มะลิไทยแลนด์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Group Blog
 
 
มกราคม 2555
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มะลิไทยแลนด์'s blog to your web]
Links
 

 

แบ๊กแพ็คเซี่ยงไฮ้ หางโจว เขาหวงซาน

วันที่ 22 ตุลาคม 2554
เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 01.55 น. ถึง สนามบินผู่ตง เมืองเซี่ยงไฮ้ 06.00 น. โดยสายการบินไชน่าอิสเทรินแอร์ไลน์ ชักชอบไปเที่ยวเมืองจีนมากขึ้นแล้วสิ เพราะไม่ต้องนั่งเครื่องบินนาน เป็นสิบชั่วโมง ออกจากประตูทางออกจะเห็นมีคนมารอรับคนที่จะเดินทางมาถึงเต็มไปหมด เราเดินผ่านบริเวณนั้นออกมาก็มองหาป้าย long distance bus station เป็นสถานีรถบัสไปหังโจว เดินไปไกลหน่อย แต่ไม่ยากอะไร มีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ เราก็ตามป้ายไป ถึงที่จอดรถเดินเข้าไปซื้อตั๋วรถตรงที่คล้ายเป็น office ขายตั๋ว แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย สักพักมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาชี้ ๆ ให้ไปขึ้นรถ เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยพูดแต่คำว่า หังโจว เค้าทำท่าให้เราเอากระเป๋าไปเก็บที่ใต้รถ เราเลยถามว่ารถออกกี่โมง โดยชี้ที่นาฬิกา รถออก 8.30 น. ราคาตั๋ว 100 หยวน โดยมีผู้หญิงที่น่าจะเป็นกระเป๋ารถเป็นคนเก็บเงิน

บริเวณหน้าทางเข้าทะเลสาบซีหู หางโจว



แนวต้นสนผ่านประตูทางเข้าไป



ผู้โดยสารบนรถไปซื้อตั๋วให้ทีเดียวเลย รถออกตรงเวลาดี ประมาณ 4 ชม. รถก็มาถึงหังโจว โดยจอดให้ลงตรงไหนเราฟังไม่รู้เรื่อง แต่ได้ส่งอีเมลล์ถามที่ Hangzhou hofang hostel ไว้แล้วว่าให้ขึ้นรถเมล์สาย k13 ไปแล้วลงที่หอกลอง แต่ว่าดูไปไม่เห็นมีป้ายรถเมล์เลย ก็พยายามสอบถามคนแถวนั้นจนรู้ว่าจะไปขึ้นรถที่ไหน ค่ารถ คนละ 1 หยวน ใช้หยอดที่กล่องข้างคนขับรถได้เลย ปัญหาต่อไปคือจะรู้ได้ยังงัยว่าถึงหอกลองแล้ว ก็เอาภาษาจีนที่พิมพ์ไปให้คนขับรถดู คนขับรถก็พยักหน้ารับทราบ แต่ปัญหาต่อไปก็คือ เราต้องถอยล่นไปข้างในเรื่อย ๆ เพราะมีผู้โดยสารขึ้นมาเพิ่ม เราเลยเอาตัวหนังสือคำว่าป้ายหอกลองให้ผู้โดยสารชาวจีนที่อยู่ใกล้ ๆ ลง เค้าก็ดีมาก ชี้ให้เราดูชื่อป้ายต่าง ๆ ที่อยู่ที่ผนังรถแล้วบอกว่าเราต้องนับไป 7 ป้าย ลงป้ายไหน หลังจากนั้นเราก็พยายามสังเกตตัวหนังสือที่ป้ายรถข้างถนนเมื่อรถจอดแต่ละป้าย จนสามารถเปรียบเทียบชื่อป้ายรถกับชื่อที่ผนังรถได้ จึงรู้ว่าเมื่อใดเราควรจะลง ลงมาถึงก็จะเห็นหอกลองเด่นเป็นสง่า



ทะเลสาบซีหู และเจดีย์บนเกาะกลางน้ำ

หลังจากนั้นก็ลากกระเป๋าไปถามคนที่อยู่แถวหน้าประตูเข้าหอกลอง โดยเอาชื่อโรงแรมให้เขาดู เขาก็ชี้ ๆ ไป เราก็เดิน ๆ ไปแล้วถามไปเรื่อย ๆ จนถึงที่พักในที่สุด ที่พักอยู่ในส่วนที่อนุรักษ์ไม่ให้รถวิ่งเข้าไป ก็น่าอยู่เชียวหล่ะ หลังจากเก็บของก็มาฝากเขาซื้อตั๋วรถไปทังโข่ววันพรุ่งนี้ แล้วถามทางไปทะเลสาบซีหู เดินไปตามทางที่เขาแนะนำ แล้วแวะเที่ยวพร้อมหาข้าวกลางวันกินที่ถนนคนเดิน hefang ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักก่อน มีของกินมากมาย อย่างละ 5 หยวน แต่ที่นั่งไม่ค่อยมี เพราะคนเยอะมาก เราก็ยืนกินเอา หลังจากนั้นจึงเดินไปทะลเสาบซีหู ก็ค่อนข้างไกลนะ ดีที่อากาศไม่ร้อน เลยเดินไปเรื่อย ๆ ถึงทะเลสาบไม่ต้องเสียค่าเข้า บรรยากาศที่ทะเลสาบดีมาก ร่มรื่น น่าเดิน แต่กว้างมาก ๆ ตอนแรกว่าจะเดินให้รอบ


แนวเมเปิลสองข้างทาง ถ้าช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยขนาดไหน

ทะเลสาบ แต่พอเดินไปก็ต้องเปลี่ยนใจ เดินแค่สะพานแล้ววนกลับออกมาเดินบริเวณถนน ที่มีต้นเมเปิ้ลเป็นแถวแนวตลอดข้างถนน นี่ถ้าเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวยมากเลย พอพระอาทิตย์จะตกดินเลยเดินกลับมาที่พัก อาบน้ำแล้วออกไปหาข้าวเย็นกิน และเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศถนนคนเดินเวลากลางคืนอีกครั้ง ตอนแรกว่าจะไปกินที่ถนนคนเดิน แต่คิดไปแล้วกลัวไม่มีที่นั่งอีก พอดีเดินไปเจอร้านหนึ่งน่าจะเป็นประเภทเฟรนไชส์ ดูจากเมนูแล้วมีประเภทข้าวราดกับข้าว ราคาก็ไม่แพง เห็นที่คนจีนถือไปน่ากินดี เลยดูจากรูปแล้วเลือกเอาที่คิดว่าน่าจะอร่อย แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะทั้งเยอะ ทั้งอร่อย ราคาก็ไม่แพงมาก ตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางไปทังโข่ว จะแวะมากินกลางวันที่นี่ก่อน หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินอีกสักพัก ก็กลับเข้าที่พักนอนพักผ่อนดีกว่า

เมืองเก่าหางโจว


ทางเข้าโรงแรมของเราที่หางโจว


ร้านขายของที่ระลึก

วันที่ 23 ตุลาคม 2554
หลังจากทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จเก็บของลงกระเป๋าเรียบร้อย ก็ออกไปเดินเล่นบริเวณถนนอีกด้านของโรงแรม และที่หอกลอง


บรรยากาศยามเช้าในเมืองเก่าหางโจว






โรงพยาบาลแผนโบราณกว่า 200 ปี


หมอแผนโบราณทั้งนั้น


จนเกือบ 11 โมง จึงเดินไปกินข้าวเช้า+กลางวันร้านเมื่อวานเย็น และได้ลองเมนูเด็ดของร้านด้วย ที่รู้เพราะสังเกตว่าคนจีนเกือบทุกคนที่เข้ามาจะสั่งเมนูนี้ บางคนมาเพื่อกินเมนูนี้อย่างเดียว หน้าตามันคล้ายขนมจีบข้างในมีไส้หมูหรือกุ้งสับแต่ที่ไม่เหมือนคือมันมีน้ำซุป เวลากัดน้ำซุปจะไหลออกมาต้องดูดก่อน เราลองสั่งมากินดู ก็ไม่อร่อยมากเท่าไหร่ แต่ข้าวที่สั่งมาเมนูเดียวกับเมื่อวานเย็น (ชอบมาก เพราะผักเยอะดี กินแล้วถ่ายคล่อง)

ขนมจีบข้างในมีน้ำกับหมู เวลากินต้องกัดเล็กน้อยก่อน แล้วดูดน้ำ จึงกินต่อไป

กินข้าวเสร็จก็ไปกลับไปเอากระเป๋าที่ห้องพัก แล้วถามทางไปสถานีรถบัส โดยรถเมล์ แล้วพยายามเดินหาทางไปขึ้นรถเมล์ แต่มันหาไม่เจอ ก็เลยถามคนที่เดินแถว ๆ นั้นดู เค้าก็อธิบายให้อย่างดีจนเรารู้แล้วว่าต้องไปขึ้นฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าทะเลสาปซีหู ซึ่งต้องเดินอีกไกล คำนวณเวลาแล้วน่าจะไม่ทัน ราจึงบอกว่าเราไปแท็กซี่ดีกว่า เค้าเลยเรียกให้ และบอกคนขับแท็กซี่ให้อีกว่าจะไปส่งเราที่ไหน ขอบคุณจริง จริง ค่าแท็กซี่ไปสถานีรถ 30 หยวน จ่ายตามมิเตอร์ ตอนเอากระเป๋าไปเก็บที่ใต้รถบัสได้ทักทายกับชาวจีนคนหนึ่งเป็นชายสูงอายุ ท่าทางดี พูดภาษาอังกฤษพอได้ พอรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยก็ทักว่า “สวัสดี” แถมที่นั่งยังใกล้กับเราอีก หาที่พึ่งได้แล้วเรา เราขึ้นรถตอนเที่ยงครึ่ง
ใช้เวลา 4 ชม. กว่านิด ๆ ก็ถึงเมืองทัวโข่ว ปัญหาต่อไปคือ จะไปโรงแรมยังงัยเพราะข้อมูลที่พยายามหามาไม่มีภาษาจีนเลย ชื่อโรงแรมก็เป็นภาษาอังกฤษ มีแต่เบอร์โทรศัพท์ แต่เราก็ไม่มีโทรศัพท์อยู่ดี แต่ไม่เป็นไรวางแผนไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะเกาะลุงคนที่รู้จักกันก่อนขึ้นรถไว้ให้เหนียวแน่น ซึ่งตอนอยู่บนรถเราได้ถามแล้วรู้ว่าลุงจะลงทังโข่วเหมือนกัน พอถึงที่ลงจากรถปุ๊บเราก็ประกบลุงเลย ลุงมีรถเก๋งมารับถึงที่ ก่อนที่ลุงจะขึ้นรถเราก็ปรี่เข้าไปถามว่าเราจะไปโรงแรมนี้ทำยังงัย ลุงก็พยายามดูรายละเอียด แต่ก็ไม่สามารถบอกเราได้ว่าจะไปยังงัย เราเลยบอกว่าไม่รู้ว่าเลขตรงนี้ใช่เบอร์โทรศัพท์โรงแรมหรือเปล่า ลุงดูแล้วบอก เอ้อ น่าจะใช่ แล้วบอกว่าเดี๋ยวลองโทร.ไป


ใบไม้เปลี่ยนสีขนเขาหวงซาน แต่น่าเสียดาย ฝนตกเห็นแต่หมอก


ทิวทัศน์วันนี้มีแต่หมอก มองได้ไม่ไกล

ถามดู นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการ ลุงพูดภาษาจีนกับคนที่โรงแรมแล้วหันมาบอกเราว่าให้คอยที่นี่เดี๋ยวเค้าจะขับรถมารับ เลขทะเบียนรถมีเลขแปดอยู่ตัวสุดท้าย เราก็รีบขอบคุณลุง ลุงก็บอกไม่เป็นไร แถมบอกว่าพรุ่งนี้เจอกันบนเขาหวงซานนะ ลุงไปแล้วเหลือแต่เราสองคน ตั้งสติได้หันมาถามกันว่าทำไมคนที่โรงแรมถึงบอกแต่เลขตัวท้ายหล่ะ แล้วตัวอื่น ๆ ไปไหนหมด แล้วถ้ามีตัวท้ายแปดมาหลายคันจะรู้ได้งัยว่าคันไหน แต่ก็เอาเถอะเดี๋วยมาก็รู้เอง สักพักใหญ่ ๆ ก็มีรถตู้เล็ก ที่มีเลขแปดตัวสุดท้ายมาจริง ๆ ตัวก่อนเลขแปดเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น จึงเดากันว่าทำไมจึงบอกแค่เลขแปด บางทีอาจเป็นเพราะคนขับไม่รู้ตัวหนังสือภาษาจีนหรือเปล่า ในที่สุดรถก็พาเรามาถึงที่พัก ที่ร่มรื่นทีเดียวแต่อยู่ค่อนข้างห่างจากแหล่งชุมชน ที่พักชื่อ haungshan pine ridge lodge


เช้าวันใหม่ ฟ้าดี แต่น่าเสียดายกล้องใหญ่ไม่ทำงาน เลยต้องใช้กล้องเล็กสำรอง





ดูจากสิ่งแวดล้อมแล้ววันนี้คงต้องฝากท้องไว้ที่โรงแรมแล้วล่ะ ดีนะที่เราเตรียมเสบียงทุกอย่างสำหรับขึ้นเขาวันพรุ่งนี้มาพร้อมแล้ว ไม่ต้องซื้อหาอะไรเพิ่มเติมอีก เข้าที่พักเตรียมของลงเป้สำหรับขึ้นเขาวันพรุ่งนี้ แล้วไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารในโรงแรม อาหารมื้อนี้แพงจริง เพราะการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างผู้ส่งสารที่พยายามใช้ทั้งภาษาอังกฤษ จีน และภาษาท่าทาง กับผู้รับสารที่รู้เพียงภาษาจีนเท่านั้น ยังงัยก็ตามอาหารมื้อนี้ก็รสชาติดีทีเดียว หลังจากนั้นไปพักผ่อนเอาแรงเพราะพรุ่งนี้กะว่าจะออกเดินทางแต่เช้าเลย โดยรถที่โรงแรมจะไปส่งถึงที่ ๆ เราจะขึ้นรถบัสไปยังทางขึ้นเขา

วันที่ 24 ตุลาคม 2554
อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามืด ยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไร ได้ยินเสียงเหมือนฝนตก เปิดหน้าต่างไป ฟ้ามืดมองไม่เห็นอะไร ได้ยินเสียงลมค่อนข้างแรง ยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างจึงรู้ว่าฝนตก โธ่ อากาศไม่เป็นใจเลย คงไม่สามารถเดินทางไปตีนเขาแต่เช้าตรู่ได้แน่ จึงไม่รีบร้อนอะไร เพราะหวังว่าอีกสักพักฝนคงจะหยุดตก แต่รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่หยุดตกสักที 7.30 น. Check out แล้วกระเป๋าใบใหญ่ฝากไว้ที่โรงแรม แล้วไปกินข้าวเช้าที่ห้องอาหารโรงแรม (ค่าโรงแรมรวมอาหารเช้าด้วย) เป็นข้าวต้ม กับข้าว และน้ำเต้าหู้ ตอนเข้าไปมีผู้ชายกลุ่มหนึ่ง


บรรยากาศยอดเขาล้อมรอบด้วยหมอก เหมือนเขาลอยอยู่บนสวรรค์เลย

กำลังนั่งคอยฝนหยุดตกเหมือนกันอยู่ในห้องอาหาร พอเราเริ่มกิน เค้าก็ออกไปโดยมีคนขับรถโรงแรมไปส่ง แต่ฝนก็ยังตกอยู่ จนเรากินข้าวเช้าเสร็จแล้วฝนก็ยังไม่หยุดตก เพียงแต่เบาลงเท่านั้น เราตัดสินใจให้คนขับรถโรงแรมไปส่งที่ท่ารถขึ้นเขาเลย ไปถึงท่ารถมีนักท่องเที่ยวมากเหมือนกัน ค่ารถคนละ 13 หยวน นั่งรถไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทางก็โค้งเหมือนแม่ฮ่องสอนเลย ไปถึงตีนเขายังต้องเดินไปอีกระยะหนึ่งจะถึงทางขึ้นกระเช้า เราขึ้นทาง yungu หลังจากซื้อตั๋วเป็นค่าเข้า 230 หยวน/คน ค่ากระเช้า 80 หยวน/คน แล้วต้องต่อแถวรอขึ้นกระเช้าอีกประมาณ 20 นาที ระหว่างทางที่นั่งกระเช้ามองไม่เห็นอะไรเลย เพราะฝนยังตกอยู่ ทำให้มีหมอกมาก ถึงข้างบนฝนก็ยังตกอยู่ แต่ทุกคนก็พากันเดินไปเรื่อย ๆ เราแวะถ่ายรูปบ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่เพราะฝนตกตลอด ขึ้นไปดูตามจุดชมวิว เช่น beginning to believe แต่ก็ไม่ค่อยเห็นวิวอะไร เพราะมีหมอกหนามาก กะว่าจะเดินไปให้ถึงโรงแรมแล้วพักจนกว่าฝนจะหยุดตกค่อยออกมาเดินเล่นใหม่ โรงแรมอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เดินไปเรื่อย ๆ ก็ประมาณไม่เกิน 1 ชม.ถึงโรงแรม paiyunlou อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นอนเล่นในห้อง ตื่นมาอีกทีประมาณบ่ายสองโมง ฝนก็ยังไม่หยุดตก ตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก เราเดินไปตามจุดชมวิว เช่น flying over rock เป็นจุดที่สวยทีเดียว ถ้าฝนไม่ตก ฟ้าแจ่มคงจะดีกว่านี้มาก เดินเล่นถ่ายรูปอยู่ประมาณ 2 ชม. เพราะกลัวว่าจะไม่คุ้มค่าที่ขึ้นมา ในที่สุดก็ทนหนาวไม่ไหว เลยกลับโรงแรมดีกว่า เข้าห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กินอาหารที่เตรียมมา หวังว่าพรุ่งนี้ฝนคงจะหยุดตก ได้เห็นวิวสวย ๆ เหมือนที่อยากเห็นนะ

วันที่ 25 ตุลาคม 2554
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่หกโมงเช้า สิ่งแรกที่ทำ คือ เปิดหน้าต่างออกไปดูว่าฝนหยุดตกหรือยัง แล้วก็พบว่าฝนหยุดตกแล้ว แต่หมอกหนามาก มองไม่เห็นอะไรเลย ก็ยังดี ยังมีความหวังสำหรับวันนี้ รีบทำกิจวัตรประจำวัน กินอาหารเช้าเป็นเสบียงที่เตรียมมา แล้ว check out ตอนแปดโมงครึ่ง ตอนนั้นฟ้าเริ่มสว่างขึ้น มีแดดลอดออกมาเล็กน้อย เราเดินกลับอีกทาง โดยจะไปลงทาง yuping ก็คือเส้นทางที่เดินเมื่อวานนั่นเอง ระหว่างทางวิวเริ่มสวยขึ้น รีบเอากล้องมาถ่ายรูป แต่โชคร้ายจริง ๆ กล้องไม่ทำงาน ทำยังงัยก็ถ่ายไม่ได้ รู้สึกผิดหวัง จนอยากจะทิ้งกล้องไปเลย เอากล้อง compact ที่ติดมา


หินบิน flying over rock

ด้วยถ่าย ก็ถ่ายได้ไม่กี่รูปแบตก็หมด โธ่ ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย เพราะหลังจากเก้าโมงเช้าแล้ว แดดดีมาก และเนื่องจากเมื่อวานฝนตกทั้งวัน วันนี้เลยมีหมอกให้เห็น เป็นภาพที่สวยงามมาก เหมือนเราอยู่บนสวรรค์เลย รู้สึกว่าคุ้มค่าจังที่อุตส่าห์ขึ้นมาถึงที่นี่ เสียอย่างเดียว ได้แต่ดู ไม่สามารถถ่ายรูปมาให้คนอื่นเห็นได้ เราพยายามเอากล้องออกมาถ่ายอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่สำเร็จ กล้องไม่ทำงาน เศร้าเลยเรา……. คิดว่าสงสัยต้องหาซื้อกล้องใหม่ตอนไปถึงทุนซิแล้ว เพราะยังเหลืออีกตั้งหลายวัน ไม่มีกล้องคงไม่ได้ วิวสวยมากทุกจุด เช่น บริเวณ turtle peak, narrow cliff เราได้ขึ้น lotus peak ด้วย เป็นเส้นทางที่น่าหวาดเสียวมาก ทั้งแคบ ทั้งชัน แต่ยังไม่เท่ากับอีกยอดที่สูงที่สุด โชคดีเค้าปิดเส้นทาง เลยอ้างได้ว่าที่ไม่ขึ้นเพราะเค้าปิด ไม่ใช่ไม่กล้าขึ้น เนื่องจากเราทำเวลาค่อนข้างดี อาจเป็นเพราะไม่ได้หยุดถ่ายรูปนาน ๆ เราเลยมาถึงบริเวณ yuping เร็วกว่าที่คิดไว้ ตกลงใจว่าจะเดินลงแทนที่จะนั่งกระเช้าลง เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะระหว่างทางมีวิวสวย ๆ ให้ดู แต่ก็ไม่มีภาพถ่ายมาอวดใคร…เศร้าอีกแล้ว…. ส่วนใหญ่เป็นทางลงเขา ลง ….ลง….ลง แล้วก็ลง จนบางครั้งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงซะที ในที่สุดเราก็มาถึงท่ารถบัสลงเขา ตอน บ่ายสามโมงครึ่ง รวมเวลาที่เราเดินมาจากโรงแรม 7 ชม.เต็ม สงสัยพรุ่งนี้ยกขาไม่ขึ้นแน่ ๆ เลย ตอนนี้ก็เริ่มจะเดี้ยง ๆ แล้ว นั่งรถบัสกลับมาผ่านหน้าโรงแรม บอกให้คนขับรถจอดให้ลง ค่ารถคนละ 6 หยวน กลับเข้าโรงแรมเอากระเป๋าที่ฝากไว้ รถที่โรงแรมมาส่งที่ท่ารถไปทุนซิ โดยไม่ได้คิดเงิน จากทัวโข่วไปทุนซิประมาณ 1 ชม. ค่ารถคนละ 20 หยวน


เมืองเก่าทุนซิ


ขนมจีบลูกละ 10 บาท อร่อยดี

ถึงท่ารถที่ทุนซิ ตอนแรกกะจะเรียกแท็กซี่ พอดีคนขี่สามล้อเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังชวนให้ขึ้นสามล้อ เราเลยลองนั่งดู เค้าคิด 15 หยวน ไปถึงหน้าทางเข้าโรงแรม haungshan old street youth hostel เป็นเมืองเก่ามีถนนคนเดินอยู่หน้าโรงแรมเลย ลงจากสามล้อเดินไปนิดเดียวก็ถึงโรงแรม เข้าโรงแรมอาบน้ำเก็บของแล้วออกมาเดินหาข้าวเย็นกิน เดินออกไปจากถนนคนเดินเป็นร้านอาหารแบบชาวบ้าน เค้าจะมีทั้งเนื้อ ผัก เต้าหู้ เสียบเป็นไม้ ๆ เราต้องเลือกว่าจะเอาอะไรบ้าง แล้วไปให้เค้าคิดเงิน เค้าจะเอาไปลวกทำคล้าย ๆ ก๋วยเตี๋ยว อร่อยดี ชอบมีฟองเต้าหู้หลายแบบและผักด้วย ที่สำคัญราคาไม่แพงเลย 35-45 บาท ก็อิ่มแล้ว หลังจากนั้นไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน เป็นหมู่บ้านโบราณ สวยงามได้บรรยากาศ เดินพอสมควรก็กลับโรงแรมไปพักผ่อน วันนี้พอแค่นี้ก่อน เพราะเดินมามากแล้ว เก็บแรงไว้สำหรับเดินวันพรุ่งนี้บ้าง


อาหารมื้อเย็นวันนี้ เหมือนสุกี้บ้านเรา


หน้าเมืองเก่าทุนซิยามราตรี


นักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่



วันที่ 26 ตุลาคม 2554
เช้าลงมาถามเส้นทางไปหงชุนโดยรถเมล์กับพนักงานโรงแรม ไปไม่ยากเลยแค่ขึ้นรถเมล์ไปที่สถานีรถบัส แล้วก็ซื้อตั๋วรถบัสไปหงชุนต่อ ออกจากโรงแรมแวะกินอาหารเช้าก่อน เป็นเกี๊ยวน้ำและบ๊ะจ่างคนละลูก อร่อยดี และถูกอีกแล้ว กินเสร็จแล้วถามทางไปขึ้นรถเมล์ไปสถานีรถบัส ค่ารถเมล์คนละ 1 หยวน นั่งไปไม่นานก็ถึงสถานีรถบัส เข้าไปสอบถามหาช่องซื้อตั๋วไปหงชุน ค่ารถคนละ 17.50 หยวน แต่รถออกตอน 10.00น. รถจะออกทุก 1 ชม. ขณะนั่งรอเวลาไป


บรรยากาศดีมาก สงบ และสวยมาก







ทดลองเล่นอินเตอร์เนตหยอดเหรียญที่ท่ารถบัส เปิดดูข่าวน้ำท่วม เร็วดีเหมือนกัน รถออกตรงเวลา นั่งรถประมาณ 1.30 ชม. ก็ถึงหงชุน ส่วนซิตี้นั้นจะอยู่ก่อนถึงหงชุนประมาณ 30 นาที ค่าตั๋วเข้าหงชุนคนละ 104 หยวน เข้าไปมีนักเรียนมาวาดภาพหมู่บ้านเต็มไปหมด บรรยากาศดีมาก แดดก็ดีวันนี้ แต่ไม่ร้อน ภาพแรกที่เห็นเมื่อเข้าไปถึงคือภาพสระน้ำหน้าหมู่บ้านที่มีเงาสะท้อนของหมู่บ้านในน้ำ เป็นภาพที่เรามักจะเห็นในหลาย ๆ review และเป็นภาพที่ดึงดูดให้เราอยากไป




ตรงกลางหมู่บ้านมีสระน้ำอีกแห่งหนึ่ง เงาบ้านสะท้อนน้ำสวยงามมาก





หงชุน จากนั้น เดินเล่นรอบหมู่บ้าน ถึง 3 โมงเย็นก็เริ่มเดินกลับออกมา ตอนลงจากรถขามาถามไว้แล้วว่ารถที่จะกลับทุนซิคันสุดท้าย 4 โมงเย็น นั่งรถกลับถึงท่ารถก็ขึ้นรถเมล์สายเดิมกลับมาที่โรงแรม กลับเข้าโรงแรมอาบน้ำเสร็จก็ออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน และหาข้าวเย็นกิน โดยตั้งใจจะไปร้านเดิม เพราะติดใจผักกับฟองเต้าหู้ เสร็จแล้วกลับไปนอน พรุ่งนี้ต้องเดินทาง 6 ชม. เพื่อเข้าไปเซี่ยงไฮ้แล้ว




ภายในหอประชุมใหญ่ของหมู่บ้าน


ร้านขายของที่ระลึกในหมู่บ้าน


ลวดลายหน้าต่างสลักไว้อย่างวิจิตร


ต้นเมเปิลใหญ่หลังหมู่บ้าน


ใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม
วันที่ 27 ตุลาคม 2554
เช้านี้ไปกินอาหารเช้าที่ร้านเดิม แล้วกลับมา check out หลังจากนั้นก็มีคนของโรงแรมพาเราไปขึ้นรถเก๋ง เพื่อไปส่งขึ้นรถบัสไปเซี่ยงไฮ้ เรานั่งไปพร้อมอาหมวยคนหนึ่ง พอไปถึงถนนใหญ่ คนขับรถก็จอดรถไว้ข้างถนน แล้วเขาก็ลงไปยืนริมถนน เราเลยถามอาหมวยที่นั่งมาด้วยว่าเค้าทำอะไร เธอพูดภาษาอังกฤษพอได้ เธอบอกว่าเค้ามาดักรถที่จะไปเซี่ยงไฮ้ เราต้องรอบนรถเก๋งจนกว่ารถบัสที่ไปเซี่ยงไฮ้จะมา เราเลยชวนเธอคุยต่อ รู้ว่าเธอเป็นครูสอนที่โรงเรียนประถมในเซี่ยงไฮ้ เธอมาที่นี่เพื่อขึ้นไปเที่ยวเขาหวงซาน และเธอเพิ่งกลับลงมาจากเขาเมื่อวานนี้ แสดงว่าเธอต้องขึ้นไปวันที่เราลงนั่งเอง


โรงแรมที่พักในเซี่ยงไฮ้ คืนละ 700 เอง


นี่แหละแหล่งช๊อปปิ้งขนาดใหญ่ในเซี่ยงไฮ้

เราเลยขอเธอดูรูปถ่ายบนเขาหวงซานของเธอ ซึ่งรูปก็สวยใสไร้ที่ติ เราเลยบอกว่าเธอโชคดีที่ไม่เจอฝน หลังจากนั้นไม่นานรถบัสก็มา พวกเราเลยไปขึ้นรถ รถวิ่งไปประมาณ 3 ชม. ก็จอดให้ผู้โดยสารลงไปยืดเส้นยืดสาย บ้างก็หาของเล็ก ๆ น้อย ๆกิน บ้างก็ไปเข้าห้องน้ำ ประมาณ 10 นาที ผู้โดยสารก็เริ่มทยอยขึ้นรถ ไม่นานก็ขึ้นมาเกือบครบ ขาดอยู่คนเดียว คือ อาหมวยที่นั่งมากับเรา เราพยายามมองหาเธอแต่ก็ไม่เจอ คนขับรถก็เดินตามหา รออยู่นานเหมือนกัน แล้วเราก็เห็นเธอเดินออกมาจากร้านอาหาร เลยรีบกวักมือเรียกเธอ ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าเราเรียกเธอ นึกว่าเราโบกมือทักทายเธอ เธอยังโบกมือตอบเรา เราก็เลยกวักมือให้รู้ว่ามาขึ้นรถได้แล้ว เธอรีบวิ่งมาที่รถ คนขับรถบ่นใหญ่เลย รถมาถึงสถานี shanghai south bus station ตรงเวลาประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง ลงจากรถรับกระเป๋าเสร็จแล้ว อาหมวยถามว่าเราจะไปไหน เราบอกจะไปถนนหนานจิง เธอเลยบอกให้ว่าต้องไปขึ้น subway สายอะไร เธอบอกเธอก็จะไปสายเดียวกับเรา ให้ตามเธอไป เมื่อไปถึงที่สถานีเธอก็เดินไปที่ขายตั๋วแล้วซื้อตั๋วมาให้เราเฉยเลย เราพยายามให้เงินเธอ แต่เธอก็ไม่ยอมรับซะงั้น โอ้ ช่างเป็นคนดีเสียจริง ๆ เราขึ้น subway สาย 1 ไปลง people square พร้อมอาหมวย หลังจากนั้นเธอก็พาเราไปส่งยังทางเข้าออก subway หมายเลขหนึ่งเพื่อให้เราไปยังถนนหนานจิงได้ แต่ทางไปขึ้น subway มันเยอะมาก เรางงกันไม่รู้ว่าจะต้องออกทางไหน ออกผิด เลยไม่ได้ขึ้น subway สาย 2 ตามที่โรงแรมเขียนบอก ต้องเดินจาก people square ไปเรื่อย ๆ แล้วก็ถามเส้นทางเค้าไปตลอดทางกว่าจะถึงโรงแรม mingtown hiker youth hostel ก็เกือบชม.เหมือนกัน หลังจากเก็บของที่ห้องพักแล้วก็ออกไปหาอาหารเย็นกินกัน เดินออกจากโรงแรมไปทางซ้ายมือประมาณ 50 เมตรก็เจอร้านขายข้าวเลยเข้าไปเห็นมีรูปอาหารและราคาติดไว้ เลยชี้ ๆ เอา เป็นข้าวกับต้มผักใส่ลูกชิ้น ชุดละ 35 บาท รสชาติดี และอิ่มด้วย หลังจากนั้นก็เดินไปเที่ยวถนนหนานจิง เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่เจริญและใหญ่โตจริง ๆ ตลอดสองข้างทางเต็มไป


หอไข่มุก สัญลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้

ด้วยอาคารร้านค้าที่ตกแต่งสีสันประดับด้วยแสงไฟนีออนหลากสี ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ เราเดินย้อนกลับไปทางหอไข่มุก มีนักท่องเที่ยวมากมายมายืนดูวิวหอไข่มุก และเดอะบันด์ที่เต็มไปด้วยตึกสถาปัตยกรรมแบบยุโรป รู้มาว่าเดอะบันด์ก่อกำเนิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง เมื่อราชสำนักจีนยินยอมให้ต่างชาติเข้ามาทำมาค้าขายได้ เดินเล่นสักพักใหญ่ก็เดินกลับไปพักผ่อน ที่โรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกล

วันที่ 28 ตุลาคม 2554
วันนี้กินอาหารเช้าร้านข้างโรงแรมเลย เป็นร้านชาวบ้านขายน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ตัวใหญ่ ตัวละ 1 หยวน กรอบนอกนุ่มในดี แม้ว่าน้ำมันที่ทอดจะดำไปหน่อย แต่นาน ๆ กินทีคงไม่เป็นไร เสร็จแล้วก็ต่อด้วยเกี๊ยวน้ำชามยักษ์ กินกัน 2คน/1 ชาม มีทั้งหมด 10 ตัวเรากิน 4 ตัวอีก 6 ตัวให้คุณสามีจัดการ อิ่มมากเลย ราคาก็ไม่แพงชามละ 10 หยวน หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นแถวถนนหนานจิง เพื่อเก็บภาพบรรยากาศยามเช้า ช่างแตกต่างจากเมื่อคืนลิบลับ ไม่ค่อยผู้คนที่มาท่องเที่ยวหรือชอปปิ้ง ที่มีเป็นชาวบ้านที่มาออกกำลังกายสารพัดชนิด ทั้งขี่จักรยาน รำมวยจีน แล้วเดินต่อไปที่ people square จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ สำนักผังเมืองเซี่ยงไฮ้ ต้องเสียเงินค่าเข้าคนละ 40 หยวน ชั้นแรกจะ


ศูนย์ผังเมืองเซี่ยงไฮ้ แหล่งท่องเที่ยวที่มีขื่อ


แบบจำลองเมืองเซี่ยวไฮ้ขนาดย่อม

เป็นแบบจำลองเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ชั้นสองจะเป็นประวัติเรื่องราวความเป็นมาของเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่ชั้นนี้ทำให้เรารู้จักเซี่ยงไฮ้มากขึ้น ว่ามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและไม่ธรรมดาทีเดียว ก่อนที่คิดจะมาเที่ยวที่นี่ถ้าใครพูดถึงเซี่ยงไฮ้เราไม่ค่อยอยากจะมาเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเป็นเมืองช้อปปิ้งเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นเมืองที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติจีนทีเดียว บุคคลสำคัญบางคนที่เราเคยได้ยินชื่ออยู่เสมอที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปฏิบัติการเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศจีนก็เคยอยู่ในเมืองนี้ เช่น ดร.ซุนยัดเซ็น , โจวเอินไหล เป็นต้น ที่นี่ชื่อเป็นสำนักผังเมือง แต่เราว่าเค้าสามารถทำสิ่งน่าสนใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีมากทีเดียว จะนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ได้ ชั้นที่ 3 เป็นแบบจำลองเมืองเซี่ยงไฮ้ขนาดยักษ์ใช้พื้นที่เกือบทั้งชั้นนั้นเลย มีการเปิดปิดไฟให้ดูเหมือนกลางวัน


บนชั้นสามเป็นแบบจำลองเมืองเซี่ยงไฮ้ขนาดใหญ่ แบบทั้งชั้นเลย ใหญ่แบบอลังการมาก



กลางคืน อลังการเสียจริง ๆ เราได้เข้าไปดูภาพยนตร์ที่ประชาสัมพันธ์เมืองเซี่ยงไฮ้ ที่มีจุดเด่นตรงที่ฉายแบบ 360 องศา แถมคนดูยังรู้สึกว่าได้เข้าไปอยู่ในภาพยนตร์ด้วย เจ๋งมาก เราใช้เวลาที่นี่ 3 ชม.เต็ม พอเที่ยงก็ไปหาข้าวกลางวันกิน แถว ๆ ข้างหน้า แล้วเดินต่อไปที่ชั้นใต้ดินซึ่งจำลองบรรยากาศเอาห้องแถว ที่เป็นสถาปัตยกรรมจีนผสมตะวันตก เป็นร้านค้าของวัยรุ่น รู้มาว่าร้านค้าเหล่านี้อยู่ในอุโมงค์ที่ประธานเหมาสั่งให้สร้างขึ้นในช่วงที่จีนทำสงครามเย็น โดยเกรงว่าอาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นได้ จึงให้ขุดอุโมงค์เพื่อเป็นที่หลบภัย แต่ก็ไม่เคยได้ใช้งานจนกลายมาเป็นศูนย์การค้าใต้ดินใน


อุโมงค์ใต้ดินในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประธานเหมาให้ขุดเพื่อไว้หลบสงครามนิวเคลียร์ ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งช๊อปปิ้งในเมืองเซี่ยงไฮ้แทน


เครื่องดนตรีจีนโบราณ 700 ปัก่อนคริสตกาล

ปัจจุบัน เดินออกจากอุโมงค์ใต้ดินนี้ไปก็ไปถึงพิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ ที่นี่ให้เข้าฟรี มีของต่าง ๆ ให้ดูมากมาย มีทั้งของเก่าของใหม่ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงงานศิลปะด้วย เรียกว่าเดินกันจนเมื่อยเลยแหละ จากจุดนี้ไปเราเดินต่อไปตามแผนที่ที่โรงแรมให้มา เพื่อไปดูบ้านพัก ดร.ซุนยัดเซ็น ระหว่างทางเดินผ่านซินเทียนตี้ ซึ่งเป็นย่านบันเทิงสมัยใหม่ มีร้านอาหารนานาชาติ ผับ บาร์สไตล์ฝรั่ง มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งหน้าร้าน เดินต่อไปจากย่านนี้จะเห็นป้ายสถานที่ท่องเที่ยว เป็นที่ประชุมลับครั้งแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นอาคารชั้นเดียวสร้างด้วยอิฐแดงและอิฐสีถ่านตั้งอยู่หัวมุมถนน ที่นี่เข้าฟรีเหมือนกัน


รูปผู้ร่วมอุดมการณ์กับประธานเหมา


บ้านตอกเตอร์ซุนยัดเซ็น ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์


หลังจากนั้นเดินต่อไปถามเส้นทางคนแถวนั้นบ้าง ว่าจะไปบ้านดร.ซุนยัดเซ็น แต่ยังงัย ๆ ก็ไม่ถึงสักที เจอแต่บ้านท่านโจวเอินไหล แวะเข้าไปดูข้างใน ฟรีเหมือนกัน ข้างในยังจัดไว้ให้คล้ายสภาพเดิมมากที่สุด ซึ่งดูเรียบง่ายจริง ๆ มีห้องพักสำหรับสหายต่าง ๆ ทั้งชาย-หญิง แยกจากกัน มีห้องสำหรับประชุม รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์สมัยนั้นยังงัยไม่รู้ เรายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาบ้าน ดร.ซุน แม้ว่ายามที่เฝ้าบ้านโจวเอินไหลจะบอกว่าไปไม่ทันหรอกเพราะปิด 16.30 น. เราก็ยังคิดว่าขอเห็นหน้าบ้านก็ยังดี เดินไปเจอจนได้ ตอนนั้นแวลา 16.15 น. เราเข้าไปถามคนขายตั๋วเขาบอกยังเข้าได้ พยายามถามว่าปิดกี่โมง เขาไม่ตอบแต่ไล่ให้เข้าไปเถอะ อะไรทำนองนั้น เลยเข้าไปดู มีการจัดนิทรรศการเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของ ดร.ซุน แต่ลักษณะในบ้านไม่ค่อยคงบรรยากาศขลัง ๆ แบบบ้านของโจวเอินไหล (ในความรู้สึกของเรา) เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 40 นาที กับค่าตั๋ว 20 หยวน/คน เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจสำหรับวันนี้ ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เราเดินต่อมาอีกหน่อย ก็ตัดสินใจขึ้นรถเมล์กลับ เดินไปที่ป้ายรถเมล์ถามคนที่กำลังรอรถอยู่ว่าไป people square ขึ้นสายอะไร เค้าก็ดีมากเลยช่วยอ่านป้ายบอกสายรถที่ขึ้นที่เป็นภาษาจีนให้แล้วบอกเรา ในที่สุดเราก็ได้ขึ้น


กลับมาที่แหล่งช๊อปปิ้งในเซี่ยงไฮ้ยามราตรีอีกครั้ง


คืนนี้ยังไปชมความงามของเดอะบันด์ต่อ



รถเมล์กลับมา people square เป็นอีกครั้งที่ต้องเดินผ่านถนนหนานจิง ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตัดสินใจเดินไปกินอาหารเย็นที่ร้านใกล้โรงแรม แล้วเดินไปแถวเดอะบันด์ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศเพิ่มเติม แล้วกลับโรงแรมพักผ่อน






วันที่ 29 ตุลาคม 2554
กินอาหารเช้าร้านเดิม ทั้งน้ำเต้าหู้ และเกี๊ยวน้ำ จุดหมายของเราวันนี้เป็นย่านเมืองเก่าของเซี่ยงไฮ้ หนานซื่อ – อี้
หยวน เราดูแผนที่แล้วตัดสินใจเดินไปทางหาดไว่ทัน เพื่อจะได้เก็บภาพบรรยากาศหอไข่มุก และเดะบันด์ยามเช้าบ้าง หลังจากนั้นเดินต่อไปตามแผนที่ ถึงสวนสาธารณะ แวะดูกิจกรรมยามเช้าของชาวเซี่ยงไฮ้ที่สวนสาธารณะ อดยิ้มและมีความสุขกับกิจกรรมยามเช้าของเด็ก ๆ เซี่ยงไฮ้ ไม่ได้ สามีแอบถ่ายรูปเด็ก ๆ ไปหลายรูป ทางเข้าตลาดอี้หยวนอยู่ติดกับ


มื้อเช้ากับปาท่องโก๋ตัวยาว ราคา ๕ บาท


มุมนี้เป็นมุมเดียวกับที่ถ่ายกลางคืนเลย





สวนสาธารณะ เราเดินที่ตลาดพักหนึ่ง แล้วเข้าไปดูในสวนอี้หยวน ค่าตั๋วคนละ 40 หยวน เป็นสวนที่จำลองแบบมาจากสวนในเมืองซูโจว ซึ่งเป็นต้นตำรับของสวนจีนโบราณ ภูมิทัศน์ส่วนใหญ่เป็นสวนหินรูปร่างแปลก ๆ สลับกับบึงน้ำ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าไปชมไม่ขาด บางทีเราแอบฟังความรู้จากการบรรยายของหัวหน้าไกด์ที่บรรยายให้ฝรั่งฝัง เดินในสวนนี้ประมาณ 2 ชม. ก็ออกมาหาอาหารกลางวันกิน เราเข้าไปที่ร้านที่มีคนเยอะมาก แต่เห็นมีรูปภาพอาหาร

สวนสาธารณะในเมืองเซี่ยงไฮ้




เด็กน้อยสองคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน



พร้อมราคาติดไว้ ถ่ายภาพอาหารแล้วเอาไปให้คนเก็บเงินดู จ่ายเงินแล้วเอาใบสั่งอาหารไปให้เจ้าหน้าที่ ไม่นานเราก็ได้อาหารมา แต่มันไม่ใช่แบบที่สั่ง แต่ก็ไม่เป็นไรกินได้ แล้วก็อร่อยด้วย จานนึงเป็นไข่ผัดมะเขือเทศราดข้าว รู้สึกว่ามาเมืองจีนนี่เรากินอาหารอร่อยทุกมื้อเลย เสร็จแล้วมาเดินต่ออีกชั่วโมงกว่า ซื้อของฝาก ได้ครบก็กลับ โดยเดินกลับทางเดิม กว่า







จะถึงหาดไว่ทัน พระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว เลยนั่งเล่นชมวิวหอไข่มุกและเดอะบันด์อีกครั้ง หลังจากนั้นเดินกลับไปโรงแรมกะว่ากินข้าวเย็นเสร็จแล้วจะไปนั่งเล่นแถวถนนหนานจิง ดูชีวิตผู้คนแถวนั้นซะหน่อย แต่ไม่เป็นไปตามแผน เพราะหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ฝนก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เรากลับเข้าโรงแรม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วกะว่าถ้าฝนหยุดตกก็จะออกมาเดิน แต่ฝนก็ไม่หยุดตก ก็ดีไปอย่างจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว เครื่องบินออก 11.00 น. สอบถามเส้นทาง subway ไว้เรียบร้อยแล้ว


สวนหยูการ์เดน ถือเป็นต้นแบบของการจัดสวนแบบจีน




ต้นแป๊ะก๊วยอายุกว่า 400 ปี







วันที่ 30 ตุลาคม 2554
กินอาหารเช้าที่ร้านเดิม เมนูเดิม เรียบร้อยแล้ว check out พร้อมเดินทางไปสนามบิน เราลากกระเป๋าไปที่ถนนหนานจิง ขึ้น subway สาย 2 โดยป้ายบน subway จะเขียนบอกว่าถ้าจะไปสนามบินผู่ตง จะต้องไปเปลี่ยน subway เมื่อถึงสถานีสุดท้าย เราก็ลงไปเปลี่ยน subway ตามนั้น รวมเวลาจากในเมืองมาถึงสนามบินประมาณ 40 นาที เป็นการเดินทางที่สะดวกและประหยัดด้วย เข้าไป check in รอขึ้นเครื่องบิน ไชน่าอิสเทิร์นแอร์ไลน์กลับกรุงเทพ เครื่องบินมาตรงเวลา ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ เจอกันทริปหน้า


บรรยากาศคีกคักในตลาดขายของเก่า


รูปประธานเหมา ในตลาดขายของเก่า




 

Create Date : 03 มกราคม 2555
1 comments
Last Update : 3 มกราคม 2555 15:07:58 น.
Counter : 6081 Pageviews.

 

สวยงามมากๆเลยครับ ขอบคุณนะครับ

 

โดย: herepin 4 มกราคม 2555 0:52:36 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.