อยู่สบาย ตายสงบ จากไปไม่คิดค้างใคร แง่บๆ

<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
5 ตุลาคม 2552
 

สมาคม สูงกินลม ไว้ไม่มีหงอย ... แห่งปะเทศไทย (ป้านู๋บี)

ยกให้ท่านป้าบีเป็น ประธานและผู้เชี่ยวชาญในการบริหารงานเรยขอรับ
เสวนากินลม ชมคานกันตามสะดวก แง่บๆ
(หน้าสองแระ ... ยาวเกินลากแระเมื่อยมือ แงบ่ๆ)




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2552
67 comments
Last Update : 7 ตุลาคม 2552 12:35:39 น.
Counter : 1065 Pageviews.

 
 
 
 
น้ำเต็มตุ่มมีสองทาง
ไม่ปิดก๊อกก็ตักทิ้งง่ะ
มีเรื่องเล่าทางอิสลาม
นบีเค้าเห็นผู้หญิงสวยถูกใจ
พอถึงบ้านเจอเมีย ก็ โด๊ะโป๊ะชึ่งๆเลย
เค้าเรียกว่าความอยากมี
ก็ต้อเรียนรู้ที่จะระบายให้ถูกที่
พอทำบ่อยๆ เป็นนิสัย
มันก็ดีขึ้นเอง
อย่างผมเมื่อก่อนมีแฟน
เจอคนสวยก็อยากเหมือนกัน
พออยากก็กลับไปหาแฟน
นานๆเข้ากลายเป็นความเคยชิน
จนเค้าบอกแรงเหลือๆ แบบเนี๊ย
ไปทางอื่นบ้างก็ได้
กลายเป็นเราซะอีกที่ไม่ไป แง่บๆ

(ลอกจากของเดิมมาได้ต่อถูก แง่บๆ)
 
 

โดย: itoursab วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:19:43:17 น.  

 
 
 
อ่ะแฮ่ม....
ไปกันหมดแล้ว...ใครจะอยู่เฝ้าคานละที่นี้อ่ะ
ถ้าสนิมเกาะขึ้นมาละทำไง.....
ประเด็นใหม่....เห็นถนัดกันจังเรืองพระธรรมคำสอน..
งั้นถาม
การเข้าวัดฟังธรรมดีจริงหรือ?
การเข้าวัดเข้าวาช่วยอะไรได้?
การเข้าวัดไปฟังพระหัวล้านสวดได้อะไร?
ข้อคิดเห็นจากอิฉ้าน...
เพราะขนาดพระหัวรกที่บ้านสององค์ที่สวดเรามาตั้งแต่เราจำความได้ บ้างครั้งเรายังไม่เชื่อฟังสิ่งที่เขาสวดเลยและพระสององคืนั้นจะไม่มีวันสวดให้เราลงนรกเป็นแน่แท้แล้วทำไมเราถึงจะไปให้พระที่หัวล้านสวดเราด้วยละ...
อ่ะแหะๆ...
ขอคิดนอกคอกหน่อยนะค่ะ
 
 

โดย: ช้านเอง IP: 112.142.53.66 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:21:05:19 น.  

 
 
 
อ้อ....
เรื่องน้ำเต็มตุ้มไม่ตุ้มอ่ะ
ไม่มีความเห็น
ไม่ค่อยเข้าจายยยยยยยยยยยยยยย
ยังไม่ถึงที่อ่ะ..
เฮ่อ
 
 

โดย: ช้านเอง IP: 112.142.53.66 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:21:11:11 น.  

 
 
 
ถึงคุณ ช้านเอง
ของคนอื่นก็มิรู้แน่ชัดนะ
แต่ป้าขวัญ เข้าวัดพาปั๋วไปทำบุญ ให้เขาสัมผัสกับพระ
สงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็ต้องเลือกที่ดูดีมีปฏิปทา
น่าเลิื่อมใสมีความรู้ทางการปฏิบัติธรรมที่พอจะแนะนำ
ได้ สอนแล้วเราเข้าใจทำตามได้ถูก อยู่ใกล้พระแล้วจะ
รู้สึกมั่นคงทางใจไม่รู้สึกวังเวงประมาณนี้อะค่ะ ทำให้มี
สติดีขึ้น

เมื่อก่อนเข้าห้างช้อปปิ้ง หาของกินอร่อย หาหนังสือ
อ่านเล่นดีดี ฟังเพลงเพราะๆ ก็มีความสุขแล้ว แต่เดี๋ยวนี้
เข้าวัดแล้วมีความสุขมากกว่า ก็เลยชอบทางนี้ ฟังธรรม
แล้วยิ่งเข้าใจก็ยิ่งมีความสุข จนลืมสุขแบบเดิมๆไปเลย
ถ้าให้เลือกไปห้างกับไปฟังธรรม จะเลือกฟังธรรม
มากกว่า ถ้าให้เลือกอ่านนิยายกับอ่านหนังสือธรรมะ ก็
จะเลือกอ่านหนังสือธรรมะ ยิ่งเข้าใจยิ่งชอบอ่าน

สิ่งไหนที่เราเข้าใจ มันก็ดีสำหรับเรา
แต่ถ้าไม่เข้าใจ มันก็ไม่ดีสำหรับเรา
ทุกคนอยากได้ความสุข ทำอะไรแล้วมีความสุข
สิ่งนั้นก็ดีสำหรับเรา ถ้าไม่ทำให้เราเดือดร้อนในภายหลัง
ก็ดีทั้งนั้น
 
 

โดย: ขวัญเอง IP: 58.9.44.23 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:23:17:19 น.  

 
 
 
ถึงคุณช้านเอง อีกที
เรื่องเต็มตุ่ม ต้องระบายของพูชายเนี่ย
มันเป็นทำมะชาดของเขา ที่เราไม่อาจเข้าใจได้
เพราะเราไม่เคยฝันเปียก แหะๆ มีแต่หน้ามืดเป็นครั้งคราว
ถ้าโดนกระตุ้น เหอๆ ถ้าเราอยู่คนเดียวแล้วสนใจแต่เรื่องอื่น
เรา็ไม่ต้องเดือดร้อนกับเรื่องพวกนี้

พูหญิงอย่างเราเห็นผู้ชายต่อให้ถูกสเปคก็ยังไม่อารมณ์
(ไม่รู้ พูหญิงอื่นเขาเป็นไงนะ ) แต่พูชายอย่างปั่วเราเห็น
พูหญิงถูกสเปคก็งึดแล้ว เราว่ามันเป็นทุกข์มากเลยนะ
ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งถ้าตั้งใจรักษาศีลนี่เหมือน มาร
มาผจญเลยแหละ อารมณ์ค้างนาน มันจะไม่ปกติ ต้อง
คอยข่ม บังคับอารมณ์เฉพาะหน้า ฟังปั๋วเล่าแล้วตลกดี
แต่บางทีก็ขำไม่ออก เพราะพูชายคนอื่นๆ ก็มีเรื่องแบบนี้
แล้วถ้าเป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ มันอันตราย พอโดน
อารมณ์กำหนัดครอบงำแล้วขาดสติ อาจเป็นเหตุให้เกิด
คดีข่มขืนได้ สาวๆ จึงตกอยู่ในอันตรายได้ ถ้าต้องไปเจอ
แบบนั้น ถ้าสาวๆบังเอิญไปตรงสเปคคนโรคจิต ก็
อันตราย ถ้าไปตรงสเปคคนดีๆ ก็ดีหน่อย ถ้าไม่ตรง
สเปคใครเลย ถือว่าเป็นบุญไม่มีใครมากวนใจ ดีไปอีก
แบบ


 
 

โดย: ขวัญเอง IP: 58.9.44.23 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:23:39:38 น.  

 
 
 
เฮ่อ.. ตุ่มผุ้ชายมันไม่มีมาตรวัดและมาตราฐานซะด้วย
ช่วงไหนผลิตเยอะก็เต็มไว
ต้องถามสามีป้าขวัญ เอิ๊กๆ ว่าไวขนาดไหน
รุ่นพี่คนนึงบอก
น้ำมาไว้ยามกลิ่นแปลก
แล้วน้ำก็หายไปยามกลิ่น(เมีย)มา
ท่านพุทธทาษเลยเคยบอกไว้ว่า
สิ่งที่ทิ่มแทงที่สุดที่พระพุทธเจ้าจับเป็นคู่ไว้คือ
เสียงชาย กับหูหญิง
หูหญิง กับเสียงชาย
..
เรื่อยๆ ไปจนครบนั่นแหละ
ผมยังแพ้เลย แหะๆ
ถ้าเสียงใสๆ หน้าสวยๆ แง่บๆ
(ไม่งั้นคงบวชไปแระ)
 
 

โดย: itoursab วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:15:27:12 น.  

 
 
 
เอ่อ...เรียน ทั่นประธานที่เคารพ

เอาล่ะ ต่อ ข้อถาม
-------------------------------
ป้าบัว:
กลับมาอธิบายก่อนจิ๊
ไอ้แต่งโดยความเหมาะสม
แล้วค่อยไปเพาะรักจริงๆทีหลังอ่ะ
รุ่นน้องผมเอง
ไปเห็นแล้วมันสะกิดใจ
สงสัยซะด้วยซ้ำ
ผมคิดผิดรึเปล่าหว่า แง่บๆ
------------------------------

แล้ว เอ็ง คิดว่าไงล่ะ แสลงใจ เอ๊ย สะกิดใจ ไงมิทราบ หุหุ
เฮ้อ ทำไม ไม่ไปตั้ง กาทู้
ถาม พวก กูรู้ ที่ พันติ๊ป ล่ะจ๊ะ
มาถาม กูไม่รู้ อย่างป้าทำไม อิอิ

อืม...แต่งงาน เพื่อฟามเหมาะสม ดีจิง ดีไม่จิง
มันก็แล้วแต่มุมมองมั้ง
แล้วแต่ วิบากกรรม ของสองคนนั่น
ว่า เขามาเจอกัน ด้วยเหตุผลใด
เป็น คู่เวร คู่กรรม หรือ คู่สร้างคู่สม กันมาแต่ชาติปางก่อน
ที่สำคัญ มัน อยู่ที่ การปรุงแต่งจริตของ สองคนนั่นด้วยอ่ะ

เอ็งไปถาม เจ้าชายชารล์ กะ เลดี้ ไดฯ
ถาม พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 กะ ยัย วอลิซ ซิมสัน
หรือ ถาม โกโบริ กะ อังศุมาลิน ดูดิ อิอิ

เฮ้อ ถ้า บูเชกเทียน ไม่ตัดสินใจ
แต่งงานเพราะฟามเหมาะสม
จะเกิดตำนาน นงพญาหงส์เหนือมังกร หรือ



เฮ้อ ถามชาวบ้าน แล้ว คำตอบที่ได้เหมือนกัน ไหมล่ะ
แล้วเอ็งจะเชื่อครายดีเอ่ย อย่าลืมนะ
ใครไมรู้ เคยพล่ามไว้ว่า



จุดยืนของคนอยู่บนส้นตีน"
แล้วเท้าคนพูดคำนั้นเขาจะพาเขาไปไหนน้ออ.อ...
น่าตามไปดีรึเปล่า แง่บๆ

ใช้ขี้เลื่อยในหัว คิดเอาเองดิ
ว่า แต่งเพราะ ฟามเหมาะสม กับ แต่ง เพราะฟามร้ากกก
เอ็งคิดว่า ห่วงผูกคอ เอ๊ย พันธะวิวาห์ แบบไหน
มันน่าพิสมัย กว่า กันอิอิ

ก๊อก ไม่มี
ตุ่ม ไม่มี
น้ำจะเต็มได้ไง ล่ะจ๊ะ พ่อนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ เอิ๊ก ๆ


ปอลิง

เออ นี่ ๆ ไหน ๆ ก็ขึ้นหน้าใหม่ แย้ว
ขอรูปใหม่ ด้วยอ่ะ เบื่อ รูปยัยมาช่าแล้วอ่ะ ( มันสวยกว่าป้า หุหุ )
เอารูปนี้ดีกว่า เห็นแล้วจะได้มีกำลังใจในการ กอดคานต่อ

//www.mfo.org.uk/Background/Waiting%20for%20the%20perfect%20man.jpg

เปลี่ยนรูปประดับสมาคม ให้ป้า ด้วยนะจ๊ะ ทูนหัววววว
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:19:38:10 น.  

 
 
 
ถึง คุณ ช้านเอง

อิฉันซมซานกลับมาที่สมาคม แล้วอ่ะ
ไม่กล้าโดดร่มนาน
กัวโดนฝ่ายค้านขอ นับ องค์ประชุม แหะ ๆ


-------------------------
ถาม
การเข้าวัดฟังธรรมดีจริงหรือ?
การเข้าวัดเข้าวาช่วยอะไรได้?
การเข้าวัดไปฟังพระหัวล้านสวดได้อะไร?
--------------------

ขอตอบด้วย ลิงค์นี้นะ เคยเขียนไว้ อิอิ

//board.palungjit.com/f10/จาก-วัดร่องขุ่น-ถึง-คุณไปวัดเพื่ออะไร-197496.html#post2278048


ส่วน อันนี้ แถมให้ อ่านแล้ว มันโดนจายยยย 555


ปลาทอง
//webboard.mthai.com/10/2007-09-13/344806.html


ตำราเลือกชาย (สูตรประจำตระกูลคุณหญิงแม่)
//oldforum.serithai.net/index.php?topic=10275.0

 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:19:38:49 น.  

 
 
 
อีนู๋ขวานบิน

อืม...แอบเข้าอ่าน กาทู้ถาม แล้ว ตบะแตก ว่ะ
สงสัย ตูต้อง กลายเป็น ลิงติด เนต อีกตามเคย เฮ้อออ
แต่ก็นั่น แหล่ะนะ จะพยามบันยะบันยัง ( เท่าที่ จะทำได้ )

เฮ้อ แล้วนี่ ศีลข้อ 4 ของ อีปี้ จะ ถลอก ไหมนี่
งดพ่นน้ำลายในนี้ได้แค่วันเดียวก็ ใจแตกซะแล้ว
แต่ก็นั่นแหล่ะนะ สัจจะ ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
สำหรับ พวก เขี้ยวลากดิน เอ๊ยสวยลากดิน แบบพวกเรา นิ อิอิ

อุปมา ดั่ง คำที่ว่า
ก่อนพูด เราเป็น เจ้านาย คำพูด
หลังเราพูด เราก็เป็นเจ้านายมันอยู่ดี
( จิงไหมจ๊ะ ทั่นประธานที่เคาร๊พพพ อิอิ )

งั้นไม่ปลีกวิเวก ละจ้า
กลับมา ตายรัง เอ๊ย มาเม้าส์แตกที่นี่ ดีกว่า เอิ๊ก ๆ
ไปล่อเสือล่อไอ้เข้ที่อื่น มา แล้ว รู้สึกไม่มันส์อ่ะ
เสือสิงห์กระทิงแรด ที่อื่น เขี้ยวไม่ค่อยคม น่าเบื่อ อ่ะหุหุ

อีกอย่าง สงสาร ภารโรง เอ๊ย ทั่นประธาน ด้วยอ่ะ
แค่ ก้มหน้าก้มตา เป็นเด็กเสิร์ฟ
ล้างถ้วยล้างชาม และล้างส้วมอยู่หลังสมาคมก็หอบแฮ่ก ๆ แล้ว
โถ ๆๆๆ หลานตูงั้น คุณป้าที่ แสนดี อย่างอีปี้
จะมาช่วยมัน ขัดสนิม ให้อีกแรงแล้วกัน อิอิ

ฟัง อีน้อง เอาปั๋วมานินทา เรื่องศีลข้อ 3 แล้วน่าขำ แฮะ
รู้ไหม ข้อที่ อีปี้ คิว่าว่าง่ายที่ซู๊ดดด ( สำหรับตัวเอง ) คือ ข้อ 3 อ่ะ
ถ้าไม่นับการทำไก่หยอกหมา อ่อยหนุม ๆ เป็นงานอดิเรก
ศีลข้อนี้ของอีปี้ ค่อนข้างหมู มั่ก ๆ

อาจเป็นเพราะ อีปี้โชคดี ที่ได้เกิดเป็น ผู้หญิง ยิงเรือ ก็ได้มั้ง
ถ้า อีปี้ เกิดมาเป็น ผู้ชายพายเรือ
บางที ศีลข้อนี้อาจ รัษาได้ลำบากแทบรากเลือดเลยมั้ง

เพราะ ลึก ๆ อีปี้ รู้ตัวดีอ่ะ ว่า
หาก อีปี้เกิดมามีต่อมลูกหมาก แทนปากมดลูก
อีปี้ คง ก่อเวรสร้างกรรม ผูกมัดตัวเอง
จนมีชีวิตเฮงซวย เหมือน ไอ้เจ้าหลานลูกลิง แหง๋ ๆ

เชื่อไหม อีปี้ เคย คิดเล่น ๆ นะว่า
หากอีปี้ เป็น ผู้ชาย เนี่ย
ถ้าไม่มีนิสัยฟันแล้วทิ้งจนเป็นเอดส์ตาย
คงต้องบวชไม่สึกแบบไชยแบ แหง๋ ๆ

เฮ้อ ไม่รู้สินะ มันมีลางสังหรณ์ อ่ะ แหะ ๆ


เอาละ ทุ่มครึ่ง แล้ว
อีปี้ ขอลา ไป เดินจงกรมรอบโรงบาลล่ะ
มัวฝอยซะเพลิน จน เดินฯเลทไปตั้ง ครึ่ง ชม. แหนะ

เจริญในธรรม ( แค้ก ๆ )
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:19:39:30 น.  

 
 
 
ปั๋วป้าจิตมันไวมาก เครื่องรับประมาณจานดาวเทียม
แบบว่า ไม่ต้องหันไปมอง ก็รู้ว่ามีไฝมีฝ้ามีนมมีกลิ่นขนาด
ไหน ถูกสเป๊ค หรือไม่ถูกสเป๊ก จิตมันตื่นตัวมารู้เอง
เป็นสันดอนขุดยาก ปร๊าดเดียว มันเก็บข้อมูลได้หมด
แล้วชอบมาเกทับป้าง่ะ ว่าป้าเงอะๆงะๆ บ้างล่ะ ว่าป้า
โหลยโท่ย ยังงั้นยังงี้ แถมชอบมาว่าป้าไม่สติ ไม่รู้เรื่อง
อะไรซักกะอย่างสู้เขามิได้ เหอๆ

แต่ป้าชอบของป้ายังงี้ อะ ไม่เป็นทุกข์เพราะไปรู้
แต่ละเรื่องมีแต่ทำร้ายตัวเอง แถมยังไม่รู้ตัวอีก ว่าชักศึก
เข้าบ้านทุกวั๊นทุกวัน ไม่มีสงบซักกะติ๊ดวันไหนที่เริ่มคิด
จะขุดสันดานออกถึง จะรู้สึก ว่าสันดอนมันสูงเวลาขุด
มันยิ่งขุดก็ยิ่งหนาว ขุดยากขุดเย็น ขุดไปช้ำไป มดทั้งรัง
ก็ยังเอาไม่อยู่ เห ๆ ...เข้าใจเป่าเนี่ย
 
 

โดย: ป้าขวัญ IP: 61.90.124.180 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:19:40:04 น.  

 
 
 
เชื่อไหม อีปี้ เคย คิดเล่น ๆ นะว่า
หากอีปี้ เป็น ผู้ชาย เนี่ย
ถ้าไม่มีนิสัยฟันแล้วทิ้งจนเป็นเอดส์ตาย
คงต้องบวชไม่สึกแบบไชยแบ แหง๋ ๆ
-----------------------------------------------------

หูย...ป้าแซบ
นิสัยเหมือนปั๋ว อีน้องขวานเลยอะ
แต่ปั๋วอีน้องมันกลัวเอดส์ขึ้นสมองเลยนะ
มันเลือกฟัน อยู่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มาถือศีล5
ต้องงดหมด แต่ใจมันเคยชิน มันเลยแทงหน่อ จึ๊กๆ
แล้วก็บอกว่า ถ้าชาตินี้เอาดีไม่ได้ เกิดชาติหน้าจะขอ
บวชเป็นพระตลอดชีวิต แล้วไม่รู้ชาตินี้จะได้บวชไหม
ลุ้นอยู่เนี่ย... เหอๆ เขาบอกว่ายังทำใจบวชไม่ได้
กลัวว่าเมียไปมีปั๋วใหม่ กลัวว่าลูกจะถูกคนอื่นรังแก

ไม่รู้ใครเขี้ยวกว่ากัน นะเนี่ย

ปล. อยากบอกอีปี้ อีกอย่างว่า นู๋ขวานบิน มันชักจะคุย
กะคนอื่นในเว็บพังจิตไม่ได้แร้วอ่า.... มันเป็นไรไม่รู้
เหมือนคุยไม่ถูกคอ แร้วที่แย่กว่านั้น อีขวานบินมันโคตร
จะถือตัวเลย เดี๋ยวนี้อะ ไม่รู้ มานะมันมาตั้งกะเมื่อไร
เห็นแล้ว ไม่อยากคุยด้วยซักคน ไม่มีใครที่น่าสนใจซักคน
สงสัยจะหัวสูงซะแร้น นิสัยไม่ดี นะเนี่ยชอบไปมองว่า
นี้ก็เฝค นั้นก็เฝค โพสท์กันเหมือนคนท่อง อาขยาน
ไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย อยู่แล้ว หงอยเหอๆ กะอีกอย่างนะ
พูดไปแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใจเรา ก็เลยเงียบดีฝ่า
คนส่วนใหญ่เขาชอบกันแบบนั้น ไม่ชอบความจริง
ชอบทำหน้าสวย หน้าหล่อ เขี้ยวลากดิน เขารับไม่ด้าย
ถ้าไปเหน็บ ไปแหย่ ก็คงได้สนุก อยู่หรอก แต่เบื่อแระ
พวกแหย่แล้วของขึ้นทุกครั้ง มันก็ไม่หนุก แล้วพวกที่แหย่
แล้วของไม่ขึ้นทุกครั้งก็ไม่หนุกอีก หาพวกที่เป็นธรรมชาติ
แท้ๆ ไม่เจอเลย ง่ะ เลยเซ็งจิต แระ บ่นไปงั้นแหละ
เว็บพังจิต เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรดึงดูดใจ อีนู๋ขวานเอาซะเลย
 
 

โดย: นู๋ขวาน IP: 61.90.124.180 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:20:18:55 น.  

 
 
 
ป้าขวัญจ๋า....
ถ้าสันดอนอ่ะคือสันดานมันขุดยากนัก...
ลองนี้เลยค่ะ....สันขวานต้มให้ปั๋วกินแทนข้าว
รับรอง.....หลุดพ้นบ่วงกรรมแหง็มๆ...แต่เอ๊อาจจะติดบ่วงคุกกะได้นี้เนอะ แนะนำผิดไปแระ....แหะๆ
แล้วนี่ถึงประเด็นไหนแร้วนิ....
ป้าบัว....มาเปิดใหม่ๆมั่ง
เอาแบบเถือนๆหน่อย
 
 

โดย: ช้านเอง IP: 112.142.28.26 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:21:19:59 น.  

 
 
 
ถามป้านู๋สันขวาน เอ๊ย ม๊ะช่าย ป้านู๋ขวัญดีกว่า
คิดยังไง ถึงแต่งงานมีปั๋ว...
แถมมีลุกอีก..
ก็ในเมื่อป้านู๋ขวัญรู้อยู่เต็มจิตว่าต่อไปข้างหน้า ห่วงจะผูกคอและรัดจนตัวเรา อาจหายใจลำบาก
....
แต่อย่างหนึ่งนะค่ะ..
ที่พบเห็นมาในชีวิต
ผู้ชายนิสัยดี มักได้กับ ผู้หญิงนิสัยเลว
ผู้หญิงนิสัยดี มักได้กับ ผู้ชายนิสัยเลว
แต่บ้างที่ เลวกะเลว ก็มี
แต่บ้างที่ ดีกะดี ก็มี
แต่เคยมีคนบอกว่า...
นั้นคือส่วนเติมเต็ม คนหนึ่งขาด อีกคนหนึ่งมาเติม
นั้นจริงหรือค่ะ...
แล้วถ้า คนที่เต็มคนด้วยกันทั้งคู่มาเจอกัน มันก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า ล้น..
ความดีล้นเรี่ยราด เราจะเรียกว่าสะอาด ได้หรือไม่
ความชั่วล้นเรี่ยราด เราจะเรียกว่าสกปรก ได้หรือไม่.
รึยังไงค่ะ ป้านู๋ขวัญ
 
 

โดย: ช้านเอง IP: 112.142.28.26 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:21:37:02 น.  

 
 
 
ถึง คุณช้านเอง
คิดยังไง ถึงแต่งงานมีปั๋ว...
แถมมีลุกอีก..
ก็ในเมื่อป้านู๋ขวัญรู้อยู่เต็มจิตว่าต่อไปข้างหน้า ห่วงจะผูกคอและรัดจนตัวเรา อาจหายใจลำบาก
-------
คำถามคลาสสิค เหอๆ
ป้านู๋ขวัญ ไม่เคยคิดจะมีปั๋ว เลย อะ เคยตั้งปณิธาน
ไว้ว่าจะบวชชีตลอดชีวิต เรื่องลูกก็ไม่เคยคิดเรย นะ
แต่คนเรามันถึงเวลา เจ้าหนี้มาทวง มันก็เลยหน้ามืด
เกิดอยากแต่งขึ้นมา อารมณ์ชั่ววูบ อะนะ ตอนนั้นยัง
ไม่รู้เรื่องห่วง เรื่องลำบาก หรอก เพิ่งจะตาสว่าง มารู้
ตอนมีปั๋ว มีลูกแล้ว ง่ะ

--------------

ตัวป้าเอง ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเกิดมาเพื่ออะไร
เกิดมาเพื่อเป็นเมียเขา
หรือเกิดมาเพื่อจะได้รู้จักรสชาติของความทุกข์
เหมือนว่า เรื่องพวกนี้ถูกกำหนดไว้แล้วจากกรรม
ของเราในอดีต ส่วนปัจจุบันคือเราจะทำกรรมแบบเดิมๆ
ต่อไป หรือเลือกทำกรรมใหม่ เพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้
ป้าขวัญ ก็ได้แต่ฝึกฝนตนเองให้มีสติ เพื่อเอาชนะกรรม
อยากทำเพื่อลูก ไม่อยากให้เขาลำบากเหมือนเรา
ถ้าเรารู้ความจริงของชีวิต เราจะช่วยเหลือคนอื่นได้
ตามกำลัง ป้ามีลูกเป็นแรงบันดาลใจ อยากช่วยลูก
ให้เดินได้ถูกทาง เราก็เดินให้ได้ก่อน ถึงจะนำลูกได้
ส่วนปั๋ว ก็แล้วแต่เขา เขาก็มีทางของเขา ถ้าเขาได้รู้
ความจริงของชีวิตก่อน เขาก็บอกว่า จะมาช่วยป้าขวัญ
กะลูก ด้วยเหมือนกัน แต่ทัศนคติและจริตมันต่างกัน
ก็แข่งกันอยู่ในทางธรรม นั่นแหละ เขาก็ว่าทางเขาถูก
ป้าก็ว่าทางของป้าถูก เหอๆ ไม่รู้ใครจะถึงเส้นชัย ก่อนกัน
ก็ไม่รู้ว่า คู่ป้าขวัญมันไม่ได้เหมือนเติมเต็มมั้ง แต่มัน
เหมือนแข่งกันยังไงไม่รู้

 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 61.90.77.138 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:0:09:22 น.  

 
 
 
ถึงคุณช้านเอง

ในชีวิตจริงนี่ อีนู๋ขวัญมันโยนขวานใส่หัวปั๋ว ก็บ่อยนะ
เวลาเกิดอาการหมั่นไส้ ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ไม่ค่อยยอมหรอก
แถมไม่เคยเห็นตัวมันเองผิด ด้วยนะ เห็นปั๋วมันผิดตลอด
ทะเลาะกันแต่ละที ไม่เคยง้อเลย ไม่พูดกันเป็นอาทิตย์ก็ยังมี
สุดท้ายปั๋วมันต้องมาง้อเราอยู่ดี เพราะขาด... ไม่ได้ เหอๆ
นิสัยไม่ดีนะเนี่ย... แถมถ้ามาบ่นๆ ว่าเราอู้งานนะ อีนู๋มัน
บอก... ก็ไปใช้บริการคนอื่นดิ อนุญาติ ไปลงอ่างนู่นเลย
อีก็ไม่ยอมไป บอกว่าสกปรกอีก พอบอกให้หาเมียน้อย ก็
บอกว่าเข็ดแล้ว มันไว้ใจไม่ได้ ไม่ชอบถูกสวมเขา ว่าไป
โน่น แล้วมาผูกปิ่นโตกะเราคนเดียวเนี่ย ความต้องการของ
คนมันไม่เสมอกัน ก็ไม่ได้คุณภาพอย่างที่ต้องการ แล้วมา
บ่นว่าได้ของไม่มีคุณภาพ มันต้องสมน้ำหน้าตัวเองเนอะ
ว่าแล้ว ก็ไม่เคยสำนึกผิด เลยนะ อีนู๋เนี่ย มันก็แถไปได้
ตลอด ถ้าปั๋วไปบวชตลอดชีวิต สงสัยมันคงดีใจซาบซึ้ง
จนน้ำตาท่วมบ้าน

พูดถึง สาวๆมั่งดีกว่า ป้าว่านะ ถ้าไม่อยากมีลูกมีปั๋ว ก็ไม่ต้อง
มีมันหรอก มีลูกกวนตัว มีปั๋วกวนใจ นะมันเป็นจริงอย่างว่า
แหละ แต่การอยู่เอ้อระเหยลอยชายกินบุญเก่าไปวันๆ
นี้ก็เป็นหนทางแห่งฟามประมาท เพราะจิตใจมันอ่อนแอลง
อย่างป้าต้องมารบกะลูกกะปั๋ว ก็เหมือนการทำบุญทำทาน
แบบไฟ้ท์บังคับ มันต้องทำโดยหน้าที่ของความเป็นแม่เป็น
เมีย มันลำบาก มันเป็นทุกข์ แต่จิตใจมันได้ฝึกอดทน กับ
เรื่องที่มีมาทุกวัน ไม่ซ้ำกันเลย ดังนั้น สำหรับสาวๆ ที่ไม่มี
ภาระ คนหาเรื่องใส่ตัวเพื่อฝึกจิตใจบ้าง เช่น ออกค่ายครู
อาสา หรือ ไปร่วมงานจิตอาสาต่างๆ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์
ชีวิต จะได้ไม่จำเจอยู่ในความสุขความสบาย แถมยังได้
เที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้เจอคนที่มีจิตใจอาสาทำเพื่อคนอื่น
จิตมันช่วยเหนี่ยวนำซึ่งกันและกัน ทำให้สดชื่นเบิกบาน
มันเป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง แล้วอีนู๋ขวัญมันเห็นว่า
คนที่ทำงานจิตอาสา เนี่ยมักจะสวยวันสวยคืน ถ้าเป็นพูชาย
ก็จะหล่อขึ้นนะ เป็นการฝึกจิตที่ดีมาก คนที่พบเจอโลกมากๆ
ก็มีความรู้ภาคปฏิบัติมากๆ ดีกว่าการนั่งอ่านหนังสือแล้ว
จินตนาการเอา มันก็ดีอยู่หรอก แต่มันขาดรสชาติ

ถ้าใครมีประสบการณ์แบบจิตอาสา มาเล่าให้ป้าฟังมั่งนะ
เพราะไปเองไม่ได้ติดภาระ ได้รออ่านของคนอื่น

อย่างเมื่อวานได้อ่านเรื่องของสาวคนหนึ่ง เธออุทิศตัวให้กับ
มูลนิธิเพื่อเด็กที่ป่วยระยะสุดท้าย เป็นเพื่อนนำทางให้เด็ก
จากไปอย่างสงบและมีความสุข อ่านไปแล้วน้ำตาไหลตาม
เธอเลย ประสบการณ์สุดยอด อยากทำบ้าง แต่ติดภาระ
ครอบครัว ถ้าโสดๆ ก็คงไปร่วมกับเขามั่งแร้ว มันทรมาน
จิตใจตัวเองดี การได้ช่วยให้เด็กที่รู้ตัวว่าต้องตาย แล้วรอ
เวลาตาย การเตรียมตัวตายอย่างสงบ การได้อยู่กับเขา
และประคองเขาจับมือเขาไว้ ปลอบเขาไว้ไม่ให้กลัวกับ
ความตายที่จะมาถึง เพื่อส่งเขาไปในภพใหม่ที่ดีที่สุด เท่าที่
เราจะช่วยเขาได้ เนี่ยเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
และการเห็นเด็กที่ผูกพันกันมา 3 เดือน 6 เดือน ทำให้เขา
มีความสุขบ้าง คลายทุกขืได้บ้าง ให้กำลังใจกับคนใกล้ตาย
เมื่อถึงวันจากกันถาวร มันก็ทำร้ายจิตใจตัวเองมากด้วย
เหมือนกันนะ ป้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำใจได้อย่างเขาไหม
แต่รู้ว่า ถ้าทำได้ จิตใจมันจะหนักแน่น แล้วชีวิตนี้ที่
เกิดมาก็คงไม่ขาดทุน แน่นอน


 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.153.132 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:9:07:25 น.  

 
 
 
ไม่รู้ว่าตรงประเด็นของบอร์ดนี้ เป่า
แต่อยากเอามาให้อ่าน เรื่องของ ฟามรัก หลากมิติ
สำหรับคนที่กลัว ฟามรัก ....

ความรักมิติที่ ๑๐ :: พุทธภูมินิยม โดย สมณะโพธิรักษ์
มิติที่ ๑๐ คือ ความรักของผู้ที่ "จบสัจจะแห่งความรัก" สำเร็จสมบูรณ์สำหรับประโยชน์ตนแล้ว ตนจึง "ไม่มีความรัก" สำหรับตนอีก เหลือแต่ "ความรัก" ผู้อื่น หรือความรักที่เป็นอุดมการณ์ ความรักเพื่อ มวลมนุษยชาติ

"ความรัก" ที่เป็นอุดมการณ์ ขั้นมิติที่ ๑๐ นี้ก็คือ ความรักที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ชนิดสุจริตใจอย่างบริสุทธิ์แท้ จริง หรือเป็นความต้องการ "ให้" แก่ผู้อื่น ชนิดที่ "ไม่มีความลำเอียง" (ไม่มีอคติ ๔) สมดุลสมบูรณ์ที่สุด

เพราะความรักมิติที่ ๑๐ นี้ หากจะพูดให้ละเอียดลงไปอีกที ก็เป็นความรัก ที่ "ไม่มีความรัก" ฟังเพียงคำพูดขั้นต้นนี้ ก็คงจะงงๆ อยู่ ความจริงของสภาวะก็คือ ในจิตมีอาการ "เกิดความต้องการ" จริง แต่อาการต้องการนั้น มิใช่ "ความต้องการเพื่อตนเองจะได้ ตนเองจะมี ตนเองจะเป็น แม้แต่ตนเอง จะเสพรส" หรือ "มิใช่อาการต้องการเพื่อตนเอง จะได้เสพผล ของความต้องการนั้นๆ ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม" เรียกด้วยภาษากันว่า "ความรัก" หรือเรียกว่า "ความต้องการ" ก็ไม่ผิดเลย แต่เป็น "ความรัก-ความต้องการ" ที่มิได้ "ต้องการผลของความต้องการ จากกรรมหรือจากการกระทำนั้นๆมาเพื่อตนเอง โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง เพื่อ 'เป็นรสอร่อย' (อัสสาทะ) บำเรอตนเลย อย่างสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด"

"ความรัก" ที่ไม่มีความรัก นี้ จึงแปลกไปจากความรักมิติอื่นๆ อย่างสัมบูรณ์สูงสุด โดยเฉพาะ แปลกจาก "ความรัก แบบโลกีย์" คนละโลก คนละทิศ คนละเรื่องไปเลย เพราะเป็น "ความต้องการ" ที่ "ปราศจากตัวตน" อย่างสัมบูรณ์ที่สุด ดังนั้น คำว่า "ความเห็นแก่ตัว" จึงไม่มีอย่างสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด แต่ผู้ มี "ความรัก"มิติที่ ๑๐ นี้ แน่นอนว่า... หาก "ทำงาน" ท่านก็ต้อง ทำด้วย "ความต้องการ" หรือทำด้วย "ความอยากได้" ด้วย "ความยินดี" ด้วย "ความประสงค์" ด้วย "ความมุ่งหมาย" ด้วย "ความรัก" ด้วย "ความปรารถนา" ด้วย "ความเผื่อแผ่" ด้วย "ความเกื้อกูล" ฯลฯ อะไรอีกมากมาย หลากหลายคำความ ที่มีนัยะนี้ ทว่าท่าน "ทำ" ชนิดไม่มีตัวตนของท่านต้องการมา ให้ท่านได้ ท่านมี ท่านเป็นเลย

แม้คำว่า "เพื่อท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้า" ท่านก็รู้แจ้งเป็นที่สุดแล้วว่า ท่านไม่ต้อง "อยากได้อยากเป็น" เลย เพราะหากท่าน "ทำ" อะไรที่เป็นสมรรถนะ เป็นทักษะใดๆ อันจะพึงเกิด พึงเป็น ที่พึงเรียกว่า "บารมี ๑๐ ทัศ" ก็ตาม ที่จะสะสมตามกรรม มันก็ย่อมเป็นไปตาม "กรรม" ที่ท่านต้องอุตสาหะวิริยะนั้นๆ ถ้า แม้นไม่ "ทำ" มันก็ไม่เกิดไม่เป็นไม่มี ไม่ได้สั่งสม หากท่าน "ทำ" มันก็เกิดมันก็มีมันก็สะสม ท่านก็ไม่เห็นจะต้องการ ไม่เห็นจะต้องอยากได้ มันก็เป็นของท่านโดยธรรม โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

เมื่อท่าน "ทำ" ลงไปจริง เท่าที่ท่านสามารถอุตสาหะ "มีกรรม" หรือ "มีการกระทำ" "ทำ" ในที่ลับ "ทำ" ในที่แจ้ง ใครอื่นจะรู้จะเห็น หรือไม่รู้ไม่เห็นด้วยก็ตาม ไม่ว่า "ทำ" ทางกาย (กายกรรม) "ทำ" ทางวาจา (วจีกรรม) "ทำ" ทางใจ (มโนกรรม) ล้วนเป็นของท่านจริงทั้งสิ้น ไม่มีขาดหกตกหล่น หรือไม่มีรั่วซึม สูญหายไปไหน แม้แต่นิดน้อยยิ่งกว่าธุลี ใครแบ่ง "กรรม" ใครแย่ง "การกระทำ" ของท่านไปไม่ได้ ท่านจะไม่รับ ไม่เอาเป็นของท่านก็ไม่ได้ เพราะ "กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ" เป็น "ทรัพย์" ของตนที่แน่นอนที่สุด ยิ่งกว่าสัจจะใดๆ

ชีวิตที่มีของท่านจึงคือ "กรรม" ชีวิตของท่าน ท่านรู้แจ้งชัดที่สุดแล้วว่า มี "กรรม" เป็น "ทรัพย์แท้" ดังนั้น แน่นอน.. ท่านไม่ทำบาปทั้งปวง (สัพพปาปัสส อกรณัง) เด็ดขาด เพราะท่าน สามารถ "ไม่ทำ" ได้เด็ดขาดแล้วจริง ท่านทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม (กุสลัสสูปสัมปทา) และเป็น "กุศล" ที่สะอาดบริสุทธิ์ แน่แท้ด้วย เพราะท่านได้ทำการ "ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วสะอาดหมดจด" (สจิตตปริโยทปนัง) จนเสร็จแล้ว อย่างถาวรยั่งยืนแน่แท้ (ธุวัง, สัสสตัง)

ท่าน "ทำงาน" ก็คือ เพื่องานเท่านั้น ทำให้โลก (โลกานุกัมปา) ทำให้มนุษยชาติ ทำเพื่อความเป็นประโยชน์ ของมวลมนุษยชาติ (พหุชนหิตายะ) ทำเพื่อเป็นความสุข ของมวลมนุษยชาติ (พหุชนสุขายะ)

ดังนั้น "กุศล" ที่ท่านทำทั้งหลาย ย่อมมีเกิด ย่อมมีเป็น ตามจริง ถ้าจะว่า "กุศลกรรม" ที่เกิดที่เจริญนั้น เป็น "ของท่าน" โดยธรรม..ก็ใช่ แต่มันก็เป็นเพียงภาวะของ "รูปธรรม" มันย่อมมีเกิด..มีเป็น..ก็จริง แต่ภาวะของ "นามธรรม" ในจิตท่านมันมิได้มี "ตัวตน" ใดๆเกิด โดยเฉพาะไม่มี "กิเลส" ใดๆเกิดด้วยเลย

นั่นคือ ไม่มี "ความรัก" ที่หมายถึง "ความเห็นแก่ตัว"

ความจริงนั้นอาการชนิดนี้คืออาการของ "ความรู้ขั้นพิเศษ" หรือ "โลกุตรปัญญา" เต็มๆ ล้วนๆ ที่ "ต้องการทำ" อะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย หรือวาจาหรือใจ ก็ให้เกิดผลเพื่อผู้อื่น เป็นเป้าหมายตรงนั่นเอง เพราะท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ท่านทำโดยไม่มีความเสพแก่ตนแล้ว แม้แต่ความลำเอียง เพื่อ "เห็นแก่พวกของตัว" ก็ไม่มีแล้วจริง [การ "เห็นแก่พวกของตัว" นั้นก็เพื่อสร้างมวล ขึ้นมาเป็นองค์ประกอบ ให้เกื้อหนุนความได้เปรียบ อันจะมีผลต่อตนในที่สุดโดยแท้] เมื่อไม่เหลือ "ความเป็นตน (อัตตา) และของตน (อัตตนียา)" สิ้นเชิงแล้วฉะนี้ การกระทำใดๆจึงเป็น ความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ที่สุด

ดังนั้น จึงไม่มี "ความรัก" ที่เป็นของตนเอง หรือ เพื่อตนเอง จะมีก็แต่ "ความรัก" ที่เป็นของผู้อื่น หรือท่านจะรักเหมือนผู้อื่นเขารักก็ได้ทั้งนั้น แต่ความรักของท่านเป็นไปเพื่อผู้อื่นเป็นหลัก ที่ตนเองได้นั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ ตามธรรมดา

ดังนั้น หากจะมี "ความรัก" ท่านก็สามารถมีได้หลายแบบ

ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'อมตชน' ก็ได้"
ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'อาริยชน' ก็ได้"
ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'พระเจ้า' ก็ได้"
ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'กัลยาณปุถุชน' ก็ได้"
ยกเว้น "ความรักแบบ 'ปุถุชน' ไม่มีอีกแล้ว ท่านมีไม่ได้"

สรุปแล้วก็คือ ท่านสามารถมี "ความรักแบบโพธิสัตว์" ตามฐานะของแต่ละท่าน เท่าที่ "ภูมิจริง" ของแต่ละท่านมี หรือเท่าที่ท่านได้สร้าง สะสมบารมีมาเท่าใด ก็เท่านั้น ของแต่ละท่าน

ลองนึกทบทวนดูซิ ที่ได้อธิบายมาแล้วในมิติที่ ๘ ว่า "ความรัก" นั้น มันคืออะไร? ความรัก ก็คือ "ความปรารถนา" หรือแปลว่า "ความต้องการ" และแยกเป็นความต้องการ "ให้" กับ ความต้องการ "เอา" สำหรับผู้มีความรักมิติที่ ๑๐ นี้ มีแต่ความต้องการ "ให้" ไม่มีความต้องการ "เอา" แล้วนั่นเอง

และคงพอจำได้ ภาษาทางศาสนาเรียก "ความต้องการ" ว่า ตัณหา ซึ่งแบ่งออกเป็น

๑. กามตัณหา
๒. ภวตัณหา
๓. วิภวตัณหา

แต่สำหรับผู้มีความรักมิติที่ ๑๐ นี้ มีก็เพียงวิภวตัณหาเท่านั้น ไม่มีกามตัณหา ไม่มีภวตัณหาแล้ว อีกทั้งวิภวตัณหาของผู้มีความรักระดับมิติที่ ๑๐ นี้ ก็มิใช่วิภวตัณหาที่มีคุณลักษณะ อยู่แค่ขั้น "กัลยาณปุถุชน" หรือ "อาริยชน" เท่านั้นแค่นั้น แต่เป็น วิภวตัณหา ที่มีคุณภาพถึงขั้น "อมตชน" ซึ่งสูงขึ้นๆไปตามภูมิ แห่งบารมีของพระโพธิสัตว์ แต่ละองค์กันทีเดียว

เพราะฉะนั้น ท่านผู้มี "ความรักขั้นมิติที่ ๑๐" จึงได้แก่บุคคลที่เป็น "อมตชน" เท่านั้น จึงจะเป็น "ความรัก มิติที่ ๑๐" ได้อย่างเข้มข้นบริสุทธิ์สัมบูรณ์จริง

//board.agalico.com/showthread.php?t=10080

มิติที่ ๑๐ คือ ความรักของผู้ที่ "จบสัจจะแห่งความรัก" สำเร็จสมบูรณ์สำหรับประโยชน์ตนแล้ว ตนจึง "ไม่มีความรัก" สำหรับตนอีก เหลือแต่ "ความรัก" ผู้อื่น หรือความรักที่เป็นอุดมการณ์ ความรักเพื่อ มวลมนุษยชาติ

"ความรัก" ที่เป็นอุดมการณ์ ขั้นมิติที่ ๑๐ นี้ก็คือ ความรักที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ชนิดสุจริตใจอย่างบริสุทธิ์แท้ จริง หรือเป็นความต้องการ "ให้" แก่ผู้อื่น ชนิดที่ "ไม่มีความลำเอียง" (ไม่มีอคติ ๔) สมดุลสมบูรณ์ที่สุด

เพราะความรักมิติที่ ๑๐ นี้ หากจะพูดให้ละเอียดลงไปอีกที ก็เป็นความรัก ที่ "ไม่มีความรัก" ฟังเพียงคำพูดขั้นต้นนี้ ก็คงจะงงๆ อยู่ ความจริงของสภาวะก็คือ ในจิตมีอาการ "เกิดความต้องการ" จริง แต่อาการต้องการนั้น มิใช่ "ความต้องการเพื่อตนเองจะได้ ตนเองจะมี ตนเองจะเป็น แม้แต่ตนเอง จะเสพรส" หรือ "มิใช่อาการต้องการเพื่อตนเอง จะได้เสพผล ของความต้องการนั้นๆ ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม" เรียกด้วยภาษากันว่า "ความรัก" หรือเรียกว่า "ความต้องการ" ก็ไม่ผิดเลย แต่เป็น "ความรัก-ความต้องการ" ที่มิได้ "ต้องการผลของความต้องการ จากกรรมหรือจากการกระทำนั้นๆมาเพื่อตนเอง โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง เพื่อ 'เป็นรสอร่อย' (อัสสาทะ) บำเรอตนเลย อย่างสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด"

"ความรัก" ที่ไม่มีความรัก นี้ จึงแปลกไปจากความรักมิติอื่นๆ อย่างสัมบูรณ์สูงสุด โดยเฉพาะ แปลกจาก "ความรัก แบบโลกีย์" คนละโลก คนละทิศ คนละเรื่องไปเลย เพราะเป็น "ความต้องการ" ที่ "ปราศจากตัวตน" อย่างสัมบูรณ์ที่สุด ดังนั้น คำว่า "ความเห็นแก่ตัว" จึงไม่มีอย่างสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด แต่ผู้ มี "ความรัก"มิติที่ ๑๐ นี้ แน่นอนว่า... หาก "ทำงาน" ท่านก็ต้อง ทำด้วย "ความต้องการ" หรือทำด้วย "ความอยากได้" ด้วย "ความยินดี" ด้วย "ความประสงค์" ด้วย "ความมุ่งหมาย" ด้วย "ความรัก" ด้วย "ความปรารถนา" ด้วย "ความเผื่อแผ่" ด้วย "ความเกื้อกูล" ฯลฯ อะไรอีกมากมาย หลากหลายคำความ ที่มีนัยะนี้ ทว่าท่าน "ทำ" ชนิดไม่มีตัวตนของท่านต้องการมา ให้ท่านได้ ท่านมี ท่านเป็นเลย

แม้คำว่า "เพื่อท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้า" ท่านก็รู้แจ้งเป็นที่สุดแล้วว่า ท่านไม่ต้อง "อยากได้อยากเป็น" เลย เพราะหากท่าน "ทำ" อะไรที่เป็นสมรรถนะ เป็นทักษะใดๆ อันจะพึงเกิด พึงเป็น ที่พึงเรียกว่า "บารมี ๑๐ ทัศ" ก็ตาม ที่จะสะสมตามกรรม มันก็ย่อมเป็นไปตาม "กรรม" ที่ท่านต้องอุตสาหะวิริยะนั้นๆ ถ้า แม้นไม่ "ทำ" มันก็ไม่เกิดไม่เป็นไม่มี ไม่ได้สั่งสม หากท่าน "ทำ" มันก็เกิดมันก็มีมันก็สะสม ท่านก็ไม่เห็นจะต้องการ ไม่เห็นจะต้องอยากได้ มันก็เป็นของท่านโดยธรรม โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

เมื่อท่าน "ทำ" ลงไปจริง เท่าที่ท่านสามารถอุตสาหะ "มีกรรม" หรือ "มีการกระทำ" "ทำ" ในที่ลับ "ทำ" ในที่แจ้ง ใครอื่นจะรู้จะเห็น หรือไม่รู้ไม่เห็นด้วยก็ตาม ไม่ว่า "ทำ" ทางกาย (กายกรรม) "ทำ" ทางวาจา (วจีกรรม) "ทำ" ทางใจ (มโนกรรม) ล้วนเป็นของท่านจริงทั้งสิ้น ไม่มีขาดหกตกหล่น หรือไม่มีรั่วซึม สูญหายไปไหน แม้แต่นิดน้อยยิ่งกว่าธุลี ใครแบ่ง "กรรม" ใครแย่ง "การกระทำ" ของท่านไปไม่ได้ ท่านจะไม่รับ ไม่เอาเป็นของท่านก็ไม่ได้ เพราะ "กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ" เป็น "ทรัพย์" ของตนที่แน่นอนที่สุด ยิ่งกว่าสัจจะใดๆ

ชีวิตที่มีของท่านจึงคือ "กรรม" ชีวิตของท่าน ท่านรู้แจ้งชัดที่สุดแล้วว่า มี "กรรม" เป็น "ทรัพย์แท้" ดังนั้น แน่นอน.. ท่านไม่ทำบาปทั้งปวง (สัพพปาปัสส อกรณัง) เด็ดขาด เพราะท่าน สามารถ "ไม่ทำ" ได้เด็ดขาดแล้วจริง ท่านทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม (กุสลัสสูปสัมปทา) และเป็น "กุศล" ที่สะอาดบริสุทธิ์ แน่แท้ด้วย เพราะท่านได้ทำการ "ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วสะอาดหมดจด" (สจิตตปริโยทปนัง) จนเสร็จแล้ว อย่างถาวรยั่งยืนแน่แท้ (ธุวัง, สัสสตัง)

ท่าน "ทำงาน" ก็คือ เพื่องานเท่านั้น ทำให้โลก (โลกานุกัมปา) ทำให้มนุษยชาติ ทำเพื่อความเป็นประโยชน์ ของมวลมนุษยชาติ (พหุชนหิตายะ) ทำเพื่อเป็นความสุข ของมวลมนุษยชาติ (พหุชนสุขายะ)

ดังนั้น "กุศล" ที่ท่านทำทั้งหลาย ย่อมมีเกิด ย่อมมีเป็น ตามจริง ถ้าจะว่า "กุศลกรรม" ที่เกิดที่เจริญนั้น เป็น "ของท่าน" โดยธรรม..ก็ใช่ แต่มันก็เป็นเพียงภาวะของ "รูปธรรม" มันย่อมมีเกิด..มีเป็น..ก็จริง แต่ภาวะของ "นามธรรม" ในจิตท่านมันมิได้มี "ตัวตน" ใดๆเกิด โดยเฉพาะไม่มี "กิเลส" ใดๆเกิดด้วยเลย

นั่นคือ ไม่มี "ความรัก" ที่หมายถึง "ความเห็นแก่ตัว"

ความจริงนั้นอาการชนิดนี้คืออาการของ "ความรู้ขั้นพิเศษ" หรือ "โลกุตรปัญญา" เต็มๆ ล้วนๆ ที่ "ต้องการทำ" อะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย หรือวาจาหรือใจ ก็ให้เกิดผลเพื่อผู้อื่น เป็นเป้าหมายตรงนั่นเอง เพราะท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ท่านทำโดยไม่มีความเสพแก่ตนแล้ว แม้แต่ความลำเอียง เพื่อ "เห็นแก่พวกของตัว" ก็ไม่มีแล้วจริง [การ "เห็นแก่พวกของตัว" นั้นก็เพื่อสร้างมวล ขึ้นมาเป็นองค์ประกอบ ให้เกื้อหนุนความได้เปรียบ อันจะมีผลต่อตนในที่สุดโดยแท้] เมื่อไม่เหลือ "ความเป็นตน (อัตตา) และของตน (อัตตนียา)" สิ้นเชิงแล้วฉะนี้ การกระทำใดๆจึงเป็น ความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ที่สุด

ดังนั้น จึงไม่มี "ความรัก" ที่เป็นของตนเอง หรือ เพื่อตนเอง จะมีก็แต่ "ความรัก" ที่เป็นของผู้อื่น หรือท่านจะรักเหมือนผู้อื่นเขารักก็ได้ทั้งนั้น แต่ความรักของท่านเป็นไปเพื่อผู้อื่นเป็นหลัก ที่ตนเองได้นั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ ตามธรรมดา

ดังนั้น หากจะมี "ความรัก" ท่านก็สามารถมีได้หลายแบบ

ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'อมตชน' ก็ได้"
ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'อาริยชน' ก็ได้"
ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'พระเจ้า' ก็ได้"
ท่านสามารถมี "ความรักแบบ 'กัลยาณปุถุชน' ก็ได้"
ยกเว้น "ความรักแบบ 'ปุถุชน' ไม่มีอีกแล้ว ท่านมีไม่ได้"

สรุปแล้วก็คือ ท่านสามารถมี "ความรักแบบโพธิสัตว์" ตามฐานะของแต่ละท่าน เท่าที่ "ภูมิจริง" ของแต่ละท่านมี หรือเท่าที่ท่านได้สร้าง สะสมบารมีมาเท่าใด ก็เท่านั้น ของแต่ละท่าน

ลองนึกทบทวนดูซิ ที่ได้อธิบายมาแล้วในมิติที่ ๘ ว่า "ความรัก" นั้น มันคืออะไร? ความรัก ก็คือ "ความปรารถนา" หรือแปลว่า "ความต้องการ" และแยกเป็นความต้องการ "ให้" กับ ความต้องการ "เอา" สำหรับผู้มีความรักมิติที่ ๑๐ นี้ มีแต่ความต้องการ "ให้" ไม่มีความต้องการ "เอา" แล้วนั่นเอง

และคงพอจำได้ ภาษาทางศาสนาเรียก "ความต้องการ" ว่า ตัณหา ซึ่งแบ่งออกเป็น

๑. กามตัณหา
๒. ภวตัณหา
๓. วิภวตัณหา

แต่สำหรับผู้มีความรักมิติที่ ๑๐ นี้ มีก็เพียงวิภวตัณหาเท่านั้น ไม่มีกามตัณหา ไม่มีภวตัณหาแล้ว อีกทั้งวิภวตัณหาของผู้มีความรักระดับมิติที่ ๑๐ นี้ ก็มิใช่วิภวตัณหาที่มีคุณลักษณะ อยู่แค่ขั้น "กัลยาณปุถุชน" หรือ "อาริยชน" เท่านั้นแค่นั้น แต่เป็น วิภวตัณหา ที่มีคุณภาพถึงขั้น "อมตชน" ซึ่งสูงขึ้นๆไปตามภูมิ แห่งบารมีของพระโพธิสัตว์ แต่ละองค์กันทีเดียว

เพราะฉะนั้น ท่านผู้มี "ความรักขั้นมิติที่ ๑๐" จึงได้แก่บุคคลที่เป็น "อมตชน" เท่านั้น จึงจะเป็น "ความรัก มิติที่ ๑๐" ได้อย่างเข้มข้นบริสุทธิ์สัมบูรณ์จริง

//board.agalico.com/showthread.php?t=10080

มันอาจจะเป็น "ความรักครั้งสุดท้าย" ของจริงก็ได้นะ
ความรัก ที่เราทุกคนต้องเข้าสนามสอบ ไม่ช้าก็เร็ว
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.153.132 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:10:55:39 น.  

 
 
 
*ขออภัย มันเบิ้ลไปได้ไง ก็รู้ เลยเปลืองที่ไปอีก
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.153.132 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:10:58:39 น.  

 
 
 
ไหนๆ ก็ไหนๆ อ่านนี้แล้วตลกดี โดนกะตัวเองไปก็หลายจึ๊ก
เลยเอามาฝาก เผื่อใครจะรู้สึก จึ๊กๆ ตามด้วย อานิสงค์จะได้
ตกมาถึงป้า ฮิฮิ

อีกอย่าง ถ้าไม่สนใจจะมีคู่ ก็น่าจะหาพวกไว้ก็ดี
จะได้ไม่เหงาไง พวกที่รักพรมจรรย์ยิ่งชีพ อะ สุโก้ย ค่ะ
--------------------------------
คนอาภัพในทางธรรม

พูดถึงคนอาภัพ หลาย ๆ ท่าน คงมีสีหน้าเศร้าเกิดความเวทนาสงสาร แต่นั่นก็คือธาตุดีของมนุษย์เรา

ในหมู่ญาติธรรม มีจิตสำนึกตัวหนึ่ง ที่เป็นมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็เป็นกัน นั่นคือ จิตที่นึกสงสารคนในโลก เห็นเขาทำงานเหน็ดเหนื่อย เห็นเขาแต่งงานมีครอบครัว เห็นเขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เห็นเขากินเนื้อสัตว์ ฯลฯ ใจก็เกิดความสงสารเห็นใจ

"แหม นี่ถ้ามาปฏิบัติธรรม เขาคงจะพ้นทุกข์สบายกว่านี้"

ความเป็นไปได้ยากในโลก ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ มีอยู่หลายประการ

- การได้เกิดเป็นมนุษย์
- การได้พบบวรศาสนา
- การได้ปฏิบัติธรรมถูกทาง
- การได้มรรคผล

นี้คือสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ที่วิญญาณจะลงมาจุติได้เป็นมนุษย์ และประสบความสำเร็จตามแนวทางแห่งสัจธรรม

พวกเราอาจจะรู้สึกเห็นเป็นธรรมดา เนื่องจากได้กันมาแล้ว จึงไม่ค่อยรู้สึก ด้วยไม่เห็นคุณค่าหลาย ๆ ท่าน จึงเริ่มมีอาการเบื่อหน่าย เซ็ง ท้อแท้ ลืมคิดไปว่า....

สิ่งที่ถืออยู่กับมือนั้น มีค่ามากมายมหาศาล ขนาดต้องให้พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาเผยแพร่ ถึงจะได้ แล้วแต่ละองค์จะห่างกันกี่ล้านปี เราก็ไม่มีโอกาสรู้ได้

หากคิดสักนิด ขณะกำลังเซ็ง หรือจะเลิกสลัดทิ้งไป ว่าของที่เรากำลังถืออยู่ คนในโลกอีกนับล้าน ๆ เขาไม่มีวาสนาได้กัน เราจะเกิดความรู้สึกอย่างไร อยากทิ้ง หรือต้องรีบรักษา ?

มีดี เราไม่รู้ว่ามีดี
โชคดีแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดี

นี้คือความโชคร้ายที่แสนเศร้า วานรได้แก้ว ไก่ได้พลอย คงเข้าสุภาษิตนี้กระมัง
บุคคลผู้อาภัพในโลก เราก็รู้กันอยู่ว่ามีลักษณะอย่างไร ไม่สงสัย วาสนาบารมีเป็นของมีจริง กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ จะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
คนอาภัพเพราะกรรมเก่า ยังมิใช่คนอาภัพที่แท้ คนอาภัพยิ่งกว่านั้น คือคนมีบุญ แต่ไม่เอาบุญมาใช้ประโยชน์

กลับปล่อยกาลเวลาให้ไหลเลื่อนไป บุญเก่าก็เหมือนน้ำแข็ง หากไม่รีบทำประโยชน์ นับวันก็จะละลาย หายไป ๆ ๆ จนหมด

นี่แหละ จึงคือคนที่อาภัพกว่าเพื่อน เป็นอาภัพขนานแท้ เป็นอาภัพบริสุทธิ์ !
บุคคลยอดอาภัพ มิใช่ขี้เรื้อนกุดถัง หรือยากแค้นอดอยาก นั่นเพราะเขาไม่มีทางเลือก มันเป็นบุพกรรมของเขา

แต่คนที่มีทางเลือกนี้ซิ ระหว่างข้าวกับอุจจาระ ระหว่างทางโรยกลีบดอกไม้กับหนามแหลม รู้ทั้งรู้ยังอุตส่าห์ตะแบงไปอีกข้าง นี้แหละจึงคือ "ผู้อาภัพประจำชาติ !"

หากชีวิตคือการเดินทาง เพื่อความสูงขึ้นแห่งจิตวิญญาณ
เพื่อหมดสิ้นแห่งตัวตน

คนที่มีโอกาส แต่ไม่พากเพียร ไม่ยอมเดิน คนนั้นก็คือ คนที่กำลังฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง เขาได้ก่อกรรมให้บุคคลอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน พลาดจากการดื่มอาหารอมตะของชีวิตไปอย่างเศร้าชะมัด ! ก็ตัวเขาเองนั้นแหละ จะมีใคร

บุคคลยอดแห่งอาภัพ หรือ อาภัพประจำชาติ มีกี่ประเภท เรามาค่อย ๆ แง้มดูกัน ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ในหมู่นักปฏิบัติธรรม หน้าตาคุ้นเคยกันนี่แหละ

ประเภทที่ ๑ "พวกผีเปรต"

ประเภทนี้ ทำน้อย แต่อยากได้มาก ๆ ทำนิด แต่หวังผลเร็ว ไม่ยอมดูกำลังของตัวบ้าง เข้าทำนองจิตอภิชัปปา

ผีเปรตนั้น ท่านว่าตัวสูงใหญ่ ท้องเท่าภูเขา แต่ปากเท่ารูเข็ม อยากกินก็อยากกินอยู่หรอก แต่ปากมันเล็ก

เปรตชนิดนี้ ถ้าเปลี่ยนกระเพาะให้เล็กลง ชีวิตก็สบายมากเลย ลดความหิวโหยเสียบ้าง เลิกการเลียนแบบดารา ที่เห็นช้างขี้ ก็อยากจะขี้ตามช้าง

ประเภทที่ ๒ "พวกไร้อุดมการณ์"

ประเภทนี้ ประกาศเลย ชาตินี้ไม่เอานิพพาน ยังไง ๆ ก็ไม่ไหว นี่เขาเรียกว่า ช้างศึกขี้ขลาดตั้งแต่ยังไม่เห็นฝุ่น บางตัวเห็นฝุ่น ก็ขอแพ้ บางตัวต่อสู้แล้ว รีบขอแพ้ก็มี
เป็นความมักน้อยสันโดษที่น่าตี !

คนเราปฏิบัติธรรม ต้องมีอุดมการณ์ มีเป้าหมาย มุ่งมั่น หากไม่ตั้งอุดมการณ์ แรงฟันฝ่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เหมือนนักกีฬา หากรู้ว่าวิ่งแค่ ๑๐๐ เมตร เขาก็จะฝึกแค่ ๑๐๐ เมตร แต่ถ้ารู้ว่า จะต้องวิ่ง ๑๐๐ รอบ ก็เท่ากับบังคับให้ซ้อมหนักขึ้น ถึงไม่ถึง ยังไง ๆ ก็ต้องซ้อมไว้ก่อน

"ฉันไม่มีบารมี !" บารมีมาจากไหน ถ้ามิใช่ต้องหมั่นฝึกฝน เพราะไม่ฝึกมาก่อน ชาตินี้จึงไร้กำลัง แล้วถ้าชาตินี้ไม่ฝึกอีก ชาติต่อไปจะมีกำลังได้อย่างไร ?
ใจสู้หุ่นไม่ให้ ดีกว่าใจก็ไม่สู้ หุ่นก็ไม่ให้หลายแสน หลายล้านเท่า ไม่สู้วันนี้ เมื่อไหร่จะหุ่นให้สักที

เมื่อขาดอุดมการณ์.. ก็เหมือนเรือไม่มีหางเสือ ได้แต่ลอยละล่องวน ๆ เวียน ๆ ในอ่างสังสารวัฏแล้ว ๆ เล่า ๆ

มิตรดี สหายดี เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ มิตรที่ไร้อุดมการณ์ ย่อมถ่วงเพื่อนร่วมทางให้เดินเป๋ เพราะไม่ว่าจะพูด จะทำ จะคิด ล้วนแต่ว่า ขอพอผ่านไปชาติหนึ่ง ๆ เท่านั้น

- กินหน่อยสิ อุ๊ย ! อย่าทำเป็นเคร่ง
- คนเราต้องมีความสุขนะ ไปอด ๆ อยาก ๆ ทำไม
- เคร่ง ๆ ทำเป็นฟิต ระวังบ้านะจ๊ะ

ปลอบให้ลุก ปลุกให้ตื่น เซช่วยกันผลักให้ยืน มิใช่ขู่ให้กลัว จะได้ไม่ต้องเดิน แล้วมาเป็นเพื่อนกับฉัน ดีกว่ามาลอยอยู่ในอ่างเท้งเต้งกันเถอะ

ประเภทที่ ๓ "พวกยาจกเข็ญใจ"

"เจริญธรรมค่ะ เจริญธรรมครับ ไม่ค่อยมีเวลาเลย ไม่มีคนเฝ้าร้าน"
"โอ๊ย ! งานมันยุ่ง เราต้องรับผิดชอบ"

ญาติธรรมประเภทนี้ ถืองานเป็นสรณะ วัน ๆ จึงวุ่นวายอยู่กับการทำงาน เพลินอยู่กับงาน

การทำงานคือการปฏิบัติธรรมนะ แต่ขอโทษ จิตไม่แยบคาย ก็สอบตกเยอะ
เวลา และวารีไม่ยินดีจะคอยใคร หนูน้อยพึงรีบพาย เพราะตะวันจะสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า !

ชีวิตวันคืนใกล้หลุมศพไปทุกขณะ แต่เราก็ห่วงงาน ห่วงไม่มีใครดู ห่วงคิดว่า เราสำคัญ ห่วงจนหลงว่าเป็นลูกของเราจนตัดไม่ขาด

งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข โลกียะทำงานซ็อก ๆ เขาจะเอาเงิน แต่เราทำงานจะเอาอะไร ?

คนมีโชค แต่ไม่รู้ว่ามีโชค ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะมาวัด ฟังธรรม ตักบาตร คบกัลยาณมิตร แต่ก็ไม่พยายามที่จะทำให้ตัวเองว่างจากงาน

คนอาภัพในโลก คนไม่มีบุญบารมี โอกาสปฏิบัติธรรมเป็นไปได้ยาก ปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ หยุดงานแต่ละครั้ง หมายถึงรายได้ที่จะเลี้ยงชีวิตในวันต่อไปหดหาย
เขาจะไม่มีเวลามาวัด เป็นกรรมของเขา

แต่คนที่มีโอกาส กลับพาตัวผูกพัน จมอยู่กับงาน ไม่เรียกพวกยากจนค่นแค้นยาจกเข็ญใจ แล้วจะเรียกอะไร ?

ลองสังเกตญาติธรรมรอบตัว ท่านจะพบแกนร่วมเหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยมีความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพ ไม่ค่อยมีกังวลในปัจจัย ๔ เท่าใดนัก

นี้คือบุญเก่า ที่ส่งเสริม แหวกทางให้เราได้มีโอกาสใกล้ธรรมมากขึ้น
บุญมี แต่จะชอบเอานิ้วทิ่มตาตัวเอง ไม่เดินทางแล้วเมื่อไหร่จะถึง ประตูวัดเปิดตลอด ไม่สาวเท้าก้าวผ่านธรณีประตู เมื่อไหร่จะได้กราบพระคุณเจ้า หรือจะรอให้ท่านผ่านบ้าน ค่อยตื่นเต้นวูบวาบสักทีหนึ่ง ?

ประเภทที่ ๔ "พวกไร้ญาติขาดมิตร"

ญาติธรรมประเภทนี้ มักจะชอบปลีกเดี่ยว ไม่วุ่นวาย ไม่คบหากับใคร
ไม่คบหาเพราะถือตัวสูงกว่า

ไม่คบหาเพราะคิดว่าพึ่งตัวเองได้
ไม่คบหาเพราะรังเกียจ
หรือแม้กระทั่งไม่คบหา เพราะสำคัญตนว่าต่ำต้อย
ความคิดเหล่านี้ ล้วนประเภทแววมยุราทั้งสิ้น

อวดดีก็ที่หนึ่ง หลงตัวก็ที่หนึ่ง แต่เชื่อเถอะ ใครเป็นโรคนี้ ยากจะยอมรับ
แล้วอย่าไปร้องเพลง We are the world ให้ฟังล่ะ เป็นต้องปวดหู ปวดหัวทุกทีซิน่า

โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน แต่บางคนบอก ขอเป็นพี่น้องกับหมูหมา กา ไก่ ก็พอแล้ว แต่กับญาติธรรม อย่าแหยม

บุคคลอาภัพประเภทที่ ๔ จึงสนิทใจได้กับเฉพาะสัตว์เดรัจฉาน แต่สัตว์ประเสริฐ ไม่ไหว ๆ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่ในโลก ก็ต้องมีการคบหาพึ่งพา ยิ่งอยู่ทางธรรม ก็ยิ่งต้องคบหา ตามนโยบายหลักมิตรดี สหายดี เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์

"ฉันไม่คิดเลย ญาติธรรมจะมีนิสัยอย่างนี้"
"เข็ดจริง ๆ พวกญาติธรรม ไม่เอาอีกแล้ว"

"พวกญาติธรรมเหรอ อย่าไปหวังอะไรเลย เห่อเป็นพัก ๆ "

คำก็ญาติธรรม ๒ คำก็ญาติธรรม เขาแยกตัวเองออกไปยืนคนละฝั่งคลองไม่ ยอมร่วมสังสรรค์สโมสร

เมื่อไหร่ที่เขาเปลี่ยนจากคำว่า "พวกญาติธรรม" มาเป็น "พวกเรา" นั่นแหละเขาเริ่มเป็นอโศกแล้ว แต่ตอนนี้ ท้องนอกมดลูกก่อนนะ

โปรดเห็นใจกันบ้าง ไม่มีใครอยากเลว อยากต่ำ แต่วาสนาบารมีของคนเราไม่เท่ากัน ตัวเองดีก็สาธุ แต่คนที่เขากระดึ๊บ ๆ ขอให้เห็นใจหน่อยเถิด

หลาย ๆ อย่าง ในตัวเรายังบกพร่อง รู้ทั้งรู้ ยังแก้ยาก แล้วยังจะไปถือสาคนอื่นเขาได้อย่างไร ?

คนที่เพ่งโทสตัวเองเท่านั้น จึงจะอยู่กับหมู่กลุ่มได้สบ๊าย สบาย !

ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยอนุโมทนา จากลูกร้อยพ่อพันแม่ มาฝึกพากเพียร สั่งสมความดี ไยจึงไร้น้ำใจ แสดงความยินดี

"มาปฏิบัติธรรม แล้วยังอย่างนี้อีก !" ทิ้งไปเถอะคำอัปมงคลคำนี้ ทิ้งไม้บรรทัดมาตรฐานของเรา ที่ชอบวัดคนอื่นไปเสีย จะดุคน ตัดสินใคร ต้องเทียบอดีตของเขากับปัจจุบันของเขา ไม่ใช่ปัจจุบันของเขามาเทียบกับปัจจุบันของเรา

ให้เวลา ๑๐ วินาที ดึงเอาส่วนดีของญาติธรรมแต่ละคนที่เราไม่ชอบออกมาให้ได้ แล้วเราจะเริ่มเห็นจริงว่า โลกทั้งผองต่างเป็นพี่น้องจริง ๆ

ประเภทที่ ๕ "พวกทุพพลภาพ"

นักปฏิบัติธรรมกลุ่มนี้ อย่ามาคุยเรื่องตบะธรรมเชียว ฟังแล้วเป็นคลื่นเหียนอา
เจียนกันโอ้กอ้าก

แสลงเหลือเกิน อย่าเอ่ยได้ไหม

รังเกียจตบะเหมือนพระไม่สวมจีวร อยากจะร้องเพลงสบาย ๆ ปฏิบัติธรรมแบบเสพย์สุขา ไม่ฝืนใจ ไม่อดทน ไม่มีหรอก เพราะมิฉะนั้น เพลงสบาย ๆ คงต้องต่อภาค ๒ ในนรกด้วยเช่นกัน สบาย ๆ สบายแบบร้อน ๆ !

คนพิการ ทำอะไรก็ขัดเขินไม่สะดวก จะฝืนใจ ขัดใจ ก็กลัวไปหมด แถม ยังมีข้ออ้างสารพัด กันเสียหน้า "คนนั้นไง บ้าไปแล้ว เก็บกดเห็นไหม ?"

"อย่าไปแข่งกับพระคุณเจ้าเลย"

พวกนี้ คงต้องรอรถด่วนขบวนสุดท้ายจริง ๆ

ประเภทที่ ๖ "พวกนักบริหาร"

พวกนี้พิเศษ สังเกตง่าย เวลาคุยมักจะคุยถึงสถานการณ์อโศกบ้าง คุยเกี่ยวกับตัวญาติธรรมคนโน้นคนนี้บ้าง ทั้งส่วนดี ส่วนเสีย (สังเกตดี ๆ ส่วนเสียจะมากกว่า เพราะอร่อยปาก)

เป็นนักวิเคราะห์มือฉกาจ แต่มองดี ๆ เขาว่ามือผักกาดมากกว่า

เรื่องปฏิบัติ ลดละไม่ค่อยได้คุย หรือถ้าคุย ก็อาศัยเป็นฉากหน้าเท่านั้น แต่ฉากหลัง หาทางจะยกตัวเองว่า "ข้าเก่ง" อยู่เรื่อย

เวลาฟังพระเทศน์ ก็เหมือนเป็นโค้ชเชียวแหละ ท่านพูดตรงนี้ไม่เหมาะ พูดแบบนี้ไม่ดี ฯลฯ

ญาติธรรมสายนี้ คนจึงเหม็นหน้ากันเยอะ แต่ก็ดี เอาไว้ทดสอบฐานอภัยของญาติธรรมด้วยกัน

"ก็เขาไม่รู้ !" นี่นา

บุคคลผู้อาภัพแห่งชาติ ๖ ประเภท ที่ได้แจกแจงพอสังเขป ตกหล่นประเภทอื่น ๆ ไปบ้างก็ขออภัย แต่ตัวหลัก ก็คงมีอยู่แค่นี้

เจตนาเพื่อศึกษาเข้าใจ และจะได้เห็นใจในวาสนาบารมี ใครที่รู้ทันจะได้แก้ไขกลับตัว

บทความนี้ มิใช่เอาไว้คอยจ้องจับผิด แต่อยากเป็นกระจกเงา เพื่อสะท้อนบรรยากาศในหมู่พวกเรา เพื่อจะได้ทันใจ ไม่หลงทางมารที่มักหลอกล่ออยู่ไม่รู้เบื่อ
บางทีเรานึกว่าเหตุผลดีพร้อม แต่แท้จริง เป็นเหตุผลของพญามาร ที่แอบมากระซิบเราเสียมากกว่า

มารตัวโต ๆ หน้าดุ ๆ ไม่เท่าไหร่ แต่มารที่แอบใส่ชุดสีกรัก ทำเป็นพูดสำรวมแต่เป็นไปเพื่อห่างหมู่กลุ่ม ย่อหย่อนในวัตรปฏิบัติ

มารเหล่านี้สิ ที่ต้องรู้ให้ทัน เอวังด้วยประการฉะนี้
//board.agalico.com/showthread.php?t=18650

 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.153.132 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:12:00:40 น.  

 
 
 
อีน้องขวานบิน


พูด ถึงเรื่อง จิตอาสา ก็เคยคิด เหมือนกันนะ
อยาก เดินตามก้นฝรั่งน่ะ อิอิ
จำได้ว่า เคยอ่านใน หนังสือ สารคดี
พวกฝรั่ง บางคนจะลาพักร้อน
แบกเป้สะพายย่าม ไปเดินท่อม ๆ
ช่วยเหลือ งานประเภท สังคมสงเคราะห์ อ่ะ
ทั้ง สอนหนังสือหนังหา ดูแลคนชรา รักษาคน ฯลฯ

อ่านแล้วโหย ทำไม จิตใจดี งี้นะ
ขณะที่ คนไทย มักจะ หาเรื่องลาพักร้อนเพื่อหาความสุขใส่ตัว
พวกฝรั่งหัวแดง พวกนั้น กลับ รู้จัก
เจียดเวลาส่วนตัวมา แบ่งปันความสุขให้คนอื่น


อีปี้ก็อยากทำเหมือนกัน ( แต่ยังติดขี้เกียจ แหะ ๆ )
นี่ก็เลย เอาเฉพาะ ที่ พอจะทำให้ได้ กับ คนไข้เอดส์ที่ดูแล อ่ะ
บางทีเรา โชคดี มีบุญเก่า เยอะ
ก็แบ่งปันให้คนอื่น มั่ง ก็ ดีเนอะ
ว้า ไม่พูดมากดีกว่า เด๋วภาพลักษณ์นางมารจะสึกกร่อน หุหุ

อ่านเองละกัน
. . . . . . . . . ...ว า บ... . . . . . . . . . .ในความคิด
//topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/03/Y7636388/Y7636388.html


นี่ ถ้าไม่ขี้เกียจเกินไป ก็อยากจะเขียนบทความ แนว

" ถ้าคุณรู้ว่า พ่อเป็นมะเร็ง คุณจะบอกให้ท่านรู้ไหม ? " ด้วยนะ

อันหลังนี่ก็โปรเจคที่คิดไว้เมื่อนานมาแล้ว
ตอนเพื่อนร่วมงานวิตกจริตว่าจะเป็นมะเร็ง แล้ว ถกเกียงกันเรื่องนี้
เลยต่อยอดความคิดที่แอบได้ยิน
สร้างพล็อต จะเอาไปเขียนเรื่อง
ให้คนไข้เอดส์ ที่ดูแลอยู่ อ่านน่ะ
ประมาณ " ขอบคุณที่ฉันเป็นมะเร็ง " อะไรทำนองเนี๊ยะ

แต่ก็ยังขี้เกียจอีกตามเคย
( โมหะจริตในตัว อีปี้ มันแยะ แหะ ๆ )

 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:19:06:30 น.  

 
 
 
อ้าง
------------------------
เว็บพังจิต เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรดึงดูดใจ อีนู๋ขวานเอาซะเลย
------------------------

แหม ๆ มิน่าล่ะ อีปี้ เข้าไปล่อเสือล่อไอ้เข้ ที่นั่น
หันไปทางไหน ก็ไม่เจออีน้องขวัญเล๊ย 555

เออ ตอนนี้ อีปี้ ไป หลอย ล็อคอิน คืน
จาก ทั่นว. วรพจน์ wm พันติ๊ป ได้แล้วอ่ะ อิอิ
แต่ก็ยัง มีเยื่อใย กับ ทั่น ว. วีฯ อยู่ดี
แบบว่า รักพี่เสียดายน้องงงงง
( ของแบบนี้ มันต้อง จับปลาสองมือ ไว้ก่อนอ่ะ กันเหนี่ยว 555)

อืม....ช่วงนี้ แถว เวบพังจิต ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจจิง ๆ นั่นแหล่ะ
แต่ ก็เข้าไป โพสตอบคำถามชาวบ้าน บ้างเหมือนกัน
ถ้าอันไหน พอจะช่วยได้ ก็โพส
( แต่คนอ่านจะอ่านรู้เรื่องไหม ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของเค้า อ่ะ อิอิ )
ว่า แต่ ถามหน่อยจิ อีหนูขวัญ อีปี้ อยากรู้มานานแย้ววว
อีน้อง ไปตกหลุมเสน่ห์ อีปี้ ที่ กาทู้ไหน ในเวบพังจิต เหรอ ?
อยากรู้ จิง ๆ อ่ะ จะได้เอามาใช้วางกลยุทธในการ บริหารเสน่ห์ แหะ ๆ

อ้อ อันนี้ กาทู้ล่าสุดของอีปี้
เอามาอวด อิอิ


ขรัวโต ? ผู้ชายพายเรือ คนล่าสุด ที่ทำให้จิตอิฉันสะดุด จนต้องหลั่งน้ำตา//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8406334/Y8406334.html
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:19:07:08 น.  

 
 
 
ถึงคุณ ช้านเอง

อ้าง
------------------------
แล้วนี่ถึงประเด็นไหนแร้วนิ....
ป้าบัว....มาเปิดใหม่ๆมั่ง
เอาแบบเถือนๆหน่อย
----------------------------------

ได้ไม่มีปัญหา
เอาแบบ เถื่อน ๆ ใช่ป่ะ

งั้นคุยเรื่อง ไวอะกร้า ที่ซื้อหาแถวชายแดน ดีป่ะ
นั่นน่ะ มีทั้งของปลอม แล ของเถื่อนนนน 5555

อ้าวไม่ชอบเหรอ ? งั้นมาสุมหัวนินทา
เจ้าสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่า ผู้ชาย ดีกว่า อ่ะ

อืม...เรียนทั่นประธานที่เคารพ
อิฉัน ขอยื่น กาทู้ถาม ใหม่ ดังนี้



ปุจฉาาาาาาาา
-----------------------------------
จากอดีต จวบจน ปัจจุบัน
เจ้าสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่า ผู้ชาย
รอบ ๆ ตัว ท่านทั้งหลาย
พวกมันเป็นไง กันบ้าง ?

-----------------------------------
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:19:08:42 น.  

 
 
 
ว่าแล้วก็ ขอ อ้าปากนินทาก่อนเรยยยยย์ อิอิ

อืม...สมัยประถม อิฉัน นั้น
ก็อ่านทั้ง คอลัมภ์พี่ศิราณี กับ ลุงหมอนพพร นะ
ไม่ใช่แค่อ่านอย่างเดียวนะ
บางเคสก็เอามานั่งถกกับ พ่อ และ น้องชายด้วย
พอ อยู่ ม.ปลาย อิฉันก็อยู่ ร.ร.ชายกึ่งสห
เพื่อนผู้ชายตะละคน ล้วนแต่แสบเข้าไส้ทั้งนั้น

ครั้นถึงวัยทำงาน ก็ห้อมล้อมด้วยผู้ชายระดับเซียน
เสือสิงห์กระทิงแรดทั้งน้านนนนนน คุณเอ๋ย
ดังนั้น อิฉันจึงมักจะมีโอกาส
รับรู้ (ขันธ)สันดานของผู้ชายอยู่เสมอ
ซึ่งเมื่อพบเจอ ก็ได้แต่มานั่งปลง ๆ ขำ ๆ กับสิ่งที่ได้รับรู้แหล่ะนะ
เวลาผู้ชายมันเม้าส์กันในวงเหล้า ( โดยไม่มีเมียมาคุม ) น่ะ
นกกระจอกแตกรังพอ ๆ กับ ผู้หญิงเลยเชียวล่ะ

อิฉันเคยแม้กระทั่ง จับพลัดจับผลูเป็นพยานเงียบ
ในการพนันขันต่อ เรื่องแข่งกันจีบผู้หญิง
ของไอ้พวกเพื่อนตัวแสบด้วยซ้ำ
แถมผู้หญิงที่มันจีบก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
เพื่อนต่างห้องของอิฉันเอ๊ง
ทำเอา ทั้งสงสารทั้ง น้ำท่วมปากไงพิกล

แม้แต่ตอนที่อิฉันมารู้จักเพื่อนที่เป็นผู้ชายในโลกไซเบอร์
อิฉันก็มักจะเจออะไรที่แปลกประหลาด
ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเสมอ
เฮ้อ ไม่มีหร็อก ไอ้เมล์หวาน ๆ
อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจ แบบอีสาวคนอื่นน่ะ
ไอ้เจ้าพี่ชายนอกไส้นั่นก็แทบจะคว้าตาลปัตร มาเทศนา
ให้อิฉันฟังอยู่เนือง ๆ(เมื่อมีโอกาส )

ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้านั่น
ก็มักจะมาบ่นง้องแง้ง เรื่องโน่นเรื่องนี่ให้ฟังเสมอ
นี่ ยังไม่รวม อาเฮีย จิว (แป๊ะ ) ทง
กับ ไอ้เพื่อนปากหมาอีกคน น่ะนะ เฮ้อ

อืม...ใครคนหนึ่ง เคยเมล์มาเล่ามาสอนให้อิฉันฟัง
เรื่อง เกี่ยวกับ การจีบผู้หญิงที่คิดว่าจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิต
แต่พอจีบได้แล้ว ความตั้งใจเดิมที่มี ก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
แถมตะแกบอกอีก ว่า
"การจีบสาวอย่างเดียวนั้นน่าเบื่อ
เพราะสาว ๆ แต่ละคนยิ่งชอบให้เอาอกเอาใจ อย่างโน้น อย่างนี้
ตะแกเลยหันมาเล่นสนุกเกอร์ แทน หนุกกว่าแยะ "

บางทีพี่แกก็มานั่ง เลคเชอร์ให้ฟังว่า
" จะผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ก็มี ความต้องการ เหมือน ๆ กัน
เพียงแต่ ความต้องการของผู้หญิง
มักจะถูกขัดขวางไว้โดยศีลธรรม

ปรัชญาฟันแล้วทิ้ง นั้น ผู้ชายที่ไหน ก็ทำได้ ง่ายจะตาย
แต่สิ่งที่ยากกว่านั้น...คือการไม่ทำต่างหาก
เพราะสัญชาตญาณของสัตว์
มันย่อมชอบสมสู่อยู่แล้ว
และการสมสู่ไม่เลือกนี่เอง
ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สังคมวุ่นวาย"

และ ไอ้เจ้ากระโถนปากร้าย คนเดียวกันนี้แหล่ะ
ที่ แนะนำอิฉันว่า " เรียนไปปวดหัว มีผัวดีกว่า "
ทำเอาหยิบยาเบื่อหมาเขี้ยงหัวไอ้พี่ชายปากกุ้งแทบไม่ทัน
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:19:09:18 น.  

 
 
 
ส่วนใครอีกคนก็เคย เมล์มาบ่นให้อิฉันฟังว่า
" เวลาผู้หญิงร้องไห้ ผมอยากวิ่งหนีไปให้ไกล ๆ
เพราะรู้สึกยากแก่การเข้าใจและรับมือ
น้ำตาหนึ่งหยดของเจ้าหล่อน อาจหมายถึงการต่อรอง
การประท้วง การเรียกร้อง โกรธ หงุดหงิด ไม่ได้ดังใจ ฯลฯ "

เห็นเฮียแก ยิ่ง เล่า ยิ่ง in อิฉันเลยได้แต่ทำตาปริบ ๆ
ปลอบแกเสร็จเลยชวนแก ถก กัน
เรื่อง Postinor กับ กามโรค และยาทำแท้ง แทน
แล้วก็ได้รับรู้จากเฮียแกด้วยว่า คลินิกทำแท้งนั้น
ให้เปอร์เซนต์กับร้านยาที่แนะนำคลินิก ด้วยนะ
ว่าแต่ทุกทั่นรู้จัก วัดใหญ่โพลีคลินิก ที่ พิษโรค อ๊ะเปล่า ล่ะเจ้าคะ 555

ส่วนไอ้เสือฟอร์มมากอีกคน ก็เคยเมล์มาเล่าให้อิฉันฟัง ว่า

" ครอบครัวคนจีนเนี่ย เค้าแสดงความรักกันไม่เป็นหรอก
จะสงสาร ก็สงสารได้เลยนะ อนุญาต "

และไอ้หมอนี่ แหล่ะ ที่เล่าให้อิฉันฟังว่า
มันอ่าน จันดารา แล้ว เรียก ตัวเองว่า อ้ายจัน
อิฉันฟังแล้วหมั่นไส้พิลึก
เก๊าะเลยเอา น้ำแข็ง เขวี้ยงหัวมันเล่นเป็นงานอดิเรกอ่ะ


ไง ? อ่านจนตาลายแล้วมั้ง หืมห์
ก็แค่อยากจะถามเฉย ๆ ว่า กูรู อย่างทุกท่านคิดว่า
ไอ้เจ้าพวกเพื่อนผู้ชายที่อิฉันรู้จัก
มัน เจ้าชาย หรือ เจ้าชู้
มัน ลูกแมว หรือ ลูกเสือ(ลูกตะเข้) ล่ะ เจ้าคะ ?

แต่ไม่ว่า พวกมันจะเป็นแบบไหน
เขาเหล่านั้นก็ไม่เคยกางเล็บมาตะปบอิฉันซะทีนะ
( สงสัยพวกมันจะกลัวยาเบื่อ อิอิ )

และที่สำคัญ สิ่งที่ อิฉันรับรู้ในใจเสมอ คือ
ไม่ว่า พวกมันจะเป็น เสือสิงห์กระทิงแรด ยังไง
พวกมันก็ เป็น เพื่อน ของอิฉัน นะ
สำหรับอิฉันคำว่าเพื่อน มันศักดิ์สิทธิ เสมอ อ่ะ ^ - ^


--------------------------------------------------
ปอลิง

อันนินทากาเลเหมือนเทแกลบ
ไม่เจ็บแสบเหมือนเอาแหนบมาถอนขน เอิ๊ก ๆ

เอาล่ะ ฝอยเสร็จ แล้ว
เด๋ว จาไปเดินจงกรมรอบโรงบาลล่ะ
วันนี้ ทำเวลาได้ค่อนข้างดี ไม่ค่อยเลทมากนัก อิอิ
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:19:12:44 น.  

 
 
 
ถึง อีปี้ แซบ
ว่า แต่ ถามหน่อยจิ อีหนูขวัญ อีปี้ อยากรู้มานานแย้ววว
อีน้อง ไปตกหลุมเสน่ห์ อีปี้ ที่ กาทู้ไหน ในเวบพังจิต เหรอ ?
อยากรู้ จิง ๆ อ่ะ จะได้เอามาใช้วางกลยุทธในการ บริหารเสน่ห์ แหะ ๆ
---------------

เอ่อ...ครือว่า อีน้องชอบของแปลก... ง่ะ
อีปี้แซบ พูด ก็แปลก ฟามคิดก็แปลก แหวกแนวดี
เลย ตามไปดู แบบว่า อีน้องชอบคนบร้า แต่ไม่มีอาการ
จิตหลอน ง่ะ ยิ่งเดาฟามคิดไม่ถูก ยิ่งได้อรรถรส ถ้าเดาถูก
มันก็ไม่มีอะไรน่าดู นินา ถ้าคุยกะใครแล้วถอยหลังลง
คลอง อีน้องก็ชิ่งหนี อะ ถ้าคุยแล้วฟามคิดมันลื่นปึ๊ด
ลื่นปึ๊ด ก็จะคุยนานหน่อย แล้วถ้าคุยกะใครบางคนแล้ว
ไม่เก็ท ก็ชิ่งหนีเลย เหอๆไม่ค่อย จะมีน้ำใจงามซักเท่าไร
เมื่อก่อนก็ไม่ขนาดนี้หรอก จะหัวอ่อน น้ำใจก็แสนงาม
แต่พอรู้มากเข้า ก็จะชักเรื่องมาก แร้วเพื่อนๆที่คุยกันแบบ
รู้จิตรู้ใจ เขาก็ไปกันหมดแระ สงสัยจะได้ดิบได้ดีกันหมด
เหอๆ เราก็เลยต้องเอามั่ง เด๋วเพื่อนมันจะติ ว่าอีนู๋ขวัญ
ล้าหลังตามเพื่อนๆ ไม่ทัน
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 61.90.124.246 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:21:10:11 น.  

 
 
 
ถึงอีปี้ แซบ
อ้างถึง
ไง ? อ่านจนตาลายแล้วมั้ง หืมห์
ก็แค่อยากจะถามเฉย ๆ ว่า กูรู อย่างทุกท่านคิดว่า
ไอ้เจ้าพวกเพื่อนผู้ชายที่อิฉันรู้จัก
มัน เจ้าชาย หรือ เจ้าชู้
มัน ลูกแมว หรือ ลูกเสือ(ลูกตะเข้) ล่ะ เจ้าคะ ?
--------
จากประสบการณ์อันโชกเลือด ในชีวิตอีนู๋ขวัญ
รู้จักพูชายเจ้าชู้ อยู่คนเดียว คือปั่วมันเอง ง่ะ
คนอื่นที่รู้จัก ก็ไม่เห็นว่าเจ้าชู้ เลยนะ เพราะว่า
คนอื่นอีนู๋มันจับไต๋ได้หมด แต่กะปั๋วมันเองดันดูไม่ออก
นึกว่าเชื่องเป็นแมวนอนหวด ที่ไหนได้ ไม่พูดซักคำ
ทำเงียบๆหงิมๆ แต่แอบชิ้นปลามัน คนอื่นไม่ทันได้รู้ตัว
ก็โดน งับ ไปซะแระไม่แซวพูหญิงด้วย นะ แบบว่านิ่งๆ
แต่พอพูหญิงเข้ามารัศมีสายตา ไม่ต้องหันไปมอง มัน
รู้หมดว่านมเล็กนมใหญ่ ขาเพรียวหรือขาโต๊ะสน๊กเกอร์
ผิวเนียนหรือหยาบกร้าน นิสัยแรดหรือเรียบร้อย มันเก็บ
ข้อมูลอย่างไว แถมคนที่ถูกล๊อคเป้าแสกน ก็ไม่รู้ด้วยอะ
ถ้าอีปั๋วมันไม่พูดออกมานะ อีนู๋ขวัญมันก็ไม่รู้หรอกว่า ปั๋ว
มัน กะลังเหล่ใครอยู่ แบบเนี้ย คนเจ้าชู้ที่อีนู๋ขวัญมันรู้จัก
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 61.90.124.246 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:21:32:47 น.  

 
 
 
ทุกวันนี้ป้าก็ยังไม่ค่อยรู้จักปั๋วตัวเอง เรยนะ
ถ้าเขาไม่พูดออกมา นี่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
แล้วฟามคิด ก็ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่อง
แบบว่าจิตหลอนอย่างมีสติ ง่ะ
มีเรื่องคาดไม่ถึงมาเล่าให้ป้าฟังบ่อยๆ ก็หนุกดี
แบบว่า เป็นคนโคตระอภิมหาฝัน อลังการ งานช้าง
นับว่าเป็นคนแปลก อีกชนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็น
อย่างไร เพราะคาดเดาไม่ออก มันพลิกตลอดเดี๋ยวคุ้มดี
เดี๋ยวคุ้มร้าย เหอๆ
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 61.90.124.246 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:21:42:13 น.  

 
 
 
ปรัชญาฟันแล้วทิ้ง นั้น ผู้ชายที่ไหน ก็ทำได้ ง่ายจะตาย
แต่สิ่งที่ยากกว่านั้น...คือการไม่ทำต่างหาก

ประโยคนี่ โดนใจ อีนู๋ขวัญ เขาล่ะ
เห็นด้วย เต็มตีน เรย
 
 

โดย: อีนู๋ขวัญ IP: 61.90.124.246 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:21:50:27 น.  

 
 
 
ไม่ทำกะอดทำมันต่างกันนะ แง่บๆ

...
เผลอติดเกมส์หน่อยเดียว นินทากันนะ แง่บๆ
 
 

โดย: itoursab วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:22:00:13 น.  

 
 
 
เรียน ท่านประทานฝ่ายชาย

ไม่ทำกะอดทำมันต่างกันนะ แง่บๆ
----------

อยากทำ แต่อดทำเพราะสถานะการณ์มันไม่เอื้ออำนวย
ให้ทำ พอมีโอกาสก็จะทำทันที (มั้ง)

อยากทำ แต่ไม่ทำ ต่อให้โอกาสอำนวย ปัจจัยพร้อม
ก็เลือกที่จะไม่ทำ เพราะถือสัจจะตั้งใจว่าจะไม่ทำ1
เพราะรู้ดีรู้ชั่ว มีความละอายต่อบาป1 และเหตุผลอื่นๆ
อีกมากมายประกอบการตัดสินใจไม่ทำ

นอกจากนี้ รบกวนท่านประทานช่วยเสนอแนะ
เป็นฟามรู้ให้หน่อยจิ จะได้เอาไว้ประกอบการพิจารณา
ในอนาคต

เอ่อ.... แร้วท่านประทาน มักจะอดทำ หรือไม่ทำ ล่ะเจ้าคะ
เหอๆ
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.148.113 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:9:43:07 น.  

 
 
 
มักจะอยากทำแต่พอจะทำ ทำไม่ลงขอรับ
นี่ในกรณีที่มีอะไรตะขิดตะขวงใจนะ
แต่ถ้าน้องๆไซท์ไลน์ละก็
มาม๊ะ ป๋าชอบบบบ แง่บๆ
(เค้าเรียกอะไรนะ ดีก็ไม่สุด
เลวก็ไม่หลุด เนี่ยแหะ ปุถุชน แง่บๆ)

.....
เรียนป้าๆ ... ไม่อยู่หลายวัน
ไปทัวร์กะหม่าม๊า
คุยๆกันไปก่อนนะฮับ ฝากๆ ด้วย แง่บๆ
 
 

โดย: itoursab วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:10:19:07 น.  

 
 
 
ถึง ทั่น มาชิกผู้มีเกือกในสมาคม ทุกทั่น

ตอนนี้ อิฉัน มีบล็อคเป็นของตัวเองแล้ว

//bsonjb.bloggang.com

จึงขอฟามช่วยเหลือ จาก ทั่นมาชิก ทุกทั่น
ไปเป็น หน้าม้า ให้ บล็อก อิฉันที ( กะลังทำเรทติ้ง แหะ ๆ )

แต่ เพื่อ ป้องกันฟามสับสน
ขอบอกว่า ไง สมาคมของเรา ก็ยังอยู่ ที่เดิม คือที่นี่นะเจ้าคะ
แบ่บว่า ภารโรง เอ๊ย ทั่นประธาน อยู่ตรงไหน
มาคม เก๊าะอยู่ตรงนั้นอ่ะ อิอิ

 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:18:41:02 น.  

 
 
 
ไอ้แสบ
--------------
ไม่ทำกะอดทำ หรือ อยากทำ

มันต่างกันจิง ๆ นั่นแหล่ะ

อยากทำ คือ มีตันหา เลยคึก
อดทำ คือ ไม่มีปัญญา จะทำ
ไม่ทำ คือ มีปัญญา เลย ไม่ทำ

ขึ้นอยู่กับว่า ใครอยู่ในสถานะ ผู้เลือก หรือ ผู้ถูกเลือก
หวังว่า อ่านแล้วเอ็ง คงจะ ซาบซึ้ง จนเกิด ปัญญา นะจ๊ะ หลานร้ากกก


 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:18:42:44 น.  

 
 
 
อีนู๋ขวานฯ

อ้าววววว ตกลง ชอบของแปลกหรือ นี่
มิน่า ถึงคุยกับ หนึ่งเดียว( เขียวมะกอก ) อย่างอีปี้ ใด้นานนนนน
รสนิยมเดียวกับอีนังอ้าด ปั๋วเก่า อีปี้ เลยอ่ะ อิอิ
ขานั้นมันก็ชอบ คนบ้า
มันบอกว่า ไอดอลของมันคือ ไอสไตน์ 5555

รู้ไหม อีปี้ ยังเคยคิดเรยนะ
ว่าหากเป็น ผู้ชาย อีปี้ คงเหมือน
น้าเน้ก + โน้ส อุดมฯ + อ.เฉลิมชัย โฆษิตฯ มั้ง
แต่ นี่ดันเกิดมาเป็นผู้หญิง เลยเหมือน
เหมี่ยว ปวันรัตน์ + อ้น ศรีพรรณ + ดวงหทัย ศรัทธาทิพย์ แทน อิอิ



ว่าแต่ ฟังนู๋นินทา เอ๊ยเล่า ถึง ทั่นปั๋วของตัวเอง
แล้วก็ขำแฮะ รู้สึกว่า ปั๋วนู๋นี่ เสือซ่อนเล็บ เลยนะเนี่ย
ร้ายนะนั่น หูตาเป็นเรดาห์งี้
หวังว่า อีคงไม่แอบไปรู้หรอกนะ
ว่าถูก นู๋เอามานินทาในเนต แบบระยะเผาขน หุหุ

พูดถึง ผู้ชายใกล้ตัว ที่แสบ ๆ เนี่ย
ขอเอา ไอ้นู๋ ด. ประธานชมรมคนรักพี่นู๋บัว มาเผาหน่อยเหอะ
ไม่นานมานี้ มันเล่า เรื่องไปฝึกงานบนดอย
พร้อมระลึกฟามหลัง ครั้ง ได้กอดสาวเป็นครั้งแรกในชีวิต ให้ฟัง
แถม เล่าจบ มันเก๊าะตบท้าย อย่างสุดเสียดาย ว่า

" เนี่ย ตอนนั้น ผมยังไม่เคย พี่
ถ้าเป็นตอนนี้นะเรอะ ไม่รอดมือผมหร็อกกกก "

ฟังมันพูด แล้ว อีปี้ ก็ ทั้งขำทั้งปลง
กับเด็กในฮาเร็ม ของอีปี้จิง ๆ
เก๊าะไม่รู้ อันนี้ เรียก

ไม่ได้ทำ หรือ อดทำ นะ 555
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:18:43:19 น.  

 
 
 
ถึง ทั่นประธานสมาคม( อักหน )

กลับจากไปทัวร์
ช่วยมาอภิปรายใน ประเด็นนี้ด้วย


-----------------------------------
จากอดีต จวบจน ปัจจุบัน
เจ้าสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่า ผู้ชาย
รอบ ๆ ตัว ท่านทั้งหลาย
พวกมันเป็นไง กันบ้าง ?

-----------------------------------


ป้าจะได้เก็บข้อมูลไว้ เขียนนิยาย
จะได้ เขียนได้สมจริง

โปรด เล่าสู่กันฟังเป็นวิทยาทาน
ให้กับลูกผู้หญิงผู้บอบบางได้รับรู้
และเอาไว้เตือนสติตัวเองเวลา หน้ามืด ด้วยเถิด
ทั่นประธานที่เคาร๊พพพพพพพ หุหุ
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:18:52:05 น.  

 
 
 
ถึง อีปี้ แซบ
อ้างถึง
ว่าแต่ ฟังนู๋นินทา เอ๊ยเล่า ถึง ทั่นปั๋วของตัวเอง
แล้วก็ขำแฮะ รู้สึกว่า ปั๋วนู๋นี่ เสือซ่อนเล็บ เลยนะเนี่ย
ร้ายนะนั่น หูตาเป็นเรดาห์งี้
หวังว่า อีคงไม่แอบไปรู้หรอกนะ
-------------------------

ถ้าอีมีเอะใจ นะ ก็คง มาคุ้ยดูเองแหละ
เห็นมีมาคุยให้ฟังด้วยว่าทำเครื่องให้ลูกค้าเนี่ย
จะดูว่าเจ้าของเครื่องไปคุยอะไรกะใครที่ไหน
ก็ดูได้ ถ้าคุกกี้(มั้ง) ไม่ถูกล้างทิ้งก็รู้ได้หมดไส้หมดพุง
อย่างนู๋ขวัญ ถ้าปั๋วมันเอะใจ มันก็มาสืบราชการลับเอง
แหะ แหะ หมูไม่กัวน้ำร้อน เหอๆ

--------------------------
ขอร่วมอภิปราย ประเด็น พูชายใกล้ตัวมั่งนะ
นินทาถึงปั๋วไปก็เยอะ พูดถึงเพื่อนปั๋วมั่งก็ดี
อีปั๋วมันเคยชื่นชมถึงเพื่อนคนนี้ให้ฟัง ว่าเพื่อนมัน
คนนี้มีงานหลักคือบริโภคกามกับอิสตรีมากหน้า ใครมา
ใกล้มือ ก็กินดะ กินวันละหลายหนด้วย ชูชกมาเกิด เจงๆ
ปัจจุบันเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ได้เจอครั้งหลังสุด
ก็ไม่ได้คุยถึงเรื่องฉาวๆ แระ อายุยังไม่เท่าไรเองนะ
บุญเก่ามันหมดไว กรรมใหม่ก็มาเร้วเร็ว
 
 

โดย: อีนู๋ขวัญ IP: 58.9.44.141 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:21:26:24 น.  

 
 
 
ลาป่วย......
 
 

โดย: ช้านเอง IP: 112.142.50.17 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:9:15:30 น.  

 
 
 
ถึง คุณ ช้านเอง

ขอให้หายป่วย ไวไวเน้อ...
ขอให้อยากนอน ก็ได้นอน
ขอให้อยากกิน ก็ได้กิน
ขอให้มีจิตใจแข็งแรง ไว้ต่อสู้กับโรคภัย เน้อ...

-----------------------------
วันนี้ได้เมล์มา ฝาก เป็นกำลังใจ
FW: Que Sera Sera - Whatever will be, will be

When I was just a little girl
I asked my mother, what will I be
Will I be pretty, will I be rich?
Here’s what she said to me

เมื่อตอนฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ
ฉันถามคุณแม่ฉันว่าโตขึ้นจะได้เป็นอะไร
ฉันจะได้เป็นคนสวยหรือคนรวยไหม?
คุณแม่ก็ตอบฉันว่า……..

Que sera, sera
Whatever will be, will be
The future’s not ours to see
Que sera, sera
What will be, will be

เค เซรา เซร่า
อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด
อนาคตเราไม่สามารถล่วงรู้ได้

เค เซรา เซร่า
ให้มันเป็นไป ปล่อยมันเป็นไป…

When I grew up, I fell in love
I asked my sweetheart what lies ahead
Will we have rainbows day after day?
Here’s what my sweetheart said

เมื่อฉันโตขึ้นและมีความรัก

ฉันถามแฟนฉันว่าเราจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า
จะมีสายรุ้งในทุกๆวันไหม?

แฟนฉันก็ตอบฉันว่า…..

Que sera, sera
Whatever will be, will be
The future’s not ours to see
Que sera, sera
What will be, will be

เค เซรา เซร่า
อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด
อนาคตเราไม่สามารถล่วงรู้ได้

เค เซรา เซร่า
ให้มันเป็นไป ปล่อยมันเป็นไป…

Now I have children of my own
They ask their mother, what will I be
Will I be handsome, will I be rich?
I tell them tenderly

และตอนนี้ที่ฉันมีลูก

เขาถามแม่ของเขาว่า ผมจะได้เป็นอะไร
ผมจะเป็นคนหล่อ หรือคนรวยไหม?
ฉันก็บอกกับเขาเบาๆว่า……

Que sera, sera
Whatever will be, will be
The future’s not ours to see
Que sera, sera
What will be, will be
Que sera, sera……..

เค เซรา เซร่า
อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด
อนาคตเราไม่สามารถล่วงรู้ได้

เค เซรา เซร่า
ให้มันเป็นไป ปล่อยมันเป็นไป
เค เซรา เซร่า…….

--------------------------

โอเค เป่า.... สหายที่ร๊าก ของช๊านเอง
 
 

โดย: อีนู๋ขวัญ IP: 124.122.148.11 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:10:27:52 น.  

 
 
 
ถึง ตัวช๊านเอง (อิอิ)

When I was a just alittle staff
I asked Ma-nager what will I be
Will“salary up”
Will I be rich
Here's what she(he) said to me
Que sera sera
Salary will not increase!!
The Future’s not ours to see.....
Que Sera Sera

When I was ajust a little staff
I askedMa-nager what will I be
Will“bonus better”
Will I be rich
Here's what she(he) said to me
Que sera sera
The bonus may not be paid!!!!!
The Future’s not ours to see.....
She(he) say “Sorry” to me

ปล. เพื่อนในแผนกมันส่งมาให้ ง่ะ ไม่เกรงใจเจ้านายด้วย
นะ เพราะมันส่งถึงทุกคนในแผนกรวมเจ้านายมันด้วย

 
 

โดย: อีนู๋ขวัญ IP: 124.122.148.11 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:10:31:41 น.  

 
 
 
ถึงอีปี้ แซบ
ถามอะไรจิ๊ดนึงนะ
อีปี้ เชื่อเรื่อง รู้ใจคนอื่นไหม
อีปั๋วนู๋ขวัญ มันคิดว่ามันรู้ใจคนอื่น นะ รู้ว่าคนนี้คิดอะไร
คนนั้นคิดอะไร ถ้าอีอยากรู้ ก็ได้รู้ แต่อีนู๋เคยถามเค้านะ
ว่าแล้วรู้ใจ อีนู๋มั่งไหม อ่านใจอีนู๋ขวัญ ได้ไหม
เค้าก็ตอบว่า เค้าไม่รู้ใจอีนู๋ และก็ อ่านใจไม่ได้
ไม่รู้จะเชื่อเค้าได้ไหม แต่การกระทำมันฟ้องนะ
ว่า เค้าไม่เคยรู้ใจอีนู๋ ซักกะติ๊ด ชอบทำให้ขัดใจอยู่เรื่อย
เราพูดอย่างหนึ่ง เขาตีความไปอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ตรงกับ
ที่เราคิดซักกะติ๊ด เหมือนยืนอยู่คนละโลกงั้นแหละ
พูดแร้วก็ เซ็งจิต ไป 2 วินาที
 
 

โดย: อีนู๋ขวัญ IP: 124.122.148.11 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:10:48:55 น.  

 
 
 
อืม....เรื่อง รู้ใจ คนอื่น นี่ ไม่ชัวร์อ่ะ
เก๊าะ ขนาด ใจวเอง อีปี้ยังไม่ค่อยจะรู้
แล้วจะให้ อีปี้ ไปรู้ใจคนอื่น ได้ไงล่ะ


เอ้า เอา หนมปัง มาฝากอีนู๋ขวัญจ้า
ลองอ่านดูนะจ๊ะ คุณนายเน่า อิอิ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บนโต๊ะอาหารค่ำ ในวันครบรอบแต่งงาน
คุณตาบิขนมปังหัวกะโหลกออกเป็น 2 ส่ว
น วางส่วนหัวกะโหลกสีน้ำตาลเข้มลงในจานของคุณยาย แล้วตักเนยป้ายลงบนขนมปังนุ่มๆที่เหลือ
ก่อนส่งเข้าปากตัวเอ


ง คุณยายมองการกระทำของคุณตาด้วยสายตาเย็นชา
และน้ำตาตกใน

....กี่ปีแล้วนะที่ฉันแต่งงานกับผู้ชายคนนี้
ตลอดชั่วชีวิตการแต่งงานที่ผ่านมา
ฉันต้องทนกินกะโหลกขนมปังแข็งๆ
ในขณะที่เขาคนนั้นได้ส่วนที่อ่อนนุ่ม

อันแสนเอร็ดอร่อยไปเสมอ
...นานจนนับปีไม่ถูก... ฉันทนไม่ไหวแล้ว
ดังนั้นคุณยายจึงระเบิดออกมาอย่างเหลืออด

ทำมัยฉันต้องไ
ด้เป็นฝ่ายกินกะโหลกขนมปังบแข็งๆอย่างนี้
ในขณะที่คุณได้กินแต่ของอร่อยเสมอมา

ลองใช้ เจโตฯ วิปัสนาญาณตอบอีปี้ หน่อยจิ

นู๋คิดว่าคุณตาจะพูดตอบคุณยายว่าอย่างไร
แล้วคุณตาเป็นคนประเภทใหน









































































--------------------------
เอาล่ะ ตานี้มาอ่านต่อ

คุณตาตะลึงมองคุณยายด้วยความรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก
"ขอโทษเถิด ที่รัก แต่กะโหลกขนมปังเป็นส่วนที่ผม
ชอบกินมากที่สุดมาตั้งแต่เด็กเลยนะ


จากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ายามรักใคร
เราย่อมต้องการให้คนที่เรารักได้ในสิ่งที่เราเห็น


( แต่ก็อย่าลืมว่า น้ำต้มผัก จะหวาน เฉพาะ ช่วงข้าวใหม่ปลามันเท่านั้น อิอิ)

อีนู๋เอ๊ย รู้ไหม เวลา ทวนศีล ทวนจิต
จากสมุด จดกรรม ของอีปี้ น่
ะ คำที่ถูกเอามาย้ำบ่อย ๆ คือ คำนี้ นะ

----------------------------------------
เป็นไปไม่ได้หรอก
ที่ ทุก ๆ สิ่ง ทุกๆอย่างที่ทุกๆ คนบนโลก ทำ
จะถูกใจเรา


และเป็นไปไม่ได้หรอก ที่ ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่ เราทำ
จะถูกใจทุก ๆ คนบนโลก

แต่เราก็สามารถ ยืนหยัดอยู่บนโลกนี้ อย่างสงบสุขนี่หน่า
เพราะว่า เรารู้จัก

ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และ ปล่อยวาง อัตตา ตัวเอง
--------------------------

เจริญในธรรม แค้ก....แค้ก....



 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:21:57:21 น.  

 
 
 
อ้อ

อีนู๋ชวานจ๋าาาา
พรุ่งนี้ อีปี้จา กลับบ้านไปอ้อนป๊ะป๋า อ่ะ
ฉะนั้น ขอลาเปื่อย เอ๊ย ลากิ จจ้า
ฝากอยู่โยงเฝ้าสมาคมด้วย เด้อ เหอ...ๆ

อ่ะ สามกาทู้ นี่ เจ้เอามาให้อ่าน แก้เหงา อิอิ

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8412815/Y8412815.html


//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8411338/Y8411338.html


//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8412773/Y8412773.html
 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:22:04:06 น.  

 
 
 
การมีปั๋วเป็นคู่ซ้อม เอ๊ยคู่ชีวิต
มันก็ดีอย่างหนึ่ง ได้เรียนรู้สิ่งมีชีวิตที่เหมือนตัวเอง
ได้อย่างใกล้ชิด เหอๆแบบว่า เราทำขนาดไหน
เราทำขัดใจเขาขนาดไหน เขาก็ยังอภัยให้เราได้
(ยกเว้นเรื่องนอกใจมีชู้ หรือไปเห็นคนอื่นดีกว่าเขา)
การมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบอะไร
การคุยกันอย่างเปิดอกไม่ปิดบัง จึงจะช่วยให้เข้าใจตรง
กันได้ทั้ง2ฝ่าย ถ้าคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้เหมือนที่เรารู้คงต้องรอ
ให้ใช้โทรจิตได้ก่อนละมั้ง เหอ ๆ

ถ้าชีวิตคู่นั้นอยู่กันยาวนานจนถึงขนาดเป็นตาเป็นยาย
แล้วยังไม่รู้ว่า คู่ของตัวชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แสดงว่า
ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น เช่นว่าคุณยายก็ไม่รู้ว่าคุณตาชอบ
อะไร คุณตาก็ไม่รู้คุณยายชอบอะไร ว๊าย.... พูดแล้วก็
กระเทือนตัวเอง นะเนี่ย เหอๆ แต่ก็นะ อีนู๋ขวัญมันขี้เกียจ
ตัวเป็นขน ใส่ใจแต่ตัวเอง ไม่ค่อยใส่ใจปั๋วมันเลย คิดแล้ว
ก็น่าเห็นใจปั๋วมันเหมือนกันนะ
 
 

โดย: อีนู๋ขวัญ IP: 61.90.78.173 วันที่: 10 ตุลาคม 2552 เวลา:10:40:55 น.  

 
 
 
โชคชะตาและชีวิต ไม่เที่ยง หนอ...
วันนี้ได้อ่านชีวิตคู่ของคน 2 คู่ อายุ 84 อัพ

เรื่องที่1 โหว ปอ เลนส์โลกไม่ลืม (ฉบับย่อตามใจฉัน)
ลำพังชีวิตของโหว ปอ เองนั้น ก็อาจจะนับเป็นตำนานได้อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2467 เธอเกิดมาท่ามกลางกลียุค แผ่นดินตกอยู่ใต้การปกครองของเหล่าขุนศึกขุนนางทรราช และมีสภาพดั่งเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดินิยม ชีวิตแร้นแค้นเหมือนตายทั้งเป็น กำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก ได้อาศัยอยู่กับยายที่ตาบอดในอำเภอเซี่ย มณฑลซันซี

ย่างสู่วัยรุ่น แม้ไม่เข้าใจอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มากนัก แต่ความรักชาติทำให้เธอเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เมื่ออายุ 14 ปี และถูกส่งไปรับการอบรมฝึกฝนที่กองพลที่แปดในซีอาน (the Eighth Route Army Xi'an)
...
ในวันที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ฉลองการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ปีที่ 60 โหว ปอ ซึ่งอายุ 85 ปี ยังคงมีสุขภาพแข็งแรง และอยู่ร่วมชีวิตกับ สี่ว์ เซียวปิง สามี ซึ่งอายุ 93 ปี เลี้ยงหลานสาวตัวเล็กๆ แม้เธอจะมีปัญหาในการฟัง ต้องใช้เครื่องช่วยได้ยินตลอดเวลา แต่สำหรับภาพและเสียงของวันประวัติศาสตร์นั้น ยังคงก้องอยู่ในใจเธอเสมอ และกังวานจนถึงวันนี้ วันที่ฟ้าดินลากเส้นชีวิตให้เธอได้อยู่จนเห็นประเทศจีนลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง

โหว ปอในวัยชรา บอกว่า “พรรคคอมมิวนิสต์ ไม่เพียงให้ชีวิตกับฉัน แต่ยังให้ความหมายคุณค่ากับชีวิตว่าจะอยู่เพื่ออะไรดัวย ฉันรู้ว่า ท่านประธานเหมา มีข้อผิดพลาดอยู่หลายเรื่อง แต่เมื่อพิจารณาเจตนาของท่านแล้ว เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นข้อบกพร่องอันเป็นปกติวิสัยที่ปุถุชนทั่วไปพึงเข้าใจได้”

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000119372
-------------
เรื่องที่2 นายพลคิดฆ่าตัวตายหนีชีวิตรันทด ลูกสาววอนคนใจบุญช่วย

สลด..นายพล อดีตรองเจ้ากรมแผนที่ทหาร ตกอับ ตาบอดนั่งรถเข็นจะกระโดดน้ำตาย บริเวณใต้สะพานข้ามคลองเพชรเกษม 23 หวังนำเงินสงเคราะห์ให้ลูกสาวใช้หนี้ โชคดีมีชาวบ้านในละแวกพบเห็นช่วยห้ามปราม เผย ชีวิตรันทดถูกภรรยาทิ้ง แถมขายบ้านเบิกเงินบำนาญ เงินสะสมไปใช้จนหมด ปล่อยลูกสาววัย 63 ดูแลหาเลี้ยงจนไม่ไหว บวกกับค่ารักษาพยาบาลแพง วอนสื่อช่วยตีแผ่หาคนใจบุญช่วยเหลือ

จากการสอบถาม นางสุนันทา หิรัญบำรุง อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวติดภรรยาเก่า เปิดเผยว่า พ่อเคยเป็นนายทหาร เรียนจบโรงเรียนเสนาธิการทหารรุ่น 2 ก่อนจะรับราชการในกรมแผนที่ทหาร แล้วไต่เต้าจนได้เกษียณอายุราชการในตำแหน่งรองเจ้ากรมแผนที่ทหาร ส่วนตนเป็นลูกสาวที่เกิดกับ นางวิเชียร หิรัญบำรุง อายุ 82 ปี ภรรยาเก่าที่เลิกรากันไปกว่า 40 ปีแล้ว โดยช่วงนั้นพ่อก็มีภรรยาใหม่ แต่ก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูตนตลอดมา จนกระทั่งเมื่อ ปี พ.ศ.2550 ตนได้รับโทรศัพท์จากภรรยาใหม่คุณพ่อ ว่า ให้มารับพ่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงกลับพบว่า สภาพคุณพ่อเปลี่ยนไปร่างกายทรุดโทรมลงจนแทบจำไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นและตามองไม่เห็นเพราะคุณพ่อป่วยเป็นเบาหวานขั้นรุนแรง

นางสุนันทา กล่าวอีกว่า ตอนนั้นตนเดินทางไปรับคุณพ่อตามที่ภรรยาใหม่โทรศัพท์มาบอก แต่กลับไม่พบภรรยาใหม่กับลูกๆ ของพ่อแต่อย่างใด จึงตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านพักที่คุณพ่อ ซื้อไว้ในหมู่บ้านภาณุรังษี ย่านบางกรวย กลับพบว่า บ้านหลังดังกล่าวถูกภรรยาใหม่ขายไปก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนั้นยังทราบว่า ภรรยาใหม่และลูกๆ ได้ทำการการเบิกเงินบำนาญ เงินเก็บสะสมของคุณพ่อไปจากธนาคารจนเกลี้ยงไม่เหลือสักบาท ตนเลยต้องพาพ่อกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่เมื่อพาพ่อกลับมาบ้านก็มีปัญหาอีก เนื่องจากแม่ตนซึ่งมีอาการทางประสาทอยู่แล้วเกิดความไม่พอใจ พยายามจะทำร้ายคุณพ่อด้วยวิธีต่างๆ นานา หนักที่สุดเคยถึงขั้นจะเอามีดแทงพ่อให้ตายเลยทีเดียว

นางสุนันทา กล่าวต่อไปว่า ตนเคยพาพ่อไปพักตามห้องเช่าต่างๆ แต่เมื่อนานไปรายได้เริ่มไม่พอ ต้องกู้หนี้ยืมสินมาหมุนกว่า 2 แสนบาท ทุกวันนี้ต้องรับผิดชอบเฉพาะค่ารักษาพยาบาลอีกตกแล้วเดือนละกว่า 2 หมื่นบาท ทั้งที่ตัวเองก็เริ่มจะรับจ้างใครทำงานไม่ไหวแล้ว เพราะอายุมากขึ้น จนสุดท้ายต้องพาคุณพ่อออกมานอนบริเวณใต้สะพานข้ามคลองใกล้บ้าน ยังโชคดีที่พวกชาวบ้านช่วยกันดูแล ไม่เช่นนั้นคุณพ่อ ก็จะพยายามฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา

ด้าน พล.ต.เหรียญ กล่าวทั้งน้ำตาว่า สมัยที่ตนรับราชการอยู่นั้น เคยติดตามรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ไปทำแผนที่ในถิ่นทุรกันดาร จนกระทั่งเกษียณราชการ และต่อมาเริ่มเป็นเบาหวานขึ้นสูง ทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง จึงมองไม่เห็นและเดินไม่ได้ ก่อนที่จะถูกภรรยาทิ้งไป ทุกวันนี้ตนรู้สึกสงสารลูกสาวมากที่ต้องมาดูแล ทั้งนี้ ลูกสาวอยากให้ตนทำเรื่องถวายฎีกา แต่ตนไม่อยากรบกวนให้พระองค์ต้องระคายเคืองพระยุคลบาท ส่วนที่พยายามฆ่าตัวตายมาตลอดนั้นเป็นเพราะอยากได้เงินจำนวน 2,000,000 บาท จากการสงเคราะห์ทางทหาร ให้ลูกสาวนำไปใช้หนี้ที่กู้นอกระบบมาเลี้ยงตน ที่สำคัญ ตนไม่อยากอยู่เป็นภาระของลูกสาวอีกแล้วด้วย

//www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000120520

------------
อีนู๋ขวัญ อ่านแล้ว เพ้อเจ้อ ต่อได้อีก (เหอ ๆ)
โชคชะตาเรากำหนด หรือ เรายอมถูกกำหนดโดยโชคชะตา
น้ำมาปลากินมด พอน้ำลด มดก็กินปลา
ผลัดกันกิน ทีฮูทีอิท หรือเปล่าหนอ
ถ้าทำตัวเป็นน้ำ ไม่เป็นปลา ไม่ป็นมด จะรอดไหม ...ตรู
ถ้าไม่หน้ามืด ก็เป็นน้ำ ถ้าหน้ามืด ก็เป็นมดมั่ง ปลามั่ง
ซะละมั้ง... เหอๆ




 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.151.96 วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:8:36:27 น.  

 
 
 
อันนี้ อ่านแร้ว...สุโค่ย เรย..ต้องเอามาแบ่งกันอ่าน

น้ำใจ....ของพลเมืองดี(ที่อังกฤษ)

//4.bp.blogspot.com



ขออนุญาตคั่นรายการพาเที่ยวเมือง Market Bosworth

ด้วยเรื่องราวดีๆ จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อังกฤษ

ที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกชื่นใจว่า "แม้โลกใบนี้จะโหดร้าย

แค่ไหน แต่น้ำใจของคนดีก็ยังมีให้เห็นอยู่......."



หัวข้อข่าว เขาเขียนเอาไว้ว่า.....



"Witness who helped convict rapist

donates £10,000 reward to victim"



"พลเมืองดีที่ช่วยเป็นพยานให้ตำรวจสามารถจับผู้ต้องหา

คดีข่มขืนได้นั้น...เขาได้สละรางวัลนำจับเป็นจำนวน

เงินถึงห้าแสนกว่าบาท ให้กับเหยื่อที่โดนข่มขืน"



ด้วยเหตุผลว่า.....





"ผมรู้สึกว่าผมไม่สมควรจะได้รับเงินนี้ ในขณะที่ยังมี

ผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังทุกข์ระทมจากการตกเป็น

เหยื่อของความโหดร้ายในครั้งนั้น....ผมมั่นใจว่าเงิน

จำนวนนี้...มันน่าจะมีประโยชน์กับเธอมากกว่าตัวผม"



"อย่างน้อยมันก็คงช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นไปได้พักใหญ่"



"ผมอยากช่วยเหลือเธอในทุกทางเท่าที่ผมจะทำได้"



"I would have probably spent it on an expensive car

or something which doesn't seem right

so I am happy with my decision"



"ถ้าผมได้เงินนี้ไป ผมอาจจะเอาไปใช้ซื้อรถยนตร์แพงๆ

สักคัน หรืออะไรสักอย่างที่มันอาจจะไม่ถูกต้องเท่าที่ควร

ดังนั้นผมจึงมีความสุขกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผมครับ"













นั่นคือเหตุผลที่ Lloyd Gardner วัย 22 ปี จากเมือง Exeter

ในเขต Devon บอกไว้หลังจากที่เขาสละเงินรางวัลนำจับ

ผู้ร้ายในคดีข่มขืน ให้กับหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งโดน

ทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส ในระหว่างโดนข่มขืน





หญิงสาวผู้โชคร้ายซึ่งตกเป็นเหยื่อคนชั่วรายนี้ ได้รับ

บาดเจ็บกระโหลกศรีษะแตก และส่งผลให้เธอต้อง

สูญเสียความทรงจำ และต้องพิการนั่งรถเข็นมาตลอด

ระยะเวลากว่าสามปีแล้ว ถือเป็นความเจ็บปวด

ทั้งทางร่างกายและจิตใจเลยทีเดียว.....





เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว ในยามดึกคืนหนึ่ง

ซึ่งหญิงสาวผู้นี้ออกมาจากไนท์คลับ และโดนลาก

ไปข่มขืน ผู้ต้องหารายนี้ตั้งใจทำร้ายเธอให้เธอตาย

แต่บังเอิญเธอรอดมาได้ และตำรวจก็หาหลักฐาน

ผ่าน CCTV จนได้ผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งซึ่งเดินตาม

หญิงสาวกลุ่มหนึ่งตอนดึกก่อนเกิดเหตุเล็กน้อย





ทำให้ตำรวจต้องการตัวหญิงสาวกลุ่มนี้มาให้การ

เพื่อข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หลังจากตำรวจประกาศ

หาตัวพยานกลุ่มนี้ ปรากฎว่า พลเมืองดีอย่าง ลอยด์

ก็รีบออกมาให้ความช่วยเหลือตำรวจทันที ด้วยการระบุ

ตัวหญิงสาวกลุ่มนี้ว่าเป็นใคร และจะตามตัวได้ที่ไหน





ลอยด์ซึ่งทำงานเป็นผู้จัดการร้านอาหารได้บอกว่า

เขารู้จักสาวกลุ่มนี้อยู่สองคน เพราะเป็นเพื่อนร่วมงาน

ของเขานั่นเอง ทำให้ตำรวจสามารถตามตัวเธอทั้งหมด

มาให้การที่เป็นประโยชน์จนสามารถจับคนร้ายซึ่งเป็น

ชายชาวโปแลนด์ วัย 24 ปี นามว่า Jakub Tomczak

ซึ่งมาทำงานเป็นพนักงานหิ้วกระเป๋าในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง













Jakub ถูกศาลตัดสินให้ติดคุกดับเบิ้ลตลอดชีวิต

เพราะเป็นคดีข่มขืนที่โหดร้ายทารุณเป็นอย่างยิ่ง

ปัจจุบันเขาอยู่ในคุกประเทศโปแลนด์เรียบร้อยแล้ว











ตำรวจและประชาชนได้ยกย่องให้ลอยด์

เป็นพลเมืองดีเด่น และกล่าวชื่นชมว่า

เขาช่างมีเมตตาอย่างไม่น่าเชื่อ.....





แม้จะเป็นข่าวสั้นๆ เล็กๆ อยู่มุมหนึ่งของหน้า

หนังสือพิมพ์ออนไลน์ แต่อ่านแล้วชื่นใจเหลือเกิน

ทำให้มีความหวังกับโลกใบโหดร้ายใบนี้อยู่ไม่น้อย...





จึงขอนำมาบอกต่อให้ได้รับทราบ และช่วยกัน

ชื่นชมพ่อหนุ่มน้อยพลเมืองดีมีเมตตาคนนี้กันค่ะ





Mr Gardner, of Ottery St Mary, Devon,

was given the £10,000 reward for information

leading to the conviction, but he has since given it

to the victim - who can not be identified for

legal reasons - to help her rebuild her life.





อ้อ และที่น่าสนใจจนต้องนำมาขึ้นให้อ่านกันเป็นภาษา

อังกฤษอีกสักนิดก็ตรงที่ว่า...ตำรวจและนักข่าวบ้านเขา

ช่างมีจรรยาบรรณ(ตามกฎหมายระบุไว้ให้) ปกป้อง

ชื่อเหยื่อเอาไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากให้เธอได้มีชีวิตใหม่



บ้านเราทำได้อย่างนี้บ้าง คงจะดีไม่ใช่น้อย

//mblog.manager.co.th/natayaa/th-79310/
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.151.96 วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:13:08:28 น.  

 
 
 
ช่วงนี้ ไม่ได้ทำไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่มาคิดได้ หน่อยนึง ว่า
ชีวิตของเรา ไม่ว่าจะมีคู่ ไร้คู่ มีลูก หรือไม่มีลูก
มีญาติมิตรอุ่นหนาฝาคลั่ง หรือจะไม่มีใครเลย
สุดท้ายแล้ว ความสุขในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น
แต่อยู่ที่ทำอย่างไร จึงจะไม่ทุกข์ไปกับเรื่องที่ต้องพบเจอ
คนเราบางคนเจอสารพัดเรื่อง ก็ยังยิ้มรับได้อย่างมีสติ
คนบางคนต่อให้สมบูรณ์พูนสุขอย่างไร ก็ยังทุกข์ใจได้ทุกเรื่อง

คนบางคน มีบุญที่อายุยืนยาว แต่ไม่มีวาสนาที่จะอยู่อย่าง
มีความสุขเพราะขาดปัญญาบารมี

คนมีสติปัญญา มีอายุเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็คุ้มค่าแล้ว
ที่ได้เกิดมาใช้ชีวิตอยู่บนโลก

เมื่อถึงเวลาต้องตาย จะตายแบบมีทุกข์หรือมีสุข หรือเฉยๆ
ก็ดูที่ความคิดในปัจจุบัน คนอยากตายก็ไม่ได้ตาย คนไม่
อยากตาย ก็ตายลงทุกวัน ใครบ้างจะกำหนดให้ได้ดังใจตน
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.151.96 วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:13:49:24 น.  

 
 
 
มาแระ ..ไปทัวร์ กับสาวๆยี่สิบสีมา เหนื่อยโครตๆ แง่บๆ
(ยี่สี่เนี่ย ก็บรรดา แม่ ป้า ยาย
ทั้งหลายท่านไม่มีใครเกิดหลังปี
สองพันห้าร้อนเลยง่ะ แง่บๆ)
ทอดกฐิน ที่สงขลา เฮ่อออ
น่าสงสารคนพุทธแถวนั้น แบบที่เคยพูด
รัฐชูมุสลิมเกินไป... เกินไปมากๆ และมากๆ
เอาเหอะ...
งานนี้รวมๆจะเรียก ทัวร์สาวสองพันปีคงได้
คนเหนื่อยก็ ไอ้นู๋เด็กที่สุด เนี่ยแหละ
วิ่งช่วยคนนั้นที คนนี้ที งิงิ ดูซิผู้หญิงอ่ะ
แก่ขนาดนั้นยังไม่วายจิกหัวผู้ชายใช้ แง่บๆ
พักหน่อยแล้วกันเนาะ ป้าๆ
 
 

โดย: itoursab วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:16:57:14 น.  

 
 
 
อนุโมทนา บุญด้วยเน้อ ท่านประทาน
บริการผู้อาวุโสด้วยใจ อานิสงค์จะส่งให้
เดินไปทางไหน ก็จะมีผู้อาวุโสเมตตาไปตลอดทาง
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 124.120.150.52 วันที่: 13 ตุลาคม 2552 เวลา:8:27:02 น.  

 
 
 
นู๋ขวัญจ๋าาาา
อีปี้ มาแระ เช่นกันจ้า อิอิ
มัวไปตบตีกะ แก๊งสามลิงมซะละบักสะบอมเรยยา อิอิ
แท้งกิ้วที่ไปเจิมป้าย บล็อกให้ จ้า



เรียนทั่น พระประธานที่เคารพ

อิช้านนนนอ่าน เรื่องที่ ครายก็ไม่รู้ บอกว่า
---------------------------------------
ชีวิตของเรา ไม่ว่าจะมีคู่ ไร้คู่ มีลูก หรือไม่มีลูก
มีญาติมิตรอุ่นหนาฝาคลั่ง หรือจะไม่มีใครเลย
สุดท้ายแล้ว ความสุขในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น
แต่อยู่ที่ทำอย่างไร จึงจะไม่ทุกข์ไปกับเรื่องที่ต้องพบเจอ
คนเราบางคนเจอสารพัดเรื่อง ก็ยังยิ้มรับได้อย่างมีสติ
คนบางคนต่อให้สมบูรณ์พูนสุขอย่างไร ก็ยังทุกข์ใจได้ทุกเรื่อง
-----------------------------------------------------

ก็เลยอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

อะแฮ่ม

ในฐานะ สมาชิกสมาคมฯผู้อาวุโสสุด
ขอจุดประเด็นใหม่ ในการถก กัน คือ

-----------------------------------------------------
จาก วันวาน ถึง วันนี้
ทุกทั่น มีฟามฝัน อะไร กันมั่ง
และ ไล่คว้า ฟามฝัน อันนั้นมาได้หรือยัง ?
-----------------------------------------------------


โยนกาทู้ถามเสร็จ
ขออนุยาด ชิ่งก่อนนะจ๊ะ
เด๋วจามาตอบ อิอิ



 
 

โดย: E-tour-sab IP: 114.128.243.12 วันที่: 13 ตุลาคม 2552 เวลา:22:40:13 น.  

 
 
 
มาตอบก่อนเป็นคนแรก เรย เหอๆ

จาก วันวาน ถึง วันนี้
ทุกทั่น มีฟามฝัน อะไร กันมั่ง
และ ไล่คว้า ฟามฝัน อันนั้นมาได้หรือยัง ?

เอาเฉพาะชาตินี้ละกาน นะ ชาติก่อนจำมะได้
พอดีเป็นโรคฟามจำเสื่อม

ชาตินี้เกิดมาตั้งกะจำฟามได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
มีฟามฝันอะไรบ้าง เพราะดันนอนไม่ฝัน มีแต่หลับแล้วตื่นเลย
แต่มีคนบอกว่าชอบนอนละเมอ บ่นๆอะไรก็ไม่รู้ เหอๆ
พอโตเป็นสาวขึ้นมาหน่อยชอบอ่านเรื่องลึกลับ
ชอบอ่านหนังสือพระ ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องลึกลับและ
เรื่องทั่วๆไป แบบพวกจิตไม่ว่าง ง่ะ
พอฮอร์โมนสาวมันล้นทะลัก ก็เริ่มเปลี่ยนใจหันไปอ่าน
นิยายน้ำเน่า อินละครทีวี แล้วก็อยากเป็นเจ้าหญิง
อยากเป็นคุณนาย อยากเป็นนางเอกนิยาย เหอๆ
เรียกได้ว่าหน้ามืดยาวนาน ลืมหมดทุกอย่าง รู้แต่เรื่องที่
อยากมีอยากเป็นอยากรวยอยากสวย อยากบวชชี(อันนี้ไม่รู้
ตัวเหมือนกันว่าใครอยากนะ) ก็ได้สมใจมั่ง ไม่สมใจ
มั่ง คละๆกันไป จนสุดท้ายมีลูกมีเต้า มีปั๋วเป็นตัวเป็นตนได้
เจอทั้งสุขและทุกข์ แล้วพอดีเข้าสู่ยุคธรรมะเบิกบานบน
อินเตอร์เน็ต ได้พบอากู๋(กูเกิล) มาโปรด ก็เลยได้รู้เกือบ
ทุกเรื่องที่อยากรู้ อยากอ่านเรื่องอะไร ก็ได้อ่าน ได้พบได้เจอ
พระที่เทศน์เก่งๆ ถูกใจอีนู๋ขวัญ ก็เริ่มอยากเป็นคนดี อยาก
ทำดี อยากได้ดี จนสุดท้าย อยากเข้าถึงพระนิพพาน เป็น
ฟามฝันสูงสุด ของชาตินี้ อะจ้ะ กำลังทำฟามฝันสุดท้ายให้
เป็นจริงอยู่ โดยมีปั๋วคอยบั่นทอนกำลังใจทุกครั้งที่โอกาส
อีปั๋วมันชอบให้กำลังใจว่า อย่างเธอทำไม่ได้หรอก นิสัย
อย่างนี้เหรอคนมีธรรมะ หูย...ตะละอย่างที่พูดออกมา ทำให้
รู้ว่าเขารักเราขนาดไหน เหอๆ (สงสัยกัวว่าเราหนีไปเข้า
นิพพานแล้ว จะขาดทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้อย่างเราไป
นะซิ) ก็หวังว่าอีนู๋ขวัญจะเดินธรรมะได้ถูกทาง เกิด
อริยมรรค อริยผล ได้ในชาตินี้ นะ ฟามฝันตอนนี้ก็มีแค่นี้
แหละ ตั้งใจเต็มที่แล้วก็มั่นใจเต็มตีน เรย นะ สิบอกไห่
แต่จะสำเร็จไหม ก็ไม่รู้นะ ลางสังหรณ์มันไม่มีเค้าเรย อะ
เหอๆ
 
 

โดย: อีนู๋ขวัญ IP: 124.120.156.80 วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:13:42:17 น.  

 
 
 
ตอนเด็กอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์
ชอบสร้างเขื่อน สร้างบ้านแล้วเผาเล่น เอิ๊กๆ
(จะได้สร้างใหม่ไง)
โตมาก็ได้ทำอย่างที่ตอนเด็กอยากทำ
แต่เรื่องคาใจยามเด็กคือ ป้าดูลายนิ้วมือแล้วบอกว่า
วงก้นหอยน้อยแสดงว่าต้องเกิดอีกหลายชาติกว่าจะหมดกรรม
ผมบอกไม่เอา เบื่อ ไม่อยากเกิด
ตอนนี้ยังไม่บรรลุขั้นนั้น แง่บๆ
....
Ps:) กลับจากสงขลาเห็นอะไรหลายๆเรื่อง
ตามประสาคนซนๆ
อึดอัดใจแล้วก็กลัวจัง
เฮ่อ รัฐอุ้มมุสลิมจนเกินงามจนเค้าฟูกันหมดเลยอ่ะ
คนพุทธเริ่มๆ บ่นว่าเค้าเป็นพลเมืองชั้นสองหรือเปล่า
ไม่รู้จะจบยังไง ... แง่บๆ
 
 

โดย: itoursab วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:15:51:31 น.  

 
 
 
ไม่เคยฝันให้กับตัวเอง
ฝันอยากให้คนอืนมีสุข
....
....
ค่ะ
 
 

โดย: ช้านเอง IP: 112.142.30.188 วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:22:05:58 น.  

 
 
 

อืม....
เคยเขียน เรื่อง ฟาม ฝันของ ตัวเอง
ไปพล่าม ให้ เจ้าพี่ชายนอกไส้ ฟัง แบบนี้ อ่ะ

---------------------------------

อืม...พี่เคยคิดไหม
ว่าคนเราเกิดมาเพื่อ อะไร...?
บีไม่รู้หรอก...
แต่เกิดมามันก้อตายครั้งเดียวนี่หว่า
ดังนั้นในการที่ได้ทำสิ่งที่เรารักเราชอบ
มันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก

ตอนที่บีหน้ามืดขนาดคิดจะแต่งงานกับห้องสมุด น่ะ
บีก้อรู้เลยว่า จุดมุ่งหมายในชีวิตของบีคืออะไร
การได้อ่านหนังสือดี ๆ
ได้เขียนหนังสือแบ่บที่อยากทำ
คือสิ่งที่ทำให้บีมีความสุขที่สุด ....
และการมีผลงานดี ๆ สักเล่มเป็นความฝันของบี

แม้ว่า การเป็นเภสัชจะไม่ใช่ สิ่งที่บีเคยคิดจะเป็น
แต่เมื่อตกกระไดฯ มาแล้ว
บีก้อทำตามหน้าที่ได้แหล่ะ
ถึงงั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่า
บีจะต้องทิ้งสิ่งที่บีหวังไว้นี่
บีเชื่อ คำพูดที่ว่า ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง น่ะ

เวลาที่บีได้ทำในสิ่งที่ชอบ...
บีก้อมักจะหน้ามืดทุ่มเทให้กะมันเสมอ ...
และ การเขียนหนังสือ
มันก้อเป็น สิ่งนั้นสิ่งเดียว ซะด้วยดิ
บีเลยอยากทำให้งานเขียนของตัวเอง
ออกมางดงาม ตามที่หวัง
ก้อไม่ได้ปรารถนาให้ใครมาชื่นชม
หรือทึ่งในความสามารถนะ
แต่ชิ้นงานที่ออกไป
ควรมีคุณค่าสมกับที่ตั้งใจทำบ้าง...

และคุณค่าของงานเขียนน่ะ
เราตัดสินเองได้หรือคะ
ชาวบ้านต่างหากที่ตัดสินเราได้
งานเขียนที่คนอ่านไม่ยอมรับ
มันคือความล้มเหลว ของนักเขียน....
บีว่ามันน่า กลัวยิ่ง กว่า ซีตัวแรกในชีวิตนิสิตซะอีก
มันคงโหลยโท่ย นะ
ถ้าสิ่งที่เราตั้งใจ ทุ่มเททำ กลายเป็นสิ่งไร้ค่า...

ถ้าบีเป็นแม่ค้าขายเต้าฮวย...
บีก้อขายเต้าฮวย เพราะ บีชอบกินเต้าฮวยอ่ะ...
กำไรที่ได้จากการขาย น่ะ มันแค่ผลพลอยค่ะพี่
เพราะหน้าที่หลักของบี คือ นั่งจ่ายยา
ถึงไม่ขายเต้าฮวยบีก้อไม่อดตายนี่
แต่ที่ บี ต้อง ปรับปรุงรสชาด เต้าฮวยที่บีทำ
มันก้อ เพราะ บีต้องการกินเต้าฮวยอร่อย ๆสมกับที่ตั้งใจไว้
จะได้ไม่เสียชาติเกิดงัยคะ....

ทว่าตั้งแต่เริ่มหัดทำ จวบจนบัดนี้....
ลิ้นของบีก้อไม่เคยยอมรับเต้าฮวยที่ตัวเองทำเลย
หลายครั้งที่บีต้อง เทเต้าฮวยทิ้งเป็นถาด ๆ
ทั้ง ๆที่บีตั้งใจทำแทบตาย...

แต่ถึงบี จะล้มลุกคลุกคลานกับสิ่งเหล่านี้สักกี่ครั้ง
บีก้อไม่เข็ดหร็อก... บีมันพวกดันทุรังน่ะ
ประมาณว่า ถ้าบียังทำเต้าฮวยต่อไปได้
สักวันก้อคงอร่อยถูกปากตัวเองจนได้ ( ถ้าไม่ตายซะก่อน )

ดังนั้น ถึงจะขายผลิตภัณฑ์ไม่ออก
ความคิดเลิกกิจการก้อไม่เคยผุดขึ้นในหัว
บีคิดว่า ถ้าบียังทู้ซี้ทำเต้าฮวยออกมา ....
ก้อคงมีคนทนกินเต้าฮวย ห่วย ๆ ที่บีทำมั่งแหล่ะ
หรือถ้าไม่มีจริง ๆ บีกินเองก้อได้ วะ
ถึงเต้าฮวยที่ทำจะไม่อร่อยถูกปากใคร
แต่ถ้ารสชาดมันถูกอกถูกใจบีก้อพอแล้ว...แหะ ๆๆ

เฮ้อ ... พี่คงเบื่อที่บีพูดเรื่องเต้าฮวยแล้วมั้ง
แต่บีขำนะพี่ พวกเรา ใช้อิเลคทรอนิค-เมล์ ติดต่อกันแท้ ๆ
ดันคุยแต่เรื่องขายเต้าฮวย ซะนี่ เชยชะมัดเลยว่ะ
เหอะ วันหลัง บีบ่นเรื่องกิจการแห้วกระป๋องให้ฟังดีฝ่า เน๊าะ
จะได้ทันสมัยกะเขามั่ง... 5555555555

----------------------------------------


เมื่อก่อนตั้งใจว่าจะเขียนนิยายรักหวานแหววโรแมนติกโคตร
แต่ตอนนี้ดันเอียง ๆ มาทาง ธรรมะธรรมโม ได้ไงก็ไม่รู้ เฮ้อ...
นี่ก็วาง plan กะว่าจะเขียนอีกหลายเรื่องเลยนะ
แต่ มัว ติดขี้เกียจ และ ติดเนต
เลย ยัง ไล่ตาม ฟามฝัน ของตวเองได้ ไม่เต็มที่เท่าไร แหะ ๆ



.
 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:06:21 น.  

 
 
 
อ้อ ต่ออีกหน่อย

ถึง อาเจ้...

ครายก็ไม่รู้ หลังไมค์ไปถาม อิฉัน
ถึง สามหนว่า

หมายความว่าไงนี่ itoursabเป็นนู๋บีหรือ

ช้านเองคือนู๋บีหรือ???

หมายความว่าไงนี่ Etoursabเป็นนู๋บีหรือ


-----------------------


แหม ๆ จินตนาการบรรเจิด จังอ่ะเจ้
อืม...บอกไป จะเชื่อ ไหมล่ะ อิอิ

ว่าแล้ว อิฉันเก๊าะ เลย เอาเรื่องนี้มาอภิปรายในสมาคม
เพื่อ ระดม ฟามคิด จาก เหล่าสมาชิก

และขอ ปรุงแต่ง ตอบ เจ้ ว่า

itoursab บ่ ใช่ นู๋บี อ่ะเจ้าค่ะ
ถ้านู๋บีเป็น ผู้ชาย ก็คงทั้งขาว ทั้งหล่อกว่ามันเยอะ
แล้วถ้านู๋บี เป็น ผู้ชายอ่ะนะ สาว ๆ ติดตรึม
แล้วก็ มีเสน่ห์ พอที่จะไม่โดนพูยิง ( และ ทอม ) ทิ้ง ด้วย เหอ ๆ


ช้านเอง ก็ บ่ ช่าย นู๋บี ค้า
ถึงแม้ เราจะ เป็นสาวสวยโฉด เอ๊ย โสด
และ งามอย่างมีคุณค่าเหมือนกัน
แต่ อิฉัน มัน สิงห์เหนือ
ส่วน ขานั้น เค้า เสือใต้ อ่ะ หุหุ


ดังนั้น เหลือ ตัวเลือกสุดท้ายยยยย
Etoursab คือ นู๋บี ค้าาาาาาาาาาา


แล้วที่ มาสุมหัว เอ๊ย มาเจอกันได้
มันก็คงเพราะ

" สัตว์ทั้งหลาย คบหากันโดยธาตุ เทียว " มั้ง


อ้อ เจ้ขาาาาาาาาาาาา
มาเจิมป้ายเปิด สมาคม ให้นู๋บีโตย เน้อ
สมาคมจะได้ขลัง ๆ หุหุ
 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:07:11 น.  

 
 
 
จิงดิ ช่วงนี้ หัดโพส คลิป
เก๊าะ เลย เอา คลิป มาฝาก ทุก ๆ คนจ้า



อันนี้ ให้เจ้ ที่หลังไมค์มาหา


 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:08:13 น.  

 
 
 
อันนี้ เอามาฝากทั่น ประธาน
ป้าฟังแล้วนึกถึงชีวิตรักบัดโซบบบบ เอ๊ย รันทด ของเอ็ง ว่ะ อิอิ




 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:10:23 น.  

 
 
 
อันนี้ หั้ย อีนู๋ขวานบิน


 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:11:02 น.  

 
 
 
ส่วนอันนี้ ให้ นู๋เว
เห็นชอบเพลง ค้างคาวกินกล้วย
เลยเอามาให้ฟัง
(เผื่อจะชอบไอ้หนุ่มที่เล่น เพลงนี้ด้วย 5555 )

 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:11:36 น.  

 
 
 
อันนี้ ให้ ไอ้หลานลูกเต่า (ว่าที่ เลขาฯ)
ถ้ามัน หลวมตัวมาสมัครเข้า สมาคม นะ หุหุ


 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:12:23 น.  

 
 
 
ส่วนอันนี้ มอบให้ตัวเอง เพราะชอบเพลงนี้มั่ก ๆ
อ้อ มอบให้ ทุกคนที่มีที่เคยอดีตกับกระเทย ด้วยจ้า อิอิ



 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:13:09 น.  

 
 
 
เรียน เบ๊ เอ๊ย ทั่นประธานค้าาาาาาา

ว่าง ๆ เล่าเรื่องที่พบเจอที่สงขลา ให้ฟังมั่งจิ
เอ็ง เห็นอะไร มาหว่า อยากรู้อ่ะ นะนะ

อ้อ
หน้านี้ ป้า ฝอย จนยาวอีกแระ
ขึ้นหน้าใหม่ ให้ หน่อย จิ แหะ ๆ
แล้ว เอา รูปนี้ ประดับกาทู้ด้วยนะ ทูนหัววววว อิอิ

//fineartamerica.com/images-medium/women-waiting-for-the-perfect-man-claude-mccoy.jpg
 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:14:41 น.  

 
 
 

ถึง สมาชิก ทุกทั่น

คืนนี้ ขี้เกียจ ตั้งประเด็นอ่ะ
คุยเรื่องเบา ๆ เล่นเกม์ กันดีกว่าเนอะ
( ไม่รู้เคยเล่นหรือ ยัง นะ )

-----------------------
ขอให้ ทั่น มาชิก ทุกทั่น
นึก ชื่อสัตว์ มาสัก 3 ชื่ออ่ะ
แล้ว โพสบอกมา ว่า นึกถึง อารายกันมั่ง
---------------------

แล้ว เด๋ว มาเล่นอะไร หนุก ๆ กัน อิอิ
 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:16:00 น.  

 
 
 
เล่นด้วย หนุกๆ

นึกถึง1 ลิงเจี๊ยกๆ
นึกถึง2 ไส้เดือนดิน
นึกถึง3 ตุ๊กแกลายเสือดาว leopard (อ่านเจอจากข่าววันนี้)

วันนี้แวะไปเว็บพลังจิต แต่ฟามรู้สึกไม่เหมือนเดิม
เปลี่ยนไปตั้งกะเมื่อไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
เห็นคนอื่น แล้วเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อน อะไร กะใครเลย
ใครใคร่บ้า ก็บ้าไป ใครเห็นผิดใครเห็นถูกก็ไม่เดือดร้อน
ไปกะเขา จะโพสท์เมื่อมีความคิดออกมา ไม่เห็นใคร
สำคัญสำหรับเรา ไม่ได้หวังอยากให้คนอื่นรู้เหมือนที่เรา
รู้ ไม่อยากจ๊ะจ๋กะใคร มีแต่ เจี๊ยกๆ

ไม่รู้อารมณ์นี้จะอยู่นานไหม แต่ก็ช่างมันไม่เดือดร้อน
แค่รู้สึกว่า มันแปลกดี แล้วก็อยากบอกให้คนอื่นรู้มั่ง
เพื่อแสดงความมีอยู่ของตัวฉัน แหะแหะ
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 61.90.125.237 วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:49:01 น.  

 
 
 
เด๋ว จามาเม้าส์ ด้วย นะจ๊ะอีนู๋ขวานบิน
แต่ตอนนี้ อีปี้ ขอ โพส
ล่อเสือ ล่อตะเข้เอ๊ย โพส ถึง ท่านผู้ทรงภูมิ คนนึงก่อน อิอิ


ถึง คุณ ขอมดำดิน
คลิปอันนี้ ให้คุณ
เป็นค่าตัว มาตัดริบบิ้น เปิด สมาคม
ในฐานะ คนพันธุ์เดียวกัน เอ๊ย คลาสเดียวกัน
มีระดับแห่งภูมิธรรมเสมอกัน แค้ก ๆ

 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:20:59:42 น.  

 
 
 
ปิงลอ
อืม... อิฉัน ว่า แม้เราจะ สปีชีซ์ เดียวกัน
แต่ กึ๋นเรา ไม่เท่ากัน หรอกนะ
คุณน่ะเป็นถึง ระนาดเอก ในวงปี่พาทย์ มโหรี
ส่วน อิฉัน มัน เป็นได้แค่ โปงลางสะออน แหะ ๆ
ดนตรีคลาสสิก กับ โมเดิร์นคอมมาดี้
นี่มันเทียบรุ่นกันไม่ได้ หรอกจ้า อิอิ



 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:21:00:24 น.  

 
 
 
จะว่าไป ตอนนี้ชอบคิดแปลกๆ
คิดไปว่า อยากสร้างโรงทาน ที่มีคนอยากมารับทาน
อยากสร้างบ้านให้คนไร้ที่อยู่ ได้อยู่แบบสบายใจ
อยากสร้างงานให้คนที่อยากทำงาน
อยากสร้างโรงพยาบาล ที่ทุกคนอยากใช้บริการ
อยากสร้างโรงเรียน ที่เด็กชอบและอยากเรียน
อยากสร้างคนให้คิดเป็น รู้จักบริหารความทุกข์และความสุข

คงจะได้แค่ฝันละมั้ง ยังทำงานเป็นลูกกะจ๊อกกินเงินเดือน
เลี้ยงลูกหัวหมุน รับใช้คุณปั๋วจนนึกว่าตัวเองเป็นนังแจ๋ว
ทำงานบ้านซะจนหัวฟู ทำงานออฟฟิสจนหัวหูบาน
แต่ว่า แค่ฝันก็มีฟามสุข แระน้า
 
 

โดย: ป้านู๋ขวัญ IP: 61.90.125.237 วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:21:06:24 น.  

 
 
 
สัตว์สามชนิดหรอ..????
แมวค่ะ
นกค่ะ
แมลงสาบค่ะ
แร้วมานเกมส์ไรกันนิ..
อ้อ...
ขอบคุณสำหรับเพลงนะค่ะ
ส่วนคนร้องอ่ะ..
นู๋ชอบแบบเถือนๆกว่านั้น..
แนวๆตะเข็บชายแดนยิ่งดี
ผู้ชายแบบนั้นน่ารักดีค่ะ...นู๋ปลื้ม
 
 

โดย: ช้านเอง IP: 112.142.48.249 วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:21:16:35 น.  

 
 
 

เรียน ทั่น สมาชิกสมาคม

เด๋ว พรุ่งนี้ อิช้านนน จามา เฉลย
แต่คืนนี้ ขอ หายหัวไปก่อน
จะไปดู ชิงชัง ที่ช่อง 5 ง แหะ ๆ

ติดทั้ง เนต ทั้งละคร เรยยย
ส่วน เรื่องปฏิบัติเนี่ย หาเรื่อง อู้ ตามเคย เฮ้ออออ
 
 

โดย: E-tour-sab (นู๋บี ) วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:21:34:16 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

itoursab
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




New Comments
[Add itoursab's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com