Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
21 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 

สัมผัสจิต...พิศวาส (Romance-Fantasy)

สัมผัสจิต…พิศวาส


คุยกันก่อนอ่าน

เรื่องสั้นนี้มีส่วนของประสบการณ์จริงจากเพื่อนผู้หนึ่งของผู้เขียน แต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เนื้อหาโดยส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ขอย้ำว่ามีส่วนของเรื่องจริงเพียงเล็กน้อยนะคะ ส่วนนั้นคือการที่เพื่อนของผู้เขียนได้สัมผัสจิตกับโอปปาติกะโดยไม่เห็นตัวและได้ยินเพียงเสียง ส่วนโอปปาติกะที่ว่าจะเป็นประเภทใด ชั้นใด หรือนามใด เพื่อนของผู้เขียนก็ไม่อาจทราบได้เพราะโอปปาติกะท่านนั้นไม่ได้บอกกล่าวถึงตัวตนแม้แต่น้อย และขอท่านผู้อ่านโปรดอย่าถามถึงเพื่อนผู้หนึ่งของผู้เขียนเลยนะคะว่าเป็นใคร เพราะเพื่อนผู้นี้ไม่ปรารถนาที่จะเปิดเผยตัวตน ขอบพระคุณมากค่ะที่เข้ามาอ่าน

**************************************


แม่ชียุภาษวัยหกสิบสองปีผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิตเพิ่งออกจากสมาธิก็แลเห็นแสงสว่างที่พุ่งวาบจากท้องฟ้าตรงมายังหน้าพระพุทธรูปภายในสำนักปฏิบัติธรรมศานติที่ท่านเป็นผู้ดูแลซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองไม่มากนัก และท่านทราบได้ว่าองค์เทพจากเบื้องบนต้องการความช่วยเหลือบางประการ ท่านจึงเอื้อนเอ่ยปากต่อเทพองค์นั้น

ปีนี้ปราณนรีผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวอายุย่างเข้าเลขสามแล้วและสัมผัสพิเศษของหล่อนก็ส่งสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งอันน่าอัศจรรย์ใจที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้ อีกอย่างหนึ่งมันเป็นเรื่องที่หล่อนปรารถนา หล่อนคาดหวังต่อเรื่องมหัศจรรย์พันลึกเป็นทุนเดิม มันเป็นเรื่องที่หล่อนผู้ปฏิบัติสมาธิตั้งแต่เยาว์วัยจนกลายเป็นวิสัยถึงปัจจุบันนี้คุ้นชินเป็นอย่างดี หล่อนมักจะมองเห็นสิ่งที่ผิดแปลกไปจากความเป็นปกติธรรมดา ทว่าไม่ชัดเจนนักและสามารถที่จะรับรู้ถึงเค้าลางบางอย่างที่จะเกิดขึ้น ปีนี้หล่อนปรารถนาสิ่งอันน่าพึงพอใจอย่างมากและผิดธรรมดาอย่างที่สุด หล่อนรู้ดีว่าสามารถเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ที่รับรู้ได้ ฉะนั้นมันย่อมจะปรากฏเป็นจริงในไม่ช้า เพียงแต่ปราณนรีไม่อาจรู้ได้ว่าคือเรื่องใด ทว่าก็มั่นใจยิ่งกับความรู้สึกที่ไม่เคยผิดพลาดแม้สักครั้ง

"ใกล้สามสิบแท้ๆ แต่ท่าทางกระดี๊กระด๊าเหลือเกินนะหล่อน" เป็นถ้อยความของกาญจน์ฏีผู้เป็นเพื่อนสนิทของปราณนรีที่นั่งอยู่ร่วมห้องนั่งเล่นและแวะเวียนเยี่ยมเยียนเพื่อนสาวเป็นครั้งคราว

"ฉันรู้สึกได้ล่ะแคท" ใบหน้าหมดจดของปราณนรีฉายความชื่นบานอย่างเห็นได้ชัด

"รู้สึกอะไรไม่ทราบ"

"ฉันว่าต้องมีเรื่องดีๆแน่เลย"

"พอจะรู้ไหมว่าเรื่องอะไร"

หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ

"ปราณรู้สึกทีไรเป็นต้องเกิดเรื่องสักเรื่องทุกทีสิน่า" กาญจน์ฏียกแก้วน้ำหวานขึ้นดื่ม

"อยู่แล้ว" เจ้าตัวเผยรอยยิ้มสดใส

"ลางสังหรณ์ของปราณไม่เคยพลาด"

"เป็นเรื่องดีนะ ฉันชอบที่มีลางสังหรณ์"

"ถ้าสังหรณ์เรื่องร้ายล่ะ"

"มันช่วยไม่ได้ที่จะเป็นแบบนั้น"

"ย่ะ แม่คนพิเศษ" กาญจน์ฏีพูดเหมือนประชด

"เออ พูดถึงคนพิเศษเนี่ย พ่อบอกจะพาไปสำนักปฏิบัติธรรมแหละ เห็นว่าอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ก็เกิดอยากจะไปพบแม่ชีชื่อดังที่มีญาณ แคทอยากไปด้วยไหม"

คนฟังกลอกตาคิดหนึ่งตลบก็เอ่ยถามว่า

"แม่ชีที่ว่าน่ะมีอะไรดีเหรอ"

"รู้สึกท่านจะมองเห็นและพูดคุยกับเหล่าโอปปาติกะได้ ยังถอดกายทิพย์ ล่วงรู้เรื่องของคนที่ไปพบท่านและมีอำนาจทิพย์ด้วย"

"น่าสนแฮะ"

"ตกลงจะไปไหม"

"ไปสิ กำลังว่างเชียว ว่าแต่จะไปเมื่อไหร่ ที่ไหน ยังไง" คนยิงคำถามทำหน้าทะเล้น

ปราณนรีก็ให้คำตอบเกี่ยวกับวันเวลาและการเตรียมตัวเดินทางที่ต้องค้างแรม

ใช้เวลาหลายชั่วโมงการเดินทางจากจังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก็ถึงยังจุดหมายคือจังหวัดสระบุรีในยามเที่ยงวัน ผู้ร่วมคณะอันประกอบด้วยบิดามารดาของปราณนรี ตัวปราณนรีเองซึ่งเป็นบุตรีโทนของครอบครัว และกาญจน์ฏีก้าวเท้าลงจากรถยนต์แล้วบิดกายเพื่อคลายเส้นสายที่ยึดตึงเนื่องจากนั่งในรถยนต์นานเกินไปพลางมองอย่างสำรวจสำนักปฏิบัติธรรมศานติ

อาณาบริเวณของสำนักปฏิบัติธรรมค่อนข้างกว้างขวาง พื้นที่จัดแบ่งเป็นสัดส่วนตามประโยชน์ใช้สอยด้านต่างๆอย่างลงตัว ทั่วบริเวณมีต้นไม้ใหญ่หลากชนิดให้ร่มเงา และมีผู้คนทั้งชาวไทยทั้งชาวต่างประเทศที่เป็นแขกเยือนในระยะเวลาอันสั้นที่นุ่งชุดธรรมดาหลากสีสันและผู้มาปฏิบัติธรรมที่ต้องพำนักอยู่ระยะเวลาหนึ่งที่นุ่งชุดขาว ต่างพูดจากันอยู่โดยทั่วไป แต่ความเงียบสงบและร่มเย็นส่วนใหญ่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสำนักปฏิบัติธรรม รวมทั้งสายลมเย็นที่พัดผ่านยิ่งทำให้บรรยากาศเป็นที่น่ารื่นรมย์

"เพิ่งมาถึงเหรอคะ" หญิงวัยกลางคนในชุดขาวผู้หนึ่งเอ่ยถาม

"ครับ ไม่ทราบว่าแม่ชียุภาษอยู่ที่ไหนครับ" เป็นถ้อยประโยคของบิดาของปราณนรี

"โรงครัวค่ะ"

"อยู่ทางไหนเหรอครับ"

"ตามดิฉันมาค่ะ"

"ขอบคุณมากครับ ไปพวกเรา"

โรงครัวขนาดใหญ่แลดูสะอาดสะอ้าน โต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากไม้ก็จัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละโต๊ะมีหม้อข้าวขนาดพอเหมาะวางอยู่ และส่วนของห้องครัวอยู่ด้านหลัง เนื่องจากเป็นเวลาอาหารกลางวัน อาหารหลายชนิดจากห้องครัวจึงถูกลำเลียงมาจัดวางบนโต๊ะตัวยาวให้ทุกคนเลือกตักทานกันตามชอบ

"แม่ชียุภาษอยู่นั่นไงคะ" หญิงวัยกลางคนบุ้ยใบ้ให้ผู้มาเยือนคณะใหม่เหลียวมองไปยังผู้นุ่งขาวห่มขาวที่กำลังพูดคุยอยู่กับลูกศิษย์ชาวต่างประเทศสามคนที่เป็นชายล้วน

"ตอนบ่ายท่านถึงจะเปิดโอกาสให้เข้าพบที่ศาลาค่ะ ตอนนี้เชิญทุกคนทานอาหารตามสบายนะคะ" นางบอกกล่าว

หลังอาหารบรรดาลูกศิษย์และผู้สนใจหน้าใหม่ก็ไปรอแม่ชียุภาษอยู่ที่ศาลาหลังงามที่ประดับประดาด้วยแก้วกระจกสารพัดสีและหลากหลายลวดลาย บนศาลามีพระพุทธรูปขนาดใหญ่เป็นองค์ประธาน เบื้องหน้ามีผ้าขาวปูเป็นอาสนะ ส่วนคนอื่นๆนั่งเป็นทิวแถวตามลำดับก่อนหลัง

รอคอยเวลาอยู่เป็นครู่แม่ชียุภาษก็ขึ้นมายังศาลาและนับว่าการเข้าพบเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึงลำดับ คณะของปราณนรีเองต้องอดทนกับการใช้เวลาพูดคุยของท่านที่ต้อนรับผู้มาเยือนแต่ละคณะไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ระหว่างรอก็หันไปปราศรัยกับลูกศิษย์ของท่านบ้าง หรือไม่ก็ผู้มาเยือนเหมือนกันบ้าง ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวอันพิสดารเหลือเชื่อประการต่างๆของแม่ชียุภาษผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิต

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกระทั่งบ่ายแก่ๆ คณะของปราณนรีก็ได้เข้าพบแม่ชียุภาษสมใจและเกือบทันทีที่ท่านเห็นหน้าปราณนรี ทำให้ท่านถึงกับพินิจหญิงสาวพร้อมกับเผยรอยยิ้มอ่อนโยน

"หนูคนนี้ชื่ออะไร" ท่านถามอย่างเจาะจง

"ปราณนรีค่ะ"

"ชื่อดี มีที่มาดี" ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าชัดเจนทุกถ้อยคำ

"ดียังไงคะ" เจ้าตัวใคร่รู้

"ภพชาติก่อนหน้านั้นหนูเกิดเป็นผู้ชายและประกอบบุญกุศลมามากทำให้ภพชาติต่อมาเกิดบนสวรรค์ และเป็นชายาของเทพองค์หนึ่ง พอหมดบุญก็ลงมาเกิดที่โลกมนุษย์"

"เหรอคะ"

"บุญเก่าในชาติก่อนทำให้หนูมีความพิเศษติดตัวและช่วยให้การปฏิบัติสมาธิในชาติภพนี้ได้ถึงขั้นปฐมฌาน"

"หนูเนี่ยนะคะ" ปราณนรีแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

"หนูได้มาแล้ว แต่จะให้ดีควรปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นไป"

"แหะๆ จะพยายามค่ะ"

"ยังมีอีก เทพองค์นั้นท่านยังผูกพันอยู่กับหนู ท่านต้องการให้หนูไปเป็นชายาของท่านดังเดิม"

"มิน่าล่ะ ปราณถึงไม่เคยมีแฟนเลย" กาญจน์ฏีเอ่ยสอดแทรก

"ท่านยังขอให้แม่ช่วยในเรื่องการปฏิบัติสมาธิของหนู ภายในอาทิตย์นี้หนูจะปฏิบัติได้ก้าวหน้าและได้อะไรดีๆที่น้อยคนนักจะสามารถทำได้"

"ต้องอยู่ถึงอาทิตย์เชียวเหรอคะ" เจ้าตัวทำหน้าหวานอมขมกลืน

"ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง จะขัดข้องไหม" แม่ชียุภาษมองหญิงสาวแน่วนิ่ง

"ไม่ครับ เราเตรียมตัวมาพร้อม" บิดากลับเป็นฝ่ายให้คำตอบ

"ต้องถือศีลแปดไหมคะ" มารดาของปราณนรีเอ่ยถาม

แม่ชียุภาษก็พยักหน้าก่อนกล่าวว่า

"เหมือนกับบวชชีพราหมณ์นั่นแหละ"

"ไม่กินข้าวเย็นเนี่ย แย่แน่เลย" เจ้าตัวโอดครวญ

"พยายามหน่อยปราณ อาทิตย์นึงมันแป๊บเดียวเอง" กาญจน์ฏีให้กำลังใจเพื่อนสนิท

"ลองแล้วจะรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด หนูก็กำลังต้องการสิ่งดีๆไม่ใช่เหรอ" เป็นถ้อยความของแม่ชียุภาษ

"จะพยายามค่ะ" ปราณนรียิ้มเจื่อน

จากนั้นท่านก็สนทนากับคนอื่นๆในคณะของปราณนรีอย่างเป็นอันเอง

ภายในเรือนรับรองหลังน้อยสองชั้นที่ก่ออิฐถือปูนทั้งหลังอันประกอบด้วยห้องนอนสองห้องที่มีห้องน้ำในตัวแบ่งเป็นชั้นบนกับชั้นล่าง ห้องนอนนี้มีพัดลมติดเพดาน ฟูกนอน หมอน และผ้าห่มพร้อมสรรพ อีกทั้งข้าวของดังกล่าวก็มีสภาพที่สะอาดด้วยมีแม่บ้านคอยดูแลอยู่เสมอ และชั้นล่างของเรือนรับรองก็มีส่วนเอนกประสงค์ที่มีโต๊ะญี่ปุ่นสองตัววางพิงผนัง

"ในบรรดาพวกเราเนี่ย ปราณดีสุดๆเลย"

"อือ แต่อะไรๆมันไม่ง่ายหรอกแคท"

"มีอดีตชาติดีเป็นทุน ยังไงปราณก็ต้องก้าวหน้าชัวร์"

"สมพรปากเหอะ"

แต่ละช่วงวันจะมีกิจกรรมต่างๆซึ่งเป็นตารางเวลาที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องกระทำตาม หากเป็นการปฏิบัติสมาธินั้นแม่ชียุภาษย่อมเป็นผู้ชี้แนะด้วยตนเอง ท่านยังเอาใจใส่ปราณนรีอย่างมากเพราะองค์เทพฝากฝัง แต่ไม่ใคร่จะเปิดเผยเรื่องบางเรื่องที่ปราณนรีอยากรู้ ซ้ำยังบอกอีกว่าให้หมั่นปฏิบัติให้ดีและจะได้รับรู้เอง ระยะแรกหญิงสาวยังปรับตัวไม่ค่อยได้ พอเวลาผ่านพ้นไปหล่อนเริ่มคุ้นชินและจิตในการปฏิบัติสมาธิโดยได้รับคำแนะนำจากแม่ชียุภาษก็ค่อยสงบนิ่งเป็นลำดับทำให้เกิดความก้าวหน้าขึ้น อย่างยิ่งกับนิมิตแสงสว่างทรงกลมที่หล่อนเห็นยามทำสมาธิ หล่อนสามารถควบคุมได้ดังใจไม่ว่าจะเป็นย่อหรือขยายขนาดและวสีหรือความชำนาญในการเข้า-ออกจากสมาธิเป็นไปด้วยดี กระทั่งครบกำหนดสัปดาห์ก็ส่งผลให้สิ่งผิดแปลกที่หล่อนพบเห็นอย่างเป็นปกติชัดขึ้นเรื่อยๆจนเป็นรูปร่างที่ชัดเจน เรียกได้ว่าตาทิพย์ของหล่อนใช้การได้ดีระดับหนึ่ง ทว่าโอปปาติกะชั้นสูงนั้นย่อมจะไม่เห็นหรือสื่อสารถึงกันได้ง่ายๆ นอกจากผู้ที่มีสมาธิจิตชั้นสูงไม่ต่างกัน

"ยังพูดคุยกับเขาไม่ได้ใช่ไหม" แม่ชียุภาษถามในเย็นวันสุดท้าย

"ค่ะ"

"ท่านเทพอยากให้ถึงขั้นที่สื่อสารกันได้ด้วยจิต" ซึ่งท่านไม่ยอมออกนามของเทพองค์นี้หรือเอ่ยถึงเรื่องราวใดๆอยู่ดี

"อ้าว งั้นทำยังไงล่ะคะ"

"อยู่ต่ออีกสองอาทิตย์"

กำหนดระยะเวลาขยายออกไปอีกสองสัปดาห์ปราณนรีก็พากเพียรปฏิบัติสมาธิด้วยหวังใจจะสื่อสารกับองค์เทพให้จงได้ นับว่าการสอนสั่งของแม่ชียุภาษจวบจนครบวาระสองเป็นผลสำเร็จเมื่อหญิงสาวที่เริ่มทดลองสื่อสารทางจิตกับโอปปาติกะบางภพภูมิบางลำดับชั้นที่ผ่านมาให้พบเห็นและกลายเป็นการสนทนาที่รู้เรื่องด้วยกันทั้งสองฝ่าย

"อย่างนี้หนูจะสื่อจิตกับองค์เทพได้หรือยังคะ"

"พอได้บ้าง แต่ท่านจะเป็นฝ่ายพยายามสื่อจิตกับหนูด้วย หนูต้องทำตัวเป็นสถานีรับที่ดี"

"ค่ะ"

หลังจากปราณนรีกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเคย ทว่าหล่อนไม่ละเลยการปฏิบัติสมาธิอย่างที่แม่ชียุภาษพร่ำชี้แนะและให้เวลากับการปฏิบัติมากขึ้นไปอีก แล้ววันหนึ่งองค์เทพที่หญิงสาวปรารถนาจะพบเจอก็ปรากฏกายในค่ำคืนที่เงียบสงบขณะที่หล่อนอยู่ภายในห้องนอนเพียงลำพังและเป็นเวลาที่สวดมนต์เสร็จ แต่รัศมีที่สว่างเจิดจ้ากลับบดบังรูปกายของท่านทำให้ปราณนรีที่พยายามเพ่งมองไม่อาจแลเห็นรูปกายได้ ส่งผลให้หล่อนต้องส่งกระแสจิตวอนขอให้องค์เทพลดรัศมีประจำองค์เสียและท่านก็ยินดีสนองตอบต่อคำขอของหล่อน พร้อมทั้งช่วยให้หล่อนสามารถมองเห็นท่านได้

ปราณนรีเพิ่งเคยเห็นองค์เทพหนุ่มผู้ผูกพันกับหล่อนเป็นครั้งแรกทำให้เสียมารยาทพินิจพิจารณารูปร่างหน้าตาของท่านที่ยืนเอาสองมือไขว้หลัง หล่อนสังเกตเห็นว่าท่านยังอยู่ในวัยหนุ่มตอนต้น ใบหน้าคมสันชวนให้คนมองรู้สึกเก้อกระดาก ชุดที่สวมใส่ก็เหมือนอย่างละครจักรๆวงศ์ๆ และทั่วสรรพางค์กายขององค์สูงสง่าล้วนราวกับช่างฝีมือเอกบรรจงปั้นแต่งกระนั้น

"อย่างไรเล่าปราณนรี" กระแสเสียงจากจิตถึงจิตเสนาะโสตยิ่งนัก

"คะ" หญิงสาวถึงกับอยู่ในอาการงงงัน

"ไม่เคยเห็นเทพเหรอ" ท่านเผยรอยแย้มหัวเหมือนเป็นเพียงชายหนุ่มขี้เล่น

"เคยเห็นบ้างค่ะ แต่ฉันไม่เคยเห็นท่านมาก่อน แม่ชียุภาษบอกว่าฉันเคยเป็นชายาของท่าน"

"ใช่ นี่ยังระลึกอดีตชาติไม่ได้อีกเหรอ"

"ยังค่ะ"

"น่าจะทำได้แล้วเพราะปฏิบัติมาดีทีเดียว"

"ก็อยากอยู่เหมือนกันค่ะ"

"เช่นนั้นเราช่วยเอง ทำสมาธิสิ"

หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่ายและใช้เวลาอันสั้นจิตก็สงบลงอย่างรวดเร็ว

องค์เทพหนุ่มเดินเข้าใกล้ปราณนรี มือข้างหนึ่งยกโบกเหนือศีรษะก็ทำให้หญิงสาวเกิดเห็นภาพเรื่องราวปรากฏในสมองและมีหล่อนเล่นเป็นตัวเอกของเรื่อง…

มานพหนุ่มรูปงามเกิดและเติบโตในครอบครัวของเศรษฐีที่ใฝ่ทางบุญกุศล เขาผู้เป็นบุตรชายโทนจึงเดินตามรอยเท้าบิดามารดาและทั้งบริจาคทานทั้งฟังเทศนาธรรมทั้งปฏิบัติสมาธิ รวมถึงกิจการบุญอื่นๆอีกหลายหลาก มานพหนุ่มอยู่เป็นโสดและสุดท้ายก็บวชในพระพุทธศาสนาจนมรณภาพ แต่บุญกุศลที่กระทำมายังไม่ถึงขั้นจะเป็นพระอริยสงฆ์ได้ กระนั้นแรงบุญก็ส่งผลให้ไปเกิดเป็นเทพธิดาอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นยามาภูมิอันเป็นสวรรค์ชั้นที่สาม…ภูมินี้อยู่ในอากาศอยู่ห่างจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป 42,000 โยชน์ เป็นภูมิที่ปราศจากความลำบาก ถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพยวิมานและทิพยสมบัติอันโอฬาริกภาพล้ำประเสริฐปราศจากสรรพทุกข์ อุปัทวันตรายทั้งปวง ไม่ต้องรบพุ่งชิงชัยกับผู้ใด ไม่มีผู้เบียดเบียนทำร้ายช่วงชิงสมบัตินั้นได้ ได้เสวยสมบัติเป็นบรมสุขอยู่ตลอด เทวดาที่อยู่ในยามาภูมินี้เป็นจำพวกอากาสัฏฐเทวดาจำพวกเดียว เพราะมีวิมานลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่ มีท้าวสุยามะเทวราชเสวยทิพยสมบัติเป็นใหญ่แก่เทพเจ้าทั้งปวงในสวรรค์ชั้นยามานี้ กนกรัตนะทิพยวิมานทั้งปวงนั้นแวดล้อมไปด้วยปราการกำแพงแก้วกำแพงทอง ประกอบด้วยสระโบกขรณี สวนดอกไม้สวนผลไม้และไม้กัลปพฤกษ์ ที่ประพาสเล่นของเหล่าเทพทั้งปวงล้วนแต่เป็นทิพย์ เทพยเจ้าในชั้นยามานี้ล้วนมีรูปโฉมงดงามเปล่งปลั่งเรืองรัศมี รัศมีส่องสว่างไปไกลได้ 12 โยชน์ เหล่าเทพอัปสรสาวสวรรค์ที่เป็นบริวารนั้นล้วนมีลักษณะรูปร่างสูงใหญ่เปล่งปลั่งงดงามมีเสน่ห์ยิ่งนัก เทพยดาในชั้นยามานี้มีรัศมีกายของตนเองส่องสว่างอยู่ตลอดไปเป็นนิจ ด้วยรัศมีแก้วรัศมีทองและรัศมีทิพยวัตถาอลังการทั้งปวง สรุปว่าสว่างอยู่ได้ด้วยรัศมีทิพยวิสัยเพราะชั้นยามานี้ปราศจากรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ กำหนดรู้เวลาเช้าหรือเย็นด้วยการสังเกตดูดอกไม้ทั้งปวง ถ้าบานแล้วกลับตูม ดอกไม้ทิพย์นั้นบานในเวลาเช้าแล้วกลับห่อหุบเกสรเข้าในเวลาเย็น หลังจากเวลาเย็นแล้วก็เป็นเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าดอกไม้ก็จะบานอีก แสดงว่าเริ่มอรุณรุ่งเช้าเข้าเวลากลางวัน…นางได้นามว่าอัคราณีและต้องวาสนากับองค์เทพนามจัตตราฆี ท้ายที่สุดก็ได้ครองคู่เป็นชายาขององค์เทพหนุ่มจวบจนวาระที่หมดบุญทำให้ต้องเกิดที่มนุษยภูมิ (1 เดือนทิพย์ในชั้นยามาเท่ากับ 600 ปีของมนุษย์)

"ค่อยๆถอนสติแล้วลืมตา" องค์เทพหนุ่มบอกแก่นางผู้เคยเป็นที่รัก

"จัตตราฆี" ปราณนรีเรียกขานเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้า และแทบจะโผเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยอารามดีใจอย่างเหลือประมาณ แต่หล่อนยังมีสติรู้ตัวว่าไม่เป็นการบังควรและการปฏิบัติสมาธิก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะแตะต้องท่านได้

"เรามาเพราะรักและคิดถึงเจ้า แม้จะไม่นานในช่วงเวลาสวรรค์ แต่ก็นานในความรู้สึกของเรา" จัตตราฆียิ้มอย่างอ่อนโยน

"ดีเหลือเกินที่ท่านยังรักฉันอยู่เสมอ"

"จริงๆเรามาเพื่อทำอีกเรื่องนึง คือเรื่องนี้" นัยน์เนตรเป็นประกายแปลก

สิ้นกระแสเสียงขององค์เทพหนุ่ม ปราณนรีที่นั่งอยู่บนเตียงให้รู้สึกถึงกระแสบางอย่างที่แล่นเข้าจู่โจมอวัยวะเพศของหล่อน ก่อให้เกิดความรู้สึกวาบหวามอย่างฉับพลันและกระตุ้นเร้าความต้องการตามธรรมชาติให้บังเกิด หล่อนรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวที่เริ่มซ่านทั่วร่าง แรกทีเดียวหล่อนนึกคิดว่าเป็นอุปทานหรือเปล่าทำให้พยายามฝืนใจ แต่กระแสแห่งราคะกำหนัดก็ไม่ลดน้อยถอยลงแม้สักนิดและอยู่เหนือการต้านทานไหว

"อย่าขัดขืนเลย" กระแสเสียงขององค์เทพหนุ่มที่ยืนหน้าแดงกล่าวอย่างประเล้าประโลม

ปราณนรีผู้เป็นสาวพรหมจารีที่ไม่เคยต้องราคีคาวใดๆก็ยอมโอนอ่อนและตอบสนองต่อกระแสแห่งราคะกำหนัดที่นุ่มนวลซึ่งส่งมาจากจัตตราฆี หล่อนล้มตัวลงนอนบิดกายน้อยๆปล่อยให้ความซาบซ่านแล่นอยู่ทั่วทุกอณูกายพร้อมกับลมหายใจระทดระทวยและเสียงครางที่แผ่วเบา ตลอดเวลาองค์เทพหนุ่มเพียงใช้การสัมผัสทางจิต หาใช่การสัมผัสกายไม่ และเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะถึงอารมณ์อันสุขสมด้วยกันทั้งสองฝ่าย

"เขาเรียกการสัมผัสจิต ทำได้เฉพาะผู้ที่เป็นเนื้อคู่เท่านั้น เจ้าจะตอบสนองต่อเราผู้เดียว" จัตตราฆีเอ่ยกับหญิงสาวที่นอนหอบหายใจคล้ายเหนื่อยอ่อน

"ทำไม" ปราณนรีถามด้วยความกังขา

"ลุกนั่งไหวไหม เราอยากให้เจ้าลองทำสมาธิ"

หญิงสาวก็ค่อยๆหยัดกายนั่ง

"นั่งสมาธิแล้วพยายามกำหนดถอดกายทิพย์"

"ฮะ อะไรนะ" คงฟังเผลอตัวพูดเสียงดังเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหล่อน

"เราใช้ราคะกำหนัดเป็นตัวนำในการช่วยเจ้าทำสมาธิ เป็นวิธีลัดที่ไม่ถูกต้อง แต่น่าจะได้ผลเร็ว"

"ท่านจะรับฉันกลับด้วยวิธีนี้เหรอ" ปราณนรีถามอย่างไวปัญญา

"ถ้าสำเร็จนะ แต่เราลงมาได้แค่เก้าวัน เวลามีน้อย คงต้องสัมผัสจิตกันบ่อยหน่อยล่ะ" ท่าทางเหมือนชายหนุ่มขี้เล่นกลับมาอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวกลับมีกิริยาสะเทิ้นอาย

"มันจะดีเหรอ"

"ไม่ดีหรอก" กระแสเสียงที่สามเอ่ยขึ้นพร้อมการปรากฏกายของเทพหนุ่มอีกองค์

"วัสตามัณ" จัตตราฆีเรียกขานผู้เป็นสหาย

"เห็นท่านไม่อยู่ในวิมานก็เลยตามหาซะทั่ว ที่แท้ก็อยู่ที่โลกมนุษย์ อ้อ มาหาอดีตชายานี่เอง"

"ไม่เจอกันนาน ท่านยังชอบก่อกวนเหมือนเดิม" ปราณนรีผู้ระลึกชาติได้พูดคล้ายกล้าติงเทพหนุ่ม

"เปล่า เราแค่หวังดีต่อสหายรัก ที่มานี่ต้องการมาเตือนเรื่องการใช้จิตสัมผัสเพราะใช่ว่าจะได้ผลเสมอไป ดีไม่ดีอาจติดเอาได้ทั้งคู่แหละ"

"ติดได้ด้วยเหรอ" หญิงสาวแสดงความสงสัย

"ถ้าบ่อยน่ะติดแน่ และมันไม่ใช่หนทางที่ดีเลย"

"วัสตามัณ เราตัดสินใจแล้วและขอบใจที่ท่านหวังดี"

"อะโห จัตตราฆี ท่านคิดอะไรง่ายเกินไปนะ ถ้าไม่สำเร็จล่ะ"

"ถือว่าเป็นกรรมของฉัน" ปราณนรีบอกง่ายๆ

"ก็ตามใจ" วัสตามัณยอมล่าถอยกลับไปโดยดี

เวลาเก้าวันจัตตราฆีก็หมั่นสัมผัสจิตกับปราณนรีอยู่บ่อยครั้ง หากหญิงสาวไม่อาจถอดกายทิพย์ได้ แต่กลับสามารถกำหนดนิมิตได้แม้ยามลืมตาและจิตก็ดิ่งสู่สมาธิรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ หนำซ้ำยังได้ทิพยอำนาจบางอย่างอีกด้วย ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติสมาธิของหล่อนก้าวหน้าและได้ลำดับขั้นที่สูงขึ้นนั่นเอง

"เราเตือนแล้วว่าอาจไม่สำเร็จ" วัสตามัณกลับมาอีกคำรบเมื่อกำหนดครบวัน

"บุญยังไม่ถึงหรือนี่" จัตตราฆีรำพึง

"ต้องปฏิบัติมากกว่านี้ เรื่องการสัมผัสจิตเป็นอันยกเลิกไปเลย"

"เราไม่อยากห่างจากปราณนรี"

"หรือท่านติดราคะกำหนัดเข้าให้" สหายหยอกเอิน

"ใช่" จัตตราฆียอมรับตามจริง

หญิงสาวก็หน้าร้อนผ่าว

"ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว" เป็นกระแสเสียงของวัสตามัณ

ความเศร้าก็ครอบคลุมองค์เทพหนุ่มและปราณนรี

"เอาน่า ท่านก็หาเวลาลงมาสิจัตตราฆี แต่ขอเตือนอีกเรื่องว่าจะส่งผลเสียต่อตัวท่าน รัศมีของท่านหมองลงเห็นไหม"

"ไม่ต้องมานะ ฉันไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับท่าน" หญิงสาวเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

"เราจะมา"

"บอกว่าไม่ต้องไง" หล่อนลืมตัวแหวใส่

"น่าอิจฉาซะจริง รักกันขนาดนี้ เสียดายอยู่คนละภพภูมิ" กระแสเสียงของวัสตามัณบ่งบอกถึงความหดหู่ใจ

"ถ้าไม่ต้องพบเจออีก เราคงอดใจไม่ไหว บนยามาภูมิที่ไม่มีเจ้า มันเงียบเหงาและอ้างว้างมากรู้ไหม" สีหน้าท่าทางของจัตตราฆีแลดูโศกสลดอย่างเห็นได้ชัด

น้ำใสๆก็เอ่อท้นดวงตาของหญิงสาว

"ฉันรับรู้ได้ถึงความรักที่ท่านมีให้ จัตตราฆี ถึงไม่ต้องพบเจอ ฉันก็จะระลึกรักท่านและจดจำช่วงเวลาพิเศษนี้เสมอ"

"เราลั่นวาจาไว้ว่าจะมา จะถือเป็นคำมั่นที่เราให้" องค์เทพหนุ่มยืนกรานอย่างหนักแน่น

"ดื้อจัง" ปราณนรีฝืนหัวเราะน้อยๆ

"จะให้ดีท่านก็หมั่นปฏิบัติเข้า จริงสิอยู่บนยามาภูมิก็ปฏิบัติได้นี่ อย่างนั้นก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อจัตตราฆีมากนัก" วัสตามัณเพิ่งนึกขึ้นได้

"ทำไมเพิ่งบอก ปล่อยให้ฉันกังวลกับจัตตราฆีอยู่ได้" หญิงสาวทำตาดุใส่คนพูด

"ลืมน่ะ" องค์เทพหนุ่มทำหน้าทะเล้น

จัตตราฆีก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ

"สัญญาแล้วนะ" ปราณนรีกล้าทวงถาม

"สัญญา" องค์เทพหนุ่มทวนคำ

"เจ้าก็หมั่นปฏิบัติและสั่งสมบุญกุศลด้วยล่ะ จะได้ไปเกิดที่ยามาภูมิอีก" วัสตามัณฉีกยิ้มกว้างให้หญิงสาว

"ฉันจะจำไว้"

"ถึงเวลาต้องกลับแล้ว" จัตตราฆีบอกตน อดีตชายา และสหาย

ไม่จำเป็นต้องมีคำร่ำลาใดๆและแม้เป็นความรักที่อยู่ต่างภพภูมิ ขอแค่หัวใจสองดวงที่เชื่อมโยงถึงกัน ทั้งความรู้สึกที่เปี่ยมล้นจากใจถึงใจ จากจิตถึงจิตเท่านี้ก็เพียงพอ.




 

Create Date : 21 มีนาคม 2551
0 comments
Last Update : 21 มีนาคม 2551 10:08:37 น.
Counter : 1003 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.