|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
หัดมองโลกในแง่ร้าย?
ส่วนใหญ่คุณผู้อ่านเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้ายกันครับ?
สำหรับผม เข้าใจมาโดยตลอดครับว่าเป็นคนหนึ่งซึ่งมองโลกในแง่ที่เป็นบวกมากๆ (โดยคิดเอาเองจากความรู้สึกที่ว่าไม่อยากจะโกรธใครเลยในโลกนี้ ไม่ อยากจะทำให้ใครต้องมาเสียความรู้สึกเพราะตัวผม และอยากอยู่ในโลกที่ไม่มีความขัดแย้ง - การทะเลาะ) แต่ทำไมใครต่อใครก็ตามที่วิเคราะห์พิจารณาแนวคิดจากการ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดของผมแล้ว ทุกคนต่างประสานเสียงบอกว่า... ผมนี่แหละโคตะระจะมองโลกในแง่ร้ายเอามากๆ ล่าสุด มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ว่า ตอนนี้เธอกำลังเรียนพิเศษกับอาจารย์(ผู้ชาย)สอนวิชาดนตรีคนหนึ่ง (เรียนกันสองคนในเวลาพลบ ค่ำเรื่อยไปจนถึง 2 - 3 ทุ่ม) ซึ่งเธอเอง(ที่เป็นคนค่อนข้างจะหน้าตาดี)ไม่เข้าใจว่าทำไมภรรยาของอาจารย์คนที่ว่า(มีอายุมากกว่าสามี)จะต้องมานั่งเฝ้าอยู่ด้วยทุกครั้งไป ครั้นพอผมบอกไปว่า...มันก็คงจะเป็นเหตุผลทำนองในเรื่องของชู้สาวนั่นแหละ(ซึ่งตรงนี้ผมว่าเธอเองก็คงฉุกคิดได้) แล้วผมก็บรรยายว่า...ลองคิดดูสิถ้า อยู่กันลำพังสองคนชายหญิงในบรรยากาศพลบค่ำที่ชวนให้เหงาๆ แล้ววันนั้นเกิดมีฝนตกขึ้นมาพรำๆ เม็ดฝนบางส่วนกระเซ็นกระเด็นไปตกกระทบหน้าต่างที่เป็นกระจก เสียงดังเปาะแปะๆ ภายในห้องที่ไฟสลัวๆ แอร์เย็นๆ มีเสียงเพลงคลอเบาๆ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น... เท่านั้นแหละครับเธอก็บอกว่าผมเป็นคนที่คิดแต่เรื่องร้ายๆ (ต่อท้ายจากคำว่าบ้า!) เพราะเธอยืนยันว่าไม่มีความคิดในเรื่องที่ว่านี้อยู่ในหัวเลย และมั่นใจ ด้วยว่าจะไม่มีเหตุการณ์ในเรื่องของชู้สาวคาวสวาทระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
หากใช้วิธีคิดแบบเธอผมก็คงจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายจริงๆ แต่ที่ยืนยันได้อย่างเต็มปากหมดใจก็คือทัศนะคติของผมในรูปแบบที่ว่านี้มิใช่การ "คิดร้าย" ที่เกิดขึ้นมาด้วย "เจตนา" ที่ "ไม่บริสุทธิ์" อย่างแน่นอนครับ
อย่างกรณีของเรื่องที่ยกขึ้นมานี้ มิได้หมายความว่าผมจะเอามาตรฐานของตัวเองเป็นที่ตั้งว่าถ้าผมเป็นคุณครูหรือเป็นน้องคนนี้ก็ตาม แล้วต้องตกไปอยู่ใน บรรยากาศที่ว่านี้แล้วมันจะต้องเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นมาแน่ๆ นะครับ นัยสำคัญก็เพียงแค่สะกิดเตือนสติให้ลองคิดถึงผลเสียของเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นมาโดยมิคาดฝันเท่า นั้นเอง โดยส่วนตัวผมว่าไม่ผิดหรอกครับที่เราจะหัดมองโลกที่มันเป็นในแง่ร้ายเสียบ้างบนเงื่อนไขที่ว่าหากมันมีเหตุผลบางประการที่สามารถชี้ชวนให้มองได้ ( รวมถึงประสบการณ์ของแต่ละคนที่ได้เจอะเจอมา) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสังคมไทยในยุคปัจจุบันที่ผมรู้สึกว่ามิใช่เพียงแค่รู้หน้าไม่รู้ใจเท่านั้น ต่อให้รู้จักกัน เห็นการกระทำ ฟังคำพูด เราเองก็มิอาจจะรู้ได้เลยว่าคนๆ นี้คิดดีหรือคิดร้ายกับเราอยู่มากน้อยเพียงใด? พื้นฐานของ "จิตใจ" การเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก นิสัยดี มีความเอื้อเฟื้อ มีเมตตา รักการให้อภัยของคนไทยเป็นเรื่องประเสริฐที่สุด (และทุกคนควรจะ ต้องมี) แต่ในทางกลับกันเราต้องเข้าใจด้วยว่าลักษณะของเราตรงนี้มันเป็นการเปิดโอกาสให้คนบางกลุ่มได้นำมาเป็นสร้างเงื่อนไขหาผลประโยชน์ให้กับตนเองอยู่หลายต่อ หลายครั้ง ผมคนหนึ่งที่อึดอัดพอสมควรกับภาพของคนแก่ - เด็กๆ เดินขายดอกไม้ พวงมาลัย ให้กับแขกที่นั่งอยู่ตามร้านอาหาร ร้านเหล้า ร้านข้าวต้มในช่วงเวลา กลางคืน ซึ่งผมมั่นใจว่า ทั้งคนซื้อและคนขายเองต่างก็เข้าใจเหมือนกันตรงที่ว่า "สินค้า" (ซึ่งหลายๆ ครั้งก็เป็นของที่ไม่น่าจะเอามาขายได้เลยในบรรยากาศและอารมณ์ที่ ว่านี้ เช่น แผนที่ กระปุกออมสิน ฯ) เหล่านี้ หากใช้หลักการการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องมันไม่ใช่เงื่อนไขของการ "จ่าย - รับ" เลยสักนิด
หากแต่เป็นการค้า - ขายที่เล่นกับ "น้ำใจ" เสียมากกว่า
จะว่าไปแล้วก็คงจะไปคล้ายๆ กับกรณีที่มีหลายคนมองการขึ้นไปคว้าแชมป์ "ยูบีซีอะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 3" ของหนุ่ม "ตุ้ย เกียรติกมล ล่าทา" รวม ถึงล่าสุดหนุ่ม "คิว ณัฐพล คนเสงี่ยม" กับการเป็นแชมป์ the singer ซึ่งผมคงตัดสินไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะแสดงว่าคนไทยเรายังให้ค่าในความสำคัญของเรื่อง ความกตัญญู - ความเห็นใจ หรือมันไม่ดีเพราะมันมีคนที่ได้ผลประโยชน์จากการนำเอาเรื่องในลักษณะทำนองนี้มาทำมาหากิน แต่ทั้งหลายทั้งปวงต้องบอกก่อนนะครับว่า มิได้หมายความว่าถ้าเรา(หัด)มองอะไรที่เป็นลบไปเสีย(บ้าง)แล้ว เราจะต้องมีชีวิตอย่างไม่มีความสุข เพราะ ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวง อยู่อย่างไม่ไว้ใจใคร อยู่อย่างคอยจับผิดคนอื่น เพียงแต่อยากจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมจะมีขั้วตรงข้ามของมันเสมอ และที่สำคัญบางทีเราก็อาจจะต่อยอดในแง่บวกจากความคิดในแง่ร้ายๆ ของ เราได้อีกต่างหาก แก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง ว่ากันว่าคนที่มองโลกในแง่ร้ายจะมองว่าเหลือน้ำอยู่แค่ครึ่งแก้ว ส่วนคนที่มองโลกในแง่ดีจะบอกว่ามันยังเหลือน้ำอีกตั้งครึ่งหนึ่ง และหากคนที่มองโลกในแง่ร้ายที่คิดว่าเหลือน้ำแค่ครึ่งเดียว เขาลุกเดินไปรินน้ำให้เต็มแก้วด้วยความรู้สึกที่ว่า เผื่อคนอื่นๆ จะมาดื่มด้วย
เขาคงไม่ผิดนะครับ?
บทความโดย อำนาจ เกิดเทพ
Create Date : 08 มิถุนายน 2550 |
|
4 comments |
Last Update : 8 มิถุนายน 2550 23:00:24 น. |
Counter : 728 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: โสมรัศมี 9 มิถุนายน 2550 1:49:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: POL_US 10 มิถุนายน 2550 5:58:44 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่ก็สลดเหมือนกัน ที่บางที กิจกรรมในชีวิตของคนเราบางอย่าง ก็ใช้คำว่า "ความเกรงอกเกรงใจ" มาตัดสิน โดยที่ไม่มีความสมเหตุสมผลเลย