เคนยา : Karen Blixen แหม่มผิวขาวที่คนเคนยารู้จักมากที่สุด
ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาโปรยหัวข้อแล้วครับ วันนี้ผมได้พาท่านไปพบกับผู้หญิงผิวขาวที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของชาวเคนยา แต่ไม่เจอเจ้าตัวหรอกครับ เพราะเธอได้ลาโลกใบนี้ไปนานแล้ว จะเจอก็แต่บ้านเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นสมบัติของชาติเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์
Karen Blixen เป็นหญิงชาวเดนมาร์กที่อพยพเข้ามาอยู่เคนยาสมัยล่าอาณานิคม โดยเข้ามาซื้อบ้านหลังที่เป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันเพื่อทำเกษตรกรรมปลูกกาแฟ ซึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานเป็นหนี้เป็นสิน จนต้องกลับไปเดนมาร์กในที่สุด อาชีพที่เธอกลับไปทำหลังจากกลับไปคือการเป็นนักเขียน ซึ่งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมาก มีหนังสือที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหลายเล่ม ส่วนใหญ่จะมีฉากและเนื้อเรื่องเกี่ยวแอฟริกาที่เธอมาอาศัยอยู่ เรื่องที่ท่านๆ น่าจะรู้จักเพราะได้เอามาทำเป็นหนังเมื่อช่วงปี 80 (สมัย Meryl Streep ยังเอ๊าะ) และได้รับรางวัลออสการ์ ชื่อเรื่อง Out of Africa
คาเรนได้รับเด็กชายชาวเคนยามาอุปการะไม่เชิงเลี้ยงดู ประมาณให้มาอยู่กินและช่วยงานในบ้านมากกว่า ตั้งแต่เด็กจนโตมาก็ยกสมบัติพัสถานต่างๆ ให้ด้วย รักเหมือนลูก ซึ่งหลายปีต่อมาเด็กคนนี้ก็โตขึ้นเป็นนักกฎหมายที่สำคัญคนหนึ่งของเคนยา เขียนยาวหน่อย เพราะต่อไปจะเป็นภาพถ่ายล้วนๆ อ้อ ต้องขออภัยนะครับ ภาพไม่ชัดเท่าที่ควร จะบอกเหตุผลตอนท้าย
บ้านคาเรนซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ และบริเวณโดยรอบที่เคยทำไร่กาแฟ
เข้าห้องแรกก็เจอรูปคาเรนกับสามีสมัยยังสาว
รูปนี้ไม่รู้ใครต่อใครบ้าง แต่เด็กผิวดำตัวเล็กนั่น เขาว่าเป็นเด็กที่เขาเลี้ยงและโตมาเป็นนักกฎหมาย
ห้องหนังสือและทำงาน
ห้องรับประทานอาหารตรงข้ามกัน
วันที่ไปฝนตกอากาศเย็น เลยมีการจุดเตาผิงเหมือนบ้านฝรั่ง
เตียงนอนและอุปกรณ์ต่างๆ อายุเกือบร้อยปี
พรมเช็ดเท้าปลายเตียง ของหาง่ายสมัยนั้น
ห้องน้ำ สะดุดตาตรงส้วม ร้อยปีผ่านไป ส้วมบางแห่งที่ประเทศนี้ยังเป็นแบบนั้น
อุปกรณ์ในห้องครัวซึ่งแยกออกมาจากตัวบ้าน
ทางเดินไปชมสวน
คุณยายคาเรน ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตที่เดนมาร์ก สิริอายุได้ 77 ปื
พิพิธภัณฑ์ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 10 กม.เห็นจะได้ ใกล้ๆ กันมีร้านอาหารชื่อ Karen Blixen Coffee Garden ร้านแต่งสวยงาม บรรยากาศดี อาหารโอเค ราคาก็พอสมควร
จะสะดวกแบบอินดอร์
หรือจะชอบใจแบบเอาท์ดอร์ ก็เชิญได้ตามอัธยาศัย
กล้องมือถือถ่ายสู้กล้องถ่ายรูปจริงๆ ไม่ได้เลย ถ่ายด้วยมือถือเพราะเขาห้ามถ่ายภาพข้างในพิพิธภัณฑ์ซึ่งผมดูแล้วก็เป็นบ้านเก่าธรรมดาไม่น่าจะมีผลงานศิลปะอะไรจะเสียหายได้ และเก็บค่าเข้าตั้งเกือบห้าร้อยบาท เลยเผลอเอามือถือขึ้นมากดถ่ายเสียหลายรูป ไม่เช่นนั้นกระทู้นี้ก็จะมีแต่คำบรรยาย ไม่ว่ากันนะครับ
Create Date : 23 มกราคม 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 2:49:55 น. |
Counter : 1987 Pageviews. |
|
|
|