เมื่อเท้ามันคัน อะไรมันๆ จะเกิดขึ้น
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
3 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
เคนยา : เมาท์ลองโกน็อต เม้าท์แตกกลางภูเขาไฟ ถอดใจไปหลายรอบ (ภาค 1)

แฟนประจำที่ชอบบล็อกพาเที่ยวเคนยาคอมเพลนกันว่า ช่วงนี้ไม่ได้พาออกไปชมธรรมชาติในเคนยาเลย มีแต่โชว์ทำอาหารอยู่กับบ้าน ต้องขออภัยด้วยครับ ผมเองอยากออกไปเที่ยวใจจะขาด แต่ด้วยเรื่องงานปวดสมอง เตรียมย้ายบ้านพัก เตรียมลาพักร้อนกลับไทย และเรื่องจิปาถะต่างๆ นาๆ แล้ว ทำให้ไม่สามารถไม่มีเวลาและอารมณ์ออกไปไหน จนมีมิตรสหายจากเมืองไทยมาเยี่ยมเยียนเนี่ยแหละถึงได้ออกไปไหนมาไหนกับเขาบ้าง

สหายทั้งสามจากไทยประทับใจเคนยามาก ประมาณว่าครั้งหนึ่งในชีวิตและหาไม่ได้อีกแล้ว ที่ไม่ค่อยประทับใจแต่คงจำไปได้อีกนานก็มีอยู่สองสามเรื่อง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับประเทศกำลังพัฒนาแถมยังอยู่ในแอฟริกาอีก เช่น คนขี้โกง ไม่มีมารยาท และสนนราคาค่าท่องเที่ยวที่สูงที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยไปกันมา คิดดูว่ามาอยู่ประมาณสิบกว่าวันหมดเงินไปคนละแค่แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง นี่ขนาดไม่มีต้องจ่ายค่าที่พักเพราะมาพักกับผม และอาหารก็ซื้อของมาทำทานกันเองเสียส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีเงินเก็บหรือรายได้เดือนละหลายหมื่นบาทคงต้องรอถูกหวยถึงจะมาเที่ยวได้ สหายกลุ่มนี้กลับไปคงได้ทานมาม่าแทนข้าวกันสักพัก อะไรก็แพงไปหมดแต่คนท้องถิ่นก็จนเอาจนเอา ของแพงแต่คนจน ก็คงไม่แปลกที่อาชีพปล้นจี้และลักขโมยจะได้รับความนิยม งานสบาย เงินดี ปลอดภาษีอีกต่างหาก

อย่าเพิ่งเบื่อครับ เข้าเรื่องแล้ว เพื่อนมาอยู่เป็นสิบวันนะครับ แต่ก็มีอยู่วันเดียวล่ะที่ผมได้ออกไปผจญภัยกับเขาโดยการปีนเขาลองโกน็อต (Mt. Longonot) สมความตั้งใจเสียที ผ่านมาผ่านไปหลายรอบไม่มีโอกาส มาคราวนี้ เพื่อนก็มี วัยก็ใกล้เคียงกัน


ออกเดินทางออกจากไนโรบีตอนประมาณ 7 โมงครึ่ง เพื่อให้ไปถึงอุทยานแห่งชาติเมาท์ลองโกน็อตตอนสายๆ เวลาปีนจะได้ไม่ร้อนเกินไป ใช้เส้นทางตรงจากไนโรบีไปทางทิศตะวันตก ถนนเพิ่งตัดใหม่สองเลนแต่ก็วิ่งรถได้สบาย มีช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่รถบรรทุกหนาแน่น


แค่วิวสองข้างทางก็ตะลึงแล้ว จินตนาการว่ากำลังขับรถบนถนนที่ตัดข้ามรัฐในอเมริกาที่เคยเห็นในหนัง ถนนเส้นตรงยาว สองข้างทางเป็นภูเขาและทุ่งหญ้าสีเหลือง


ขับรถอยู่เกือบสองชั่วโมงก็เริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทางชัดขึ้น เหมือนไม่สูงมาก เอาเข้าจริงไม่ธรรมดาเลย


ขับรถกินลมชมวิวประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงอุทยานแห่งชาติ จอดรถ เข้าห้องน้ำ และเอาเสบียงต่างๆ ที่เตรียมกันมาใส่เป้สะพายหลัง ต้องไปทานอาหารกลางวันกันบนนั้น ทางเข้ามีสำนักงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเก็บเงินค่าเข้าอุทยาน นักท่องเที่ยวคนละ 20 เหรียญ หรือประมาณ 600 บาท ส่วนแบบผมคนละ 500 ชิลลิ่ง หรือประมาณ 200 บาท


ผ่านประตูมาก็มองเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ทางเดินดูเหมือนราบเรียบ ไม่น่าจะมีปัญหาในการปีนแต่อย่างใด


หมดช่วงทางเรียบ เริ่มมีจุดที่ต้องปีนป่าย แต่ยังคึกคักกระฉับกระเฉง


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เสื้อเริ่มชุ่มเหงื่อทั้งที่อากาศไม่ร้อนอะไร แวะพักกันเกือบทุกห้านาที


ลูกเล็กเด็กดำที่โรงเรียนเขาพามาทัศนศึกษาก็แซงหน้าผมไปเฉย มาสังเกตว่า เขาเดินตัวเปล่ากันเกือบทั้งนั้น อย่างดีก็มีน้ำขวดเล็กขวดนึงกับแซนด์วิช 1 ชิ้น


ดูเป้พวกเราเสียก่อน ธรรมดาที่ไหน ผมว่าไม่ต่ำกว่าห้ากิโล แม้ฟังดูไม่หนักมากในทางเรียบ แต่ทางชันที่อากาศเบาบางเนี่ย ทำเอาผมหายใจเกือบไม่ทันหลายครั้ง ใจนึงอยากจะทิ้งสัมภาระไว้ตรงนั้น แต่ไม่อยากอดข้าวกลางวันเพราะข้างบนคงไม่มีกะเพราไก่ไข่ดาวขาย


ยอมรับว่าเหนื่อยที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ทั้งปีน ทั้งลาก ทั้งดัน ทั้งไถ แต่ก็ไม่วายถ่ายรูปสวยๆ ระหว่างทาง


ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็ขึ้นมาถึงยอดเขา เสื้อเปียกเหงื่อเกือบทั้งตัว (ป้ายนี้แปลว่าห้ามทิ้งขยะ)


ขึ้นมาถึงก็มีแรงกระโดดโลดเต้นถ่ายรูปได้อีกพักใหญ่


ภูเขาลองโกน็อตเป็นภูเขาไฟดับแล้ว ปะทุล่าสุดเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันในปล่องก็มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมทั่วไป มีสัตว์พวกม้าลายและยีราฟอาศัยอยู่ด้วย แต่ผมตาลายมองไม่เห็นอะไรสักกะตัว


ยอดเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณเกือบ 3 กิโลเมตร ไม่สูงมากถ้าเทียบกับคิลิมานจาโร แต่เจอทางชันเข้าไป อยากจะเนรมิตให้มันมีรถรางไฟฟ้าแบบดอยสุเทพเดี๋ยวนั้นเลยจริงๆ


ฝรั่งตัวใหญ่ๆ ยังต้องหลับเอาแรง


ชีวิตนี้จะมีโอกาสปีนเขาปีนดอยกับเขาก็ครั้งนี้ละครับ บนยอดสามารถเห็นปล่องได้ชัดเจนมากและ (หากยังมีเรี่ยวแรง) สามารถเดินได้รอบปล่อง


อีกด้านก็เป็นทะเลสาบไนวาชาที่มีฮิปโปอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งผมเคยเล่าไปแล้วในบล็อกเก่า และปล่องเล็กอีกหนึ่งปล่อง


จุดที่สูงที่สุดของปากปล่องภูเขาไฟ ดูท้าทายให้ไปต่อ ใช้เวลาทำใจอยู่นานก่อนตัดสินใจเดินต่อไป ไม่ไปเดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง กะว่าถึงยอดนั้นแล้วจะเดินกลับมาทางเดิม คำนวณแล้วไม่มีพละกำลังพอที่จะเดินรอบปล่องได้


เดินไม่ทันถึงก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยง หาที่เหมาะๆ แล้วเอาสำรับอาหารออกมา จึงได้เห็นว่าอะไรมันถ่วงหลังอยู่ตลอดเวลา กินกันอลังการสไตล์คนไทย กินไม่หมดก็ต้องแบกใส่หลังต่อไป


ใครเดินผ่านไปมาตรงนั้นก็คงงงว่าเอาอาหารกันมาจากไหนมากมาย แต่เมื่อเห็นเสื้อพวกเราที่ชุ่มเหงื่อก็คงเข้าใจ

กินอิ่มหนำสำราญ ร่างกายมันอยากพักมากกว่าเดินต่อ ขาแข้งที่เริ่มปวดเมื่อยและท้องที่อิ่มทำให้ลังเลและถอดใจถอยหลังกลับ จะมาเล่าต่อในภาค 2 นะครับว่าสุดท้ายแล้วสู้หรือถอย








Create Date : 03 เมษายน 2553
Last Update : 3 เมษายน 2553 6:25:28 น. 7 comments
Counter : 3739 Pageviews.

 
สวยมากค่ะ


โดย: ไหม IP: 125.25.200.75 วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:11:09:57 น.  

 


โดย: thanitsita วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:13:35:53 น.  

 
ท้องฟ้าสีสวยมาก วิวก็สวย
ชอบ ลูกเล็กเด็กดำ ^^

เพื่อนจะพาเราไปปีนอีกมั้ยอ่ะ


โดย: Nungkwak วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:13:35:56 น.  

 
ดูภาพสวยมากเลยแต่ยังไม่เคยไปเก็บตังก่อนเดี๋ยวไปใหม่


โดย: srisangwarn IP: 113.53.201.152 วันที่: 4 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:17:45 น.  

 
ความประทับใจท่ีไม่อยากลืมเลือน :)


โดย: Salisa Kanjchanapoomi IP: 110.168.100.98 วันที่: 30 มิถุนายน 2553 เวลา:9:51:58 น.  

 
โอ้ยยยยยยยย สับสนกับภาษาไทย จะบอกว่า ความประทับใจท่ีไม่ "อาจ" ลืมเลือน จ้ะ :)


โดย: Salisa Kanjchanapoomi IP: 110.168.100.98 วันที่: 30 มิถุนายน 2553 เวลา:9:56:09 น.  

 
เห็นแล้วอยากไปจัง ถ้าจะไปจะต้องเดินทางเส้นทางไหนจ๊ะ ใครก็ได้ช่วยบอกที ที่รู้มาว่าเดินรอบป่องภูเขาไฟลองกอน๊อตนั้นจริงหรือเปล่าจ๊ะ


โดย: เด็กบ้านพลอยไนโรบี IP: 196.201.217.252 วันที่: 28 กันยายน 2553 เวลา:23:31:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Thaisoloclub
Location :
Rome Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




Friends' blogs
[Add Thaisoloclub's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.