กรกฏาคม 2553

 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
ให้ลูกฟังดนตรีตั้งแต่อยู่ในครรภ์

ผมมีประสบการณ์ทำงานสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อยู่หลายปี เรียกว่าเป็นผู้รู้ด้านวางแผนครอบครัวดีระดับหนึ่งทีเดียว และที่สำคัญยังเป็นคนชอบอ่านหนังสือชนิดหนังสือขาดบ้านไม่ได้ หนึ่งในหนังสือที่ชอบก็เกี่ยวกับการพัฒนาการเด็ก


ทันทีที่ภรรยาตั้งครรภ์ ก็เริ่มร้อนวิชา รู้อะไรก็นำมาใช้ หนึ่งในยุทธการเตรียมความพร้อมของลูกคนแรกก็คือ “การให้เขาฟังคนตรีตั้งแต่อยู่ในครรภ์” ด้วยการให้ฟังเพลงคลาสสิกของลุดวิก ฟาน เบโทเฟน และโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท ด้วยการต่อหูฟังขนาดใหญ่กับเครื่องเสียง เปิดเสียงเบา ๆ ครอบท้องภรรยา ว่ากันตั้งแต่เดือนแรกเลยที่เดียว สุดยอดไหมละ...


ครบ 9 เดือนหนูน้อยออกมาเป็นผู้ชายน้ำหนัก 3,900 กรัม สามเดือนแรกพ่อเจ้าพระคุณร้องไห้ได้ทุกวันตอนเย็น ๆ เป็นชั่วโมง ๆ ไม่ยอมหยุดร้อง พอเวลา 19.00 น. หยุดร้องไห้เหมือนปิดสวิทยิ้มและหัวเราะได้ทันที อย่างนี้เขาเรียกกันว่า “ร้อง3 เดือน” บางคนร้องจนสะดือจุ่น ฮา....


แต่ที่สังเกตเห็นเจ้าหนูน้อยคนนี้เป็นคนที่รักความเป็นธรรม ชอบศิลปะด้านการวาดภาพ แถมยังชอบทำตัวเป็นครู ส่วนเรื่องดนตรีไม่ชัดเจนมาก แต่หากเปิดเพลงคลาสสิกของลุดวิก ฟาน เบโทเฟน หรือโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท จะหยุดฟังแล้วก็จะไปเล่นอย่างอื่นที่เขาสนใจตามอัธยาศัย แต่มาสังเกตว่าชอบฟังเพลงประเภทคลาสสิกมากๆอย่างชัดเจนก็ตอนนั่งรถกับคุณพ่อระหว่างเวลาไปและกลับโรงเรียนซึ่งมักจะตั้งช่องวิทยุเป็นเพลงคลาสสิกแล้วก็หลับ


พอหนูน้อยเรียนหนังสือชั้น ป.3 โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง ก็เริ่มมีอาการผิดปกติ เริ่มโอ้เอ้ไม่อยากไปโรงเรียน นานวันเข้าโรงเรียนโทรมา “คุณพ่อให้ไปรับลูกไม่สบายปวดศีรษะ” แรก ๆ ก็สัปดาห์ละครั้ง หนักเข้าเป็นสัปดาห์และ 3 ครั้ง ไม่มีสมองคิดเรื่องงาน ต้องกังวลกับอาการป่วยของลูก มึน...


พาไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคภูมิแพ้ จ่ายยามาให้ เปลี่ยนเครื่องนอนเป็นป้องกันไรฝุ่น ซื้อเครื่องฟอกอากาศหมดไปหลายตังค์ ไม่หาย.. แต่ที่เห็นว่าหายศีรษะก็ตรงถึงบ้านถอดถุงเท้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง อื้ออย่างนี้ขี้เกียจเรียนแน่ๆ ...คิดเอง


นานวันเข้าพ่อหนูน้อยยื่นคำขาด “ผมไม่ไปโรงเรียน”


“สวยซิแบบนี้” ระหว่างขับรถไปทำธุระส่วนตัวในซอยที่ไม่คุ้นเคย คุยกับพ่อหนูน้อยเรื่องเรียนไม่เรียน “ถ้าไม่เรียนลงรถไปเลย” นึกว่าจะไม่ลง พ่อเปิดประตูลงเฉย เราก็แน่ ขับรถออกไปปากซอย ปล่อยให้ลูกชายอยู่ในซอย ซึ่งไม่คิดจะทิ้งนะครับ ต้องการวางมาตรการให้ลูกไปโรงเรียน ...ฮาไม่ออก แม่เจ้าหนูน้อยนั่งอยู่หน้ารถน้ำตาแตกหาว่าเราใจร้ายทำอย่างนี้กับลูกได้อย่างไร? ซวยละซิ


กลับรถไปรับพ่อหนูน้อย เดินยกเท้าเตะยอดไม้ข้างทางไม่สนใจอะไร เราก็ไปเปิดรถ พ่อก็ขึ้นนั่งกอดอก กัดฟัน ไม่พูด ทุกคนเงียบไม่มีใครพูด


ท้ายที่สุดเราต้องยอมแพ้เอาพ่อหนูน้อยออกจากโรงเรียนเมื่อจบ ป.3


ปัจจุบันหนูน้อยคนนี้ คือ คนนี้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=cWWzEqyj1WI

คราวหน้าว่าง ๆ จะมาเล่าต่อครับ




Create Date : 02 กรกฎาคม 2553
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 19:04:20 น.
Counter : 670 Pageviews.

2 comments
  
อยากหาเพลงคลาสสิคให้น้องๆบ้านปรานีฟัง
โดย: นพพล IP: 125.25.70.254 วันที่: 12 กันยายน 2553 เวลา:0:52:43 น.
  
โลกกลมจังเลยครับ
ผมก็ตามดูผลงานน้องชัชครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:8:45:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทำงานด้านเด็ก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เกิด 17 ก.พ.2502 จังหวัดชัยนาท เป็นบุตร นายสุเทพ-นางชิ้น ไทยเขียว
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 โรเรียนวัดโพธิ์ทอง ต.บางขุด อ.สรรคบุรี แล้วมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
"ตอนเรียนมัธยม เป็นช่วงปี 2515-2517 ผมต้องขี่จักรยานไปกลับวันละ 18 ก.ม. ลำบากมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่เกเร พอผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยากทำนาเหมือนคุณพ่อคุณแม่ แต่ธรรมชาติช่วย จังหวะที่ผมเรียนจบ เกิดน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงที่นา ผมต้องลงไปช่วยคุณพ่อ คุณแม่ยกฟ้อนข้าวขึ้นที่สูง เหนื่อยมาก รู้สึกลำบาก ไม่อยากทำนาอีกแล้ว เริ่มอยากเรียนหนังสือต่อ"
ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับญาติที่กองรักษาการณ์ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลือดตามล่องกระดานกัดติดหลังเป็นแถวเลยอยู่ไม่ได้ น้าชายไปฝากอยู่กับแฟนของเพื่อนตำรวจเป็นหมอนวดแถวถนนเพชรบุรีอยู่อีก 1 สัปดาห์ ต่อมาจึงได้หาที่พักถาวรได้ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ขณะนั้นมีน้าชายชื่อ นายวิชิต เรียนทัพ อดีตนายก อบต.บางขุด พักอาศัยอยู่ก่อน
"ผมสอบเข้าศึกษาต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจ่าอากาศ ช่างฝีมือทหาร เตรียมทหาร หรือแม้แต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคค่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนต่อได้เพราะวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ กิ่งเพชร ราชเทวี เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำ ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้เปิดเรียนไปแล้วเกือบหนึ่งเทอมแล้ว จึงมีที่เรียน"
"ช่วงที่อยู่วัดเห็นพระเณรนั่งดูหนังสือ ไม่นอน ผมจึงไม่นอน ผลการเรียนจึงเริ่มดีขึ้น โดยกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน ไม่อยากใช้เงินคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้ว่าท่านลำบาก กระทั่งเรียนจบอนุปริญญา หรือปกศ.สูง เอกสังคมศึกษา ในระดับปริญญาไม่มีที่เรียนกลางคืน ต้องเรียนกลางวัน จึงไม่ได้ทำงานจนจบการศึกษาบัณฑิตหรือ กศ.บ. เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา"
"ช่วงนั้น ผมขอหลวงพ่อคุมศาลาเผาศพ และรับอาราธนาศีล บริการน้ำ-อาหาร รับจ้างจุดธูปเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี สอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทได้ขณะที่เรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรี จบปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.) อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 4 ทำงานภาคเอกชนอยู่ 4 ปี จึงเข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2529 โดยเป็นพนักงานคุมประพฤติ 3 จังหวัดชลบุรี"
ต.ค. 2541 เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 จ่าศาลจังหวัดปากพนัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบงานศาล, 16 ก.พ. 2542 เป็นจ่าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ, 18 มี.ค. 2542 ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม, 4 มิย. 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น อกพ. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 8 มิย.2544 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลตุลาการ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 15 ต.ค. 2544 ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพสถานพินิจ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 7 พ.ย. 2544 คณะกรรมการบริหารแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549, 12 มีค.2545 กรรมการและเลขานุการการเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี, 3 ต.ค.2545 รักษาราชการแทนรองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ 9 ในตำแหน่ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อ 25 เมย.2546
ย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ 1 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับมาทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีพินิจและคุ้ม ครองเด็กและเยาวชนอีกครั้งและได้ขึ้นเป็นอธิบดีในที่สุด
ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับ คือ จัดทำมาตรฐานกลางการปฏิบัติงานธุรการศาล และนำวิธีการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management/ TQM) จนศาลจังหวัดนครราชสีมาได้รับ การประกาศรับรองด้านบริการ ISO 9000
การปฏิรูปกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นคณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี จนสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน
ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณด้านการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2550 และได้รับเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น พ.ศ.2544 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 สค.2550
"ทุกอย่างที่ทําให้เรามาถึงวันนี้ ได้กรรมเป็นตัวกํากับทั้งหมด และอะไรที่เราเคยเสีย ใจแบบสุดๆ หรือว่าเศร้าใจอย่างสุดๆ ความรู้สึกนั้นมันไม่เคยเสถียรเลย มันลดลงมาหมด
วันนี้ดีใจที่ได้เป็นอธิบดี อาจจะดีใจจน ตัวลอย แต่ว่าไม่เท่าไหร่ก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเท่าทันโลก เข้าใจเรื่องกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ที่สําคัญที่สุด คือเรามีหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องทําให้ดีที่สุดในการที่จะมองไปที่ประชาชนและเด็กๆ
ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีกรรมดีที่ได้มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่า ผมก็อาจจะเคยทํากรรมอะไรไว้บางอย่างกับเด็กๆ ผมถึงต้องชดใช้อะไรมากมายถึงขนาดนี้ รู้สึกว่าต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เห็นอะไรไม่สบายใจต้องเข้าไปจัดการ ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็อยากเห็นสังคมมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้มันตกต่ำไปมาก"
สมรสกับเบญจพร ไทยเขียว ซึ่งรับราชการครู มีบุตรชาย 2 คน นายชัชชล ไทยเขียว อายุ 25 ปี จบศึกษาด้านภาษาและวัฒนธรรม และศึกษาดนตรีและทำเครื่องดนิตรีกู่ฉินไปด้วยที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบอาชีพส่วนตัวสอนคนตรีกู่ฉิน และจำหน่ายเครื่องคนตรีจีนคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจารย์พิเศษ
และนายยิ่งคุณ ไทยเขียว อายุ 23 ปี จบศึกษาคณะวิศวศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA มหาวิทยาลัยหอการค้า