจะถึงวัยอันควรแล้วผู้เป็นแม่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงใด

เมื่อทั้งสามย่างกายเข้ายังเขตของวัดวาอารามบรรยากาศรอบด้านร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ แว่วเสียงลำธารน้ำไหลเงียบสงบไร้ผู้คนเดินผ่านไปมา เหมาะสำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมนิลนรารู้สึกคุ้นเคยกับที่แห่งนี้เป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่เธอเคยอาศัยอยู่ในอดีตมารดามักจะพามาทำบุญไหว้พระที่วัดแห่งนี้บ่อยครั้ง ราวกับที่นี่คือความทรงจำอันดีที่เกิดเป็นความผูกพันระหว่างสองแม่ลูก

“อยู่ทางด้านโน้นนะคุณ”

หญิงร่างท้วมชี้นำให้สองเพื่อนซี้มองตามยังศาลาที่พักซึ่งมีบุคคลที่พวกเธอต้องการพบเจออาศัยอยู่สองสาวหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกใจ พากันย่างก้าวเดินเข้าใกล้ศาลาเรื่อยๆ

“ลี่..ใช่ลี่ไหม”

“...”นิลนราชะงักฝีเท้ากะทันหัน ความเย็นเยือกวิ่งผ่านร่างกายจนชาไปทั้งเรือนร่างน้ำเสียงสั่นเครือคุ้นเคยทำให้เธอเชื่อในทันทีว่านี่คือมารดาของเธอหญิงวัยกลางคนนุ่งขาวห่มขาวทั้งชุด โกนศรีษะจนไม่หลงเหลือให้เห็นผมสักเส้นนั่งเหม่อลอยตะแคงหูฟังเสียงตอบรับที่เอ่ยถามไปเมื่อครู่อย่างรอคอย

“ลี่มาหาแม่ใช่ไหม..”

“เอ่อ..แม่ชีคะ แม่ชีใช่คุณนวลหรือเปล่าคะ”

วิภานีทำหน้าที่แทนเพื่อนสนิทที่ยืนช็อคตาค้างจ้องมองแม่ชีผู้นั้นไม่มีกะพริบนิลนรารู้สึกอื้ออึง ทำอะไรไม่ถูกราวถูกสาปให้เป็นรูปปั้น เหตุใดมารดาของเธอจึงกลายเป็นแม่ชีหรือเพราะท่านตรอมใจจนต้องบวชเพื่อสงบจิตสงบใจเนื่องจากการเสียชีวิตของเธอความเจ็บปวดวิ่งควบคุมจิตใจรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเอาเสียเลยเวลานี้ สับสน ทุกข์ร้อน เธอพยายามควบคุมสติหายใจเข้าลึกๆ ปัดความรู้สึกแย่ทิ้งเพื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

“แม่ชีเอง..ว่าแต่คุณเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักแม่ชี”

“หนูสองคนมาจากกรุงเทพค่ะมาเยี่ยมคุณ..เอ่อ.. มาเยี่ยมแม่ชีคะ พวกหนูเป็นเพื่อนของลี่..”

วิภานีพยายามอธิบายถึงจุดประสงค์หลักต้องการให้แม่ชีผู้นั้นหันมาใส่ใจมองเธอบ้าง แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่ได้รับยังคงเหม่อลอยมองไปยังจุดเดียว ไม่มีหันหาคู่สนทนาแต่อย่างใดวิภานีหันมองนิลนราที่ยืนน้ำตาคลอเบ้า มือเอื้อมจับประสานบีบปลอบเป็นกำลังใจให้เธออดทนอดกลั้น เก็บอารมณ์หวั่นไหวไว้ ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา นิลนราก้าวเดินเข้าใกล้เมื่อตั้งสติได้เธอหยุดยืนเบื้องหน้าพร้อมจ้องมองแม่ชีอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะย่อกายนั่งคุกเข่า ยกมือไหว้คล้ายต้องการขอขมาอโหสิกรรมโดยไม่ส่งเสียงใดออกมา มือสั่นเทาเอื้อมจับกุมมือแม่ชีไว้เบาๆ

“แม่ชีคะหนูเป็นเพื่อนสนิทของลี่ ทราบข่าวได้ไม่นานว่าลี่จากพวกเราไปเลยเพิ่งมีโอกาสได้มาเยี่ยมแม่ชีค่ะ”

แม่ชีดึงมือข้างหนึ่งออกจากการเกาะกุมยกคว้าสัมผัสอากาศก่อนจะจับโดนศรีษะของนิลนรา มืออบอุ่นข้างนั้นลูบไล้ไปตามเส้นผมยาวทำอยู่อย่างนั้นสามสี่ครั้งก่อนจะนำจับมือบอบบางอีกครั้ง

“เสียงฝีเท้าของหนูคล้ายลี่มากถึงแม่ชีจะตาบอด แต่แม่ชียังจดจำเสียงต่างๆ ได้ แม่ชีคงคิดถึงลี่มากไปเลยเหมาว่าหนูคือลี่ขอโทษด้วยนะ”

รอยยิ้มเจือจางออกไปทางเศร้าโศกนึกขำตนเองที่เฝ้าเพ้อถึงลูกสาวจนเข้าใจผิดว่าเธอกลับมาหาอีกครั้ง ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ คนตายจะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร

“แม่ชีสบายดีนะคะหนูแวะไปหาแม่ชีที่บ้านแต่ไม่เจอใคร พอดีมีคุณป้าคนหนึ่งพามาที่นี่หนูไม่คิดว่าแม่ชีจะอยู่ที่นี่..”

“แม่ชีมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เผาศพลี่ตัดสินใจบวชเพื่อสงบจิตใจไม่ให้คิดถึงลูกสาว อยากตัดขาดทางโลกหาธรรมะเป็นที่พึ่ง”

จิตใจแทบแตกสลายเมื่อได้ยินประโยคบอกเล่าน้ำเสียงดูเนิบช้าแต่สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าเสียใจที่ยังไม่จางหายเพราะเธอเองที่ทำให้มารดาต้องตกอยู่ในความทุกข์ระทม ตรอมใจ

ภาพเหตุการณ์เก่าๆย้อนกลับมาให้ระลึกถึง เมื่อครั้งยังมีชีวิต เธออาศัยอยู่กันสองคนแม่ลูก มารดามักจะเล่าเรื่องราวสมัยก่อนตั้งแต่เธอยังไม่เกิดให้ฟังเสมอเริ่มต้นจากสองสามีภรรยาอาศัยอยู่กินด้วยกันที่เชียงใหม่ และเดินทางไปหางานทำในเมืองกรุงจนตั้งท้องลูกสาวคนเดียว ฟูมฟักจนเธอลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ และเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีด้วยความรักและความเอาใจใส่แต่แล้วคล้ายโชคร้ายเล่นตลกกับครอบครัวทำให้เจอะเจอมรสุมของชีวิตรุนแรงอย่างแสนสาหัสเมื่อบิดาต้องจากไปด้วยโรคหัวใจคร่าชีวิตมารดาจึงหอบลูกเต้ากลับยังบ้านเกิดเมืองนอน และเลี้ยงดูเธอมาในฐานะของพ่อและแม่เป็นอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องหรือทำให้เธอรู้สึกว่าสูญเสียบิดาไปแม้แต่น้อย เมื่อโตเป็นสาวเธอเดินทางเข้ากรุงเทพอีกครั้งเพื่อศึกษาเล่าเรียนให้สูงตามที่มารดาคาดหวังและคอยส่งเสียเลี้ยงดูมาโดยตลอดจนวันหนึ่งได้ทราบข่าวเกี่ยวกับมารดาเกิดอุบัติเหตุจนต้องสูญเสียดวงตาเธอจึงรับมารดามาอยู่อาศัยด้วยกันที่กรุงเทพ จนเธอเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยไม่มีการกล่าวคำร่ำลา

ลวิตาหรือลี่ในร่างของนิลนรา รู้สึกว่าเธอเองยังดูแลตอบแทนพระคุณของมารดาได้ไม่เต็มที่ชีวิตมนุษย์ช่างสั้นเหลือเกิน หากเป็นไปได้เธออยากย้อนเวลากลับไปเพื่อที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อมารดาของเธอ แต่มันก็สายไปแล้ว ไม่มีเครื่องย้อนเวลาและไม่สามารถหยุดเวลาไว้แค่นี้ และเวลานี้เธอดันเป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ลูกสาวของแม่อีกต่อไป

“ตอนนี้แม่ชีทำใจได้บ้างหรือยังคะพวกหนูมาทำให้แม่ชีต้องเป็นทุกข์หรือเปล่า”

“ตั้งแต่แม่ชีได้บวชจิตใจก็สงบขึ้นมาก รู้สึกปลงตกกับชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์โลก ยึดติดไปก็เท่านั้นไม่มีประโยชน์ว่าแต่พวกหนูเป็นเพื่อนที่ไหนของลี่กันล่ะ”

“เพื่อนที่มหาลัยค่ะแม่ชี”

“สนิทกับลี่มากไหม”

“พวกเรา..สนิทกันมาก”

นิลนราพยายามสะกดอารมณ์หวั่นไหวบังคับสุ่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจสั่นสะเทือนวูบไหวอยากร้องไห้เหลือเกิน รอยยิ้มเย็นของแม่ชีแย้มกว้างยินดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนสนิทของลูกสาวแม้แต่เสียชีวิตไปแล้วยังมีคนนึกถึงและเยี่ยมเยือนผู้เป็นมารดา นับว่าลูกสาวของตนคงเป็นเด็กที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีคนหนึ่งทีเดียว

“พอจะเล่าให้แม่ชีฟังบ้างได้ไหมว่าลี่เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เป็นอย่างไรบ้าง”

หญิงสาวกระตุกยิ้มน้อยๆมุมปาก นี่คงเป็นโอกาสทองสำหรับเธอ จะได้พูดคุยกับมารดาเต็มที่และยาวนานนิลนราขยับกายลุกขึ้น เลื่อนนั่งด้านข้างแม่ชีโดยไม่ปล่อยให้มือหลุดจากกันเธอเล่าเรื่องราวในอดีตจากความทรงจำของลี่ให้มารดาฟังตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนได้ทำงาน

ลวิตาหรือลี่เป็นหญิงสาวร่าเริง เฮฮา รักเพื่อนฝูง เธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองจึงไม่แปลกหากใครได้เข้าใกล้จะรู้สึกหลงรักในความเป็นตัวเองของเธอแต่ในข้อด้อยก็มีไม่แพ้ข้อดี ในความใจร้อนใจแข็งจนบางครั้งดูเป็นคนเย็นชาบ้างบางจังหวะของชีวิต

ภาพแห่งความประทับใจเบื้องหน้าคือแม่ลูกพูดคุยกันสนุกสนานวิภานีรู้สึกปลื้มใจที่ได้เห็นช่วงเวลาดีๆ ของเพื่อนมีรอยยิ้มถึงแม้จะเป็นยิ้มที่แสนทุกข์ตรม หากแต่มีความสุขทางใจลึกๆ ที่ฉายออกจากแววตาเศร้าคู่นั้นระหว่างที่ยืนมองเพื่อนอยู่นั้น โทรศัพท์ในระบบสั่นสะเทือนดิ้นเตือนให้รับสายมือบางล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารจากกระเป๋าเป้ด้านหลังพร้อมรับสายผู้โทรเข้าที่แสดงชื่อ‘พี่ไตร’

“ว่าไงพี่ มีอะไรกับวิ”

‘นิลอยู่กับวิหรือเปล่าแล้วถึงเชียงใหม่หรือยัง ทำไมนิลไม่โทรกลับมาหาพี่’

วิภานีใจหายวูบ ลืมคำสั่งเสียของสามีเพื่อนไปเสียสนิท เขาเตือนเธอให้ช่วยย้ำนิลนราหากถึงที่หมายให้รีบโทรบอกเขาทันที ลางสังหรณ์ของไตรภาคินไม่ผิดคาดภรรยาของเขาไม่ติดต่อกลับไปจริงๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเขาจึงต้องเป็นฝ่ายติดต่อมาถามไถ่เองเพื่อคลายความกังวลใจ

“พี่ไตร!วิลืมเตือนยัยนิล อย่าโกรธวิเลยนะ นะ ยัยนิลก็คงลืมด้วยเหมือนกัน”

‘แล้วนิลไปไหนพี่โทรไปไม่เห็นรับสาย’

“เอ่อ..นิล.. ไอ้นิลเดินไปเข้าห้องน้ำ กระเป๋าไม่ได้เอาติดตัวไปเลยไม่เห็นว่าพี่ไตรโทรมามั้ง เอาน่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก นิลกับวิดูแลตัวเองได้สบายมากวางใจได้แล้ว”

‘แค่รู้ว่าถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพก็โล่งใจแล้วล่ะฝากบอกนิลให้โทรกลับหาพี่ด้วย’

“โอเค.. คราวนี้วิจะไม่ลืมเตือนยัยนิลเด็ดขาด”

โทรศัพท์ถูกกดวางสายเมื่อการสนทนาผ่านคลื่นสัญญาณจบสิ้นลงวิภานีเลื่อนสายตามองยังคู่สองแม่ลูกอีกครั้ง พลางเอาโทรศัพท์มือถือเกือบเข้าไว้ยังตำแหน่งเดิม

“หนูรู้ไหมได้พูดคุยกับหนู ทำให้แม่ชีคิดถึงลี่มาก หากลี่ยังอยู่ป่านนี้คงจะได้มาพูดคุยกับหนูสนุกไปแล้วนะ”

“แม่ชีคงคิดถึงลี่มากๆอย่างนั้นใช่ไหมคะ”

“...”สายตาเหม่อมองยังจุดสนใจเดียว คลี่ยิ้มอ่อน พยักหน้าเบาๆ น้ำตาเอ่อซึมขอบตานิลนราจุกเจ็บที่อกด้านซ้ายราวกับหัวใจกำลังแตกสลายเป็นจุลมือบอบบางเอื้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อจับใส่มืออบอุ่นแม่ชีคงคิดถึงลี่มากเหมือนที่เธอคิดถึงมารดาเช่นกัน

“ลี่ทำบุญมาน้อยจึงจากพวกเราไปรวดเร็วอย่างนี้”

“แม่ชีคะ..หนูขอกอดแม่ชีได้ไหมคะ อยู่ดีๆ หนูเกิดคิดถึงแม่ขึ้นมา”

“เอาสิ..แม่ชีก็อยากรู้สึกว่าได้กอดลูกสาวอีกสักครั้ง”

น้ำตารินล้นขอบตาตื้นตันใจ สองมือคว้าโอบกอดร่างกายของแม่ชีไว้เต็มวงแขนนานเหลือเกินกับสัมผัสอบอุ่นเช่นนี้ สัมผัสที่ติดตามหาจนเจอสัมผัสแห่งความรักความคิดถึง น้ำใสๆ หยดไหลจากขอบตารดลงแก้มอ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเก็บความอิ่มสุข เติมเต็มให้หัวใจที่อ่อนล้ามีแรงสู้ต่อไป

‘แม่..ลี่คิดถึงแม่ ลี่รักแม่ อภัยให้ลี่ด้วยนะ ที่ลี่บอกความจริงไม่ได้ว่าลี่อยู่ตรงนี้ลี่ขอโทษ..’ คำต่างๆ หลั่งไหลพร่างพรู หากแต่ระบายออกได้แค่ในใจ

วิภานีถึงกับยืนน้ำตาซึมเมื่อภาพเบื้องหน้าพาเธอเจ็บปวดรวดร้าวตามไปด้วยอานุภาพแห่งความรักถึงแม้จะเจ็บปวดกับการไม่สมหวัง แต่บางครั้งความสุขที่ได้รับยิ่งใหญ่เสมอแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม วิภานียกมือปาดน้ำตาไม่ปล่อยให้หลั่งไหล จิตใจอ่อนแอเกินไปที่จะยืนมองภาพแห่งความซาบซึ้งแสนเศร้าเธอจึงปล่อยให้นิลนราได้อยู่กันตามลำพังกับแม่ชีสักพัก

เมื่อเวลาแห่งความสุขจบลงการติดตามค้นหามารดาบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิต ถือว่าบรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจเดินทางมาไกลถึงเชียงใหม่หากมีโอกาสหรือเรื่องต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น นิลนราตั้งมั่นไว้กับตนเองว่าสักวันเธอจะกลับมารับมารดาของเธอไปเลี้ยงดูทดแทนบุญคุณให้จงได้

“แม่ชีพวกหนูกลับก่อนนะคะต้องเดินทางกลับไปที่สนามบินให้ทัน ไม่งั้นคงไม่ได้กลับกรุงเทพแน่ๆ ค่ะ”

“ไว้ว่างๆก็มาเที่ยวกันใหม่นะหนู ขอบใจมากที่ยังนึกถึงแม่ชี ตามมาเยี่ยมไกลถึงนี่”

“คะแล้วถ้าพวกหนูว่างเมื่อไหร่จะมาหาแม่ชีนะคะ”

“ลาเลยนะคะ”

วิภานีกล่าวคำอำลาพร้อมยกมือไหว้พนมอย่างลืมตัวว่าแม่ชีไม่สามารถมองเห็นภาพต่างๆได้ ขอบตาแดงก่ำ น้ำตาซึมไหลตลอดเวลาบนใบหน้านวลเนียนนิลนราก้มกอดแม่ชีอีกครั้งเป็นการกล่าวคำอำลาแบบภาษากายครั้งสุดท้าย

ทั้งสองเพื่อนซี้พากันเดินตามทางมุ่งหน้าสู่รถรับจ้างที่รอบริการนิลนราหันมองแม่ชีที่ยืนคอยส่งพวกเธอค่อยๆ ไกลห่างออกไปทุกทีๆความรู้สึกเจ็บปวดแทรกซึมทุกส่วนของร่างกาย อ่อนล้าจนจิตใจแทบแตกสลายทว่าในความรู้สึกย่ำแย่ที่ถาโถมกับมีความอบอุ่นและความสุขลึกๆ รอยยิ้มคลี่น้อยๆยกหลังมือปาดน้ำตาออก แต่ยิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหลราวกับท่อประปารั่วเริ่มไม่แน่ใจกับความคิดที่ตามหาตัวตนแท้จริงว่าสมควรหรือไม่ที่ต้องยอมรับความเจ็บปวดวิภานีโอบไหล่ปลอบใจคงไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาได้ดีที่สุดเท่าความรู้สึกห่วงใยและส่งเป็นกำลังใจให้เธอ

“เราเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่มาเชียงใหม่วันนี้เราทำถูกหรือเปล่า ได้รู้ได้เห็นว่าแม่ต้องเจ็บปวด ใจเราก็เจ็บปวดไปด้วยครอบครัวของนิลก็ต้องเจ็บปวดถ้ารู้ความจริงว่านิลคือเรา วิ.. เราต้องทำไงต่อไปเราต้องเดินหน้าหรือเราต้องยอมรับชีวิตของนิลนรา เราควรทำยังไงดี”

จากผู้หญิงหนึ่งคนที่เคยเข้มแข็งเวลานี้เธออยากยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เล่นตลกกับเธอจนสับสนและทุกข์ทนแม้ร่างกายจะสลายแต่เธอยังคงมีจิตวิญญาณและถูกกักขังในร่างกายผู้อื่นน้ำตาหลั่งไหลเป็นสาย ร่างกายสั่นระริก ยืนปิดหน้าร่ำไห้วิภานีคว้าร่างบางมาโอบกอด ตบหลังปลอบประโลม

“แกอย่าเพิ่งยอมแพ้สิ ยังมีฉันอยู่ตรงนี้ พวกเราค่อยๆ หาทางแก้ไขไปทีละนิดก็ได้นิหากต้องยอมรับความจริงว่าแกคือนิล แกก็ต้องสู้ต่อไปหรือแกจะค้นหาอดีตฉันก็จะช่วยแก แกต้องไม่ยอมแพ้นะไอ้นิล ฉันรู้ว่าแกเป็นคนเข้มแข็งหนักแน่น นิลเพื่อนฉันต้องไม่ยอมแพ้กับเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ตกลงไหม”

วิภานีเม้มปากเน้นกลั้นสะอื้นไม่ให้ร้องไห้ตามหญิงสาวในอ้อมกอดอีกคนร่างสองร่างโอบกอดกันอยู่หน้าทางเข้าของวัด น้ำเสียงสะอึกสะอื้นอ่อนลงเมื่อได้รับกำลังใจท่วมท้นที่ส่งผ่านจากอ้อมแขนวิภานีผละร่างออกจากเพื่อนสาวโอบไหล่และดึงให้เธอเดินต่อเพื่อเดินทางกลับระหว่างหันกลับต้องหยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหันเนื่องจากรถยนต์ที่วิ่งตรงมาอย่างรวดเร็วไร้สุ่มเสียงเบรคล้อตายตรงหน้าสองสาวเพื่อนซี้

“จะบ้าหรือไงขับรถไม่ดูตามาตาเรือคนตัวเบ้อเริ้มยืนอยู่ตรงนี้”

วิภานีตะโกนโวยวายมีแสดงความโมโหโกรธเคืองที่เจ้าของรถคันนั้นเหมือนแกล้งทำให้พวกเธอใจหายใจคว่ำสายตาขวางภายใต้แว่นแฟชั่นตวัดมองตามยานพาหนะที่เคลื่อนย้ายหันหน้ารถหลีกหนีสองสาวและขับเหลียวเข้าด้านในวัดโดยไม่คิดจะลดกระจกติดฟิลม์ดำสนิทกล่าวคำขอโทษแต่อย่างใด

“นึกว่ารวยมีรถโก้หรูขับ แล้วจะมีแต่คนสรรเสริญนะไอ้บ้าเอ้ย!”

เสียงต่อว่าต่อขานไล่ตามหลังรถคันดังกล่าวจนหายลับสายตานิลนราหันตามสายตาดุเดือดของเพื่อนที่กำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟมือจับบีบและดึงวิภานีให้ก้าวต่อไป

“ช่างเหอะวิพวกเราก็ผิดที่มายืนร้องไห้กันอยู่ตรงนี้ ดีเท่าไหร่แล้วที่รถคันนั้นไม่ชนพวกเรากระเด็นจนพ้นทางถนน”

“จะบ้าเหรอนิลถนนออกจะกว้างทำไมต้องจงใจขับมาตรงที่พวกเรายืนฉันว่าไอ้บ้านั้นมันต้องแกล้งพวกเราแน่ๆ”

“เอาเถอะน่าเรากลับกันดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันเครื่อง”

“น่าโมโหจริงๆเจอพวกเห็นแก่ตัว!”

เสียงบ่นอุบไปตลอดทางที่กำลังเดินกลับไปขึ้นรถยนต์บริการที่มีพนักงานคนขับยืนส่งยิ้ม เตรียมพร้อมออกรถเดินทางกลับยังสนามบินเชียงใหม่อีกครั้ง

รถยนต์คันงามสีขาว BMW Series5 ถูกไรฝุ่นสีส้มเกาะตามช่วงล่างของรถบ่งบอกถึงสภาพการเดินทางไกลหยุดสนิทหน้าศาลาที่พักปฎิบัติธรรม แม่ชียังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตรงด้านหน้าศาลาไม่มีขยับกายไปไหนประตูรถเปิดออกพร้อมร่างสูงก้าวลงมายืนบนพื้นดินรองเท้าหนังชั้นดีสีน้ำเงินเข้มถูกปกคลุมด้วยกางเกงยีนส์ดำสนิทสีเดียวกับเสื้อเชิ้ตปล่อยชายหลุดรุ่ยมือยกขึ้นถอดแว่นดำออกปรากฎดวงตาคมโตภายใต้เส้นคิ้วเข้มรับกับผมทรงรากไทรยาวปะต้นคอ

“วรรตหรือลูก”

แม่ชีสามารถเดาได้แม่นยำถึงแม้จะมองไม่เห็นเนื่องจากคนรักของลูกสาวไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนบ่อยครั้งหากนับถูกก็คงจะมีแต่เขาที่คอยวนเวียนดูแลแม่ชีไม่เคยห่างหายไปไหนเสมือนเป็นมารดาของเขาอีกคน

“ครับ..แม่ชีมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

ชายหนุ่มถามไถ่ทักทายพลางสาวเท้ายาวเดินเข้าประคองแม่ชีให้นั่งลงยังม้านั่งตัวยาวหน้าศาลาที่อยู่อาศัย

“แม่ชียืนส่งหนูสองคนที่เดินทางมาจากกรุงเทพเพื่อแวะมาเยี่ยม”

ร่างสองร่างที่ยืนกอดกันกลมขวางถนนพาเขาหงุดหงิดใจเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาแว้บขึ้นมาในหัวสมองอีกครั้งรอยยิ้มแสยะพร้อมเสียงหึในลำคอเบาเอ่ยขึ้น

“ยัยบ้าสองคนเมื่อกี้แน่ๆ”

“ว่าอะไรนะวรรต”

“อ่อพอดีเมื่อกี้มีผู้หญิงสองคนยืนขวางทางรถผมอยู่หน้าวัด ดีนะเบรกทันไม่ชนเขาให้”

“วรรตเจอหนูสองคนนั้นด้วยหรือรู้ไหมมีคนหนึ่งในนั้นทำให้แม่คิดถึงลี่”

หัวใจกระตุกวูบรอยยิ้มเยาะเมื่อครู่หุบลงรวดเร็ว สายตาเลื่อนมองใบหน้าแม่ชีที่แย้มยิ้มเย็นเมื่อพูดถึงหญิงสาวสองคนที่มาหามองอย่างไรรอยยิ้มนั่นก็ดูยินดีและมีความสุขเมื่อได้นึกถึงใครบางคน

“แม่ชีว่าอะไรนะครับ”

“หญิงสาวที่มาเยี่ยมแม่ชีเป็นเพื่อนสนิทของลี่ เคยเรียนมาด้วยกัน พอรู้ข่าวว่าลี่เสียก็เดินทางมากราบแม่ชีฝีเท้า คำพูดจา ช่างเหมือนลี่เสียจนแม่ชีคิดว่าได้เจอลี่อีกครั้ง”


          มีต่อด้านล่างค่ะ 




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2556 9:56:16 น.
Counter : 298 Pageviews.

1 comments
  
จิตใจสะเทือนไหวรุนแรงเมื่อได้ฟังเรื่องราว ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพื่อนสนิทของลี่ทุกคนเขารู้จักเป็นอย่างดี แต่ทว่าสองคนเมื่อกี้ไม่เคยแม้แต่ผ่านสายตา แม่ชีคงคิดถึงลี่มากไปเลยทำให้เข้าใจว่าคนอื่นเป็นลูกสาว และเป็นหญิงสาวคนรักของเขา ชายหนุ่มได้แต่ครุ่นคิดไตร่ตรอง คงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าที่ใครสองคนจะมีลักษณะคล้ายกัน

“แม่ชีคงคิดถึงลี่มากไปนะครับ”

“นั่นสินะ”

คำพูดกลั้วยิ้มส่งให้ ทำเอาชายหนุ่มค่อยโล่งใจ ดูท่าทางแม่ชีจะทำใจและเก็บความเสียใจไว้เป็นอย่างดี หากแต่ในใจเป็นแผลเหวอะหวะเพียงใดคงไม่มีใครได้รู้นอกจากตนเอง ดังเช่นเขา ร่วมสองเดือนแล้วไม่มีแม้สักนาทีที่เขาจะลืมภาพคนรักไปจากจิตใจ การพูดจากครั้งสุดท้ายยังคงฝั่งจำในความรู้สึกเพราะเขาเองที่ผิด โทรศัพท์สื่อสารกับเธอระหว่างที่เธอกำลังเดินทางกลับยังที่พักอาศัย ทำให้เธอประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ความรู้สึกผิดครั้งนั้นยังคงตอกย้ำซ้ำเติมในใจตลอดมา


“ไอ้นิล แกอย่าลืมนะ ถึงแกจะไม่ใช่นิลคนเดิม แต่ทุกคนรอบข้างไม่มีใครรับรู้ไปกับแกด้วย ฉันขอร้อง แกอย่าทำลายความรู้สึกของพี่ไตรและน้องไหมได้ไหม ฉันขอแค่นี้จากแก สัญญากับฉันสิไอ้นิล”



รถแท็กซี่บริการขับทยานเข้าหมู่บ้านจัดสรร มุ่งหน้าสู่บ้านบิดามารดาของนิลนราหลังจากเดินทางกลับจากเชียงใหม่ เครื่องบินเทียบพื้นดินได้เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

“อืม.. ฉันจะระลึกเสมอว่าฉันต้องแคร์คนสำคัญของนิล ถึงแม้มันจะขัดใจบ้างบางครั้ง”

“ขอบใจนะแก”

รอยยิ้มส่งหากัน รถแท็กซี่หยุดจอดยังหน้าบ้านแฝด สองสาวหยิบสัมภาระข้าวลองก้าวลงจากรถเมื่อจ่ายค่าโดยสารเป็นที่เรียบร้อย

“แม่นิลมาแล้ว!”

หม่อนไหมส่งเสียงดีอกดีใจวิ่งจากประตูบ้าน มายังรั้วหน้าบ้าน เมื่อเด็กน้อยร้อนรนและรอคอยมาร่วมวันที่จะเจอแม่นิลของเธอ โดยมียายก้าวตามคอยดูแลมาติดๆ เด็กหญิงตัวน้อยกระโดดตบมือตื่นเต้น แย้มยิ้มเบิกบาน ดวงตากลมโตจ้องมองหญิงสาวสองคนที่กำลังเปิดประตูรั้วเข้ามา

“ว่าไงคะ น้องไหม”

“แม่นิลคะ”

คนตัวเล็กวิ่งโอบกอดแข้งขา พยายามดึงรั้งเสื้อผ้ามารดาจนต้องส่งกระเป๋าให้เพื่อนสนิทถือไว้แทน นิลนราย่อกายโอบอุ้มเด็กหญิงที่แทบจะอุ้มไม่ไหว อีกไม่กี่ปีหม่อนไหมคงจะสูงทันตามแม่นิลของเธอ มือเล็กๆ โอบรอบคอพร้อมหอมสัมผัสแก้มมารดาฟอดใหญ่ ทำเอาหญิงสาวถึงกับเขินอาย ร้อนวูบวาบบนใบหน้า ความรู้สึกของความเป็นแม่คนคงเป็นอย่างนี้นี่เองเวลาที่ได้รับความรักจากลูกในไส้

“แม่ สวัสดีค่ะ วิมีขนมมาฝากแม่กับพ่อ แล้วก็หม่อนไหมเยอะเลย”

วิภานีทักทายพร้อมยกมือที่ถือของพะรุงพะรังไหว้มารดาของเพื่อนสนิท ที่รับไหว้พร้อมส่งยิ้มทักทายกลับ

“เข้าบ้านก่อนสิวิ นิลพาหม่อนไหมเข้าบ้านก่อน เดี๋ยวไตรเลิกงานคงมารับกลับบ้าน เห็นว่าจะพาไปนอนบ้านใหญ่ ย่าคงคิดถึงหลานน่าดู”

ชื่อกระตุกจิตใจ นิลนราลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับสามีแปลกหน้า โทรศัพท์ที่เขาเคยสั่งนักหนาให้โทรกลับอย่างด่วนที่สุด นิลนราหันหน้าหาวิภานีที่ยักไหล่ ยกคิ้ว แสดงท่าทางคงช่วยเหลืออะไรไม่ได้ หากเธอจะโดนสามีต่อว่าเนื่องจากความเป็นห่วงและกังวลใจตลอดหลายชั่วโมงที่ไม่มีการติดต่อกลับเลยสักครั้ง คราวนี้เธอคงต้องหาข้อแก้ตัวเพื่อช่วยเหลือตนเอง


เสียงเครื่องยนต์จอดนิ่งหน้าประตูรั้ว พาสายตาทุกคู่ที่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าภายในบ้านหันตามเป็นตาเดียว หญิงสาวที่รู้ตัวว่าผิดเต็มเปาเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา พยายามหลบสายตาที่จ้องมองมาระหว่างเดินเข้ามายืนเบื้องหน้า

“เพิ่งมาถึงกันเหรอนิล”

“ค่ะ”

“ทำไมคุณไม่ติดต่อผมเลยล่ะ รู้ไหมผมเป็นห่วงทั้งวัน”

“เอ่อ.. ฉัน..”

“พ่อไตรคะ เข้าบ้านกันเถอะนะคะ หม่อนไหมอยากกินขนมที่น้าวิซื้อมาให้แล้วค่ะ”

หม่อนไหมตัดบทด้วยความไร้เดียงสา เด็กหญิงตัวน้อยไม่เข้าใจเลยว่าผู้ใหญ่ทั้งหลายกำลังอยู่ในอารมณ์มาคุหลากหลายอย่างแผ่รังสีอำมหิต แต่สำหรับบางคนกลับเป็นน้ำเสียงสวรรค์ช่วยเหลือไม่ให้เธอถูกคาดคั้นคำตอบในช่วงเวลาที่ยังคิดเหตุผลไม่ออกว่าควรแก้ตัวอย่างไร

ไตรภาคินถอนใจหนัก ละสายตาจากภรรยาก้าวเดินตามทุกคนเข้าบ้าน ปล่อยให้นิลนรายืนใจเต้น กอดหม่อนไหมด้วยความรู้สึกอึดอัดกดดัน ก่อนก้าวเดินตามเข้าบ้านเช่นกัน
โดย: มาโซคิส วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:9:56:51 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments