Bloggang.com : weblog for you and your gang
มะลิไทยแลนด์
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [
?
]
Group Blog
จอร์แดน อียิปต์
ล่องแม่น้ำปิงจากเขื่อนภูมิพลถึงดอยเต่า
เที่ยวสงขลา หาดใหญ่ ดูงานโคมไฟ สีสันเมืองใต้
Bagpack ตาลี่ ลี่เจียง แชงกรีลา
ท่องชวา บาหลี
เที่ยวเขาค้อ ภูเรือ เชียงคาน ภูเวียง และเขาใหญ่
เขาค้อ ภูเรือ เชียงคาน หนองคาย เวียงจันทร์ ภาค ๒
แบ๊กแพ็คตุรกี
แบ๊กแพ็คเซี่ยงไฮ้ หางโจว เขาหวงซาน
เที่ยวฟาร์มจิมทอมสัน แวะ a cup of love ดูตะวันตกดิน ณ ผาเก็บตะวัน พักที่สวนห้อมล้อมโอโซน
เที่ยวเกาะช้าง พักผ่อนสบายๆ ในรีสอร์ทที่มีชายหาดส่วนตัว
เที่ยวอัมพวา แวะพิพิธภัณฑ์รถโบราณ และหุ่นขึ้นผึ้งสยาม
เที่ยวภูเก็ต เกาะลังกาวี ถ้ำเลเขากอบ unseen Thailand ตรัง และอ่าวพังงา
ลุยเมืองน้ำหมากกระจาย. ผู้ชายนุ่งโสร่ง...ย่างกุ้ง พุกาม มัณฑะเลย์
เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี
แบกเป้ไปญี่ปุ่นกันอีกดีกว่า
เที่ยวญี่ปุ่นตอนใต้ ฟูกูโอกะ นางาซากิ เบบปุ ยูฟุอิน
mission complete ที่ซีอาน-ลั่วหยาง-เจิ้งโจว
จอร์เจีย อารยธรรมแห่งเทือกเขาคอเคซัส
อินเดีย ทั้งรักทั้งชัง
เที่ยวสุขใจ... ไปชูโกกุ
พฤศจิกายน 2551
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
14 พฤศจิกายน 2551
วันที่ 24 ตุลาคม 2551 ฟ้าสางที่อาบูซิมเบล
All Blogs
วันสุดท้ายในไคโร
วันที่ 27 ตุลาคม 2551 ไปคอปติกไคโร แล้วแวะชอปปิ้งตลาดข่าน
วันที่ 26 ตุลาคม 2551 ดินแดนหลังความตาย
วันที่ 25 ตุลาคม 2551 ทัวร์วิหารตามเส้นทางจากอัสวานถึงลุกซอร์
วันที่ 24 ตุลาคม 2551 ฟ้าสางที่อาบูซิมเบล
วันที่ 23 ตุลาคม 2551 นั่งรถไฟไปอัสวาน ล่องเรือเฟลุกก้า
วันที่ 22 ตุลาคม 2551 ไปตะกายปิระมิดกัน
วันที่ 21 ตุลาคม 2551 เที่ยวเมือง Alexandria
วันที่ 20 ตุลาคม 2551 จากจอร์แดนถึงอียิปต์
วันที่ 19 ตุลาคม 2551 เที่ยวเมืองเจอราชและซิตาเดล
วันที่ 18 ตุลาคม 2551 ทัวร์ตามเส้นทาง Kings' Highway
วันที่ 17 ตุลาคม 2551 เที่ยวนครเพตรา
วันที่ 16 ตุลาคม 2551 วันแรกที่จอร์แดน
วันที่ 15 ตุลาคม 2551 ตอน วันเดินทาง
ท่องเที่ยวจอร์แดนและอียิปต์แบบไปเอง 14 วัน วันที่ 16-29 ตค.51 ตอน ช่วงเตรียมตัว
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add มะลิไทยแลนด์'s blog to your web]
Links
BlogGang.com
วันที่ 24 ตุลาคม 2551 ฟ้าสางที่อาบูซิมเบล
ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูของพนักงานโรงแรม เมื่อคืนเค้าไม่ได้บอกว่าจะมาปลุก เราเลยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 2 เรือน แต่นาฬิกายังไม่ทันปลุก เค้าก็มาเคาะเรียกเสียก่อน เราแค่ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรีบลงไปสมทบกับเพื่อนร่วมเดินทางอีก 6 คน จากโรงแรมเดียวกัน กลุ่มหนึ่งมี 4 คน เป็นคุณน้าผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 1 คน ที่มาจากซานฟรานซิสโก พอดีมี 1 ในกลุ่มเคยมาเที่ยวเมืองไทย เลยได้พูดคุยกันเยอะหน่อย และได้รู้ว่าพรุ่งนี้พวกคุณน้าก็จะไปคาราวานเดียวกับเราจากอัสวาน-ลุกซอร์ แต่ไม่ได้พักโรงแรมเดียวกัน เพราะพวกคุณน้าชอบวิวแม่น้ำไนล์มาก เลยอยากพักโรงแรมที่มองเห็นวิวแม่น้ำไนล์ชัด ๆ แต่ก็ยังไม่ได้จอง กำลังให้โรงแรมนี้ติดต่อให้อยู่ ส่วนอีก 2 สาว มาจากประเทศญี่ปุ่ม แต่งตัวสไตล์ญี่ปุ่นจริง ๆ เลย พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เรารับอาหารกล่อง ซึ่งก็คือเมนูเดียวกันกับที่กินทุกวันแหละ แต่บรรจุใส่กล่องให้ เราซื้อน้ำขวดใหญ่เพิ่มจากโรงแรมในราคา 3 EP. ตีสาวสิบห้ารถก็มารับ เป็นรถบัสสภาพดีนั่งได้ประมาณ 20 คน ตอนขึ้นไปมีผู้หญิง 2 คน ที่มาจากโรงแรมอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว ต่อจากนั้นรถก็จะขับไปรับผู้โดยสารที่อยู่ตามโรงแรมอื่น ๆ จนเต็มคัน แล้วไปตั้งขบวนเพื่อออกพร้อมกันทั้งเมืองเลย ออกเดินทางพร้อมกันประมาณตี 4 พอรถเริ่มออกผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็เริ่มทยอยนอนหลับกัน เราหลับ ๆ ตื่น ๆ เลยได้มีโอกาสเห็นแสงแรกของพระอาทิตย์กลางทะเลทราย ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่ง ก็ถึงอาบูซิมเบล ประมาณ 6.30 น. ก่อนลงจากรถคนขับรถจะนัดแนะเวลาโดยให้เรากลับมาขึ้นรถที่เดิม คือ บริเวณหน้าทะเลสาบ Nasser เวลา 8.50 น. ดังนั้นเรามีเวลาประมาณ 2 ชม. ในการชมวิหารอาบูซิมเบล ก่อนไปจากรถเราได้ถ่ายรูปรถบัสและคนขับไว้ เผื่อว่าตอนขากลับจำรถและคนขับไม่ได้ เดินเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นก็คือคิวห้องน้ำยาวเหยียดมาก เราเลยตัดสินใจไปซื้อตั๋วก่อนแล้วค่อยออกมาใช้บริการตอนขากลับ จากห้องขายตั๋วต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1 กม. จะถึงบริเวณวิหารอาบูซิมเบล ราคาตั๋ว 43 EP.ต่อคน
แสงแรกที่ทะเลทราย
ช่วงที่เราไปถึงยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ อากาศก็เย็นสบาย ถึงจะมีแดดจ้าก็ตาม วิหารแห่งนี้สร้างโดย ฟาโรห์รามเซสที่ 2 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ที่ 19 ของไอยยุปต์ โดยการสร้างแบบสกัดหน้าผาเข้าไป หันหน้าไปยังทะเลสาบนัสเซอร์ (Lake Nasser) สิริรวมอายุเข้าไปก็ 3,200 กว่าปีเข้าไปแล้ว โดยพระองค์หวังว่าจะให้พวกนูเบียนนั้นเห็นถึงฤทธานุภาพของพระองค์ จะได้ไม่เข้ามารุกรานดินแดนไอยคุปต์ โดยใช้เวลาสร้างราว 20 ปี จึงแล้วเสร็จ มีความกว้าง 35 เมตร และมีรูปสลักของฟาโรห์รามเซสที่ 2 นั่งประทับ 4 องค์ แต่ละองค์ก็มีความสูงถึง 20 เมตร ส่วนด้านบนสุดจะมีรูปสลักลิงบาบูนจำนวน 22 ตัว เพื่อแทนจำนวนชั่วโมงในแต่ละวัน เป็นครั้งแรกที่เราเห็นรูปสลักของรามเสสขนาดมหึมา แบบจะ ๆ เราจึงออกอาการตลึงเล็กน้อยกับภาพที่เห็น เพราะความใหญ่โต อลังการของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา ดังนั้นคงไม่แปลกที่ผู้ที่ตั้งใจจะมารุกรานแผ่นดินบริเวณนี้ในสมัยก่อน เมื่อมาเห็นสิ่งนี้จะทำให้เกรงกลัวแสนยานุภาพของฟาโรห์รามเสส เพราะการจะสร้างวิหารที่ใหญ่โต สวยงามแบบนี้ขึ้นมาได้ คงต้องมีความพร้อมทั้งกำลังคน กำลังเงินที่มหาศาลที่เดียว นอกจากนี้เรายังทึ่งในความสามารถของผู้ที่มีส่วนร่วมในการย้ายวิหารแห่งนี้เพื่อหนีน้ำด้วย แค่สร้างก็ยังยากแล้วนี่ยังย้ายมาสร้างให้เหมือนเดิมอีก เมื่อเดินเข้าสู่ภายในวิหารจะพบห้องโถงใหญ่ที่เรียกกันว่า Hypostyle Hall ซึ่งดูอลังการด้วยเสาที่สลักเป็นรูปของฟาโรห์รามเซสที่ 2 โดยอยู่ในเครื่องทรงแบบเทพโอซิริส (Osirid pillars) จำนวน 8 ต้น ซึ่งเทพโอซิริสนั้นถือว่าเป็นเทพแห่งปรโลกผู้ปกป้องผู้วายชนม์ ทำให้สร้างความขลังให้กับตัววิหารมากยิ่งขึ้น ส่วนผนังภายในวิหารนั้นจะถูกแกะสลักเป็นภาพนูนต่ำว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการทำศึกสงครามของฟาโรห์รามเซสที่ 2 โดยภาพที่แสดงชัยชนะของพระองค์เมื่อครั้งสู้รบกับพวกฮิตไทต์ (Hittites) ด้านในสุดจะพบกับห้องที่สำคัญที่สุดของวิหารแห่งนี้ เป็นห้องขนาเล็กที่อยู่ลึกสุดถึง 47 เมตรจากปากทางเข้า ภายในห้องจะมีรูปสลัก 4 รูปนั่งเรียงกันอยู่ติดกับผนังโดยเรียงจากซ้ายไปขวาคือ เทพพทาห์ (Ptah) ซึ่งเป็นเทพประจำเมืองเมมฟิสเมืองหลวงแห่งแรกของอียิปต์โบราณ ถัดมาจะเป็น เทพอามุน-เร (Amun-Re) เทพประจำเมืองธีบส์เมืองหลวงในสมัยของพระองค์เอง ถัดไปองค์ที่สามคือ ฟาโรห์รามเซสที่ 2 ในฐานะสมมุติเทพ และขวาสุดจะเป็น เทพเร-ฮอรัสตี้ (Re-Harakhti) ซึ่งเป็นเทพประจำเมืองเฮลิโอโปลิสที่เคยเป็นเมืองหลวงเช่นกัน ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในห้องนี้ นั่นก็คือทุกวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม ของทุกปีจะเกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือในตอนเช้าตรู่เมื่อแสงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากพื้นดินแล้ว ลำแสงของดวงอาทิตย์จะทะลุลอดผ่านวิหารเข้ามาสู่ภายในห้องนี้ โดยลำแสงจะไปจับที่เทพเร-ฮอรัสตี้ ซึ่งอยู่ขวาสุดก่อน แล้วค่อยๆเคลื่อนมาจับที่รูปฟาโรห์รามเซสที่ 2 จากนั้นจึงไปจับที่ เทพอามุน-เร (Amun-Re) แล้วจึงเคลื่อนกลับไปทางเดิมโดยไม่ไปจับที่ พทาห์ (Ptah) เลย เนื่องจากมีความเชื่อว่าเทพพทาห์นั้นถือเป็นเทพที่ติดต่อกับยมโลกและจะสถิตย์อยู่ในความมืด จึงไม่สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ได้ ฟังดูแล้วก็ค่อนข้างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติจริงๆ สิ่งที่เห็นทำให้รู้สึกได้ถึงพลังความศรัทธา และมุ่งมั่นของผู้คนในสมัยนั้น เสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน เราจึงทำได้แค่เก็บภาพความประทับใจไว้ ส่วนภาพที่นำมาให้เพื่อน ๆ ชมก็เป็นภาพที่ถ่ายมาจากภายนอกวิหาร
ทางเดินเข้า
วิหารฟาโรห์รามเสสที่ 2
จากวิหารรามเสสเราก็บไปยังวิหารเนเฟอตารี ซึ่งเป็นมเหสีของรามเสส นัยว่ารามเสส love มเหสีองค์นี้มาก ๆ จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ แบบที่ไม่เคยมีฟาโรห์องค์ใดทำให้มเหสีมาก่อน ภายในก็มีการแกะสลักตามผนังและเพดานเหมือนกับของรามเสส ความยิ่งใหญ่อลังการก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เราใช้เวลากับสองวิหารนี้จนถึงประมาณ 8.15 น. ก็ออกมาเก็บภาพบรรยากาศบริเวณทะเลสาบ Nasser และแวะดูข้อมูลที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก่อนที่จะกลับออกไปขึ้นรถ เราแวะเข้าห้องน้ำด้านนอก ซึ่งไม่ค่อยมีคนเข้า เราสังเกตว่าขามาคนจะใช้บริการห้องน้ำด้านนอกมากกว่า คงเพราะไม่รู้ว่ามีห้องน้ำอยู่ด้านในอีกแห่งหนึ่ง ส่วนขากลับคนจะใช้บริการห้องน้ำด้านในมากกว่า คงเพราะเดินเที่ยวเสร็จแล้วก็อยากเข้าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดมั๊ง แต่ถ้าใครอดทนได้มาเข้าห้องน้ำภายนอกไม่มีคนเลย เรามาถึงที่นัดหมายตามเวลาพอดี ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็จะมากันแล้ว ที่หายไปคือ 2 ยุ่น กับอีก 1 หนุ่มจากโรงแรมอื่น ไม่นาน 2 ยุ่นก็มา พวกเธอบอกว่าจำรถไม่ได้ จนรถจะออกแล้วยังมีอีก 1 หนุ่มมาไม่ถึง คนขับรถบ่นใหญ่บอกว่าทำยังงัย convoy จะออกเดินทางแล้ว และเขาก็รีบเดินไปตามจนได้ตัวกลับมา เราจึงออกเดินทางกลับกัน ขากลับอากาศร้อนขึ้นคนขับรถจึงเปิดแอร์ให้ค่อยสบายหน่อย ตลอดการเดินทางกลับผู้โดยสารส่วนใหญ่ทำกิจกรรมคล้าย ๆ กัน คือ นอนหลับ จะไม่เหมือนก็ตรงท่าทางการหลับของแต่ละคน บางคนที่นั่งเก้าอี้เสริมน่าสงสาร เพราะพนักพิงมันเตี้ย
วิหารเนเฟอตารี
ทะเลสาบ Nasser
ขากลับใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ก็ไปถึงบริเวณ high dam ที่นี่คนขับรถจะถามว่าใครจะไม่ดูเขื่อนบ้าง เรากับสามียกมือทันทีเพราะอ่านข้อมูลของเพื่อน ๆ มาก่อนแล้วว่าไม่น่าสนใจ พอหันไปก็พบว่ามีประมาณครึ่งหนึ่งที่ยกมือว่าไม่ดู ดังนั้นคนขับรถจึงบอกว่าใครไม่ดูให้ลงคอยที่บริเวณหน้าทางเข้า ส่วนคนที่จะไปดูให้นั่งอยู่บนรถ ใช้เวลาดูประมาณ 10-15 นาที ก่อนที่พวกเราจะลงจากรถ คนขับก็เดินขึ้นมาแล้วบอกอีกครั้งให้ชัดเจนว่าใครไม่ดูให้ลง ใครดูให้นั่งบนรถ เขาบอกว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้าใจผิดกลายเป็นคนดูลง คนไม่ดูนั่งบนรถ พอพาเข้าไปก็เกิดโวยวายกันขึ้น พอเขาพูดเสร็จคนที่ไม่ดูจึงลงไปยืนคอยใต้ร่ม อากาศก็กำลังสบาย ขณะที่ยืนคอยรถกลับมารับ เราก็เลยได้รู้จักกับเพื่อใหม่เป็นผู้หญิงที่มาคนเดียวหน้าเป็นฝรั่ง แต่เธอบอกเธอมีเชื้อสายอียิปต์ นั่นซิเพราะเราสังเกตตั้งแต่ตอนไปอาบูซิมเบลแล้วว่าเธอคุยกับคนขับรถอย่างออกรสออกชาติอยู่คนเดียว ส่วนอีกกลุ่มที่ไม่ได้ไปดูก็คือคุณน้าจากซานฟรานซิสโกนั่นเอง อันนี้ได้คุยกันแล้ว และอีก 2 คน ๆ เป็นชาย 1 หญิง 1 เราคุยกับผู้หญิง เป็นหมวยชาวฮ่องกง แต่เธอมีมารดาเป็นคนไทย 100% แต่งงานกับพ่อเธอที่เป็นชาวฮ่องกง ปัจจุบันย้ายไปอยู่ฮ่องกงกันหมดแล้ว แต่เธอมียายที่อยู่กรุงเทพ เธอยังพูดภาษาไทยให้เราฟังเป็นประโยคได้เยอะทีเดียว ถึงจะไม่ชัดแต่ก็พอฟังรู้เรื่อง เรายังได้ฮากับหลายประโยคที่เธอพูดด้วย
บริเวณป้าย High Dam ที่คนไม่เข้าไปดูยืนรอรถมารับ
ไม่นานรถก็กลับมารับพวกเราเดินทางต่อไปยังวิหารฟิเล ระหว่างทางที่จะไปวิหารฟิเลนั้น มีการเปลี่ยนคนขับรถคนเก่าซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ เป็นชาวอียิปต์ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำให้การสื่อสารยากลำบากขึ้น แต่โชคดีที่มีนักท่องเที่ยวสาวที่มาคนเดียวแล้วมีเชื้อสายอียิปต์เป็นไกด์จำเป็นให้ พวกเราเลยได้เดินทางไป-กลับวิหารฟิเลโดยเรือในราคา 5 EP. โดยไม่ต้องต่อราคาให้ยุ่งยากเหมือนที่เพื่อนบางคนเจอ ค่าตั๋วเข้าฟิเลราคา 20 EP.ต่อคน ฟิเลเป็นวิหารที่อยู่บนเกาะ จากข้อมูลทั้งในหนังสือและหนังสารคดีที่เราดู บอกว่าเป็น วิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าไอซิส ซึ่งเป็นพระมารดาของเทพฮอรัส (เทพเหยี่ยว) เป็นวิหารแห่งสุดท้าย ที่มีการจารึกเรื่องราวของอียิปต์ในภาษาฮิโรกลีฟิค เป็นเทวาลัยที่มีพิธีกรรมบูชาเทพแห่งสุดท้าย ก่อนที่อียิปต์จะถูกปกครองโดยชาวโรมัน เดิมวิหารนี้ ตั้งอยู่ที่เกาะ Philae แต่ถูกน้ำจากเขื่อนอัสวานท่วม องค์การรยูเนสโก จึงได้ชะลอหนีน้ำไปไว้ที่สูงกว่าที่เกาะ "Agilika" วิหารฟิเลย์นี้เป็นหนึ่งในสามวิหารแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ที่สร้างโดยราชวงศ์ปโตเลมี ที่ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี เสาวิหารมีการแกะสลักหลากหลายแบบ บางต้นหัวเสาเป็นรูปใบปาล์ม บ้างเป็นรูปดอกบัวคลี่ บ้างเป็นต้นปาปิรุสและยังมีใบไม้ต่างๆอีกหลายชนิด เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบและตกแต่ง ที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานวัฒนธรรมของ 3 ชาติ คือ อียิปต์-กรีก-โรมัน ที่สมบูรณ์แบบและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งวิหารฟิเลย์นี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นเพชรน้ำเอกแห่งลุมแม่น้ำไนล์ ถือว่าเป็น "ไข่มุกแห่งอียิปต์ ในบางส่วนของภาพสลักที่ผนังวิหารจะเห็นร่องรอยการถูกขูดทำลายแล้วมีการสลักสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ และตัวอักษรแบบคอปติกลงบนผนังด้วย ในความคิดของเรารู้สึกว่าเป็นวิหารที่มีความสวยงามและอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ประกอบกับทิวทัศน์โดยรอบ ทำให้ฟิเลดูมีเสน่ห์มาก ๆ เรามีเวลาเดินชมวิหาร 1.30 ชม. พวกเราข้ามเรือกลับไปขึ้นรถที่เดิม
วิหารฟิเล
คนขับรถพาไปชม Unfinished Obelisk พอถึงผู้โดยสารหญิงที่ทำหน้าที่ไกด์จำเป็นก็ถามว่ามีกี่คนที่จะเข้าไปดู คราวนี้มียกมือประมาณ 4-5 คน ที่เหลือไม่ดู ดังนั้นคนที่ดูก็จะลงไปดู ส่วนที่ไม่ดูคนขับรถจะพาไปส่งตามโรงแรม แล้วจะวกรถกลับมารับคนที่ดูอยู่อีกครั้ง เราไปถึงโรงแรมประมาณ 3 โมงเย็น อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว แล้วขึ้นไปดูวิวแม่น้ำไนล์บนดาดฟ้าโรงแรม ในความคิดของเราแม่น้ำไนล์สวยบาดใจจริง ๆ เราจึงชมวิวจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อรอเก็บภาพไนล์ช่วงอาทิตย์ตกดิน
แม่น้ำไนล์ยามอาทิตย์อัสดง จากดาดฟ้าโรงแรม
เสร็จแล้วก็ไปเดินหาอาหารเย็นกิน และแวะเที่ยวตลาดอัสวาน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ๆ เดินเท่าไหร่ก็ไม่สุดสักที มีร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่ขายของที่ระลึกและพวกเครื่องเทศ คนขายจะมายืนตรงถนนที่คนเดิน แล้วก็เชิญชวนให้คนเข้าไปดูของในร้านของตัวเองเป็นอย่างนี้ตลอดทางเลย อ้อ! เค้ามักจะทักเราว่า Japanese เวลานำเสนอ เค้าจะบอกว่าทุกอย่างในร้าน one dollar แล้วก็ชี้ไปที่ของในร้าน แต่เราว่าต้องไม่ใช่แน่เลย หลาย ๆ อย่างมันไม่น่าจะ one dollar เราว่าคงเป็นเทคนิคที่จะทำให้ลูกค้าเข้าไปในร้านก่อนจากนั้นค่อยหว่านล้อมให้ซื้อสิ่งของในร้านอีกที เพราะธรรมชาติของคน ก็ชอบของถูกอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้เข้าไปดูสักร้าน เพราะยังไม่คิดจะซื้อของอะไรให้เป็นภาระ รอไว้ซื้อที่ตลาดข่านทีเดียวดีกว่า ได้แต่เดินชมบรรยากาศ มีพ่อค้าบางคนก็เข้ามาจับข้อมือเราแล้วทำท่าจะจูงไป เราก็บอกว่า ไม่ค่ะ เป็นภาษาไทยพร้อมกับส่งยิ้มให้ เค้าก็จะปล่อย เทคนิคยิ้มสยามนี่ใช้ได้ผลจริง ๆ เรากับสามีเดินแจกยิ้มไปทั่ว เค้าจะพูดอะไรแจกยิ้มอย่างเดียว เค้าก็จะไม่เซ้าซี้เราอีก เคยอ่านเรื่องของเพื่อน ๆ บางคนจาก internet บอกเล่าถึงผู้ชายอียิปต์ว่าจะชอบหลีสาวต่างชาติ เราไม่เจอนะ ตามที่เราเจอเราคิดว่าผู้ชายอียิปต์ขี้เล่น และมักมีสายตาที่แสดงชัดเจนว่าชื่นชมหญิงสาวชาวต่างชาติ ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรนะ แต่เค้าก็แค่มองและส่งสายตาแค่นั้น ไม่ได้ทำอันตรายอะไร เราเดินเล่นประมาณ 1 ชม. ก็กลับไปพักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้รถจะมารับตอน 7.15 น. คืนนี้คงหลับสบายแน่เลย
Shopping center ที่อัสวาน
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 22:09:35 น.
2 comments
Counter : 2143 Pageviews.
Share
Tweet
ตามมาอ่านจนจบทันที่อัพเดทแล้วค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
ชอบมาก ๆ เลยนะคะที่คุณมะลิเขียนเนี่ย
ไม่เหมือนที่เคยอ่าน ๆ มาทั้งหมดเลย
เพราะว่าเขียนละเอียดมากจริง ๆ ค่ะ เห็นภาพหมดเลย
ว่าทัวร์จะพาไปไหนอะไรยังไง กี่โมง กี่โมง
ใครจะดู ใครจะไม่ดู จะลงรถ ขึ้นรถอะไรยังไง
ละเอียดมากจริง ๆ ค่ะ ชอบมาก ๆ
ชอบเทคนิคที่ถ่ายรูปคนขับรถกับรถไว้จะได้ไม่หลง
แล้วก็ขอบคุณสำหรับเทคนิคการเข้าห้องน้ำด้วยนะคะ
จะเอาไปใช้แน่นอนค่ะ เรื่องด้านนอกกับด้านในน่ะค่ะ
รูปพระอาทิตย์ตกดินแม่น้ำไนล์นี่งดงามจริง ๆ นะคะ
เห็นแล้วอยากจะไปพรุ่งนี้เลยทีเดียวเชียว
ขอบคุณอีกหลาย ๆ ครั้งค่ะ แล้วจะเข้ามาอ่านอีกเรื่อย ๆ
โดย:
นางสาวดุ่บดั่บ
วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:26:10 น.
รายละเอียดมากมาย ขอยืมเอาไปใช้หากได้มีโอกาสไปปีหน้า ต้องไปให้ได้
โดย: ไอริน (
กวนฐานฮวา ณ อเบอร์ดีน
) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:27:38 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
ชอบมาก ๆ เลยนะคะที่คุณมะลิเขียนเนี่ย
ไม่เหมือนที่เคยอ่าน ๆ มาทั้งหมดเลย
เพราะว่าเขียนละเอียดมากจริง ๆ ค่ะ เห็นภาพหมดเลย
ว่าทัวร์จะพาไปไหนอะไรยังไง กี่โมง กี่โมง
ใครจะดู ใครจะไม่ดู จะลงรถ ขึ้นรถอะไรยังไง
ละเอียดมากจริง ๆ ค่ะ ชอบมาก ๆ
ชอบเทคนิคที่ถ่ายรูปคนขับรถกับรถไว้จะได้ไม่หลง
แล้วก็ขอบคุณสำหรับเทคนิคการเข้าห้องน้ำด้วยนะคะ
จะเอาไปใช้แน่นอนค่ะ เรื่องด้านนอกกับด้านในน่ะค่ะ
รูปพระอาทิตย์ตกดินแม่น้ำไนล์นี่งดงามจริง ๆ นะคะ
เห็นแล้วอยากจะไปพรุ่งนี้เลยทีเดียวเชียว
ขอบคุณอีกหลาย ๆ ครั้งค่ะ แล้วจะเข้ามาอ่านอีกเรื่อย ๆ