Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
ตอนที่๒๑

ตอนที่๒๑
องค์ประชุมครบคนการประชุมลับของคนทั้งสี่ภายในห้องทำงานของโจนาธานก็เริ่มต้น ส่วนเจอร์ราล์ดถูกกันให้อยู่ในห้องนั่งเล่นกับคุณแม่บ้านด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการหารือเรื่องงานซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เด็กหนุ่มหัวไวก็เข้าใจเหตุผลและยอมปฏิบัติตามอย่างง่ายดาย แต่เพราะแต่ไหนแต่ไรโจนาธานไม่เคยจัดการประชุมลักษณะนี้ ประกอบกับท่าทีเหมือนมีเรื่องปกปิดของคนทั้งสี่ทำให้เด็กหนุ่มผู้ไวต่อความรู้สึกอย่างเหนือความธรรมดาสามารถรับรู้สัญญาณของเรื่องที่เป็นความลับ เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้ความรู้สึกตามธรรมชาติของความใคร่รู้มีชัยเหนือการเชื่อฟังพี่ชาย

เขายิ้มให้คุณแม่บ้านและสบตากับฝ่ายหลังด้วยดวงตาเป็นประกายกล้า คุณแม่บ้านก็ตกอยู่ในภาวะนิ่งงันและไม่รับรู้สิ่งใด เจอร์ราล์ดก็รีบหมุนล้อเข็นไปยังห้องทำงานของพี่ชาย

การประชุมเริ่มจากข้อสันนิษฐานที่สณาจิณห์บันทึกลงกระดาษ ถัดมาคือเหตุการณ์เขย่าขวัญที่เกิดขึ้นกับโจนาธาน สีหน้าของเอริคและมาร์คัสบ่งบอกความเครียดและปริวิตกยิ่งยวด ฟังคำบอกเล่าจากปากของหญิงสาวและโจนาธาน พวกเขาก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล สมองวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลที่เข้าสู่โสต อีกหนึ่งสมองที่หลบมุมอยู่นอกห้องและลับสายตาคนทั้งสี่ก็แอบฟังอย่างเงียบกริบ

"ข้อมูลจากคุณสณาจิณห์มีความเป็นไปได้เพราะพนักงานคนนึงของฝ่ายการเงินแจ้งให้อาทราบว่ามีการเบิกจ่ายเงินในบางกิจกรรมเกินกว่าความเป็นจริง และเขาก็ได้ตรวจสอบแล้ว คนที่เซ็นชื่ออนุมัติก็คือผู้จัดการฝ่าย คนที่เบิกจ่ายในหลายรายการก็คือลอเรนซ์และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เข้าขั้นสนิทกันดี อย่างที่พวกเราเห็นอยู่บ่อยๆว่าผู้จัดการฝ่ายจะรวมกลุ่มกับลอเรนซ์ แสดงว่าเขาสมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงเงินของบริษัท อาก็เลยตรวจสอบเองอีกครั้งเพื่อกันพลาด และก็อย่างที่พนักงานคนนั้นบอกอา อาสั่งให้เขาปิดเรื่องให้เงียบเพราะไม่อยากให้ลอเรนซ์รู้ตัว ตลอดเวลาอาคอยจับตาดูเขาอย่างเงียบๆ ทีแรกอาไม่มีหลักฐานก็ไม่อยากใส่ความใคร รอสืบจนแน่ชัดและมีหลักฐานจะดีกว่า สำคัญที่เป็นญาติกันด้วย อารู้ว่าถ้าบอก หลานก็จะอาจไม่เชื่อใช่ไหมโจน่า" เอริคจงใจเว้นจังหวะเพื่อขอคำตอบจากหลานชายคนโต

ฝ่ายหลังที่แยกเรื่องหัวใจออกจากเรื่องที่ต้องหารือก็พยักหน้า

"เห็นไหมล่ะ อาก็เลยอยากให้ทุกอย่างกระจ่างและมีหลักฐานแน่นหนาค่อยบอก ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะลงตัวเพราะช่วงที่อารู้เรื่องก็เป็นช่วงที่โจน่าเจอแต่เรื่องเจ็บเนื้อเจ็บตัวเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยๆ โยงเข้ากับเรื่องที่ลอเรนซ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นเงินของบริษัท พอคุณสณาจิณห์เข้ามาทำงานกับเรา อาลองผูกเรื่องดูก็บังเอิญประจวบเหมาะและพ้องพานเหลือเกิน" เอริคจบการสรุปประเด็นของตน

"คุณเอริคทราบมาตลอดก็น่าจะบอกซันบ้างนะคะ ปล่อยให้ซันมืดแปดด้านตั้งนานแน่ะค่ะ"

"หึๆ จะให้ผมพูดอะไรล่ะครับ หลานชายผมเขารักญาติพี่น้อง อย่างคุณยังโดนต่อว่า ผมก็ต้องรอให้เงื่อนปมคลายออก มีหลักฐานมัดตัวคน ผมถึงค่อยพูด"

"คุณเอริคสุดยอดนักสืบเลยค่ะ" หญิงสาวชื่นชม

"คุณต่างหากที่ทำให้เรื่องชัดเจน"

"เราจะทำยังไงต่อครับคุณอา" มาร์คัสออกปากถาม

"ถ้าเราแจ้งความ เรื่องที่ถึงมือตำรวจก็ย่อมจะถึงหูตาของนักข่าว แลนด์ดอล์ฟก็จะด่างพร้อย อาไม่อยากให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย อาคิดว่าจะเจรจากับลอเรนซ์ให้เขาวางมือจากสิ่งที่ทำและกลับตัวใหม่"

"คุณอาจะเปิดโอกาสให้คุณลุงหรือครับ"

"หรือหลานจะปิดโอกาสการกลับตัวของเขา โจน่า" ผู้มีวัยมากกว่าย้อนถาม

"ผมเห็นด้วย ถึงจะแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ อย่างน้อยๆคุณลุงลอเรนซ์ก็ชื่อว่าเป็นญาติ เราสามารถบีบให้ท่านคืนเงินจำนวนนั้นแก่บริษัท แถมตระกูลแลนด์ดอล์ฟก็ไม่ต้องตกเป็นข่าวดังในรอบปี" มาร์คัสเห็นพ้องต้องกันกับเอริค

โจนาธานนิ่งคิดอึดใจก็ให้คำตอบ

"ตกลงตามนั้นครับ"

"ซันขอตรวจสอบเพื่อความแน่ใจค่ะว่าคุณลอเรนซ์มีพลังจิตจริง และเขาก็เป็นคนใช้วิธีการสะกดจิตกับคุณโจน่า ทำให้เสียงโทรศัพท์มีผลโดยตรงขณะคุณโจน่าขับรถ…เหมือนกับการตั้งเวลาไว้ ซันมีเวลาเล็กน้อยที่จะดูหมายเลขที่โทร.เข้า ปรากฏว่าน่าจะเป็นโทรศัพท์พื้นฐานหรืออาจเป็นโทรศัพท์สาธารณที่ตามรอยยากค่ะ" สณาจิณห์เปิดปากขัดทุกคน

ดวงตาสามคู่ของผู้ชายต่างวัยจับจ้องที่หล่อน

"ไม่ใช่ว่าซันไม่เชื่อกับข้อสรุปของคุณเอริค แต่ซันอยากจะแน่ใจว่าเรามีคนร้ายคนเดียวเพราะตลอดเวลาซันไม่พบว่าคุณลอเรนซ์จะเข้าข่าย ถ้าสังเกตจากดวงตาของคนธรรมดากับคนมีอำนาจทางจิตหรือพลังจิต จะต่างกันค่ะ คนที่มีพลังจิตจะมีดวงตาที่แฝงอำนาจ เขาจะไม่เกรงกลัวใครๆ"

"คุณเคยบอกว่าคนที่มีอำนาจเหนือกว่าคุณ คุณจะดูเขาไม่ออก หรือบางทีเขาอาจปกปิดร่องรอย" เอริคเอ่ยข้อข้องใจ

"ค่ะ" หญิงสาวยอมรับ

"การตรวจสอบจะให้ผลอะไรครับคุณซัน" โจนาธานคิดเหมือนอา

"เราให้คุณซันลองดูก็ไม่เสียหลายนี่นา" มาร์คัสเข้าข้างหล่อน

ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดว่ากระไร เจอร์ราล์ดที่อยู่ด้านนอกก็เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า

"ให้ผมช่วยไหมครับ"

คนทั้งสี่เหลียวมองต้นเสียงเป็นตาเดียว

"ขนาดพี่ซันยังหมดปัญญา ผมว่าให้ผมลองดูดีกว่า" น้ำเสียงเยาะหยันอย่างเปิดเผย

ถ้อยความดูแคลนของเด็กหนุ่มทำให้สณาจิณห์รู้สึกฉุนตงิดๆ

"จิล นายได้ยินหมดแล้วเหรอ" พี่ชายถามเสียงอ่อน

"ครับ ผมไม่ยักรู้ว่าครอบครัวเขาปิดๆบังๆเรื่องสำคัญที่ถึงแก่ชีวิตกันด้วย" เด็กหนุ่มไม่โกรธ แค่รู้สึกน้อยใจที่พี่ชายกับอาทำเหมือนเขาเป็นคนนอก

"พี่ไม่อยากให้นายคิดมาก"

"ถ้าบอกผมแต่แรก ผมว่าผมอาจร่วมช่วยได้"

"เธอยังเด็ก หนำซ้ำเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน ขืนบอก เธอก็คงจะทำอะไรแบบไม่ทันยั้งคิด ทำให้เสียเรื่องเปล่าๆ" เอริคติง

หลานชายคนเล็กก็ฟังอย่างเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา

"ทำไมน้องจิลไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ชายคะ" หญิงสาวที่ข่มจนอารมณ์เย็นป้อนคำถามที่ทำให้หล่อนฉุกคิด และความรู้สึกอย่างที่เรียกว่าสัญชาตญาณพิเศษก็ทำให้หล่อนรู้สึกติดใจกับพลังจิตของเจอร์ราล์ด รวมทั้งปริศนาดำมืดที่ถูกเฉลยอย่างง่ายดายทุกสิ่งดูจะสัมพันธ์และพ้องพาน ทว่าก็ง่ายเกินไป…เกินกว่าจะมองข้ามความรู้สึกอันน้อยนิดที่รบกวนจิตใจหล่อนอยู่ตอนนี้

"ผมควรรู้ใช่ไหม แต่ผมก็ไม่รู้ ถึงผมพอจะรู้เหตุล่วงหน้าบ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรู้ทุกเรื่อง อย่างตอนที่คุณพ่อตายก็ไม่ยักมีลางสังหรณ์"

"น้องจิลสะกดจิตคนได้"

"ครับ ผมทำได้"

"อำนาจจิตของน้องจิลกับพี่ควรต้องเท่าเทียม"

"มั้งครับ"

"ฝีมือใส่หนอนในลอดช่องสิงคโปร์" คนพูดเป็นเชิงถามยิ้มมุมปาก

"ผมเอง" เด็กหนุ่มยอมรับหน้าชื่นตาบาน

พี่ชาย ญาติผู้พี่ และอาแสดงความสนใจกับเรื่องที่ได้ยินเต็มที่…ด้วยสายตาตำหนิอย่างพร้อมเพรียง

"คำตอบของเรื่องน่าขยะแขยงที่แท้ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม" มาร์คัสพึมพำ

"คนที่ถูกสะกดจิตจะไม่รู้ตัวหรอกค่ะว่าทำอะไรลงไปบ้าง" สณาจิณห์อธิบาย

"อย่างคุณแม่บ้านที่ผมเพิ่งจะสะกดจิตให้นั่งเอ๋ออยู่ในห้องนั่งเล่นเพราะผมจะมาห้องนี้ คราวลอดช่องนั่นก็ผมล่ะสะกดจิตแก" เขาสารภาพยิ้มๆ

"นอกจากสัญญาณรับรู้เหตุล่วงหน้ากับสะกดจิตคน น้องจิลทำอะไรได้อีกคะ"

"พี่ซันจะซักผมทำไมครับเนี่ย" เขาทำหน้าทะเล้นขัดกับรอยยิ้มเยือกเย็นและเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นคำถาม

"น้องจิลควรต้องรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่ชาย" หล่อนพูดอย่างตอกย้ำ

"ก็ผมไม่รู้นี่ครับ ผมมีอำนาจจิตจริง อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง หรือพี่ซันรู้ล่ะครับ" เขาย้อน

หล่อนไม่ตอบข้อคำถามของเด็กหนุ่ม หากเอ่ยถามเขาอย่างมีอารมณ์ว่า

"ถ้างั้นน้องจิลจะช่วยพี่ตรวจสอบคุณลอเรนซ์วิธีไหนคะในเมื่อเราสองคนมีพลังจิตพอๆกัน"

"เราเรียกเขามาก็ได้ อ้างว่าจะปรึกษาเรื่องงาน" เอริคเป็นคนให้คำตอบ

"และผมจะลองสะกดจิตคุณลุงดู ถ้าเขามีพลังจิต เขาก็จะต่อต้าน ถ้าไม่ เขาก็จะเหมือนหุ่นเชิดที่ผมชักใยได้" เจอร์ราล์ดบอกทุกคน

"เห็นทีคุณซันคงอยู่ด้วยไม่ได้ ผมเกรงเขาจะสงสัยเพราะคุณเล่นทำนายให้แม่บ้านของบริษัท เธอยิ่งกลัวเรื่องจะแดง ป่านนี้คงบอกลอเรนซ์เรื่องคำทำนายแล้ว" อาของเด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย

คนฟังรู้สึกเหมือนถูกกีดกัน แต่ก็ไม่คัดค้าน มีเพียงใช้สมองตรองอย่างถ้วนถี่และรอบคอบ

"พรุ่งนี้เช้าอาจะนัดให้เขามารับฟังคำเตือน หวังแต่ให้เขากลับตัวกลับใจก่อนจะสาย จิลก็หาโอกาสสะกดจิตเพื่อตรวจสอบ" คนพูดวาดแผนการ

"มีใครจะเสนอแนะอะไรไหม" เขาถามต่อและทุกคนต่างก็เงียบเสียง

"ถ้าพี่ซันยังไม่หายข้องใจ ผมขอบอกอะไรสักนิด ที่ผมรู้สึกคือความเสียใจที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับพี่ชายของผมเอง และกว่าจะมีส่วนช่วยก็ตอนที่แอบฟัง" สีหน้าของเจอร์ราล์ดสลดลง

คนฟังมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ แม้สีหน้าของเด็กหนุ่มจะบ่งบอกว่าเขารู้สึกอย่างที่พูด ทว่าวูบหนึ่งที่ดวงตาสีฟ้าฉายแววอย่างชวนให้รู้สึกคร้ามเกรงและหล่อนก็ยังไม่ปักใจเชื่อเขาเท่าใดนัก สัญญาณอย่างหนึ่งบอกหล่อนว่าเรื่องที่เกิดมีความซับซ้อนเกินกว่าที่คิด

"พี่ขอโทษค่ะที่สงสัยไม่เข้าท่า" หญิงสาวเอ่ยขัดกับความรู้สึก

"ไม่เป็นไรครับพี่ซัน"

การประชุมลับสิ้นสุดเอริคก็ขอตัว สิ่งที่ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ใจสำหรับโจนาธาน มาร์คัส และสณาจิณห์คือความประพฤติของเจอร์ราล์ดที่ลดความร้ายกาจต่อตัวหญิงสาวอย่างมาก กระนั้นบางครั้งบางคราวเขาก็ยังพูดจาแดกดันหล่อน แต่ไม่มีการกลั่นแกล้งเหมือนเคย สองหนุ่มรู้สึกวางใจที่เด็กหนุ่มต่อต้านสณาจิณห์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น พวกเขามีเรื่องของหัวใจที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต่างคนต่างอยู่ในส่วนของตน โจนาธานยังคงอยู่ในห้องทำงาน ญาติผู้พี่เลี่ยงไปอยู่กับหญิงสาวและเด็กหนุ่ม สณาจิณห์กลับลอบสังเกตท่าทีน้องชายของโจนาธานอย่างเก็บความรู้สึกหวาดระแวงสุดความสามารถ เจอร์ราล์ดยังวางตัวอย่างเป็นปกติและเขาก็ทำให้คุณแม่บ้านคืนสติดังเดิมต่อหน้าหญิงสาวเพื่อให้หล่อนคลายความคลางแคลงใจ

'แม่หมอ' อยู่ทำหน้าที่ดูแลเจอร์ราล์ดจนถึงเวลาที่ต้องกลับ มาร์คัสก็ถือเป็นหน้าที่ที่เขาต้องส่งหล่อน แต่เจอร์ราล์ดหาวิธีดึงตัวญาติผู้พี่ด้วยการสะกดจิตซึ่งหน้า และบอกให้พี่ชายเป็นคนไปส่งหญิงสาว

ความหวังดีของเด็กหนุ่มก่อให้เกิดความอึดอัดที่คั่นกลางระหว่างคนร่างสูงผู้ทำหน้าที่สารถีกับร่างบางข้างตัว ความเงียบที่ทำให้หายใจติดขัดส่งผลให้โจนาธานกดปุ่มเพื่อฟังเพลงจากสถานีวิทยุ เพลงเจ้ากรรมที่นักจัดรายการเปิดกลับเป็นเพลงที่เขาขอในร้านอาหาร…'Falling' และเรียกความทรงจำของคนทั้งคู่เป็นอย่างดี ชายหนุ่มลูกครึ่งหวนนึกถึงคำพูดของอา พอถึงท่อนหนึ่งเขาก็เปิดปากร้องเพลง

…It can't be a surprise that I am Falling As deep as any ocean In ways that can't be spoken I am
Falling For the millionth and the first time Ever and eternally for you…

เสียงร้องที่น่าฟังของเขาเรียกความประหลาดใจระคนหลากใจจากสณาจิณห์ หล่อนตั้งตัวติดก็เอาแต่จ้องมองเขาจากด้านข้างและก็เห็นทั้งสายตาทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา

ร้องเพลงจบเขาก็ขับรถยนต์เข้าข้างทางและจอดริมบาทวิถีโดยไม่ดับเครื่องยนต์ พอเขาหันมองหญิงสาวก็เห็นแววตาบอกความรู้สึกฉายชัดบนใบหน้าสีเรื่อของหล่อน เขารู้ว่าหล่อนหายเคืองเขาเช่นเดียวกัน

"คุณจอดรถทำไมคะ"

"จะแวะซื้อดอกไม้ครับ ให้ใครบางคน" เขาพูดยิ้มๆพลางบุ้ยใบ้ให้หล่อนมองร้านขายดอกไม้

"เอ๋" คนอุทานรู้สึกสนเท่ห์ อีกความคิดก็ตามทัน…เขาจะซื้อดอกไม้ให้หล่อนหรือไร

"รออยู่ในรถนะครับ เดี๋ยวผมมา" เขาเปิดประตูและลงจากพาหนะ

ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมช่อกุหลาบสีแดงสดในมือ เขายื่นส่งให้สณาจิณห์ ดวงตาพราวจับจ้องที่ใบหน้าสีเข้มของฝ่ายหลัง หล่อนก็ยิ้มอย่างเอียงอาย

"ผมอยากเซอร์ไพร้ส์คุณ แต่โอกาสไม่อำนวย ถือว่าเป็นการขอโทษที่ผมทำตัวไร้เหตุผล เราจะไปทานอาหารที่ร้านเดิมได้ไหมครับ ผมรับรองว่าคราวนี้ผมจะไม่เอาแต่อารมณ์อีก" เขาบอกราวกับให้คำสัญญา

หล่อนพยักหน้าแทนคำตอบ เขาก็ออกรถ

คนคู่เดิมกับโต๊ะเดิมเมื่อตอนกลางวันและเพลงเดิมที่ทั้งสองฟังเป็นรอบที่สาม คราวนี้บรรยากาศอวลด้วยความหวานชื่น ลูกค้าหลายโต๊ะเหมือนตกอยู่ในภวังค์เพราะเพลงที่ต่างโต๊ะต่างขอล้วนเป็นเพลงรักราวกับเป็นร้านอาหารของคู่รักก็ไม่ปาน ความระหองระแหงของโจนาธานกับสณาจิณห์สูญสิ้น เป็นช่วงเวลาที่ชายหนุ่มลูกครึ่งควรแสดงความรู้สึกของตนให้ชัดแจ้งและถามคำถามที่ค้างคาใจกับหล่อน

สณาจิณห์ก็มีเรื่องอยากอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างกระจ่างแทนที่เขาจะมัวแต่คิดเองเออเองและหล่อนก็หมดสนุกที่จะแกล้งเขา ทั้งการแสดงออกของเขาก็ชี้ชัดถึงความรู้สึกและทำให้หล่อนเกิดใจอ่อน

"คุณซัน/คุณโจน่า" สองเสียงประสานก่อนจะเกิดเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบา

"เชิญคุณก่อนครับ" เขาบอกอย่างให้เกียรติหล่อน

"เรื่องคุณมาร์ค…" หล่อนพูดค้างคาเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือ แต่หล่อนไม่สนใจด้วยเรื่องที่จะพูดสำคัญกว่า

"ซันอยากบอกให้คุณทราบค่ะว่า…" พูดไม่ทันจบประโยคเพราะชายหนุ่มลูกครึ่งยกมือเป็นเชิงห้าม

"รับโทรศัพท์เสียหน่อยครับ"

ร่างบางจดจำเลขหมายของมาร์คัสได้ หล่อนยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้คนร่างสูงดู

"เบอร์คุณมาร์ค ถ้าคุณไม่อยากให้ซันรับ ซันก็จะไม่รับค่ะ" หล่อนบอกด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

"ผมขอรับเอง"

หล่อนยินยอมให้เขาเป็นฝ่ายรับสายโดยดี

"ว่าไงครับพี่มาร์ค ช่างขัดคอผมจริง" โจนาธานกรอกเสียงต่ำอย่างต้องการปรามปลายสาย

"นายเล่นขี้โกง"

"โกงยังไงครับ"

"นายบงการให้จิลสะกดจิตพี่ไม่ให้ไปส่งคุณซัน"

"ใส่ความผมชัดๆ ถามจิลหรือยังครับว่าผมสั่งหรือเปล่า"

"เออสิ พวกนายพี่น้องกันก็เข้าข้างกันวันยังค่ำ จิลบอกพี่ว่าเป็นความคิดของเขา"

"พี่ยังอยู่บ้านผมหรือครับ" คนถามเจตนาเปลี่ยนเรื่อง

"เปล่า กำลังขับรถกลับบ้าน แต่อยากจะต่อว่านายสองคนพี่น้องที่ตัดโอกาสของพี่"

"โอกาสของใครก็ต้องคว้าให้ดีๆครับพี่มาร์ค"

"ดูเหมือนนายจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีโปรแกรมดินเนอร์กับคุณซันเหรอ" ปลายสายถามเหน็บ

สณาจิณห์ขยับปากบอกเขาว่าขอหล่อนพูดกับมาร์คัสให้รู้เรื่อง ฝ่ายหลังก็ส่งเครื่องมือสื่อสารคืนเจ้าของ

"คุณมาร์คคะ ซันเคยบอกคุณว่าคุณจะเดือดร้อนเพราะซัน และผลสุดท้ายเรื่องระหว่างเราก็เป็นแค่เพื่อน ซันไม่อยากให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจ"

ปลายสายอึ้งอยู่เป็นนาน ที่สุดเขาก็เอ่ย

"ผมรู้ดีว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน ผมยังไม่ได้พยายามสักเท่าไหร่คุณก็จะตัดรอนผมละ" เขาบอกอย่างตัดพ้อ

"ซันขอรับแค่น้ำใจค่ะ นะคะคุณมาร์ค ซันขอร้อง" สุ้มเสียงนุ่มนวลเกลี้ยกล่อม

"ผมคงอกหักใช่ไหม ไม่เป็นไรที่ความพยายามในช่วงสั้นๆจะต้องจบลงอย่างรวดเร็ว ผมจะทำใจครับ" น้ำเสียงแปร่งบอกความรู้สึกสะเทือนใจมาตามสัญญาณ

คนฟังรู้สึกเห็นใจมาร์คัส ทว่าหล่อนก็ต้องตัดสินใจกระทำบางสิ่งให้เด็ดขาดเพื่อป้องกันเรื่องยืดเยื้อที่อาจก่อให้เกิดปัญหาและความชะงักงันในความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มต้นด้วยดีของหล่อนกับโจนาธาน

"ซันขอโทษค่ะ"

"ไม่ใช่ความผิดของคุณ เอ่อ ขอผมคุยกับโจน่าสักครู่ครับ"

โทรศัพท์เปลี่ยนมือเป็นหนสอง

"ครับพี่มาร์ค ผมฟังอยู่"

"คุณซันเลือกนายเสมอ เลือกนายคนเดียว ดีใจด้วยโจน่า และถนอมสิ่งล้ำค่าเท่าชีวิตล่ะ ถ้านายทำให้คุณซันต้องเสียใจ พี่อัดนายแน่ๆ" ปลายสายหัวเราะเบาๆอย่างฝืนๆ

"พี่มาร์ควางใจเถอะครับ"

"แค่นี้ล่ะ" มาร์คัสเป็นฝ่ายตัดสัญญาณการติดต่อ

"คุณมาร์คพูดอะไรคะ"

"เขาแสดงความยินดีกับผม และบอกให้ผมถนอมสิ่งล้ำค่าเท่าชีวิตครับ" ประโยคหลังเขาจ้องมองหล่อนตรงๆ

คนถูกมองหลุบตาต่ำอย่างสะเทิ้นอายด้วยหัวใจที่เต้นระรัวก็พอดีกับจังหวะเพลงที่คนร่างสูงเป็นผู้ขอซึ่งเล่นถึงช่วงท่อนหลัง

…I am Falling As deep as any ocean In ways that can't be spoken I am
Falling Like rains that come from heaven Bathed in your affection I am
Falling For The millionth and the first time Ever and eternally for you For you.

"ผมจำเพลงนี้ขึ้นใจเชียวละ" เขายิ้มพราย

ร่างบางช้อนสายตาขึ้นสบกับแววตาที่บ่งบอกความในใจอย่างเปิดเผยของอีกฝ่าย

"ซันก็เหมือนกันค่ะ" หล่อนยิ้มละไม ใบหน้าร้อนผะผ่าว

เสียงกระแอมไอของคนที่เดินมาที่โต๊ะของพวกเขาอย่างย่องกริบก็ดังอย่างจงใจ

"ขอโทษครับ" ต้นเสียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่รื่นเริงขัดกับถ้อยคำ

โจนาธานเหลียวมองผู้มาใหม่อย่างขัดใจเพราะรู้สึกจะมีแต่คนสอดแทรกตลอด ฝ่ายหลังกลับเปิดยิ้มกว้าง

"คุณซันครับ เพื่อนผม…ดนุพงษ์ เจ้าของร้านอาหารครับ ดนุ…คุณซัน"

"ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณซัน" เขาพูดพร้อมกับทรุดตัวนั่งเก้าอี้อย่างถือสิทธิ์เจ้าของร้าน

"เช่นกันค่ะ"

"ไม่เคยเห็นนายพาสาวที่ไหนมาทานข้าวด้วยสักที" ดนุพงษ์เย้ายิ้มๆ

"มื้อเที่ยงฉันก็มา"

"เหรอ ฉันไปทำธุระเพิ่งเข้ามาก็เห็นนายแต่ไกล ยังดีที่มีโอกาสเจอนายกับคุณซันเอาตอนเย็น" คนพูดให้ความสนใจกับหญิงสาว

"อย่าจ้องมากดนุ" เพื่อนสนิทเตือนเสียง

"โห หวง คุณซันครับ เห็นโจน่าเป็นเจ้าชายน้ำแข็งก็เหอะ เวลาเขาหวงอะไรก็น่ากลัวใช่เล่น" ดนุพงษ์ฟ้อง

คนฟังอมยิ้ม หล่อนพอจะเอาได้ว่าชายหนุ่มลูกครึ่งเป็นคนขี้หึงมิใช่น้อย

"โจน่า นายอยากบอกเล่าอะไรบ้างไหม ฉันอยากฟัง" คนเป็นเพื่อนบอกแกมบังคับ

"คุณซันเป็นนักทำนาย"

คนอยากรู้ทำหน้าเมื่อยที่อีกฝ่ายบอกสั้นๆ

"ช่วยเล่าให้ละเอียดอีกนิดสิเพื่อนรัก"

เพื่อนสนิทส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ดนุพงษ์ก็เปลี่ยนเป้าหมาย เขาหันไปพูดกับสณาจิณห์ด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร

"คุณซันครับ ผมขอร้อง"

หล่อนเหลียวมองหน้าสองหนุ่มสลับกันอย่างชั่งใจระคนลำบากใจ ดนุพงษ์พยายามอ้อนวอนเต็มที่ ทว่าสายตาดุๆของโจนาธานก็ทำให้หล่อนต้องเอ่ยว่า

"คุณโจน่าคงไม่อยากให้ซันเล่า คุณดนุพงษ์คงไม่โกรธนะคะ"

"ผมก็คิดอยู่ว่าโจน่าต้องไม่ยอม อีกหน่อยพอเรื่องที่พวกคุณคบกันกระจายในวงสังคม ผมคงจะรู้เรื่องแบบเจาะลึกเองแหละ"

"ว่าแต่โจน่าขอเพลงอะไรให้คุณครับ" เขาถามต่อ

"ของริชาร์ด มาร์กซ์" คนเป็นเพื่อนชิงตอบ

"อ้อ รู้ละ เพลงรักเพลงนั้นที่นายชอบ เข้าใจขอเพลงบอกรักแฮะ และผมขอแสดงความยินดีกับเจ้าหญิงผู้สามารถทำให้เจ้าชายน้ำแข็งยอมเปิดใจ พวกคุณสมกันอย่างกิ่งทองใบหยกแน่ะ" เขาพูดจากระเซ้า

ใบหน้าของสณาจิณห์เปลี่ยนเป็นสีเข้มด้วยด้วยกิริยาเอียงอายขณะที่โจนาธานยิ้มน้อยๆเหมือนกับเป็นการยอมรับถ้อยความของเพื่อนสนิท

"ผมขอกลับไปทำหน้าที่เจ้าของร้านต่อครับ เชิญคุณเพื่อนกับคุณแฟนเพื่อนผมตามสบาย และผมขอเสนอส่วนลดครึ่งราคาเฉพาะมื้อนี้อย่างใจป้ำในฐานะที่คุณเพื่อนมีแฟนเสียที แถมน่ารักอีกต่างหาก" เขาลุกพลางหลิ่วตาให้เจ้าของร่างบาง

หญิงสาวที่ดนุพงษ์เรียกขานอย่างเต็มปากว่าแฟนเพื่อนรู้สึกเหมือนมีระลอกความร้อนแผ่ซ่านทั่วร่างให้วูบวาบไปหมด ใจคอก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คนร่างสูงก็เอาแต่ยิ้มไม่ยอมหุบด้วยดวงตาพราวระยับ กระทั่งอาหารถูกยกมาวางตรงหน้าและพนักงานกลับไปทำงานของตน คนที่เอาแต่จ้องมองสณาจิณห์ก็บอกว่า

"ทานสิครับ"

หล่อนทำตามคำบอกอย่างว่าง่ายและพอเคี้ยวข้าวหมดคำแรก หล่อนก็เอ่ยอย่างใจ

"เอ่อ คุณโจน่าคะ คือ…"

"ครับ" เขาขานรับเป็นเชิงถาม

หล่อนยังอ้ำอึ้งด้วยสีหน้าลังเลกึ่งเคอะเขิน โจนาธานเดาออกเขาก็เป็นฝ่ายถาม

"ดนุพงษ์เรียกคุณว่าเป็นแฟนของผมคงทำให้คุณลำบากใจใช่ไหมครับ"

"เปล่าค่ะเปล่า เพียงแต่ซันไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝันหรืออยู่ในโลกของความจริง" หล่อนพูดทันควัน

เขาหัวเราะน้อยๆ

"คุณไม่ได้ฝัน ผมขอยืนยันว่าทั้งหมดนี้คือความจริงที่ผมร่วมอยู่กับคุณ และความรู้สึกของผมก็เป็นของจริง ผมเดาว่าคุณกำลังคิดมากใช่ไหมครับ"

คนถูกถามพยักหน้าอย่างยอมรับ

"ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนคิดมาก ผมจะขออะไรคุณอย่าง"

"คะ ขออะไรคะ"

"มีอะไรก็ขอให้ถามผมตรงๆ อย่าเก็บไปคิดให้ทุกข์ใจเปล่าๆ ได้ไหมครับ"

"ค่ะ" รอยยิ้มบางๆระบายบนใบหน้าของหล่อน

ระหว่างมื้ออาหารที่แสนโรแมนติคและเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกของหัวใจ ชายหนุ่มลูกครึ่งก็ชวนหล่อนพูดคุยเรื่องต่างๆเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอ ความชอบ และทัศนคติของกันและกันด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายด้วยกันทั้งคู่ โจนาธานนึกอยากให้ช่วงเวลาแห่งความสุขยืดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าการรั้งตัวหล่อนให้อยู่กับเขาจนดึกดื่นก็ใช่จะงามนักสำหรับฝ่ายหญิง ด้วยความที่เกรงหล่อนอาจเสียหาย เขาจึงต้องส่งหล่อนกลับที่พักด้วยท่าทางอิดออดพอควร

คนร่างสูงขอส่งหล่อนถึงหน้าห้อง ฝ่ายหญิงก็อนุญาต

"หลับฝันดีนะครับ" เขาเอ่ยพร้อมกับโน้มหน้าเข้าใกล้ใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนประทับริมฝีปากบนหน้าผากของร่างบางอย่างอ่อนโยน


Create Date : 03 กรกฎาคม 2550
Last Update : 3 กรกฎาคม 2550 13:00:28 น. 0 comments
Counter : 298 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.