ขอบ่นเรื่องค่าน้ำมันแพง
ตอนนี้ขับรถเก่าที่บ้านไปทำงานเอง พอทำงานแล้วก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันเองด้วย
ทำให้เริ่มตระหนักถึงคำว่า -น้ำมันแพง-
ว่าไปแล้วจ่ายค่าน้ำมันเดือนละสองพันกว่าบาทสำหรับคนอื่นอาจจะรู้สึกว่ามันน้อยมาก
แต่กับคนที่เดินทางด้วยรถเมล์ แท๊กซี่และรถไฟฟ้ามาก่อนอย่างเรา ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไปได้พักนึงทีเดียว
รถคันที่ใช้อยู่ เป็นรถเก่ารุ่นฮิตเมื่อประมาณสิบหกปีก่อน
โตโยต้าทวินแคม
รถแรงแค่ 1300 ซีซี สมัยก่อนเป็นพวงมาลัยธรรมดา
ต่อมาเอาไปเปลี่ยนเป็นพวงมาลับเพาเวอร์ ก็เลยทดแรงเครื่องไปอีกประมาณ 300 ซีซี
ประมวลออกมาได้ว่า ตอนนี้รถแค่ 1000 ซีซี (แต่ก็กินน้ำมันเหมือนเดิม)
สำหรับใช้ในเมืองก็ถือว่าประหยัดมาก
ขนาดนี้ รวมกับที่ไม่ได้ขับทุกวัน เพราะวันที่อยู่เวรก็ไม่ได้กลับบ้าน
แถมยังไม่ค่อยได้ขับออกนอกเส้นทางไปไหนๆอีกด้วยแล้ว
ก็ยังจ่ายค่าเดินทางมากกว่านั่งรถขนส่งมวลชนไปทำงานอยู่มากโข
ยิ่งสำหรับชนชั้นกลางด้วยแล้ว ภาระส่วนนี้หนักโขทีเดียว
ว่าไปแล้ว การซื้อรถสักคันนี่มันภาระเยอะจริง
ไหนจะค่ารถ ไหนจะค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าซ่อม ทะเบียน และอื่นๆอีกมากมาย
แม้จะตื่นตาตื่นใจไปกันรถใหม่ที่เพื่อนๆถอยเรียงๆกันมา
แต่ก็ยังเสียดายตังค์อยู่นั่นเอง
ใช้รถเก่าแหละดีแล้ว
เกียร์ของรถคันนี้ยังเป็นแบบเกียร์ธรรมดาอยู่
(ลองคิดดูว่าถ้าเอาไปเปลี่ยนเป็นออโตอีก ก็จะเหลือแรงให้หมุนล้อรถเท่ากับมอเตอร์ไซค์ดีๆนี่เอง )
เครื่องเสียงเป็นแบบเก่าของ kenwood มีแต่เทปคาสเซ็ตต์
ถ้าเอาตัว converter สำหรับเครื่องเสียงมาใช้
(เสียบตรงช่องหูฟังของเครื่องเล่น แล้วใส่เทปเข้าไปในช่องเทปของรถ)
ก็โอเค
แต่พอซื้อของถูกๆมาใช้ ไม่กี่วันก็พังซะแล้ว
ตอนนี้เลยใช้เสียบหูฟัง iPod กับหูตัวเองแทน
ยังไงก็ขับรถคนเดียวอยู่แล้วนี่
เข้าๆก็ฟังรายการต่างๆ เวลาขับรถไปทำงาน
สถานีวิทยุที่นี่มีไม่กี่คลื่น
เพลงส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่
ที่อังกฤษ มีรายงานว่า คนที่ฟังเพลงจากสถานีวิทยุที่เปิดเพลงคันทรี่เยอะๆ
มีโอกาสฆ่าตัวตายสูงกว่าคนที่ฟังเพลงจากคลื่นที่เปิดเพลงคันทรี่น้อยกว่า ..
แปลกดี
ว่าแต่ว่าใครเป็นคนต้นคิดไอ้ research นี้เนี่ย คิดได้ไง??
อยากสอบใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์
แต่ว่าช่วงนี้ก็ฝนตกบ่อยเหลือเกิน ขี่ไปถือร่มไปก็กระไรอยู่
ก็ขับรถคันเก่านี้ต่อไปละกัน