มีนาคม 2556

 
 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
ห้วงพันธนาการ บทที่ 23

Chapter 23

ชายหนุ่มและหญิงสาวพากันเดินเคียงคู่ตามลานดินโล่งกว้างมองเห็นต้นหญ้าขึ้นแซมอยู่ประปรายกับความแตกต่างระหว่างส่วนสูงที่เหลื่อมล้ำ เขาดูดีด้วยรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนเธอยืนเต็มที่ได้แค่ระดับต้นคอของเขาบรรยากาศรอบบริเวณสงบเงียบและร่มรื่น แต่ทั้งหมดไม่ได้ช่วยให้คนทั้งคู่เริ่มต้นสนทนาต่างฝ่ายต่างเกิดคำถามในใจและรอทีท่าว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเท่านั้นภายุวรรตทบทวนความคิดหลายอย่าง จากสัมผัสคุ้นเคยทำให้เขาหลงเข้าใจว่านิลนราคล้ายคนรักที่จากไปหากแต่วันนี้กลับทำให้เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอที่ยืนด้านข้างคือคนรักของเขาจริงๆ

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ไม่เดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น”

“แล้วคุณล่ะคะทำไมไม่ไป”

“ผมไม่อยากไปแล้วอีกอย่าง มีใครบางคนคะยั้นคะยอให้ผมมาที่นี่ ผมเลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมแม่ชี”

“ใครกันคะที่ทำให้คุณมายืนอยู่ตรงนี้ได้”

“อิฐ..”

“อิทธิพลเหรอคะ”ภายุวรรตพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เธอถามเพื่อความแน่ใจ

“เมื่อคืนก่อนผมไม่รู้ทำไมอิฐถึงอยากให้ผมมาที่นี่แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว”

นิลนราหันสายตามองยังใบหน้าคมคายแปลกใจในสิ่งที่เขาบอกกล่าว นี่คงเป็นเหตุผลแท้จริงที่อิทธิพลปฏิเสธจะเดินทางมาพร้อมกับเธอ

“นายอิฐนี่ร้ายกาจมากปล่อยให้ลี่.. เอ่อ.. ปล่อยให้ฉันเดินทางมาคนเดียว ทิ้งกันได้ลงคอ”

“อิฐรู้เรื่องที่คุณเป็นลี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่คุณจ้างวานให้วิวาดภาพให้ค่ะ”

“อืม..อิฐไม่เคยบอกผมมาก่อนว่าคุณคือลี่ จนคืนก่อนเจ้านั่นลากให้ผมออกไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแล้วสารภาพทุกอย่างว่าคุณคือใคร และบอกให้ผมเชื่อในสิ่งที่คุณอธิบาย”

“แต่คุณก็ไม่เชื่อใช่หรือเปล่าคะ”

“ถ้าบอกว่าตอนนี้ผมเชื่ออย่างสนิทใจคุณจะว่าไง..”

นิลนรารู้สึกจุกในอกจนแทบหายใจไม่ออกบทจะเชื่อก็ง่ายเสียจนไม่ต้องออกแรงพูดจาให้เหนื่อยใจ ไม่ต้องเสียน้ำตามากมายเหมือนเช่นที่ผ่านมาแต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่มั่นใจเอาเสียเลย คือเขาจะรับสภาพเธอได้หรือไม่หากร่างกายยังคงเป็นของคนอื่นแบบนี้

“คงมีเพียงหัวใจที่ยืนยันได้ว่าฉันเป็นลี่ในตอนนี้แต่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของฉัน แล้วคุณจะรับฉันในสภาพนี้ได้ยังไงคะภายุผู้หญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจอยู่เพื่อคุณ แต่ร่างกายกลับมีห่วงทั้งลูกสาวและสามีของคนอื่นเหนี่ยวรั้งเอาไว้ฉันคงหลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้ไม่ได้ หรือแม้แต่คุณเองก็คงล้ำเส้นไม่ได้เหมือนกัน”

“หากจะบอกว่าครอบครัวของคุณคือกำแพงที่กั้นระหว่างเราสองคนเอาไว้มันคงไม่ผิด เราทั้งคู่คงจะทำลายกำแพงไม่ได้ แต่อยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมจะยืนอยู่ใกล้คุณระหว่างกำแพงสูงนั้นผมจะอยู่เคียงข้างหากคุณต้องการ และผมสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายต่อให้ยังรักลี่มากขนาดไหน ผมจะไม่ล้ำเส้นหรือข้ามกำแพงไปหาคุณ”

คำสัญญาที่ดูหนักแน่นจริงจังคล้ายสร้างขวัญกำลังใจหากแต่กลับทำให้จิตใจใครบางคนรวดร้าวแทบแตกเป็นเสี่ยงแววตาโศกจ้องสบกันพร้อมความเจ็บแปลบวิ่งซ่านผ่านหัวใจสองดวง ภายุวรรตเดินเข้าหาร่างบอบบางยกมือขึ้นทาบศีรษะเบาๆราวกับให้กำลังใจและปลอบประโลมนิลนรายืนก้มหน้าปากเม้มเป็นเส้นตรงพยายามควบคุมความหวั่นไหวไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอที่ใกล้ระเบิดเต็มทีฝ่ามือใหญ่นำออกจากศีรษะพลางก้าวเท้าเดินผ่านร่างบอบบางไป และชะงักฝีเท้าหยุดทำใจชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ค้างคาโดยไม่ได้หันกลับมามองเธอแต่อย่างใด

“ลี่..ผมคิดถึงคุณ”

สองเท้านำพาร่างกายเดินออกจากจุดนั้นไม่ใช่แค่เธอที่กำลังพยายามควบคุมความรู้สึก เขาเองก็ไม่ต่าง เพราะเวลานี้ต้องพยายามอย่างสาหัสเพื่อสะกดความอ่อนแอไว้ภายในหากแต่ยังเดินไม่ทันถึงไหนนิลนราพลิกกายกลับวิ่งคว้าร่างสูงเข้ามาโอบกอดไว้แนบแน่นแผ่นหลังกว้างถูกวงหน้าหวานซบซับไออุ่น น้ำตาที่พยายามกักเก็บเวลานี้ไหลรินท่วมแก้มเสียงสะอื้นแผ่วเบาพาร่างกายสั่นเทาจนออกอาการชัดเจนภายุวรรตได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งปล่อยให้เธอได้โอบเขาไว้อย่างนั้นตามแต่พอใจทั้งที่อยากหันกลับไปกอดเธอเหลือเกินแต่ต้องสะกดความรู้สึกเอาไว้แม้แต่หันกลับไปมองเขายังไม่กล้าที่จะทำ

กับคนที่รักอยู่ใกล้กันเพียงปลายนิ้วสัมผัสแต่คล้ายห่างไกลราวกับอยู่คนละโลก อ้อมแขนบอบบางกระชับวงแน่นขึ้นพร้อมน้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรูเป็นสายน้ำหมดแล้วซึ่งความอดทน ท้อแท้แล้วกับการต่อสู้โชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้ต้องเจ็บปวดใจเช่นนี้เวลาผ่านไปนานหลายสิบนาทีไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงนอกจากเสียงสะอื้นที่เปล่งดังอยู่ในลำคอลดน้อยลงคล้ายได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเป็นน้ำตาภายุวรรตเริ่มเห็นแววความสงบของหญิงสาวที่โอบร่างเขาไว้ไม่มีปล่อยมือแข็งแรงจับกุมแขนที่กอดเอวเขาไว้และค่อยๆ ดึงออกจนหลุดพ้นพันธนาการในที่สุด

“ผมจะอยู่ข้างๆคุณตลอดไป”

สิ้นเสียงพูดจาภายุวรรตกำมือแน่นทำแข็งใจเดินจากไปทั้งที่ไม่หันหลังกลับมามองเธอที่ยืนก้มหน้านิ่งและเป็นอีกครั้งที่น้ำตาเริ่มหลั่งริน เจ็บจนพูดไม่ออกสักคำในใจได้แต่ร้องตะโกนบอกกับเขาว่า.. อย่าไป..

ตลอดช่วงเย็นที่ผ่านมาไม่มีใครพูดสิ่งใดราวกับไม่เคยมีเรื่องเจ็บปวดใจเกิดขึ้นนิลนราคอยเฝ้าดูแลใกล้ชิดแม่ชีไม่ยอมห่างไปไหน ทั้งจูงเดินเล่นรอบบริเวณศาลาที่พักหาข้าวปลาอาหารให้รับประทาน อยากทดแทนความกตัญญูในสิ่งที่เธอไม่เคยได้ตอบแทนให้ท่านเลยตั้งแต่จากไปแม้เหลือเวลาเพียงน้อยนิดเธอคงพยายามเก็บรักษาความทรงจำและกอบโกยความสุขเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“มืดค่ำแล้วหนูนิลไปพักผ่อนที่เรือนไม้เถอะลูกแม่ชีมีนงค์อยู่เป็นเพื่อน ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ให้หนูดูแลแม่ชีนะคะหนูจะนอนเฝ้าแม่ชีที่นี่”

“ไม่ได้นะหนูนิลเป็นแขกของแม่ชีทั้งทีจะให้มานอนตากยุงได้อย่างไรกัน เอาเป็นว่าแม่ชีขอร้องกลับไปนอนหลับให้สบายที่เรือนไม้นะลูก”

“แม่ชีครับผมจะมาลากลับกรุงเทพ”

“อะไรกันวรรตมายังไม่ทันข้ามคืนจะกลับเสียแล้ว ไม่ได้นะ นอนค้างพักผ่อนสักคืนค่อยออกเดินทางพรุ่งนี้ก็ยังดี หรือไม่ก็รอกลับพร้อมหนูนิล แม่ชีจะได้หมดห่วงผู้หญิงตัวคนเดียวเดินทางไกลอันตรายเกินไป”

ทั้งสองชายหญิงในวงสนทนาหันมองหน้ากันเลิกลั่กไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีของแม่ชีที่หยิบยื่นให้ เมื่ออยู่ดูแลแม่ชีอีกครู่ใหญ่ทั้งภายุวรรตและนิลนราต่างพากันเดินตามคนดูแลแม่ชีไปยังเรือนไม้หลังเก่าแก่แต่คงไว้ซึ่งความงดงามและความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน

“พ่อหนุ่มเคยมานอนพักบ่อยๆเลือกที่นอนได้ตามสบายเลยนะ ส่วนแม่หนูคงไม่รังเกียจหากป้าจะเปิดห้องลูกสาวแม่ชีให้พักผ่อนนอนหลับให้สบายกันนะป้านงค์ขอตัวไปดูแลแม่ชีต่อ”

“ขอบคุณมากครับป้านงค์”

“ขอบคุณนะคะป้า”

หญิงวัยกลางคนเดินจากไปปล่อยให้ทั้งสองยืนมองหน้ากันและหลุดยิ้มราวกับมีเรื่องขำขันในใจที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าคืออะไร

“ไหนว่าจะกลับกรุงเทพไงตอนนี้แม่ชีไม่อยู่ห้ามแล้วกลับเลยสิ”

นิลนราทำลอยหน้าลอยตา คว้ากระเป๋าเดินทางจากมือชายหนุ่มมาถือไว้และเดินนำมันวางลงบนเก้าอี้ไม้ด้านข้างซิบถูกรูดเปิดพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นวางบนโต๊ะ

“แล้วเมื่อกี้ใครว่าจะนอนกับแม่ชีกลับไปตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ จะได้เลิกกวนประสาทผมซักที”

“จะมากไปแล้วนะภายุใครไปกวนประสาทคุณไม่ทราบ”

ภายุวรรตหลุดขำก่อนเดินหลบออกมายืนอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านสูดอากาศยามค่ำคืนเก็บเกี่ยวความสดชื่นของธรรมชาติไว้เต็มปอดสัมผัสเย็นสบายของลมโชยเอื่อย เสียงแมลงตัวน้อยที่ร้องส่งดังต่อกันเป็นทอดราวกับมันกำลังร้องเพลงสนุกสนานนิลนราก้าวเดินตามและหยุดยืนด้านข้างคนตัวสูง สายตาทอดมองออกไปยังรอบบริเวณ ไม่พบสิ่งใดนอกเสียจากความมืดมิดที่ปกคลุมเต็มพื้นที่

“เราเคยมายืนอยู่ด้วยกันตรงนี้และแบบนี้ คุณจำได้ไหมลี่”

“ค่ะจำได้ มันนานมากแล้วนะ ห้าหกปีแล้วมั้ง คุณยังไม่ลืมมันอีกเหรอคะภายุ”

“คุณลืมลงว่างั้น”

“เปล่า..ก็แค่เห็นว่านานแล้ว ไม่คิดว่าคุณยังจำได้”

“ผมจำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะนานแค่ไหน หากที่ตรงนั้นมีคุณกับผมอยู่ด้วยกัน แบบวันนี้”

“...”เสียงหัวใจเต้นรัวและเร็วไม่เป็นจังหวะ ไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจรายละเอียดได้มากมายเท่านี้นิลนราหันมองร่างสูงด้านข้างที่ขยับเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าคมคายค่อยๆโน้มลงต่ำทำให้จิตใจสั่นระรัวเต้นตึกตักรุนแรงจนต้องควบคุมมันเอาไว้เปลือกตาสองข้างค่อยๆ ปิดลงไม่อยากรับรู้ว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใด

“อยู่นิ่งๆมีแมงมุมไต่อยู่บนไหล่ของคุณ”

ดวงตาเบิกกว้างกะทันหันยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้เป็นหิน เสียงจะกรีดร้องออกมายังไม่มีไม่ถูกชะตาเอาเสียเลยกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกหลายขาเช่นนี้ ภายุวรรตค่อยๆนำมือปัดไล่มันออกจากไหล่บอบบางทั้งขำทั้งสงสารปนเปกันไป อยากแกล้งให้เธอผวาเล่นแต่ก็กลัวเธอจะช็อคตายเสียก่อนจะได้หลับพักผ่อนในค่ำคืนนี้

“เอามันออกไปเร็วๆสิ”

น้ำเสียงลุกลี้ลุกลนพาคนได้ยินอดขำไม่ได้เจ้าแมงมุมแปดขาถูกจับโยนลงพื้นก่อนมันจะวิ่งหายไปยังมุมใดมุมหนึ่งของบ้านภายุวรรตจ้องมองคนหวาดกลัวพร้อมยกมือขยี้ผมเส้นเล็กเบาๆ

“ยังกลัวมันไม่เลิกหรือไงนะ”

“มันไปแล้วใช่ไหม”

“อืม”

เสียงพ่นลมหายใจทางปากเฮือกใหญ่ราวกับโล่งอกที่รอดพ้นจากเจ้าแมงมุมน่ากลัวนิลนราได้แต่มองตามหลังคนตัวสูงที่เดินกลับเข้าด้านในบ้านเรือนไม้เขายังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับเธอ นิลนราล้วงสร้อยคอขึ้นมากุมไว้ในมือประกายเพชรส่องสะท้อนเมื่อต้องไฟแหวนที่เขาฝากถือดูแลไว้อยู่ใกล้กับหัวใจของเธอนี่เองมือบีบกำสิ่งของมีค่าไว้แน่นก่อนจะนำมันเก็บไว้ในเสื้อตามเดิม ร่างบอบบางค่อยๆย่างเดินตามชายหนุ่มเข้าไปเพื่อทำภารกิจส่วนตัวและนอนหลับพักผ่อน เริ่มหมดสิ้นแล้วพลังงานสำหรับวันนี้ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายเข้าห้อง ภายุวรรตเลือกห้องเดิมที่เขาเคยมาอาศัยอยู่บ่อยครั้งส่วนนิลนราได้นอนห้องที่เธอเคยเป็นเจ้าของเมื่อในอดีตสมใจ

เสียงเครื่องรถจักรยานยนต์ดังให้ได้ยินเมื่อจอดเทียบหน้าประตูรั้วบุรุษไปรษณีย์รอจ่ายพัสดุให้แก่เจ้าของชื่อที่นำจ่ายตามจ่าหน้าและรอลายเซ็นผู้รับของไตรภาคินส่งยิ้มและกล่าวขอบคุณเจ้าพนักงานเมื่อรับซองสีน้ำตาลมาถือครองไว้และมองตามรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวจากไปก่อนหันความสนใจมายังซองพัสดุในมือเกิดความสงสัยว่าใครเป็นผู้ส่งหาเขาและของด้านในคือสิ่งใด ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ตัดสินใจแกะหีบห่อที่บรรจุออกรูปถ่ายหญิงสาวคนคุ้นเคยยืนโอบกอดเอวจากด้านหลังของชายหนุ่มที่พอจำได้ว่าเคยเห็นผ่านสายตาจิตใจเจ็บแปลบกะทันหัน มือไม้สั่น ทว่าต้องการรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมมือแข็งแรงควานหาบางสิ่งที่เห็นติดอยู่ก้นซองพัสดุนั้น กระดาษโน้ตแผ่นเล็กถูกนำออกมาอ่านไม่รอช้า

‘เห็นหรือยังว่าเมียคนดีของตัวร้ายกาจขนาดไหน หลอกคนที่บ้านว่าไปเที่ยวกับบริษัทที่แท้ก็แอบไปต่างจังหวัดกับผู้ชายอื่นสองต่อสอง ตาสว่างซะทีนะพี่ไตรเค้าเตือนตัวด้วยความหวังดี ตรีชาดา..’

ไตรภาคินไม่รู้จุดประสงค์หลักของน้องสาวว่าเหตุใดต้องนำส่งพัสดุมาให้เขาทั้งที่เดินทางมาให้กับมือก็คงมีผลไม่ต่างกันหากแต่ทุกสิ่งที่สงสัยไม่ได้สำคัญมากไปกว่าอารมณ์ฉุนเชียวโกรธเคืองราวกับไฟกำลังแผดเผาจิตใจให้วอดวายมือกำบีบกระดาษโน้ตในมือจนยับยู่ยี่และไม่รอให้ค้างคาอีกต่อไป ไตรภาคินสาวเท้าเดินเข้าภายในบ้านหยิบโทรศัพท์มือถือต่อสายตรงยังบุคคลสำคัญทันที

“นิล..คุณอยู่ไหน” ไม่มีเสียงตอบกลับจากปลายทาง ทำให้อารมณ์เดือดพล่านทวีคูณ

“คุณไม่ได้ไปเที่ยวกับที่บริษัทตอนนี้คุณอยู่กับใคร แล้วไปที่ไหนกันแน่ ผมขอสั่งให้คุณกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ผมจะไปตามหาคุณถึงที่และเมื่อไหร่คุณถึงกรุงเทพ ผมจะเป็นคนพาคุณไปลาออกจากงานทันที”

ไตรภาคินกดตัดสายพร้อมเหวี่ยงเครื่องมือสื่อสารลงโซฟารับแขกคว้ากุญแจรถยนต์ที่อยู่ใกล้ๆ ก้าวพ้นจากที่พักอาศัยเพื่อเดินทางหาผู้สมรู้ร่วมคิดที่น่าจะรู้เห็นเป็นใจกับการปิดบังครั้งนี้ตั้งแต่นิลนราเดินทางไปต่างจังหวัดเขาและหม่อนไหมก็อพยพย้ายไปอาศัยอยู่กับแม่ยายเพื่อจะได้มีคนดูแลลูกสาวในช่วงที่เขาออกไปทำงานตามปกติประจำวันและวันนี้จำเป็นต้องแวะกลับบ้านมาเอาเสื้อผ้าบางส่วนไปให้หม่อนไหม จึงได้รับรู้ความจริงว่าภรรยาของตนจงใจหลอกลวงสามีตัวเองได้อย่างเลือดเย็น

รถยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดดั่งใจร้อนรนจนแทบทนต่อไปไม่ไหว ด้วยเวลาไม่กี่อึดใจรถคันดังกล่าวก็ทะยานมาหยุดสนิทยังหน้าห้องภาพของวิภานีไตรภาคินก้าวลงจากรถเดินต่ออย่างว่องไวเพื่อคลี่คลายปัญหาที่คับข้องใจเวลานี้ ประตูถูกเปิดพร้อมเสียงกระดิ่งดังเตือนมีผู้มาเยือนซองสีน้ำตาลถูกโยนลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเจ้าของสถานที่ ที่กำลังคร่ำเคร่งวาดภาพจนไม่ทันใส่ใจว่าใครเข้ามาถึงตัว

“อะไรพี่ไตร”

“เปิดดูแล้วจะรู้เอง”

วิภานีมองหน้าไตรภาคินอย่างงุนงงก่อนจะเอื้อมคว้าซองพัสดุขึ้นมาถือไว้และเปิดออกดูสิ่งของที่อยู่ภายใน ใจหายวูบเมื่อเห็นรูปถ่ายที่ดึงขึ้นมาไร้คำพูดจา ไม่มีแม้ข้อแก้ตัว เมื่อหลักฐานประจานต่อหน้าต่อตาชัดเจนวิภานีเลื่อนสายตามองชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านท่าทางดุดันราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อใครสักคน

“บอกพี่ได้หรือยังว่านิลกับวิรวมหัวกันหลอกพี่เรื่องอะไร”

“พี่ไตร..ใจเย็นสิ ฟังวิพูดก่อน”

“ยังต้องฟังอะไรอีกเห็นๆ อยู่ว่าวิช่วยเหลือนิลทรยศพี่”

“ไอ้นิลมันแค่ไมได้บอกความจริงว่ามันไปหาแม่ที่เชียงใหม่แต่เรื่องผู้ชายในรูปมันผิดคาดจริงๆ นะพี่ไตร มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดเขาสองคนไม่ได้นัดกันไว้ล่วงหน้า วิยืนยันได้”

“แค่นี้ยังทำร้ายพี่ไม่พออีกเหรอวิไม่ต้องกลัวพี่จะรับไม่ได้หรอกนะ เรื่องนิลมีคนอื่น บอกพี่มาตามตรงดีกว่าว่าความจริงเป็นยังไง”

“พี่ไตรฟังวินะพี่ต่างหากที่ควรยอมรับความจริงได้แล้ว ว่าไอ้นิลมันไม่ใช่ภรรยาพี่มันเป็นคนอื่นไปแล้ว”

วิภานีพยายามอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้ไตรภาคินเข้าใจอีกครั้งแม้จะเคยเกริ่นบอกหลายหนแล้วก็ตาม แต่ถึงจะพูดเท่าไหร่คนฟังทำเหมือนจะไม่ใส่ใจสิ่งที่เธอเอ่ยออกมาสักนิด

“พี่รู้ว่านิลไม่ใช่นิลและก็รู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใคร แต่พี่ไม่มีวันปล่อยให้เธอไปจากชีวิตพี่เด็ดขาด”

ไตรภาคินหันหลังเดินออกจากห้องภาพด้วยอารมณ์คุกรุ่นน้ำเสียงแข็งกร้าวเมื่อครู่พาวิภานีแทบหมดแรงยืน สาวมาดเซอร์ทรุดฮวบลงกับโซฟาหลังจากที่ไตรภาคินเดินพ้นประตูไปสายตาเลื่อนมองซองพัสดุบนโต๊ะเกิดคิดถึงเพื่อนสนิทขึ้นมาทันที จิตใจร้อนรนชั่งใจคิดอยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจได้ว่าควรติดต่อหานิลนราเพื่อให้รู้ถึงลางร้ายที่กำลังรอคอยให้เธอกลับมาพบเจอ

“นิลตอนนี้แกอยู่ไหน”

‘เรากำลังเก็บของกลับกรุงเทพวิคงรู้เรื่องจากคุณไตรแล้ว’

“นี่พี่ไตรโทรหาแกแล้วเหรอ”

‘อืม พักใหญ่แล้วล่ะ เขาคงโกรธมากที่เราโกหก’

“เพราะยัยตรีคนเดียว ฉันว่าหล่อนต้องจ้างนักสืบสะกดรอยถ่ายภาพพวกแกแล้วส่งให้พี่ไตรแน่ๆ ฉันกลุ้มใจนะนิล ทำไมเกิดเรื่องกับแกได้ไม่หยุดหย่อน แล้วจะทำยังไงต่อไป”

‘เราไม่รู้หรอกวิไว้กลับไปถึงกรุงเทพคงต้องเคลียร์กันให้จบ เราไม่อยากทนอยู่ในสภาพแบบนี้อีกแล้ว’

“แกจะทำยังไง เดินไปบอกขอหย่ากับพี่ไตรงั้นเหรอ ไม่มีทางที่เขาจะยอมเมื่อกี้เขาเพิ่งประกาศกับฉันว่าเขาไม่ยอมปล่อยแกไปง่ายๆ”

‘เดี๋ยวกลับไปถึงแล้วค่อยว่ากันนะวิเราจะออกเดินทางแล้ว’

“โอเค เดินทางปลอดภัยนะ กลับพร้อมคุณผู้บริหารใช่ไหม”

‘อืม’

“งั้นฉันก็หมดห่วง แล้วเจอกัน”

โทรศัพท์ส่วนตัวถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมวิภานีเดินเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว ก่อนจะออกเดินทางนำรูปถ่ายตัวการสำคัญที่สร้างความร้าวฉานในครอบครัวไปคืนยังเจ้าของที่นำมาให้เธอได้รับรู้


(มีต่อด้านล่างค่ะ)




Create Date : 31 มีนาคม 2556
Last Update : 31 มีนาคม 2556 0:51:03 น.
Counter : 694 Pageviews.

7 comments
  
การร่ำลากะทันหันสิ้นสุดเมื่อชายหญิงก้าวเดินขึ้นรถยนต์คันหรู แม้จะทำใจลำบากกับการต้องตัดใจพลัดพรากจากมารดาอีกครั้ง แต่คงต้องฝืนยอมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม่ชีไม่ได้ซักไซ้อะไรมากนักเกี่ยวกับเหตุผลที่เดินทางกลับอย่างเร่งด่วน หากแต่รอยยิ้มที่แย้มส่งและคำกล่าวให้พรก่อนจากของมารดา สามารถต่อชีวิตให้ลูกสาวมีแรงสู้กับเรื่องราวเลวร้ายต่อไป

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า กำหนดกลับพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องรีบกะทันหัน”

“คุณไตรรู้เรื่องแล้วค่ะ ว่าลี่โกหก”

“โกหก.. โกหกเรื่องอะไร”

“ลี่เคยบอกเขาว่ามาเที่ยวกับบริษัท และปิดบังเขาเพราะคงบอกว่ามาหาแม่แบบนี้ไม่ได้”

ภายุวรรตสงบนิ่งใช้ความคิดช่วยแก้ไขปัญหาที่คาดเดาไว้ว่าสาเหตุอาจเกิดจากเขาด้วยส่วนหนึ่ง เสียงถอนใจหนักอกดังเป็นระยะจากหญิงสาวด้านข้าง ตลอดสองวันที่ผ่านมาเขาได้เห็นวงหน้าหวานมีแต่ความสดใส แย้มยิ้มอวดความสุขระหว่างที่ได้อยู่กับมารดา เห็นจะมีก็แต่ช่วงสายของวันที่เธอดูผิดปกติไปราวกับมีเรื่องในใจ ตั้งแต่วางโทรศัพท์ส่วนตัวโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ จนได้รู้เรื่องเมื่อเธอบอกกล่าวให้ฟังเมื่อครู่

“ให้ผมช่วยพูดกับสามีของนิลไหม”

“อย่าเลยค่ะ ถ้าคุณไปอธิบาย ลี่ว่ามันจะเป็นเรื่องเป็นราวหนักกว่าเดิม”

“ถึงคุณไม่อยากให้ผมยุ่ง แต่ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะจากที่ผมรู้สึกปัญหานี้คงมีผมเกี่ยวด้วยไม่มากก็น้อย ว่าแต่.. เขารู้เรื่องที่คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง”

“ลี่ก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่รู้ว่าคุณไตรกำลังโกรธหนัก และวิก็อธิบายนิดหน่อยว่ามีคนแอบตามเรามาที่นี่และถ่ายรูปตอนลี่กอดคุณเมื่อสองวันที่แล้วส่งให้คุณไตร”

“มีใครรู้เรื่องที่คุณไม่ได้ไปกับที่บริษัทบ้าง”

“มีแค่วิและอิฐ แต่ถ้าจะให้เดา น่าจะเป็น...”

“ผมรู้แล้วว่าใครเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ กลับไปคงต้องจัดการให้สาสมกับสิ่งที่เธอทำ”

“อย่าไปว่าคุณตรีเลยค่ะ เธอคงทำไปเพราะความโกรธแค้นที่ลี่ทำให้เธอต้องออกจากงาน”

“ผมคงปล่อยไว้ไม่ได้”

ภายุวรรตรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลยกับการกระทำของคนที่คิดร้ายและผูกใจเจ็บแบบตรีชาดา เขาคงต้องหาทางจัดการกับเธอให้สิ้นฤทธิ์ก่อนที่ทุกอย่างจะหนักหนามากไปกว่านี้ แม้ความคิดเห็นของนิลนราจะต่อต้านก็ตาม ภายุวรรตเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วจนสัมผัสได้ ภายในใจเกิดความร้อนรนจนอยากเดินทางให้ถึงกรุงเทพโดยไว ไม่ต่างจากนิลนราที่นั่งอยู่ด้านข้างพยายามหาหนทางแก้ไขปัญหาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับไตรภาคินในอีกไม่กี่ชั่วโมงที่จะมาถึง


สาวมาดเซอร์ก้าวเท้าลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อซื้อเวลาในการเดินทางให้รวดเร็วหญิงสาวคนหนึ่งยอมเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อบนท้องถนน มายืนยังหน้าบ้านหลังคุ้นเคยเพื่อแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายให้เบาบางลงบ้าง วิภานีเปิดประตูรั้วก้าวเดินเข้าภายในที่พักอาศัยต้องการพบเจอเจ้าของบ้านโดยด่วน สายตาจ้องมองรถยนต์สองคันที่จอดต่อท้ายกัน เริ่มส่อแววไม่ดีให้เห็นเมื่อเธอจำได้ขึ้นใจว่ารถสปอร์ตคันหรูหราสีแดงสดเป็นของใคร

“ตัวมันโง่! ปล่อยให้เมียสวมเขาอยู่ได้ตั้งนาน เค้าเคยเตือนแล้วก็ไม่เชื่อว่าซักวันมันต้องมีชู้กับเจ้านายตัวเอง ตัวรู้ไหมเมียตัวเลวมากที่กล้าแย่งบอสของเค้าไป”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะตรี! ออกไปจากบ้านพี่เดี๋ยวนี้! พี่ไม่อยากฟังเรื่องบ้าบอพวกนี้อีกแล้ว!”

“ไอ้พี่บ้า!! กล้าไล่เค้าเหรอ เค้าหวังดีกับตัวนะพี่ไตร”

“พี่บอกให้ออกไป!”

ตรีชาดาคว้ากระเป๋าวิ่งออกจากบ้านอย่างด่วนจี๋เมื่อถูกขับไสไล่ส่ง ทั้งที่ตามมาดูลาดเลาและอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สายตาส่งค้อนพร้อมแสดงท่าทางกระฟัดกระเฟียดใส่วิภานีที่เดินสวนทางเข้ามา หากแต่คงหยุดมีปากมีเสียงไม่ได้เนื่องจากเวลานี้ตรีชาดากลัวพี่ชายที่อยู่ด้านในมากกว่า ขืนอยู่ต่อนานกว่านี้ไม่รู้จะเกิดเรื่องอะไรกับเธอบ้าง เวลาน้ำเชี่ยวไม่ควรนำเรือเข้ามาขวางคงเป็นความคิดที่พอจะนึกออกสำหรับตอนนี้ ตรีชาดาเกิดความสะใจอยู่ลึกๆ ที่สามารถทำให้ครอบครัวของพี่ชายร้าวฉานสมใจ เธอเป็นคนจ้างวานให้นักสืบสะกดรอยภายุวรรตเมื่อทราบข่าวว่าเจ้านายของตนและคู่อริอย่างนิลนราไม่ได้เดินทางร่วมกิจกรรมของบริษัทที่จัดให้ และผลออกมาสำเร็จเกินคาดที่ตั้งไว้ ทั้งเจ็บใจ ทั้งแค้นเคืองและสมน้ำหน้าในเวลาเดียวกัน

วิภานีก้าวเดินอย่างเงียบเชียบมองดูสถานการณ์โดยรอบว่ารุนแรงประมาณไหน หากแต่วัดระดับไม่ได้เมื่อสงครามสาดคำพูดเมื่อครู่จบลง คนตัวสูงนั่งยกมือปิดหน้า ตกอยู่ในสภาวะเกิดความเครียดรุนแรง

“พี่บอกให้ออกไปไงตรี ยังจะกลับเข้ามาอีกทำไม”

“พี่ไตร.. นี่วิเอง”

มือที่ปิดบังใบหน้าคมเข้มยอมลดระดับลงและพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด ไตรภาคินมองหน้าหญิงสาวที่เดินมานั่งด้านข้างก่อนเสมองทางอื่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอคนนี้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดให้ภรรยาของเขานอกลู่นอกทาง

“มาที่นี่ทำไม”

ประโยคคำถามสั้นๆ แต่ทำให้คนฟังถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออกแม้สักคำ เธอคงกลายเป็นคนที่ถูกรังเกียจไปแล้วเวลานี้ วิภานีได้แต่ตัดพ้อในใจ ทว่าถึงจะถูกเกลียดเพียงใดเธอคงต้องสะกดอารมณ์หวั่นไหวเอาไว้ อยากแก้ไขสถานการณ์ให้จบลงด้วยดีก่อนที่นิลนราจะกลับมาเจอปัญหาหนักอกไปมากกว่านี้

“พี่ไตรคงไม่อยากเห็นหน้าวิแล้วสินะ”

“มีอะไรก็ว่ามาวิ พี่ปวดหัวไม่อยากฟังคำแก้ตัวของใคร”

“ไม่มีอะไร.. แค่เห็นว่าลืมของไว้เลยเอามาคืนก็เท่านั้น”

หมดสิ้นแล้วคำพูดจา แม้อยากช่วยคลี่คลายปัญหามากแค่ไหน แต่คำพูดตัดเยื่อใยทำให้เธอทนฟังต่อไปไม่ได้เช่นกัน ซองสีน้ำตาลถูกยื่นลงบนโต๊ะเบื้องหน้าก่อนจะลุกยืนเตรียมเดินทางกลับยังที่ของตนเองเมื่อหมดธุระสำคัญ ระหว่างพลิกกายกลับข้อมือถูกดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้เธอได้ขยับไปไหนต่อ สาวมาดเซอร์ยืนสงบนิ่งพยายามทำความเข้าใจว่าเขาคนนี้กำลังสับสนจึงทำให้ลังเล ทั้งที่ไม่อยากเจอเธอแต่กลับปฏิเสธไม่ให้จากไป

“อย่าเพิ่งไป.. พี่อยากให้วิอยู่ตรงนี้ พี่กำลังสับสนไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง ขอโทษที่พี่พาลอารมณ์ใส่ อยู่กับพี่ก่อนได้ไหม”

วิภานียืนนิ่งเฉยลังเลใจไม่ต่างกัน อยากเดินหนีไปให้ไกลแต่สองขาไม่ยอมทำตามอย่างใจคิด ความหวั่นไหวเข้าควบคุมจิตใจที่เคยแข็งเป็นหินสำหรับเขา แต่เพียงคำขอร้องที่เอ่ยรั้งกลับทำให้คนเดิมที่ยอมแต่เขาฟื้นคืนมา ไตรภาคินลุกยืนแต่มือยังไม่ปล่อยแขนของวิภานีเสียทีเดียว แรงดึงทำให้หญิงสาวหันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง สายตามองสบกันก่อนที่ใครสักคนจะเริ่มต้นเจรจา

“คือวิอยากขอโทษ..”

“วิไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พี่เหนื่อยแล้วจริงๆ กับการทำให้นิลเป็นคนเดิม ทั้งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ นิลของพี่ได้จากไปแล้ว พี่รู้ดีแก่ใจ วิช่วยบอกพี่ทีได้ไหมว่าพี่ควรทำยังไงหลังจากนี้”

“จะให้วิพูดอะไรได้ ในเมื่อพี่ไตรไม่เคยเชื่อใคร ทั้งที่พี่รู้ดีว่านิลมันไม่ใช่คนเดิมตั้งนานแล้ว แต่พี่ไม่เคยตัดใจได้เลย พี่พยายามหนีปัญหา หนีความเจ็บปวด แต่รู้ไหมยิ่งหนีมากเท่าไหร่สิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งตามติดจนดิ้นไม่หลุด ยอมรับความจริงซะที ปล่อยคนที่ไม่มีใจอยู่กับเราให้เขาได้ไปอยู่กับใจของเขาดีกว่าไหม ที่วิพูดไม่ใช่เพราะอยากให้พี่ต้องเจ็บปวดหรอกนะ เราสามารถเลือกเจ็บปวดแค่คนเดียวดีกว่าต้องเจ็บด้วยกันทุกฝ่ายไม่ใช่เหรอพี่ไตร”

“เหมือนที่วิยอมให้พี่กับนิลรักกันใช่ไหม”

“เรื่องนั้นมันจบไปแล้ว มันเป็นคนละเรื่องกับตอนนี้ วิไม่เคยต้องการให้พี่กลับมาหาวิ แค่ได้เห็นพี่มีความสุขกับคนที่พี่รักวิก็พอใจแล้ว”

ไตรภาคินกำบีบข้อแขนที่กุมไว้แน่น ความเจ็บปวดจากจิตใจของชายคนหนึ่งวิ่งผ่านถึงสัมผัสรับรู้ของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอเข้าใจดีว่าเวลานี้เขารวดร้าวมากมายเพียงใดกับการทำใจยอมรับความจริง ว่าถึงเวลาที่เขาควรปล่อยสิ่งที่รักให้ไกลจากอกราวกับถูกเฉือนก้อนเนื้อเต้นได้ทั้งที่ยังมีชีวิต วิภานีจ้องมองเข้าไปในแววตาเศร้าโศกที่คลอไปด้วยน้ำตาหากแต่ยังไม่ไหลรินออกมาให้ใครต่อใครได้เห็นความอ่อนแอของเขา มือบอบบางที่เป็นอิสระยกทาบแก้มของชายหนุ่มเบาๆ ส่งผ่านไออุ่นราวปลอบประโลม ไตรภาคินเลื่อนสายตามองหญิงสาวตรงหน้าทำให้ความหลังครั้งเก่าผุดขึ้นมาในใจ เธอคนนี้เคยเป็นคนที่เขามอบความรักแต่ไม่เคยชัดเจน ไตรภาคินกำกุมมือที่จับใบหน้าเขาเอาไว้พร้อมดึงเอวอ้อนแอ้นของวิภานีเข้ามาโอบกอด สัมผัสอบอุ่นที่ไม่เคยรู้สึกเนิ่นนาน

ในจิตใจอยากต่อต้านกับสิ่งที่รู้สึกว่ากำลังทำผิดอย่างมหันต์ แต่ร่างกายกลับโหยหาอ้อมแขนนี้เช่นกัน วิภานีพยายามเบนกายหนีความอบอุ่นแต่ยากเหลือเกินที่จะฝืนหัวใจตนเอง วงแขนของไตรภาคินค่อยๆ คลายออกพร้อมใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาจนลมหายใจรดริน หัวใจสองดวงสั่นไหว ริมฝีปากแตะสัมผัสอย่างอ่อนโยน

“พ่อไตรคะ!”

น้ำเสียงตื่นตระหนกเรียกเตือนให้ทั้งสองชะงักการกระทำทั้งหมด หันมองเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนตัวแข็งทื่อคล้ายเจอเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวเบื้องหน้า

“น้องไหม!” เสียงประสานของคนทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกันเมื่อตั้งสติได้

“หม่อนไหมเกลียดพ่อไตร! หม่อนไหมเกลียดน้าวิ!”
เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งหนีภาพบาดตาขึ้นชั้นสองของบ้าน ประตูปิดตัวลงดังสนั่นตามแรงอารมณ์ที่ไม่อาจรับรู้ได้ว่าหม่อนไหมจะรู้สึกเลวร้ายขนาดไหนเมื่อเห็นบุคคลอันเป็นที่รักทำในสิ่งที่เด็กคนหนึ่งพอจะเข้าใจว่ามันคืออะไร ทั้งไตรภาคินและวิภานีหันมองหน้ากันเลิกลั่กรู้สึกใจหายวาบกะทันหัน

“หม่อนไหมอย่าวิ่งเร็วสิลูก ยายตามไม่ทัน”

หญิงสูงวัยเร่งฝีเท้าพร้อมแสดงท่าทางเหนื่อยหอบเมื่อเข้ามายืนในบ้าน มองบุคคลคุ้นเคยตรงหน้าด้วยอาการงุนงง สายตาพยายามกวาดมองหาหลานสาวที่วิ่งนำมาก่อนหน้านี้

“พี่ไตรขึ้นไปหาน้องไหมสิ” วิภานีเร่งเร้าให้ชายหนุ่มติดตามลูกสาว

“หม่อนไหมไปไหนล่ะไตร วิ่งเข้ามาเร็วเหลือเกิน แม่ตามไม่ทัน”

“น้องไหมวิ่งขึ้นข้างบนแล้วครับ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปตาม”

วิภานีกำกุมมือตัวเองไว้รู้สึกใจคอไม่สู้ดี กับคำว่าเกลียดที่หลุดออกจากปากของหม่อนไหมทำให้เธอตกอยู่ในหลุมความกังวล เพราะเธอเองไม่ยอมยับยั้งชั่งใจกับความรู้สึกที่รู้ดีว่าผิด หนำซ้ำยังหลงทำร้ายหัวใจเด็กตัวเล็กๆ ให้พังยับเยิน ผู้เป็นยายยืนมองไตรภาคินเร่งรีบขึ้นชั้นบนของบ้านและมองวิภานีอย่างไม่เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ถึงทำให้หลานสาวระเห็จหนีหายขึ้นบนบ้านเช่นนี้

เสียงเคาะประตูเรียกลูกสาวที่หนีหายเข้าห้องนอนเงียบกริบ ไม่มีสิ่งใดตอบรับกลับมา นอกจากเสียงร่ำไห้ พาคนเป็นพ่อรู้สึกผิดมหันต์ที่เผลอทำอะไรตามใจโดยไม่ทันคิดถึงผลที่จะตามมา เขาเองไม่คิดว่าหม่อนไหมจะกลับมาที่บ้านในเวลาเช่นนี้ ไม่ได้มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้า จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่เขาต้องรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุดกับสภาวะจิตใจของลูกน้อยที่ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าสาหัสเพียงใด ลูกบิดประตูถูกหมุนเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเสียงเรียกชื่อ เสียงทุบประตู ยังคงดังต่อเนื่อง ต้องการให้ลูกน้อยส่งสัญญาณบ้างก็ยังดี วิภานีและยายของหม่อนไหมก้าวเดินตามขึ้นมายืนอยู่หน้าประตู รอดูสถานการณ์ต่อไป

“น้องไหมครับเปิดประตูให้พ่อหน่อยครับ พ่อไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องไหมรู้สึกแย่เลยนะครับ”

“ทำไมหลานถึงเป็นแบบนี้ล่ะไตร มีอะไรเกิดขึ้น”

ไตรภาคินหลบสายตาลงต่ำแสดงสีหน้าสำนึกผิด ไม่ต่างจากวิภานีที่รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยเลยที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้

“วิผิดเองค่ะแม่ วิทำให้น้องไหมเสียใจ”

“วิไม่ผิด พี่ต่างหากที่ผิด”

“มันเรื่องอะไรกัน”

หญิงสูงวัยมองหน้าทั้งสองคนด้วยอาการแปลกใจไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องแย่งกันรับผิดเช่นนี้ ไตรภาคินละสายตาจากสาวมาดเซอร์มองหน้าแม่ยายพร้อมยืดอกรับผิดที่ก่อไว้ เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ยายฟังเพื่อท่านจะได้คลายความสงสัยที่เกิดขึ้น หลังจากฟังเรื่องราวจบสิ้นหญิงสูงวัยถึงกับถอนใจหนัก อยากตำหนิติเตือนทั้งสอง แต่ด้วยผ่านชีวิตบนโลกมาก่อนจึงพอจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างที่ได้รับรู้ บางทีกับสิ่งที่ฝันอาจเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง หญิงสูงวัยทบทวนความฝันที่ได้เจอลูกสาวมากล่าวลาขอไปอยู่ในที่สุขคติ และทำให้ท่านได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วลูกสาวได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องยอมรับและทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามที่คาดเดา

หลายนาทีที่ผู้ใหญ่ทั้งสามพยายามหาหนทางให้หม่อนไหมยอมใจอ่อนและเปิดประตูออกมา แต่ดูเหมือนจะไร้วี่แววตอบสนองจากเด็กหญิงตัวน้อย วิภานีเดินวนเวียนหน้าห้องคิดอะไรไม่ออกจนเพื่อนสนิทผุดขึ้นมาในใจ นิลนราอาจช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ไม่รอช้าสาวมาดเซอร์เดินหลบออกห่างจากคนอื่น หยิบเครื่องมือสื่อสารต่อสายหาเพื่อนสนิททันที เธอหวังแค่ว่าแม่นิลของหม่อนไหมคงช่วยเหลือเธอได้เมื่อเดินทางกลับถึงกรุงเทพในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้

To be continued..
โดย: มาโซคิส วันที่: 31 มีนาคม 2556 เวลา:0:53:28 น.
  
เพิ่งอัพบล็อคเสร็จค่ะพี่มาโซ ^^
เดี๋ยวนุ่นไปอ่านที่กระทู้น๊า
หลับฝันดีค่า ^^
โดย: lovereason วันที่: 31 มีนาคม 2556 เวลา:1:33:05 น.
  
ฝันดีจ้าาาาา อิอิ อัพติดๆ กันเลย
โดย: มาโซคิส IP: 115.87.13.239 วันที่: 31 มีนาคม 2556 เวลา:2:15:21 น.
  
แวะมาดู ..
แต่เช้าตรู่ของวันใหม่
บรรยากาศอาจสดใส
ถ้าจะไม่ร้อนทั้งวัน

มาเยี่ยมเยือน..
ดูบ้านเพื่อนคนช่างฝัน
เรียงร้อยถ้อยคำประพันธ์
ใครกันได้โลดแล่น .. มีชีวา

อรุณสวัสดิ์วันอาทิตย์ฮะ..

โดย: โค อัสดง วันที่: 31 มีนาคม 2556 เวลา:5:39:08 น.
  
เช่นกันค๊าาาาาา วันพักผ่อน สบายๆ

ไม่อยากให้ผ่านไปเลย พรุ่งนี้ก็ทำงานอีกแล้ววววว
โดย: มาโซคิส IP: 124.121.43.82 วันที่: 31 มีนาคม 2556 เวลา:9:59:05 น.
  
แวะมาเยี่ยมในวันหยุด...สวัสดีครับ

มีความสุขกับวันหยุดพักผ่อนนะครับ
โดย: **mp5** วันที่: 31 มีนาคม 2556 เวลา:13:23:22 น.
  
มีความสุขเช่นกันนะคะ คุณเอ็ม
โดย: มาโซคิส วันที่: 31 มีนาคม 2556 เวลา:15:26:23 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments