ขอให้รอ วันรุ่งของพรุ่งนี้ ฟ้าคงมี พรชัยให้กับเรา (พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดช)
Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 มกราคม 2551
 
All Blogs
 

เห็บ หมัด กับหมาหลง



เสียงล้อรถไฟกระทบและเสียดสีกับรางดังเข้าหูตลอดเวลา เร็วบ้างช้าบ้างไปตามจังหวะที่รถวิ่ง ผมนั่งรถไฟจากสถานี Glenferrie เพื่อกลับมายังสถานี Box Hill ความรู้สึกตอนนี้มันช่างเหมือนคนโง่ๆคนหนึ่งซึ่งโดนหลอก และเป็นคนที่โชคไม่เคยเข้าข้างเอาเสียเลย คิดว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่มารับคอมพิวเตอร์คืน เพราะทางร้านโทรศัพท์ไปบอกว่าใช้ได้แล้วไม่มีปัญหาทางร้านลองแล้วทั้งวัน ดูหนังฟังเพลงได้ปกติ ผมจึงวาดหวังว่า เงินที่เสียไปชดเชยกับความโชคร้ายของผมที่ซื้อคอมฯมือสองต่อจากเพื่อนคนไทยด้วยกัน แต่ใช้ไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ คอมฯก็พังโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะแค่เล่น MSN อยู่ดีๆ คอมฯ ก็ตัดดับไปเฉยๆไฟไม่เข้า ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกเหนือจากนี้จริงๆ ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องยกมาซ่อม ซึ่งเป็นร้านของคนไทย ที่จริงร้านซ่อมคอมฯก็มีมาก แต่เป็นร้านคนจีน ร้านฝรั่ง ผมเองนั้นความรู้เรื่องคอมฯมีนัยสำคัญยิ่ง เท่ากับศูนย์ คือไม่รู้เรื่องเลย ใช้อย่างเดียว ผมไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องการสื่อสาร และที่ร้านชอบถามว่าอะไรเสีย หรือคอมเป็นอะไร แม้ว่ามันเป็นคำถามง่ายๆ แต่มันยากที่จะตอบสำหรับคนไม่รู้เรื่องคอมฯ เลย ก็ได้แต่นึกในใจว่า ถ้ากูรู้ก็คงไม่ต้องยกมา กูซื้ออุปกรณ์ไปเปลี่ยนเองก็ได้ ที่ยกมานี่ ก็เพราะไม่รู้ว่าอะไรมันเสีย แล้วก็ไม่มีเครื่องมือตรวจด้วย มึงจะถามทำไมวะ ก็เช็คให้หน่อยสิ ครั้งนี้ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผมต้องแบก CPU อันแสนหนักขึ้นรถไฟมาซ่อมแล้วก็ต้องมาแบกกลับ ครั้งแรกยกมาเปลี่ยน Power Supply เพราะตัวจ่ายไฟมันขาด เสียเงินไปห้าสิบเหรียญ ยกกลับมาบ้านปรากฏว่าใช้ไม่ได้ เลยยกกลับไปใหม่ ไอ้ช่างเวรบอก Main board พังด้วย ก็ได้แต่คิดในใจว่า ครั้งก่อนทำไมมึงไม่ลองเครื่องให้กูวะ มึงให้กูยกไปยกมา แล้วเสียเงินเพิ่มอีกเก้าสิบกว่าเหรียญ (ผมนึกในใจ แต่มันดังไปหน่อย) เปลี่ยน Main board เสร็จ มันก็โทรฯบอกผมให้ไปรับเครื่องได้ ผมก็นั่งรถไฟไปรับเครื่องกลับ แต่พอถึงบ้าน ก็ยังใช้ไม่ได้ ต่ออินเตอร์เน็ตไม่ได้ ต้องยกกลับไปใหม่ บรรลัยไปอีกสามสิบห้าเหรียญ ไอ้ช่างเวรคนเดิมมันก็บอกว่า LAN (คือตัวที่ต่อเข้ากับสายเคเบิลเพื่อติดตั้ง internet) เสีย ผมแปลกใจมากว่า ก่อนที่มันจะโทรฯ ตามผมให้ไปรับเครื่องกลับ ทำไมมันไม่ลองให้ด้วยวะ ต้องให้ลูกค้าชั้นดี (ที่จริงโง่) อย่างผม ต้องยก CPU ขึ้นรถไฟไปๆมาๆ ไม่รู้กี่เที่ยว นี่จะสองเดือนเข้าไปแล้ว คอมฯ ก็ยังใช้ไม่ได้สักที เพราะแต่ละครั้งที่ยกมาก็ต้องทิ้งไว้สองสามอาทิตย์ถึงจะได้ แล้วทางร้านไม่เคยลองเครื่องให้ลูกค้าก่อนที่จะให้ยกกลับบ้าน ครั้งนี้ไอ้ช่างเวรคนเดิมมันก็บอกเหมือนเดิมว่า ลองเครื่องแล้วไม่มีปัญหา พอยกกลับมาก็เหมือนเดิม คือใช้ๆไปแล้ว เครื่องมันตัดขึ้นหน้าจอสีฟ้า บางทีก็อินเตอร์เน็ตหลุดตลอดเวลา สร้างความหงุดหงิดและเสียอารมณ์มาก ครั้นโทรศัพท์ไปบอกไอ้ช่างเวร มันก็บอกว่าตอนลองที่ร้านไม่เห็นเป็นไร มีทางเดียวก็คือ ให้ยกเครื่องมาที่ร้าน เพื่อถอดอุปกรณ์ที่ทางร้านเปลี่ยนให้ แล้วทางร้านจะคืนเงิน มันพูดแบบไม่รับผิดชอบ ไม่นึกถึงลูกค้าโง่ๆอย่างผม ที่ต้องเสียเวลาเป็นเดือนๆ กับการยกคอมฯ เน่าๆไปให้ช่างเน่าๆซ่อม เพื่อให้มันพูดกับผมว่าซ่อมไม่ได้ จะคืนเงินให้ แต่ผมคิดไปคิดมาก็ตัดใจ เพราะยังดีกว่าต้องมาเสียโน่นเสียนี่เพิ่มอีกแล้วไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อไหร่ จากเครื่องราคาห้าร้อยเหรียญ รวมค่ารถไฟไปกลับไม่รู้ต่อกี่เที่ยว ตอนนี้จะเป็นเจ็ดร้อยเหรียญไปแล้ว เท่ากับราคาซื้อใหม่ ถ้ามันคืนเงินให้ก็เท่ากับผมเสียแค่ค่าคอมฯ ที่พัง
ผมยังจำได้ว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ผมอุ้มคอมพิวเตอร์พิการ มุ่งตรงไปยังร้านแห่งนี้ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟ อีกด้านหนึ่งของสถานีนี้เป็น Swinburne University มีทางลอดใต้ดินเชื่อมถึงกันหมดในบริเวณนั้น ผมหวังเพียงแค่ว่าร้านคืนเงินให้ เมื่อผมก้าวเข้าประตูร้าน เสียงสัญญาณดังขึ้นให้คนในร้านรู้ว่ามีคนเข้าร้าน เสียงคนในร้านถามว่า

ผู้ชายที่เฝ้าร้าน “คอมฯ เป็นไรหรือพี่”

เจมส์ “เจ ไม่อยู่เหรอครับ”(เจหมายถึงชื่อไอ้ช่างเวรที่ซ่อมคอมพิวเตอร์ให้ผม)

ผู้ชายที่เฝ้าร้าน “ไม่อยู่ครับ ติดเรียน”

เจมส์ “ก็ไม่มีอะไรมาก เจ บอกว่าเขาซ่อมไม่ได้แล้ว เขาให้ผมถอดชิ้นส่วนที่ทางร้านใส่ให้แล้วจะคืนเงินให้”

ผู้ชายเฝ้าร้าน “พี่ต้องรอเจกลับมาก่อนครับ เพราะผมไม่รู้เรื่อง”

เจมส์ “งั้นผมทิ้งเครื่องไว้นี่แล้วกัน”

ผู้ชายเฝ้าร้าน “ได้ครับ เจ มาเมื่อไหร่ ผมจะให้เขาโทรหาพี่นะครับ”

เช้านี้หนาวจับใจ ลมแรงมากถึงแม้จะสายมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยมีแสงแดดให้เห็น ลืมตาขึ้นมองโทรศัพท์ เพราะเสียงมันดังไม่รู้ว่าใครโทรมาแต่เช้า

เจมส์ “Hello! James’s speaking.”

เจ “พี่ ผมเจ นะครับ คอมฯไม่เห็นเป็นไรเลย”

เมื่อปลายทางพูดขึ้นผมถึงทราบว่า ที่แท้โทรมาจากร้านคอมฯ หลังจากผ่านไปสองอาทิตย์ที่ผมเอาคอมฯไปทิ้งให้ร้านถอดชิ้นส่วนออกเพื่อขอเงินคืน

เจมส์ “เจ ลองหรือยัง”

เจ “ผมลองทั้งวันเลย ใช้ได้ปกติ ดูหนังฟังเพลง ไม่มีปัญหา internet ก็เข้าได้ปกติ ผมว่าพี่ อาจมีปัญหาเรื่องการพ่วงปลั๊กหลายตัว ก็มีส่วนทำให้ไฟจ่ายไม่พอและมันจะมีคลื่นแม่เหล็กรบกวนเครื่อง คอมฯก็จะตัด แล้วถ้าพี่ต้องการเงินคืน ทางร้านเราคืนให้ครึ่งเดียว”

เจมส์ “เหรอ ตกลงใช้ได้แล้วนะ ผมจะได้ไปรับ”

เจ “ครับ มารับได้เลย ถ้าพี่เอาคืนก็ไม่คุ้ม เพราะทางร้านจะคืนเงินให้แค่ครึ่งเดียว ผมว่าพี่เอาไปใช้เถิด เพราะทุกอย่างมันปกติแล้ว”




ผมจึงรีบเดินทางไปรับคอมฯกลับ (ฟังดูเหมือนไปรับคนไข้ออกจากโรงพยาบาลยังไงไม่รู้) ด้วยความดีใจว่าคอมฯใช้ได้ ไม่ต้องทิ้งแล้วซื้อใหม่ ระหว่างทางนั่งรถไฟกลับบ้านผมนั่งคิดเรื่องคอมพิวเตอร์จบ แต่ยังคงปล่อยใจให้ล่องลอยคิดโน่นคิดนี่ต่อไปเรื่อยเปื่อยว่า ทำไมชีวิตผมนั้นถึงโชคไม่ดีเลย เพราะก่อนหน้านี้ก็มีปัญหาเรื่องบ้านที่อยู่ ตอนมาออสเตรเลียใหม่ๆ ผมไปอยู่บ้านยายป้า นมนิด (ที่จริงชื่อนงนิตย์ ) ยายป้ามหาภัยนี้ แกเป็นคนที่ใจอย่างมหาสมุทร คือโคตรเค็ม สามีชื่อโป๊งเหน่ง (ที่จริงชื่อลุงเหน่ง) สองสามีภรรยามหาเค็มคู่นี้มีบ้านให้นักเรียนเช่า ยายนมนิดเป็นคนปากหวานมาก พูดจาเรียกลูกทุกคำ ใครพบเจอครั้งแรกจะรู้สึกอบอุ่นมาก ยิ่งคนห่างพ่อห่างแม่ด้วยแล้ว จะรู้สึกจับใจในคำพูดคนประเภทนี้มาก ครั้งแรกที่ได้รู้จักป้าก็เพราะการแนะนำจากเพื่อนของแม่ผม ที่หวังดีเห็นว่า ผมจะมาเรียนต่อที่เมืองนอก ก็เลยแนะนำให้มาอยู่บ้านป้านมนิด อยู่แรกๆก็ดีไม่มีปัญหา ออกจะชอบด้วยซ้ำว่า บ้านนี้มีระเบียบที่เคร่งครัด ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องความสะอาด แต่ยายนมนิดแกก็ระเบียบมากเกินไป (ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณระเบียบรัตน์) ขนาดดื่มน้ำเสร็จ วางแก้วน้ำไว้ที่อ่างล้างจาน เดินไปห้องน้ำแป๊บเดียว กลับมาอีกทีแก้วน้ำลงไปอยู่ในถังขยะแล้ว

เจมส์ “ป้า ใครเอาแก้วผมมาทิ้งขยะเนี่ย”

ป้านมนิด “ฉันเองจะทำไม กฎของบ้านนี้ ใครกินแล้วไม่ล้าง ก็จะโยนทิ้งให้หมด”

เจมส์ “อะไรแค่วางไว้แล้วเดินไปห้องน้ำแค่แป๊บเดียวเอง”

ป้านมนิด “ฉันไม่ได้มีหน้าที่มานั่งเฝ้าว่าใครวางไว้นานแค่ไหนนี่”

ผมรู้สึกจนปัญญากับเผด็จการในรัฐสภาอย่างนี้ นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเช่าที่เก็บเพิ่ม เมื่อมีเพื่อนมาเที่ยวบ้าน แกบอกเป็นค่าน้ำ เพราะเพื่อนมาก็ใช้ห้องน้ำ ถึงจะไม่ได้มานอนก็ตาม แกจะบวกไปอีกสิบถึงยี่สิบเหรียญ และชอบเข้าห้องนอนเราไปสำรวจโน่นนี่เป็นประจำ เวลาเราไม่อยู่ ที่ทราบก็เพราะ ยายป้านมนิดจะบอกว่า ห้องเราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่เก็บเสื้อผ้า ห้องรกรุงรัง แรกๆผมก็ไม่คิดอะไร แต่พอนานวันเข้าก็รู้สึกรำคาญ และรู้สึกว่า ทำไมกูเช่าห้องแล้ว มึงถึงมายุ่งกับกูอีกวะ มันน่าจะเป็นสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ เรื่องความงกอีกอย่างก็คือ ที่เมลเบิร์นอากาศหนาวเย็นมาก แต่ยายป้ามหาภัยไม่เคยเปิดฮีทเตอร์เลย ไม่รู้จะมีไว้ประดับบ้าน หรือเก็บไว้ใส่โลงเวลาตายหรืออย่างไรไม่ทราบ พอถามว่าทำไมไม่เปิดฮีทเตอร์ แกก็ตอบว่า เปลือง มันเป็นคำตอบที่ง่ายแต่ได้ใจความมาก ไม่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะคำว่าเปลือง เป็นคำเดียวสั้นๆแต่มีความหมาย เมื่อเป็นดังนี้ ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการไปซื้อฮีทเตอร์ตัวเล็กๆมาเปิด ได้แค่สองคืนเท่านั้น พอวันที่สามยายป้านมนิดมาบอกเลยว่า ห้ามเปิด ถ้าเปิดจะเก็บเงินเพิ่ม นี่มันอะไรกันนี่ จะหาเงินเตรียมไว้เลือกตั้งสมัยหน้าหรืออย่างไรกัน ถึงได้เห็นอะไรเป็นเงินไปหมด หรือไม่บรรพบุรุษก็ต้องทำเกลือขายแน่ถึงได้โคตรเค็มอย่างนี้ แต่เหตุการณ์ที่เลวร้ายจนต้องย้ายออก เพราะทนความเห็นแก่เงินและความเห็นแก่ได้ของสองผัวเมียคู่แท้ปาฏิหาริย์ (มหาประลัย) นี้ไม่ได้ก็คือ ผมอยู่บ้านนี้มาร่วมหกเดือน วันนี้มาบอกว่า จะมีคนมาอยู่เพิ่มในห้องผม โดยให้เหตุผลว่า ห้องที่ผมอยู่นั้น ปกติอยู่สองคน แล้วราคาที่คิดผมก็คิดแค่คนเดียว ดังนั้นห้องนี้จึงต้องมีคนอยู่อีกคน ถ้าผมอยากอยู่คนเดียวผมต้องจ่ายราคาสองคน ผมฟังคำพูดเห็นแก่ได้แล้ว อยากจะสวมวิญญาณสามารถ พยัคฆ์อรุณ แล้วจับนังนมนิดโน้มคอตีเข่าให้กองลงกับพื้นจริงๆเลย ทำไมเป็นอย่างนี้ เงินทองมันซื้อได้หมดทุกอย่างหรือไงวะ หรือว่าโดนหัวหน้าพรรคการเมืองให้หาเงินเข้าพรรคให้ได้ตามเป้าหรืออย่างไร ถึงได้งกนัก

เจมส์ “งั้นป้าคืนเงินบอนด์ผมมาแล้วกัน ผมจะย้ายออก”

(เงินบอนด์คือเงินที่จ่ายวางมัดจำล่วงหน้า ส่วนใหญ่จะเก็บล่วงหน้าตั้งแต่สองอาทิตย์ขึ้น
ไป เมื่อครบสัญญาเจ้าของบ้านจะคืนให้ )

ป้านมนิด “เรื่องอะไรจะคืน อยู่ไม่ครบสัญญา”

เจมส์ “ถ้าไม่คืน ป้าเดือดร้อนแน่”

พอผมพูดจบ ป้านมนิดทำท่าทางตกใจนิดหน่อย แต่เก็บอาการได้ดีแม้จะสงสัยในคำพูดฝ่ายตรงข้ามก็ตาม เพราะแกคิดว่าเด็กนักเรียนโง่เกินกว่าที่จะรู้ทันแก ( ที่จริงไม่ได้โง่ แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคจริงๆ และนิสัยคนไทยคือชอบปล่อยเลยตามเลย ไม่ตั้งชมรมคนรู้ทันป้า )

ป้านมนิด “แกจะทำอะไรฉัน”

เจมส์ “ผมน่ะไม่ทำหรอก แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐคงจะทำ ผมไปคุยกับ student supporter มาแล้ว เขาแนะนำว่าผมควรทำอย่างไร เรื่องต่างๆที่ป้าทำน่ะ ผิดกฎหมายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอานักเรียนมาเช่าบ้านตั้งมากมาย หรือเก็บค่าห้องสองเท่า ทั้งที่เก็บคนแรกราคานี้แล้ว ค่าเช่าของคนที่สองน่ะ กฎหมายกำหนดไว้เลยว่า จะเก็บอีกได้ไม่เกินร้อยเหรียญถ้าอยู่ห้องเดียวกัน แล้วการที่ป้าชอบเข้าห้องผมก่อนได้รับอนุญาตก็ผิดกฎหมาย เพราะถือว่าผู้เช่ามีสิทธิที่จะไม่อนุญาตให้ใครเข้าก็ได้ ถ้าเข้าโดยไม่รับอนุญาต ถือว่าละเมิดสิทธิและบุกรุก ส่อเจตนาไม่บริสุทธิ์ ป้านึกว่าผมไม่รู้เรื่องเหรอ ที่ผมไม่อยากพูด เพราะผมกลัวแม่ผมเป็นห่วง เพราะแม่ผมน่ะคิดว่า ผมอยู่ที่นี่ปลอดภัย เพราะคนรู้จักแม่ผมแนะนำมา แต่ตอนนี้ผมหาที่อยู่ใหม่ได้แล้ว ผมขอเงินคืนด้วย”

พอผมพูดจบ ยายป้าหน้าถอดสี พร้อมกับตีหน้าใหม่ คงจะรู้สึกผิดหวังในตัวผม ว่าหน้าโง่แต่ทำไมมันถึงรู้ทันว่ะ

ป้านมนิด “ใจเย็นก็ได้ ป้าคืนให้แล้วกัน ถ้าจะย้ายจริง ก็บอกล่วงหน้าด้วย”

เจมส์ “งั้นผมบอกเลยว่า อีกสองอาทิตย์ผมย้ายแน่”

เมื่อครบสองอาทิตย์ผมย้ายออกทันที เพราะผมได้บ้านใหม่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่เรียนเท่าไหร่ เป็นบ้านคนจีนพ่อหม้ายอยู่กับลูกสาว แบ่งห้องให้เช่า แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเหมือนเดิม มีปัญหาเรื่องฮีทเตอร์เหมือนเดิม เพราะถ้าเปิดฮีทเตอร์เก็บเงินเพิ่ม นอกจากนี้เจ้าของบ้านก็ไม่ค่อยเกรงใจ ทำตัวเป็นเจ้าบ้าน เราจะเดินจะนั่ง จะทำอาหาร ต้องถูกจับจ้องมองด้วยสายตา ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่ใช่ผู้ที่เสียเงินเช่า แต่เป็นแค่ผู้อาศัย เราคนไทย มีความเกรงใจจนเดินตัวลีบ ทั้งที่เสียเงินให้ ก็ยังงงตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ทำไมต้องไปเกรงใจด้วยวะ เสียเงินไปแล้ว ก็น่าจะเป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้ ไม่ต้องมาทำให้เรารู้สึกอึดอัดแบบนี้ สุดท้ายก็จบลงด้วยการย้ายออกเหมือนเดิม อยู่ได้แค่สามเดือนเอง

ต่อมาผมย้ายมาอยู่บ้านคนไทยชื่อไอ้เบิร์ดหัวหมอ ถ้าไม่เรียกหัวหมอ แล้วจะเรียกอะไร ไอ้นี่เป็นคนปากหวานมาก (คงเป็นญาติกับป้านงนิตย์) พูดจาหว่านล้อมโคตรเก่ง ชวนให้ไปอยู่บ้าน บอกว่าประหยัด เสียแค่อาทิตย์ละเจ็ดสิบเหรียญ เราฟังก็เห็นว่ามันถูกดี ก็เลยไปอยู่ แต่โอ้โห... ทำไมคนในบ้านถึงได้มากมายขนาดนี้วะ บ้านมีอยู่สี่ห้อง มีคนอยู่สิบกว่าคน มันอยู่กันอย่างไรวะ บ้านสี่ห้องนอนเก่าๆ ราคาเช่าทั้งหลัง ไม่น่าจะเกินหนึ่งพันสองร้อยเหรียญต่อเดือน ตกอาทิตย์ละไม่น่าเกินสามร้อยเหรียญ ก็น่าจะประมาณ สามสิบเหรียญต่อคนต่อสัปดาห์ แล้วอยู่กันอย่างกับไม่ใช่บ้าน เหมือนค่ายลูกเสือพักแรมมากกว่า วันๆไม่ได้หลับได้นอน แค่กลางคืนนอนฟังคนเข้าห้องน้ำอย่างเดียว ก็ร่วมตีสามตีสี่แล้ว ไอ้เบิร์ดเก็บค่าเช่าอาทิตย์ละเจ็ดสิบ รู้สึกมันแพงมากไปหน่อยนะ อยู่ก็ไม่เป็นอิสระ ก็พอเข้าใจ แต่เก็บอาทิตย์ละเจ็ดสิบต่อคนนี่ สงสัยมันคงเก็บเงินไว้ซื้อหุ้นบริษัท ฮาว คัม แน่ ต่อมเห็นแก่เงินในสมองมันถึงได้แตก ถามไปถามมาถึงรู้ว่า ไอ้เบิร์ดไม่ต้องเสียค่าบ้าน แล้วยังเอากำไรจากเพื่อนๆด้วย เพราะนอนห้องรับแขกเปิดฮีทเตอร์สองตัว แต่ถึงไม่เสียค่าเช่าบ้าน ก็ควรเสียค่าน้ำ ไฟ แก๊สด้วย นี่ไม่เสียอะไรเลย เวลาเรียกเก็บเงินตัวเองก็ไม่หาร แต่เป็นคนจัดการทั้งหมด ทำตัวเป็นใหญ่ในบ้านไม่เกรงใจคนอื่น ถึงแม้ว่าเป็นคนเซ็นต์สัญญาเช่าบ้านก็จริงก็ควรจะช่วยกันเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่กำไรอย่างเดียวแบบนี้ ผมรู้สึกว่าคนพวกนี้เป็นมารสังคมจริงๆ ผมจึงปั่นหัวคนในบ้านแล้วหาแนวร่วม ด้วยการชวนทุกคนร่วมแรงร่วมใจย้ายออกพร้อมๆกัน ได้ผลครับทุกคนย้ายออกเวลาใกล้เคียงกัน (ที่จริงคนเหล่านั้นก็จะย้ายออกอยู่แล้ว) เพื่อให้ไอ้เบิร์ดแบกภาระค่าบ้าน ระหว่างที่หาคนมาเช่าไม่ได้ ไอ้เบิร์ดเก็บเงินบอนด์คนละสองอาทิตย์ล่วงหน้า เวลาจะย้ายออกเราก็บอกล่วงหน้าสองอาทิตย์ เราเลยบอกไม่จ่าย ให้หักเงินบอนด์ไป ไอ้เบิร์ดทำอะไรไม่ได้ต้องยอม เพราะถ้าขืนโวยวาย พวกบริษัทนายหน้าที่ดูแลบ้าน จะยึดเงินที่ไอ้เบิร์ดวางมัดจำทันที เพราะบ้านหลังนี้มีคนอยู่มากเกินกว่าที่กำหนด

สุดท้ายผมก็มาได้บ้านใหม่ เป็นบ้านของคนจีนที่ซื้อบ้านทั้งหลัง แล้วเปิดให้คนมาเช่าเป็นห้องๆ แต่เจ้าของบ้านไม่ได้อยู่ด้วย ใครก็ได้สามารถมาเช่าอยู่ได้โดยไม่เกี่ยวข้องกัน ผมรู้สึกสบายใจกับบ้านหลังนี้ เพราะต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเซ็นสัญญาเช่าห้องเอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของบ้าน นอกจากนี้เจ้าของบ้านยังให้ผมเป็นผู้ดูแลบ้าน เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ กวาดบ้าน ทำความสะอาดครัว แลกกับการลดค่าเช่าอาทิตย์ละสิบห้าเหรียญ จากเดิมเสียร้อยยี่สิบเหรียญรวมทุกอย่าง ก็เสียแค่อาทิตย์ละร้อยห้าเหรียญ และที่สำคัญบ้านหลังนี้ มีอินเตอร์เน็ตให้ใช้รวมอยู่ในค่าเช่าบ้าน ผมจึงต้องหาซื้อคอมพิวเตอร์จากเพื่อนที่รู้จักกัน เพื่อใช้เล่นอินเตอร์เน็ต แต่ซื้อมาเล่นได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็พัง ตอนแรกมีคนบอกว่าโดนไวรัสที่เรียกว่า Badtrans. B เป็นพวกที่มาทางอินเตอร์เน็ต มีแหล่งกำเนิดที่ สหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมาก และยังสามารถทำงานด้วยตัวมันเองจากไฟล์ที่แนบมา โดยไม่ต้องรอให้ผู้ใช้คลิกไฟล์นั้น เพียงแต่ผู้ใช้เปิดอ่านจดหมายให้ปรากฏบนจอ outlook เท่านั้น แล้วมันจะนำตัวมันเองเข้าสู่ระบบ และเรียกตัวมันเองขึ้นมาทำงานทุกครั้งที่มีการบูทระบบ มีการรัน (run) key logger program ที่สามารถแอบบันทึกข้อมูล การกด keyboard ซึ่งรวมไปถึงรหัสผ่านหมายเลขบัตรเครดิต ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้คอมฯ ผมเสีย และต้องยกไปยกมาให้ร้านซ่อม

ผมจึงนั่งรถไฟไปรับคอมฯเน่าๆตัวเดิมกลับมา ผมใจล่องลอยคิดเรื่องเก่าเสียมากมาย ปล่อยใจเตลิดไปอย่างไม่มีสติ มาได้สติอีกทีเมื่อได้ยินเสียง

“Next station is Box Hill.” เสียงที่ดังเตือนให้รู้ว่าสถานีต่อไปเป็นสถานีที่ผมต้องลงแล้ว

กลับมาถึงบ้านด้วยใจจดจ่อที่จะลองคอมพิวเตอร์ จึงถอดปลั๊กไฟที่มีทุกอย่างออก แล้วติดตั้งคอมฯ เน่าๆของผมตามที่ไอ้ช่างเวรบอกมา สิบนาทีแรกทุกอย่างไปได้ดี อินเตอร์เน็ตต่อได้ แต่แล้วเครื่องก็รีสตาร์ทใหม่ เล่นต่อได้อีกสิบนาทีเน็ตหลุดอีก แล้วขึ้นจอสีฟ้า อารมณ์ผมตอนนี้เหมือนคนโดนเตะก้านคอแล้วทำอะไรไม่ได้ เพราะไอ้ช่างเวรคนซ่อมบอกว่าลองเป็นวัน ใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่ทำไมกลับมาบ้านทีไร ก็ใช้ไม่ได้เหมือนเดิม (หรือว่าคอมฯมันไม่ชอบ ให้ผมหม้อหญิงในเน็ต ก็ไม่น่าใช่) ผมหมดปัญญาที่จะทำอะไร มีทางเดียวคือเขียนจดหมายไปหา Department of Consumer Affairs (เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบและให้ความยุติธรรม กรณีผู้บริโภคไม่ได้รับความยุติธรรมจากการซื้อสินค้าหรือบริการหรือคุ้มครองผู้บริโภค) เพื่อให้มาตรวจสอบร้านซ่อมคอมฯ ร้านนี้ว่า ช่างซ่อม มีความสามารถแค่ไหนในการประกอบอาชีพ หากไม่มีความสามารถพอ อาจจะถูกปิดร้านได้ ซึ่งเป็นทางเดียวที่ผมจะได้รับความยุติธรรม จากการยกคอมฯ ไปๆมาๆไม่รู้กี่เที่ยว เพราะโดนไอ้ช่างเวรหลอก และมันจะได้ไม่ไปทำกับนักเรียนคนอื่นๆ เหมือนอย่างที่ผมโดนมา แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้เขียน เพราะเพื่อนนักเรียนไทยที่รู้จักกัน พาเพื่อนชาวอินโดนีเซีย ที่เก่งมากมาดูให้ ผมจึงลืมเรื่องที่จะฟ้องร้องไป

ทุกวันนี้คอมฯ ใช้ได้เป็นปกติแล้ว เพราะว่าเพื่อนชาวอินโดนีเซียที่เรียน IT มาซ่อมให้ Andy (ชื่อเพื่อนอินโดฯ) บอกว่า คอมฯไม่ได้เสียหรอก แต่ Memory Card (RAM) เสีย ข้างในเครื่องนี้มีสองตัว ถอดตัวที่เสียออก ก็ใช้ได้ แล้วค่อยไปซื้อมาใส่เพิ่มอีกตัวทีหลังก็ได้ Andy เป็นคนอินโดนีเซีย มีน้ำใจซ่อมให้ฟรี มานั่งซ่อมนั่งเช็คทุกอย่างให้เป็นครึ่งค่อนวัน โดยไม่คิดที่จะหาผลประโยชน์ใส่ตัวเลยแม้แต่น้อย

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเป็นลำดับ สิ่งที่เข้ามามีบทบาทล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ผมเหมือนหมาหลงพลัดถิ่น ต้องมาเจอกับคนพวกนี้ ซึ่งทำตัวเหมือนเห็บเหมือนหมัดที่ติดบนตัวหมา คอยดูดเลือด โดยที่ไม่คำนึงเลยว่า หมาตัวนั้นเป็นหมาหลงที่อดโซ หรือเป็นหมาที่มีเจ้าของเลี้ยงดูอย่างดี ขอให้มีเลือดให้สูบ ให้กินจนมันอิ่ม จนพอใจ จนกว่าหมาจะตาย มันก็คงไปหาที่ดูดที่กินแห่งใหม่ จนกว่ามันจะสิ้นอายุขัยของมัน พวกคนเหล่านี้คงลืมไปว่าตัวเองก็เคยเป็นหมาหลงมาก่อนตอนที่มาอยู่ที่ออสเตรเลียใหม่ๆ แต่ทำไมทุกวันนี้คนเหล่านี้แปลงร่างเป็นกาฝาก เป็นเห็บ เป็นหมัด คอย เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ เห็นแก่เงิน เวลาตาย ญาติพี่น้องใส่ปากให้ไม่กี่เหรียญก็ยังเอาไปไม่ได้เลย แต่ทำไมตอนมีชีวิตอยู่ถึงได้ไม่รู้จักคำว่า....พอ ......



นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อะติภะคะวา ( 3 จบ )
ยึดมั่นแล้วท่านจะเป็นสุข ปราศจากภัยพิบัติทั้งปวง
คาถา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด


ขอบคุณ กอล์ฟ, ลี้, แอนดี้ และ น้องหนู ฐิติพร ลิมปวรรณถะ




 

Create Date : 04 มกราคม 2551
0 comments
Last Update : 4 มกราคม 2551 11:32:08 น.
Counter : 928 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


พินิจนันท์ เจมส์
Location :
โน้ส อุดม Ayaka Oishi Hiroko Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




รวมเรื่องสั้นจากต่างแดน ชุด หนูอยากเป็นโสเภณีนี้
ผู้เขียนตั้งใจเขียนเพื่อให้เป็นความรู้ และตีแผ่สังคมที่ได้พบได้เจอมา ต้องการให้เป็นเรื่องสั้นที่มีครบทุกอรรถรสหลากหลาย อารมณ์ตลก ชีวิต เสียดสีสังคม และแฝงไปด้วยคติเตือนใจ แต่ละเรื่องผู้เขียนหวังแค่ปลุกจิตให้กับผู้อ่าน ได้รู้ได้สัมผัสกับแง่มุมบางแง่ ที่คนอาจมองข้ามไป และต้องการแสดงให้ เห็นว่าทุกสังคมนั้น ย่อมมีการแก่งแย่งแข่งขัน ดิ้นรน โอ้อวด เหยียดหยามกัน มีทั้งคนดี และคนไม่ดี สิ่งเหล่านี้ในสังคมเดียวกัน แต่คนอาจจะพบอาจเจอไม่เหมือนกัน และสังคม ของคน ก็เหมือนสังคมของสัตว์ผู้ที่เก่งผู้ที่มีกำลังมาก ผู้ที่รู้จักปรับตัว ก็ย่อมอยู่ได้ในสังคม นั้น ผู้ที่อ่อนแอและไม่ปรับตัว ก็ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับคนในสังคมนั้น เพราะทุกคนมี ที่มาต่างกันและมีจุดมุ่งหมายต่างกัน แต่ในเมื่อมาอยู่ร่วมกันในที่ที่เดียวกัน ก็ย่อมที่จะมี ปัญหา เพราะทุกคนเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ต่างคน ต่างต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อความอยู่รอด

เรื่องสั้นส่วนใหญ่ เคยโพสต์ลงในเวปเอ็มไทย ได้รับคำวิจารณ์และคำติชมจากผู้อ่านพอสมควร ผู้เขียนต้องการเพียงแค่ เสนอแนะให้เป็นข้อคิดกับคนรุ่นต่อไป หรือคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมของคนในต่างแดนว่า เราควรจะเตรียมตัวอย่างไร ถึงจะอยู่รอดได้ ผู้เขียนไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย ที่จะนำชีวิตผู้หนึ่งผู้ใดมาประจานให้ได้รับ ความเสียหาย เพราะทุกเรื่องตัวละครทุกตัวก็เป็นเรื่องสมมุติ ถึงแม้จะอิงหรืออ้างถึงสถานที่ จริง ก็เพื่อให้เกิดความสมจริงขึ้นกับเนื้อเรื่องเท่านั้น

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้ จะบรรจุเรื่องราวต่างๆที่เป็นประโยชน์ ความสนุก สนาน สำหรับผู้อ่านอย่างครบถ้วน

ด้วยความปรารถนาดี

เจมส์

มกราคม 2543
New Comments
Friends' blogs
[Add พินิจนันท์ เจมส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.