มะลิไทยแลนด์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Group Blog
 
 
มิถุนายน 2554
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
5 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มะลิไทยแลนด์'s blog to your web]
Links
 

 

แบ๊กแพ็คตุรกี ตอนที่ ๔ อิสตันบูล เมืองแห่งสองทวีป

วันนี้ตื่นสายหน่อย เพราะอาหารเช้าที่นี่เริ่มเวลา 8.30 น. ขึ้นไปรับประทานอาหารชั้นบน ห้องอาหารขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็พอนั่ง สามารถมองเห็นวิวทะเลมามาร่า จากหน้าต่างห้องอาหารด้วย บรรยากาศดีทีเดียว อาหารเช้าก็เหมือนกับ 2 โรงแรมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเราสองคน เสร็จเรียบร้อย ก็ลงไปคุยกับพนักงานโรงแรม ได้รับการอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวในอิสตันบูล การเดินทางโดย tram และ metro พร้อมทั้งมีแผนที่อิสตันบูลให้ด้วย หลังจากนั้นเราก็เริ่มสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงที่พักกันก่อน เดินไปไม่นานเจอร้านค้าเลยได้ซื้อน้ำเปล่าไว้กิน 5 ลิตร 2 ลีร่า เดินมาเก็บที่ห้องพักก่อน แล้วเดินกลับไปใหม่














ประมาณไม่เกิน 10 นาที ก็เจอสุเหร่สีฟ้า เลยเข้าไปเที่ยวก่อน ที่นี่ไม่ต้องเสียเงิน เราต้องถอดรองเท้าใส่ถุงพลาสติกที่เค้าเตรียมไว้ให้ แล้วเดินถือเข้าไป เหมือนตอนที่ไปอียิปต์เลย เข้าไปด้านในค่อนข้างอลังการ ภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องที่มีลวดลายสวยงามและเน้นสีฟ้าเป็นหลัก วันนี้นักท่องเที่ยวมากมายจริง ๆ ถ่ายรูปไปติดแต่หัวคน เราไม่สามารถเดินได้ทุกพื้นที่ในสุเหร่า เพราะเค้าจะกั้นส่วนที่ใช้ในการทำละหมาดไว้ ดูยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือและความตั้งใจที่จะแข่งขันกับ St. Sophia จริง ๆ






หลังจากนั้น เดินไปตรงกันข้ามเป็น St. Sophia เห็นคนต่อแถวกันยาวเหยียดอ่านที่ป้าย เค้าแบ่งเป็นแถวคนตุรกี กับแถวนักท่องเที่ยว แต่ก็ยาวพอ ๆ กัน เราเลยรีบไปต่อแถวขืนช้ามีหวังยาวกว่านี้แน่ ๆ ตอนแรกอุตส่าห์ตั้งในว่าจะลองยื่นบัตร ISIC ดู เผื่อจะได้ลดราคาบ้าง แต่หันไปเห็นป้ายติดไว้ก่อนถึงห้องขายตั๋วว่าราคาละ 20 ลีร่า ไม่มีราคานักเรียน อดเลยเรา ก่อนจะเข้าไปเค้าเอกซเรย์กระเป๋าก่อน สงสัยกลัวคนไปวางระเบิด เข้าไปข้างในคนเยอะแยะมากมาย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะภายในใหญ่โตอลังการมาก มี 2 ชั้น และเปิดให้เดินได้หมด นับว่าสมกับที่ได้รับจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางจริง ๆ เพราะนอกจากความยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีเรื่องของการตกแต่งภายในที่สวยงาม วิจิตร มาก ทั้งโมเสก ที่เป็นส่วนของศาสนาคริสต์ และการตกแต่งเพิ่มเติมในยุคของศาสนาอิสลาม มีอายุพันกว่าปี ได้รับการบูรณะหลายครั้ง หลายยุคหลายสมัย เพราะถูกทำลายจากทั้งไฟไหม้ และแผ่นดินไหว หลายครั้งมาก แค่คิดว่าสมัยโบราณไม่มีเครื่องมือ เครื่องจักรที่ทันสมัยสักเท่าไหร่แต่เค้าสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและคงทนได้ขนาดนี้ ต้องยอมรับในความศรัทธา ความสามารถ และความอดทนอย่างยิ่ง เราใช้เวลาดูรายละเอียดทั้งชั้นล่างและชั้นบน ประมาณ 2 ชม.


















หลังจากนั้นก็ออกไปนั่งกินอาหารกลางวัน โดยเหมือนเดิมเป็นขนมปัง ของกินเล่นที่เตรียมมา นั่งกินลมชมวิวอยู่พักใหญ่ เพราะวันนี้อากาศเย็น ไม่มีแดดเลย ทีแรกยังคิดว่าฝนจะตกเลย เพราะฟ้าดูสีเน่า ๆ แต่ก็ไม่มีฝนตก หลังจากนั้นก็ไปต่อกันที่พระราชวังทอปกะปึ เค้าออกเสียอย่างนี้แหละ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก St. Sophia เรียกว่า ถ้าใครพักบริเวณจัตุรัสสุหระต่านอาเหม็ด ก็จะสามารถเดินเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างสบาย ๆ เพราะใกล้มาก ๆ ก่อนเข้าถึงพระราชวัง จะผ่านสวนสาธารณะก่อน เป็นสวนที่ร่มรื่นและสวยงามมาก ๆ รวมกับอากาศเย็นสบายแล้ว น่านั่งเล่นมาก ๆ เราเลยใช้เวลาสักพักที่สวนแห่งนี้ แล้วจึงไปซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวัง ราคา 20 ลีร่าต่อคนเหมือนกัน คนต่อแถวซื้อตั๋วกันมากมาย คราวนี้ไม่มีป้ายบอกเรื่องราคานักเรียน เราเลยลองยื่นบัตร ISIC ดู ปรากฏว่าใช้ไม่ได้ค่ะ เรียกว่าเค้าไม่สนใจจะดูบัตรที่เรายื่นให้เลยล่ะ ก่อนเข้าพระราชวังก็ต้องผ่านการเอกซเรย์กระเป๋าอีกเหมือนเคย เข้าไปด้านในพระราชวังใหญ่โตมาก เอาแค่ส่วนของครัวก็มหึมาแล้ว สุลต่านคงจะรวยมาก ๆ เลย ถัดจากครัวไปเราจะต้องผ่านห้องรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งที่นี่เค้าจะจัดแสดงที่นั่งของสุลต่าน ผ่าคลุมที่นั่ง ผ่าม่าน คนเยอะมาก จนเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่บอกว่าไม่ให้หยุดยืนดู ให้เดินแล้วดูไปด้วย แล้วผ่านออกไปเลย เพื่อไม่ให้การจราจรติดขัด พอออกจากห้องนี้ไป ก็จะเห็นคนยืนต่อแถวกันยาวเหยียด เราเลยคิดว่าห้องนั้นต้องมีสิ่งน่าสนใจมาก เลยไปต่อแถวกับเค้าด้วย พอเข้าไปก็เป็นพวกสมบัติมีค่าของสุลต่าน ที่เด่น ๆ ก็จะมีกริช และโคตรเพชร ที่เค้ามีคนยืนเฝ้าโดยเฉพาะ และไม่ให้ถ่ายรูปด้านในด้วย หลังจากนั้นเราเดินไปดูอีกหลายอาคารมากมายจนจำไม่ได้ ล้วนสวยงาม วิจิตร และมีราคามาก ๆ ทั้งนั้น หมดจากดูห้องจัดแสดง ก็เดินไปด้านหลังเป็นเหมือนที่ประทับริมทะเล ที่มีทั้งห้องหนังสือ ห้องขลิบ ภัตรคารที่ขายอาหารให้นักท่องเที่ยว ซึ่งบริเวณนี้จะมองเห็นทะเลได้ชัดเจนและสวยงามมาก ใช้เวลาในพระราชวังประมาณ 2 ชม. มีส่วนของฮาเร็มที่เราไม่ได้เข้า เป็นส่วนที่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก เราตัดสินใจไม่เข้าเพราะมีข้อมูลว่าข้างในไม่ค่อยมีอะไร และเราก็ได้อ่านประวัติของฮาเร็มมาแล้วว่าเอาไว้ใช้ทำอะไรบ้าง


การแต่งกายของพ่อครัวในวังสุลต่าน


ห้องครัวใหญ่ขนาดไหน ดูจากปล่องไฟเอาละกัน
















ต้นไม้ใหญ่ ตรงกลางกลวงแต่ยังไม่ตาย




ระหว่างเดินกลับได้แวะดู obelisk , serpentime column และ brazen column หลังจากนั้นก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนไปถึงทางเข้าแกรนด์บาซ่า แหล่งชอปปิ้งเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง แต่ยังไม่ได้เข้าไปด้านใน เห็นร้านข้าวแกง คล้าย ๆ บ้านเรา เลยลองกินดู ตอนแรกสั่ง 1 ชุดก่อน เป็นข้าว 1 จาน กับข้าว 2 อย่างในจานเดียวกัน ลองให้คิดเงินดูชุดนี้ 10 ลีร่า หรือ 200 บาท ตอนแรกกะว่าถ้าไม่แพงมากจะสั่งอีกชุด คราวนี้เลยตัดสินใจซื้อเป็นเคบับแบบห่อ 1 อันราคา 4 ลีร่า แล้วแบ่งกันกินดีกว่า กินเสร็จก็เดินกลับที่พัก โดยจะผ่านบริเวณน้ำพุหน้าสุเหร่าสีฟ้า และ St.Sophia ช่วงเย็นคนเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก เห็นมีข้าวโพดต้ม่ขาย เลยลองกินคนละ 1 ฝัก ๆ ละ 3 ลีร่า หรือ 60 บาท ฝักไม่ใหญ่ ที่สำคัญแข็ง และจืดไม่เหมือนข้าวโพดบ้านเราเลย




ชุดเครื่องแต่งกายของสุลต่าน




ถึงที่พักทักทายพนักงานเล็กน้อย แล้วเข้าห้องพักผ่อน ที่นี่มีอินเตอร์เน็ต wi fi ที่เร็วมาก เร็วกว่าทุกแห่งที่พักมา เล่นอินเตอร์เนต เปิดเพลงไทยฟัง แล้วนอนพักสบาย ๆ
ตื่นเวลาเดิมแล้วขึ้นไปกินอาหารเช้าที่ชั้นบน เมนูอาหารก็เหมือนเดิม ช่วงนี้ไม่อยากกินขนมปัง แต่โรตีทอดยัดไส้ชีส ยังกินได้อยู่ แต่ต้องเอาชีสออกให้หมดนะ เพราะมันเค็มมาก เกรงใจแม่ครัวเหมือนกันไม่อยากให้เค้าเห็นว่าเราแกะชีสเค้าทิ้งหมด ก็เลยเอากระดาษทิชชู่ห่อไว้ เสร็จแล้วออกไปเที่ยวเหมือนเคย ตอนนี้เราเริ่มรู้แล้วว่าต้องเดินเส้นทางไหนถึงจะใกล้ที่สุด วันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวที่ baciilica cistern เป็นที่เก็บน้ำในสมัยโบราณ เพื่อส่งไปที่พระราชวังซึ่งเดิมเคยอยู่ตรงบริเวณ blue mosque ในปัจจุบัน ค่าเข้าคนละ 10 ลีร่า ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะใหญ่โตขนาดนี้ มีเสานับเป็นร้อยต้น แต่ละต้นโต ๆ ทั้งนั้น อดคิดไม่ได้ว่าคนโบราณนี่เค้าเก่งจริง ๆ ข้างเปิดไฟสี ๆ ทำให้ที่นี่ดูมีมนต์ขลังมากขึ้นอีก เราเดินไปจนถึงบริเวณที่มีเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทุกคน คือ เสา 2 ต้นที่โคนเสามีหัวของนางเมดูซ่า ผู้มีตำนานเล่าขานต่อ ๆ กันมา ว่าหากนางจ้องมองใครแล้วคนนั้นจะกลายเป็นหิน นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่ออกแบบนำหัวนางเมดูซ่ามารองต้นเสาต้องตะแคงหัวนาง 1 หัว และคว่ำ 1 หัว เพื่อไม่ให้จ้องมองใครได้ เราใช้เวลาในนี้ประมาณเกือบ 1 ชม.










หลังจากนั้นก็ตั้งใจจะขึ้น tram ไปที่สถานี eminonu ซึ่งอยู่บริเวณช่องแคบ bosphorus ก่อนขึ้นจึงไปถามตำรวจที่อยู่แถวสถานีรถให้แน่ใจอีกครั้งว่าขึ้นถูกฝั่งแน่นอน ตำรวจก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่าเราสามารถเดินตามรางรถไฟไปที่สถานีนั้นได้ เพราะอยู่ไม่ไกล เราเห็นว่ามีเวลาพอเลยตัดสินใจเดินเล่นไปตามรางรถไฟ เดินไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ไปถึง เราขึ้นสะพานลอยไปฝั่งตรงข้าม เพราะจะได้เดินดูบริเวณสะพานที่เค้าตกปลากัน เสร็จแล้วค่อยข้ามฝั่งมาดู new mosque และเดินดูของที่ spice market เดินไปเจอเค้าขายแซนวิชปลาอันละ 4 ลีร่า เลยแวะกินกัน รสชาตก็ไม่เลวร้ายอะไร ปลาก็คล้าย ๆ ปลาซาบะ หลังจากนั้นเดินไปเจอบริษัทเรือท่องเที่ยวช่องแคบบอสฟอรัส เห็นติดราคา 10 ลีร่า/คน แต่วันนี้ไม่ค่อยมีคนขึ้น เพราะเป็นอีกวันที่ท้องฟ้ามีเมฆเยอะมาก ไม่ค่อยเห็นแสงอาทิตย์ เหมาะกับการเดินเล่น แต่นั่งเรือชมวิวคงไม่เหมาะ เราเลยตัดสินใจว่าวันนี้คงไม่นั่งเรือแน่ ๆ และที่หวังจะรอดูพระอาทิตย์ตกดินที่สะพาน คงจะยาก ก็เหลือพรุ่งนี้อีกวันที่จะรอลุ้นแสงอาทิตย์ ที่แน่ ๆ วันนี้ลองไปเดินเล่นแถวสะพาน galata ก่อน เห็นเค้ายืนตกปลากันเยอะมาก ๆ เค้าใช้เบ็ดราว ตกได้ที่ละหลาย ๆ ตัวแต่ส่วนใหญ่เป็นปลาตัวเล็ก ๆ เราเดินไปจนถึงปลายอีกด้านของสะพานลงไปเห็นมีตลาดสด เลยเดินเข้าไปดูที่แท้เป็นตลาดขายปลา มีปลาเหมือนที่เห็นเค้าตกได้กันเลย เค้าเอาไปทอดกรอบขาย ตรงนี้จะมีร้านขายอาหารประเภทปลาหลายร้าน และเห็นมีคนมากินจำนวนมากเหมือนกัน ตรงร้านอาหารมีนกตัวใหญ่ ๆ คล้าย ๆ เป็ดเลย มารอกินเศษปลาเยอะแยะเลย เสร็จแล้วเดินข้ามสะพานกลับไปฝั่งเดิม คราวนี้เดินด้านล่างของสะพานบ้าง จะเห็นมีร้านอาหารไปตลอดเส้นทางเลย


















เดินไปถึง new mosque เข้าไปดูข้างในสวยดีเหมือนกัน ขนาดเล็กกว่า แต่ก็สงบกว่า blue mosque เพราะนักเท่องเที่ยวไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก อ่านจากประวัติด้านหน้าสุเหร่านี้อายุประมาณ 400 ปีแล้ว spice market จะอยู่ติดกับ new mosque เลย เราเดินเข้าไปดูด้านในมีพวกเครื่องเทศ และขนม Turkish delight และชาผลไม้ต่าง ๆ ขายหลายร้าน ถ้าเดินออกไปทางประตูอีกด้านจะเป็นตลาดยาวไปตลอดทาง ขายของคล้ายกับสำเพ็งบ้านเรา ก็เลยไม่ได้เดินไป กลับเข้ามาซื้อของฝากพวกของกินด้านใน ซื้อ Turkish delight มาให้คนที่เมืองไทยลองชิมกัน แต่ก่อนซื้อเราก็ชิมไปหลายอย่าง บางชนิดราคาค่อนข้างแพง อย่างที่ไม่มีถั่ว กิโลกรัมละ 8 ลีร่า ถ้ามีถั่ว 16 ลีร่า เราลองซื้อทั้งสองแบบ และเลือกซื้อร้านที่มีลูกค้าเยอะ เป็นยี่ห้อ hazer baba เห็นเขียนขึ้นป้ายและติดข้างกล่องว่า best quality in the world ได้ของฝากแล้วก็เดินกลับกัน ขากลับเดินอีกฝากของถนน เลยได้แวะเข้าไปที่สถานีรถไฟ เห็นมีพิพิธภัณฑ์รถไฟ ข้างในไม่เสียค่าเข้าชม เลยแวะชมกัน ทัวร์นี้เรียกว่า “โอ้เอ้ทัวร์” จริง ๆ เลย แล้วก็เดินกลับไปที่โรงแรม








หลากหลายเครื่องเทศและชา






รถรางไฟฟ้าหรือ tram


Blue mosque ยามราตรี


วันนี้ตั้งใจว่าจะกลับเข้าโรงแรมเร็วหน่อย อาบน้ำ กินข้าว แล้วกลับออกมาอีกครั้งเพื่อเก็บภาพเมือง blue mosque และ St. Sophia ยามค่ำคืนซะหน่อย หลังจากนั้นก็เข้าโรงแรมพักผ่อนสบาย ๆ อีกวัน
วันสุดท้ายของการท่องเที่ยวแล้ว เก็บของเตรียม check out หลังกินอาหารเช้า เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ห้องข้างล่างของโรงแรม แล้วออกไปเที่ยว วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าค่อนข้างแจ่มใส อยู่อิสตันบูลมา 3 วัน เพิ่งเห็นพระอาทิตย์วันนี้เอง วันนี้ตั้งใจจะไปที่ตลาด grand barzzaar ไม่ได้ไปซื้อของหรอก จะไปถ่ายรูป และตั้งใจว่าถ้าแดดยังดีอยู่ เราจะได้ไปนั่งเรือที่ช่องแคบบอสฟอรัส ก่อนถึงตลาดแวะเที่ยว tomb ของสุละต่านหลายองค์ ที่นี่เข้าฟรี







จากนั้นก็เดินไปตลาดเก็บภาพ เป็นตลาดที่ค่อนข้างหรูกว่า spice market ถ่ายรูปเสร็จก็เดินถามทางเค้าไป เพราะดูตามแผนที่แล้วคิดว่าเดินไปถึงสถานี emanonu ได้ แล้วก็จริง เดินไป เดินมา ไปโผล่ที่ด้านหลัง new mosque ที่แท้ grand barzzar ก็ต่อกับ spice market












ข้ามไปขึ้นเรือเจ้าเมื่อวานที่ราคา 10 ลีร่า เมื่อวานเราเห็นเจ้าที่อยู่อีกด้านราคา 12 ลีร่า ไปถึงประมาณ เที่ยงกว่า ๆ พนักงานกำลังเรียกลูกค้าขึ้นเรือ เรานึกว่าเรือจะออก เลยวิ่งเข้าไปถามว่าราคาเท่าไหร่ นั่งนานเท่าไหร่ ได้ความว่านั่งประมาณ 1 ชม. เลยบอกว่าขอไปซื้อแซนวิชก่อนได้ไหม เค้าบอกว่าได้ เลยวิ่งไปซื้อแซนวิชปลามากินบนเรือ เรือค่อนข้างดี มีห้องน้ำสะอาดด้วย เรานั่งกินแซนวิชจนหมด เรือก็ยังไม่ออก คิดว่าเค้าคงรอให้คนเต็มลำ แล้วก็จริง เรือออกประมาณบ่ายโมงตรง วันนี้อากาศดี แดดดีใช้ได้ทีเดียว สองฝั่งวิวสวย บ้านเมืองเค้าดูสวยงาม ไม่เหมือนที่ใครหลาย ๆ คนคิด นั่งเรือสบายใจประมาณ 1 ชม. ก็กลับถึงท่า แต่เรือไม่ได้จอดที่เดิม




























เราหาทางข้ามถนนกลับไปฝั่ง new mosque แล้วแวะเข้าไปซื้อของฝากที่ spice market อีกเล็กน้อย จากนั้นเดินกลับไปเก็บภาพแถว blue mosque อีกครั้ง ตอนแรกว่าจะเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์ แต่ดูเวลาแล้ว ถ้าเข้าไปคงต้องรีบ ๆ เดินดู เลยตัดสินใจไม่ดูดีกว่า เดินหาข้าวเย็นกิน แล้วกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม มาขึ้น tram นั่งไปสุดสาย ราคา 1.75 ลีร่าต่อคน แล้วต่อ metro อีกครั้ง ราคา 1.75 ต่อคนนั่งไปลงสนามบิน ง่ายมาก ๆ check in ขึ้นเครื่องกลับถึงเมืองไทย โดยสวัสดิภาพ
สรุปค่าใช้จ่ายต่อคนครั้งนี้ประมาณ 55,000 บาท ประกอบด้วยคร่าว ๆ ดังนี้
ค่าเครื่องบินระหว่างประเทศและภายใน 2 ขา 35,000 บาท
ค่าที่พัก 5,200 บาท
ค่าอาหาร 1,200 บาท
ค่าเดินทางท่องเที่ยวในตุรกี 2,800 บาท
ค่าตั๋วเข้าชมที่ต่าง ๆ ค่าบอลลูน ค่าทัวร์ 8,200 บาท
ค่าวีซ่า 2,000 บาท




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2554
0 comments
Last Update : 5 มิถุนายน 2554 21:32:15 น.
Counter : 2415 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.