ประตูทางเข้าหลักของวัดฮนโน
Honnō-ji (本能寺) เป็นวัดของสาขานิชิเรนสาขาพุทธศาสนาที่ตั้งอยู่ในเกียวโตประเทศญี่ปุ่น honzon คือ mandara-honzon (曼荼羅本尊) จาก Namu Myōhō Renge Kyō
วิกิพีเดีย
Honnō-ji มีชื่อเสียงมากที่สุดสำหรับเหตุการณ์ Honnō-ji Oda Nobunaga พักอยู่ที่นั่นก่อนที่เขาจะนำกำลังบุกตะวันตก อย่างไรก็ตามในเช้าวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1582 กองกำลังทรยศของ Akechi Mitsuhide ล้อมรอบพระวิหารและจุดไฟ เมื่อรู้ว่าไม่มีทางออกสำหรับเขา โนบุนางะ ก็ได้กระทำ seppuku ร่วมกับ โมริรันมารุ ผู้ช่วยของเขา พี่น้องของรันมารุ ก็เสียได้ชีวิตที่ฮอนโนะจิ
เนื่องจากสถานการณ์ที่น่าสลดใจHonnō-ji ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในที่ต่าง ๆ ในเกียวโตใกล้กับสถานี Shiyakusho-mae ของ Kyotoวิหารของวัด
เซ็ปปูกุ ( 切腹: seppuku) หรือ ฮารากิริ ( harakiri) เป็นการฆ่าตัวตายโดยการคว้านท้องใน ยุคซามูไร ของ ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา กรีดมาทางซ้าย แล้วดึงมีดขึ้นข้างบน ซึ่งเป็นการเปิดเยื่อบุช่องท้องแล้วตัดลำไส้ให้ขาด หลังจากนั้นซามูไร อีกคนหนึ่งจากด้านหลังของผู้กระทำเซ็ปปูกุ จะใช้ดาบคาตานะตัดศีรษะจนขาด การตายด้วยวิธีนี้ เชื่อว่าเป็นการตายอย่างมีเกียรติแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ทำ เซ็ปปูกุ ทำตามหลัก ศาสนาชินโต ที่จารึกไว้ใน คัมภีร์โคจิกิ เพราะแสดงความกล้าหาญและพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับจิตใจของตนเอง การคว้านท้องถูกนำมาใช้โดยสมัครใจที่จะตายกับซามูไรที่มีเกียรติแทนที่จะตกอยู่ในมือของศัตรูของพวกเขา (และน่าจะถูกทรมาน) เป็นรูปแบบของโทษประหารชีวิตสำหรับซามูไรที่มีการกระทำผิดร้ายแรงหรือดำเนินการ เหตุผลอื่น ๆ ที่ได้นำความอัปยศแก่พวกเขา การฆ่าตัวตายโดยการจำยอมจึงถือเป็นพิธีซึ่งโดยปกติจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมซับซ้อนมากขึ้นและการดำเนินการในฐานะที่ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจในการต้องการในการรักษาเกียรติของพวกเขาจึงควรมีผู้คนมาชมขณะทำเซ็ปปูกุด้วยการลอบสังหารโอะดะ โนะบุนะงะที่วัดฮนโนจิ, ภาพพิมพ์ในสมัยเมจิ
วิกิพีเดีย
ในญี่ปุ่น คำว่า "ฮารากิริ" หรือ "ฮาราคีรี" ถือเป็นคำหยาบและไม่เคารพต่อผู้กระทำเซ็ปปูกุ และการเขียนตัวอักษรคันจิของสองคำนี้เขียนเหมือนกันโดยสลับตัวอักษรหน้าหลังโอะดะ โนะบุนะงะลงโทษอะเคะจิ มิสึฮิเดะ ต่อหน้าคณะขุนศึก, ภาพอุกิโยะสมัยเมจิ
วัดฮนโนจิ ( 本能寺 : Honnō-ji) วัดในพระพุทธศาสนานิกายนิจิเร็ง ซึ่งเป็นนิกายย่อยของนิกายมหายาน ตั้งอยู่ในเมืองเกียวโตวัดฮนโนจิเป็นที่รู้จักจากเหตุการณ์ที่เรียกว่า การล้อมฮนโนจิ หรือ กบฏวัดฮนโนจิ เนื่องจาก โอดะ โนบูนางะ ขุนศึกผู้ทรงอำนาจและอิทธิพลแห่งยุค อาซูจิ–โมโมยามะ ได้มาพำนักที่นี่ก่อนจะถูกโจมตีจากทางฝั่งตะวันตกในช่วงเช้ามืดของวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1582 โดยกองทัพกบฏภายใต้การนำของ อาเกจิ มิตสึฮิเดะ หนึ่งในขุนพลของ โนบูนางะ ได้เข้าล้อมและจุดไฟเผาวัด ทำให้ โนบูนางะ ไม่มีทางออก จึงตัดสินใจกระทำ เซ็ปปูกุ ในกองเพลิง ขณะที่ขุนพลคู่ใจของโนบูนางะคือโมริ รัมมารุพร้อมพี่ชายถูกสังหาร ต่อมาได้มีการสร้างวัดฮนโนจิขึ้นมาใหม่แต่ได้ย้ายมาสร้างในที่ปัจจุบันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เดิม ภาพวาดของโมริ รัมมารุ
วิกิพีเดีย
โมริ รัมมารุ (森 蘭丸 : Mori Ranmaru, พ.ศ. 2108 - 21 มิถุนายน พ.ศ. 2125) เป็นลูกชายของโมริ โยชินาริและเป็นน้องชายของ โมริ นากาโยชิ โมริ รัมมารุ มีชื่อเดิมว่า โมริ นากาซาดะ รันมารุเกิดที่แคว้นมิโนะ ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวัยเด็กรันมารุเป็นผู้รับใช้ของโอดะ โนบูนางะ ด้วยความที่โนบูนางะไว้ใจเขา จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดกำลังที่น่าเชื่อถือ และหลังจากที่ ทาเกดะ คัตสึโยริเสียชีวิต เขาได้รับรางวัล 50,000 โคคุที่ ปราสาทอิวามูระ รัมมารุและน้องชายของเขาร่วมกันปกป้องโอดะ โนบูนางะ และหลังจากนั้น โมริ รัมมารุ ผูกมัดและฆ่าตัวตายโดยการคว้านท้องพร้อมกับโนบูนางะภาพวาดสมัยเอโดะของ Akechi Mitsuhide
วิกิพีเดีย
สาเหตุที่ทำให้ อาเกจิ มิตสึฮิเดะ กบฏและสังหาร โอดะ โนบูนางะ นายของตนคืออาเกจิ จูเบะ มิตสึฮิเดะ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดในวันที่ 10 มีนาคม ปี พ.ศ. 2079 ที่แคว้นมิโนะ ซึ่งปกครองโดยไดเมียวไซโต โดซะแห่งมิโนะ ประวัติเกี่ยวกับเขาในช่วงวัยเด็กไม่เป็นที่แน่ชัด รู้แต่เพียงว่าเขาเป็นบุรุษผู้มากด้วยความสามารถทั้งในด้านบู๊และบุ๋น มีความรอบรู้ทางด้านการปกครองและด้านการทหาร รวมไปถึงฝีมือด้านเพลงดาบและอาวุธปืนชนิดหาตัวจับยาก บวกกับท่วงท่าที่สง่างามทำให้ได้เป็นขุนพลคนสนิทของไดเมียวไซโตอย่างไม่ยากเย็นต่อมาไดเมียวไซโตถูกบุตรชายสังหาร ทำให้มิตสึฮิเดะต้องหนีไปเข้าร่วมกับโชกุนอาชิกางะ โยชิอากิที่เกียวโต ซึ่งในขณะนั้น เกิดก่อกบฏขึ้นในเมืองหลวง ทำให้อาชิกางะต้องคนไปขอความช่วยเหลือจากโนบูนางะ ทำให้มิตสึฮิเดะได้มีโอกาสรู้จักกับโนบูนางะ และได้กลายมาเป็นขุนพลคนสำคัญของโนบูนางะในภายหลังอาเกจิ มิตสึฮิเดะเป็นผู้บัญชาการกองทัพของโอดะ โนบูนางะ ในสงครามต่าง ๆ ในหลายต่อหลายครั้ง รวมไปถึงสงครามระหว่างกองทัพอาซากูระ-อาซาอิกับกองทัพโนบูนางะที่คาเนงาซากิและยุทธการภูเขาฮิเอ อันเป็นศูนย์กลางของกลุ่มพระนักรบอิกกะ-อิกกิ มิตสึฮิเดะก็เป็นหนึ่งในขุนพลที่เข้าร่วมในศึกครั้งนี้ด้วยแม้ มิตสึฮิเดะ จะได้รับความดีความชอบจากโอดะ โนบูนางะ แต่กระนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญก็ได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1579 เมื่อ มิตสึฮิเดะ ได้รับคำสั่งให้บุก ปราสาทยางามิ ที่ ฮาตาโนะ ฮิเดฮารุ ครอบครองอยู่ มิตสึฮิเดะ ไม่ต้องการให้มีการนองเลือดเกิดขึ้น จึงไปเจรจากับ ฮิเดฮารุ ให้ยอมจำนนต่อ โนบูนางะ โดยส่งมารดาไปเป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับการให้ ฮิเดฮารุ ยอมสวามิภักดิ์ต่อ โนบูนางะ แต่ทว่า เหตุการณ์กลับพลึกผันเมื่อ โนบูนางะ ได้สังหาร ฮิเดฮารุ และพวกพ้อง รวมไปถึงมารดาของมิตสึฮิเดะ สร้างความแค้นต่อ มิตสึฮิเดะ เป็นอย่างมาก จนนำไปสู่แผนลอบสังหารโนบูนางะที่วัดฮนโนในปี ค.ศ. 1582 หลังจากนั้น มิตสึฮิเดะก็ตั้งตนเป็นใหญ่เหนือกองทัพโนบูนางะ แต่หลังจากนั้นเพียง 13 วัน เขาก็ถูกสังหารโดยโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1582มีตำนานกล่าวว่าอาเกจิ มิตสึฮิเดะสามารถหนีไปได้และหนีไปออกบวชพระสงฆ์นามว่าเท็งไก และเชื่อว่าเท็งไกผู้นี้คือที่ปรึกษาของโทกูงาวะ อิเอยาซุในภายหลัง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด ภาพและข้อมูล วิกิพีเดียภาพหัวบล็อก เรือนเรไร ดุ๊กดิ๊ก ญามี่ และ oranuch_sri , Rainfall in August ,ชมพร