Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 
15 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
ตอนที่๕

ตอนที่๕
ความผูกพันทางสายเลือดระหว่างเอริคกับพี่ชาย…อัลเบิร์ตเมื่อเปรียบเทียบกับหลายชายทั้งสองก็พอจะเห็นส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้างตรงความรักของพี่น้อง ส่วนต่างคือนิสัยส่วนตัว อัลเบิร์ตเป็นคนที่ชอบเอาชนะและเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ ความต้องการของคนอื่นแทบจะด้อยค่าด้อยความสำคัญ บิดาของหลานต่างวัยเป็นคนเก่งตั้งแต่เด็กและเด่นดังเสมอ ทำอะไรก็เป็นที่ชื่นชมของผู้คนรอบข้าง เอริคจึงมักจะถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายที่เหนือกว่าเขาทุกด้านอยู่บ่อยครั้ง ใครๆก็มองเห็นแต่พี่ชายของเขา และมองข้ามเขา ทว่าเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจกับพี่ชายของตน อัลเบิร์ตมีข้อดีที่เห็นอย่างเด่นชัดคือรักน้องและคอยให้ความช่วยเหลือเพียงแค่ตามสมควร ถือว่าด้อยกว่าความรู้สึกของโจนาธานที่มีต่อน้องชาย พี่ชายของเขาเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้าไหนเข้าได้ทำให้มีเพื่อนฝูงมากมาย ข้อเสีย…หากเขาต้องการสิ่งไหน เขาก็จะเอาให้ได้แม้ต้องแย่งชิงสิ่งที่เป็นของคนอื่นซึ่งก็ได้สมใจ และชอบยกตนข่มท่าน เพื่อนฝูงที่คบหาก็ทั้งชอบทั้งชังพี่ชายของเขา เอริคเป็นผู้มองจากภายนอก เขาเคยเตือนพี่ชายเรื่องนิสัยส่วนนี้ อีกฝ่ายกลับไม่เคยยอมรับฟัง

'ช่างหัว พี่ไม่เห็นจะแคร์ ตราบใดที่ไม่ได้แบมือขอใครกิน' อัลเบิร์ตบอกด้วยความหงุดหงิดระคนรำคาญใจ

'มันจะส่งผลเสียต่อตัวพี่'

'เอริค ถ้านายมัวแต่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น นายจะทำงานใหญ่ได้ยังไง คนที่จะทำงานใหญ่และประสบความสำเร็จจะต้องเชื่อมั่นในความคิดของตน ต้องเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว ถ้านายเก็บเอาความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นมาเป็นอารมณ์ก็จะทำให้นายไขว้เขว ห่วงหน้าพะวงหลัง งานจะล้มเหลวไม่เป็นท่า เชื่อพี่สิ'

'แม้เราต้องทำร้ายใครด้วยงั้นเหรอ' เขาถามขรึมๆ

'ใช่' พี่ชายของเขาบอกอย่างหนักแน่น

'การกระทำอย่างที่พี่บอกจะทำให้มีคนเกลียดเรา เท่ากับเป็นการสร้างศัตรู' เขาพยายามเตือนสติอีกฝ่าย

'เอริค ความอ่อนแอจะทำลายตัวนายเอง นายเคยได้ยินไหม สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด'

'ต่อให้ต้องเหยียบย่ำคนอื่น' เขาพูดเป็นเชิงถาม

'ต่อให้ต้องเหยียบย่ำคนอื่น' อัลเบิร์ตตอบแบบทวนคำถาม

เอริคต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้และเลิกพูดเรื่องพวกนี้ ถ้าเขามีส่วนคล้ายมารดา พี่ชายก็คงจะถอดแบบจากบิดา ทว่าหลานชายคนโตกลับไม่ได้รับเอาแบบแผนความคิดแม้สักน้อยนิดที่อัลเบิร์ตพร่ำสอนมาใส่ตัว อาอย่างเขากลับมองเห็นเงาของภรรยาของพี่ชาย…สุทธินีผู้หญิงที่อ่อนหวานและจิตใจดีซ้อนทับอยู่ในตัวของหลานชายคนโต นิสัยของโจนาธานนั้นคงรับมาจากมารดาเป็นแน่แท้ แต่เจอร์ราล์ดผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับสุทธินีจะรับนิสัยมาจากใคร…เขาก็สุดรู้

"คุณอาครับ" เสียงเรียกของหลานชายคนเล็กทำให้เอริคหลุดพ้นจากห้วงแห่งภวังค์

เอริคที่คืนสติก็รับรู้สภาพกาลปัจจุบันซึ่งเขากับหลานๆนั่งทานเค้กตบท้ายมื้ออาหารอยู่ภายในห้องอาหารของบ้าน

"อาคิดอะไรเพลินๆ" น้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยขัดกับดวงตาหม่นแสงที่หลุบต่ำอย่างปิดบังความรู้สึกของตน

"อ้อ เค้กอร่อยไหมจิล" คนถามต่อเสเปลี่ยนเรื่อง

"อร่อยเหมือนเดิมครับ" เจอร์ราล์ดตอบยิ้มๆ

"อร่อยก็ทานมากๆ" โจนาธานเปิดยิ้มกว้าง

"ครับพี่"

"น่าอิจฉาจิลที่มีพี่ชายอย่างโจน่า" เอริคพูดเหมือนปรารภ

"คุณพ่อกับคุณอาล่ะครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างชวนคุย

"ดีบ้างร้ายบ้างตามประสาอย่างที่เธอเห็นตอนเขายังมีชีวิตอยู่" คนตอบฝืนหัวเราะ

"คุณพ่อร้ายจะตาย คุณอายังบอกว่าดีบ้าง"

"จิล!" พี่ชายเอ็ดอย่างต้องการจะปรามน้องชาย

"ขนาดกับผม…" เขาจำต้องเงียบเสียงในทันใดเพราะโจนาธานจ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันที่ฉายแววเฉียบขาด

"จิล คุณพ่อก็คือคุณพ่อ จิลไม่ควรพูดถึงท่านในทางที่ไม่ดี" เอริคสอนสั่ง

"พี่คิดเหมือนคุณอา"

"ขอโทษครับ" เจอร์ราล์ดบอกเสียงแผ่วเบา

"พี่กับคุณอารู้ว่านายรู้จักคิด เราจะพูดเพียงเท่านี้ นายก็ทานเค้กให้หมด"

ภวาวดีมองเพื่อนสาวที่นั่งใจลอยสลับกับทอดถอนใจเป็นระยะๆด้วยความห่วงใย สณาจิณห์มีอาการทางใจตั้งแต่เช้าจรดเย็นเหมือนกับเจ้าหล่อนไม่มีกะจิตกะใจจะทำการงานอื่นใด ทว่าเวลาที่มีลูกค้า หล่อนก็สามารถจะเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ช่วงที่หล่อนว่างก็จะอาการทรุดหนักจนคนเป็นเพื่อนต้องคอยสังเกตอาการอยู่ตลอดเวลา แม้ภวาวดีจะคอยปลอบใจ แต่ก็ไร้ผลเพราะเจ้าตัวเป็นคนที่คิดมากเป็นนิสัย ความสบายใจเกิดขึ้นแค่ชั่วครู่ชั่วยามก็จางหาย คนปลอบก็จำต้องปล่อยให้สณาจิณห์คิดเสียให้พอ

'แม่หมอ' ปริวิตกเหลือเกินกับเรื่องของชายหนุ่มลูกครึ่งผู้เป็นเนื้อคู่ตามคำพยากรณ์ หล่อนอยากช่วยเขา หากเขาจะยอมรับความช่วยเหลือที่หล่อนหยิบยื่น จนป่านนี้เขาก็ยังเงียบเฉยโดยไม่รู้สักนิดถึงใจของหล่อนที่พะวงถึงแต่เขาด้วยความร้อนใจ
ธัชรัตน์พงศ์เดินเร็วๆไปที่เคาน์เตอร์และก็เห็นคนรักนิ่วหน้ามองสณาจิณห์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูท่าอาการของเจ้าหล่อนจะหนักเอาการ เขากลั้นยิ้มกับคนที่กำลังมีความรัก

"วดี เราต้องส่งซันไปบำบัดที่โรงพยาบาลไหม" ชายหนุ่มหัวเราะในคำ

"ยังจะพูดเล่น" หล่อนค้อนควัก

"ใจเย็นน่า ผมจี้ตรงจุดสำคัญของโจน่า ผมมั่นใจว่าเขาต้องติดต่อเรา วดีต้องเชื่อผม"

"วดีก็อยากเชื่อคุณ แต่ก็สงสารซัน"

"ผมก็สงสาร เราต้องรอเวลา" พูดจบเขาก็หันมองเพื่อนสนิทของคนรัก

"ซัน นั่งบื้ออยู่นั่นแหละ" เขาพูดต่ออย่างจงใจยั่วโมโหหล่อน

สณาจิณห์หันขวับมองต้นเสียง ใบหน้าของหล่อนเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

"แผนของนายไม่เห็นจะได้ผล" หล่อนต่อว่า

"เออหนอ ใจร้อนทั้งคู่แฮะ"

"ย่ะ เพราะคุณโจน่าเขาไม่สะดุ้งสะเทือนกับแผนของนาย"

"อ้าว หงุดหงิดละพาล"

"ก็แผนนายไม่ได้เรื่อง!" 'แม่หมอ' พูดเสียงห้วน

"คนอุตส่าห์ช่วยยังจะหาเรื่อง อีกอย่างของอย่างนี้ต้องใช้เวลา" ธัชรัตน์พงศ์บอกด้วยโทนเสียงเดียวกัน

สณาจิณห์ก็ถลึงตาใส่อีกฝ่าย ภวาวดีจำต้องห้ามทัพก่อนจะร้อนหู

"ขอร้อง เห็นใจคนทำบัญชีหน่อย แค่คอยห่วงซัน ฉันก็ทำบัญชีผิดตั้งเยอะ ขืนต้องหนวกหูเพราะซันกับโก้เถียงกัน…คงไม่ไหว"

สองทัพพร้อมใจรูดซิปปากเพราะยามปกติภวาวดีจะเป็นหญิงสาวแสนดีตรงข้ามกับยามโกรธ หล่อนจะกลายเป็นคนน่ากลัวอย่างที่ใครๆก็คาดไม่ถึง

ชายหนุ่มเป็นฝ่ายขอแยกตัวอยู่ให้ห่างจากเพื่อนสนิทของคนรักด้วยเกรงจะเกิดการปะทะคารมกับหล่อน 'แม่หมอ' ก็เอาแต่ปั้นสีหน้าเหมือนคนอมทุกข์ ภวาวดีเหลียวมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความอ่อนใจพลางส่ายหน้าน้อยๆ

เวลาเคลื่อนผ่านราวกับติดปีกคนที่นั่งทำบัญชีจนเสร็จก็บอกกล่าวกับคนรักของหล่อน ธัชรัตน์พงศ์เพียงเอ่ยว่า

"ผมจะชวนวดีกับซันทานอาหารยุโรป"

สองสาวพยักหน้ารับคำ คนหนึ่งยิ้มแย้มแจ่มใส อีกคน…หน้าตึงปราศจากรอยยิ้ม ชายหนุ่มที่อารมณ์ดีขึ้นบ้างอย่างคนโกรธง่ายหายเร็วก็ให้รู้สึกอยากชวนทะเลาะกับหล่อนเป็นกำลัง

"ซัน กลัวหน้ายับเหรอ เก๊กขรึมจนหน้างี้เรียบเชียว"

"ท่าทางนายคงอยากมีเรื่อง" หล่อนพูดเป็นเชิงถามอย่างเข่นเขี้ยว

คนที่ยั่วแหย่ย่อมรู้กาลเทศะ ลองเจ้าหล่อนอารมณ์เสีย คำพูดของเขาก็เท่ากับเป็นน้ำมันที่ราดรดบนกองไฟอย่างหล่อนให้ยิ่งคุโชน ขืนดึงดันทะเลาะกับหล่อนก็มีแต่เสียกับเสีย ดีไม่ดีอาจเจอแจ็คพ็อต สู้เขายอมสงบปากสงบคำให้หล่อนยังจะปลอดภัยเสียกว่า

"ใครจะอยากเจ็บตัวเพราะพลังจิตของซัน" เขาออกตัวอย่างต้องการเอาตัวรอด

"รู้ๆกันอยู่ เวลาซันโกรธใคร คนๆนั้นมักเจอเรื่องร้ายๆ อย่างกับต้องคำสาป" เขาพูดต่อ

"รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน" ภวาวดีหัวเราะเสียงใส

"อย่างผมจะกล้าเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็นหรือครับวดี ไม่เอาด้วย ผมขอสละสิทธิ์"

คนที่เป็นต่อหัวเราะในลำคอหึๆชวนให้คนฟังรู้สึกขนพองสยองเกล้า

"ซัน หัวเราะน่ากลัว"

ถ้อยความของภวาวดีตรงใจธัชรัตน์พงศ์

"วดีล่ะก็" เพื่อนสาวแค่นหัวเราะ

"จะพาไปทานอาหารยุโรปก็รีบๆสิโก้" หล่อนเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างฉับไวด้วยสุ้มเสียงที่ห้วนและแห้งแล้งจัด

คนทั้งสามต่างก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานของตนโดยปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม จะมีก็แต่เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆเพื่อสร้างบรรยากาศภายในร้านกับเสียงพูดคุยที่แผ่วเบารอบๆตัว แม้อาหารราคาแพงจะมีรสชาติอร่อย ทว่าคนที่เจริญอาหารมีเพียงภวาวดีที่สั่งไอศกรีมอีกหนึ่งถ้วยเพราะหล่อนเคยชินกับอารมณ์ของคนเป็นเพื่อน คนรักของหล่อนที่ไม่เคยชินกับอารมณ์ของหญิงสาวแม้สักครั้งกลับรู้สึกฝืดคออย่างไรชอบกล ส่วนสณาจิณห์ละเลียดทานอย่างช้าๆด้วยสีหน้าที่แลดูเคร่งขรึมอย่างคนที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตน

โจนาธานรอเวลาหลังจากอาของเขากลับบ้านและน้องชายเข้านอนเพื่อติดต่อกับเพื่อนสนิท เขาสวมชุดนอนและออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความกลัดกลุ้มใจเป็นล้นพ้น ถ้าจะมีวาระไหนที่ทำให้เขาตัดสินใจกับเรื่องบางเรื่องได้ยากยิ่งก็คงจะเป็นวาระนี้ เขาเฝ้าทบทวนคำพูดของธัชรัตน์พงศ์ที่ขัดแย้งกับความรู้สึกผิดชอบตลอดทั้งวัน แม้ในขณะค้นพบการตัดสินใจของตนเพราะเขารู้ตัวดีว่าท้ายที่สุดก็ต้องชี้ชัดให้เด็ดขาด มือใหญ่แข็งแรงกำโทรศัพท์มือถือขนาดครึ่งฝ่ามือแน่น เขาคิดดีแล้วและถึงเวลาเสียที

เสียงโทรศัพท์ทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดบนโต๊ะอาหารจนสิ้น ชายหนุ่มกดปุ่มเปิดรับสัญญาณจากปลายสายด้วยความยินดีปรีดา และยิ้มอย่างสมใจให้สองสาว

"โจน่าติดต่อเรา เป็นข่าวดีแน่ๆ" เขาบอกพวกหล่อนก่อนกรอกน้ำเสียงชื่นบานใส่เครื่องมือสื่อสาร

"ว่าไงโจน่า"

"ฉันตัดสินใจละ" ปลายสายบอกเสียงเรียบเรื่อย

"นายยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของฉันใช่ไหม"

"ใช่ เย็นวันพรุ่งนี้ฉันจะไปพบคุณซันเพื่อพูดคุย"

"จะบอกซันให้ รู้ไหมโจน่า ฉันดีใจที่นายคิดถูก" คนพูดส่งรอยยิ้มที่เปิดกว้างให้ 'แม่หมอ' โดยตรง

สณาจิณห์พลันยิ้มออก

ธัชรัตน์พงศ์วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะด้วยความสบายใจที่เห็นเพื่อนสนิทของคนรักมีอารมณ์ที่ดีขึ้น

"โจน่าจะไปหาเธอพรุ่งนี้เย็น" เขาบอกหล่อน

"แผนของโก้สำเร็จจริงๆ" ภวาวดีชื่นชมคนรักของหล่อน

"กว่าจะสำเร็จก็เล่นเอาฉันอารมณ์บูด แถมกระสับกระส่ายตั้งกะเช้ายันค่ำ" สณาจิณห์บ่นอุบอิบ

"ไงก็สำเร็จ ที่เธออารมณ์บูดเพราะใจร้อนเอง ฉันบอกให้ใจเย็นๆก็ไม่เชื่อ" เขาพูดเอาความดีเข้าตัว

"ย่ะ! พ่อจอมวางแผน" หล่อนกระแทกเสียง

"ที่เหลือเป็นหน้าที่ของซัน พวกเราเป็นแค่กองเชียร์ที่ช่วยลุ้น" คนเป็นเพื่อนหัวเราะร่วน

"หน้าที่เพื่อนนางเอกยังไม่จบง่ายๆ อย่าลืมว่าต้องรอให้เรื่องระหว่างพระ-นางลงเอยด้วยดี" เจ้าตัวเตือนยิ้มๆ

"รู้น่า" ชายหนุ่มแสร้งระบายลมหายใจหนักๆ

"ฉันรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาละ ขอสั่งไอศกรีมอย่างวดีนะ" สีหน้าของ 'แม่หมอ' ก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้น

"มื้อนี้ฉันรับเป็นเจ้ามือ ซันจะทานเท่าไหร่ก็ตามใจ" เจ้ามือบอกอย่างอารมณ์ดี

"ฉันก็ขอรับฉลองศรัทธา" หล่อนพูดสุ้มเสียงกลั้วหัวเราะ

ภวาวดีเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตโดยมีสณาจิณห์อยู่ข้างๆ 'แม่หมอ' ยุคเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ายิ้มไม่ยอมหุบตั้งแต่รับรู้ข่าวดี สายตาของหล่อนจับจ้องหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ หากใจกลับคิดคำนึงถึงชายหนุ่มลูกครึ่งและภาพใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็ผุดขึ้นในหัว หล่อนกำลังจะก้าวเข้าสู่โลกส่วนตัวที่แสนสุข เสียงค่อนแคะของเพื่อนสนิทก็ขัดจังหวะอย่างพอดิบพอดีทำให้โลกส่วนตัวของหล่อนซึ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างพลันสลาย

"หน้าบานจนฉันหมั่นไส้ ทีตอนแรกล่ะหน้าหงิก" เจ้าของห้องตัวจริงปรายตายังเพื่อนสาว

"วดีใจร้าย" เจ้าตัวโอดครวญ

"อะไร" ภวาวดีตีหน้างงงัน

"คนจะฝันหวานเลยอด"

"อีกสักพักก็จะเข้านอน เอาไว้ฝันตอนนั้นไม่ดีกว่าเหรอ" คนพูดหัวเราะคิก

"เออเนอะ" สณาจิณห์เอ่ยอย่างนึกขึ้นมาได้

"อาการแบบนี้แสดงว่าเธอคลั่งไคล้เขาทีเดียว สมัยเรียนก็ใช่ว่าซันจะไม่เคยมีแฟน"

"อย่าพูดถึงแฟนสมัยเรียน พวกเขาเป็นฝ่ายทิ้งให้ฉันต้องชอกช้ำระกำใจร่ำไป แต่คุณโจน่าเขาเป็นเนื้อคู่ มันไม่เหมือนกัน คนละกรณีเลยละ"

"ขี้เกียจจะสนใจคนคลั่งรัก" ภวาวดีแสร้งเบือนหน้ามองดูหน้าจอ หล่อนคลิคชื่อเว็บไซต์สำนักพิมพ์ที่คุ้นตาเพื่อสั่งซื้อหนังสือ

"อะไรๆก็สะดวกไปหมด เทคโนโลยีล้ำสมัย วัตถุเจริญ จิตใจของคนบางส่วนกลับตกต่ำ" สณาจิณห์ปรารภ

"อย่าเพิ่งเปลี่ยนโหมดเป็นแม่ชี ฉันยิ่งง่วงๆ เดี๋ยวก็สัปหงกคาคอมพิวเตอร์หรอก"

"ฉันแค่พูดความจริง"

"ฉันก็รู้ โลกยุคใหม่ทั้งเธอทั้งฉันต่างก็บริโภควัตถุ เรื่องเครียดๆที่ว่ามันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล อยู่ที่ใครจะรู้จักคิดใช่หรือเปล่า"

"จ้า ฉันขอยอมรับโดยดุษณี"

"แม่ชีซันก็ปลงๆเถอะ" เพื่อนสนิทเย้ายิ้มๆ

"ยกเว้นเรื่องคุณโจน่า" เจ้าตัวบอกอย่างเจ้าเล่ห์

"วกเข้าเรื่องพ่อเทพบุตรเนื้อคู่ เป็นเอามากนะซัน"

"เมื่อก่อนตอนเธอคบกับโก้ใหม่ๆ ฉันก็เหมือนเธอตอนนั้น หรือเธอลืม"

"โดนดาบนั้นคืนสนองน้อเรา" ภวาวดีเปิดรอยยิ้มทะเล้น

"ฉันจะไปทำกิจวัตรให้เสร็จจะได้นอนฝันถึงคุณโจน่า ห้ามวดีทำเสียงดังรบกวนฉัน เข้าใจ๋" ชี้นิ้วประกอบถ้อยความ

"แจ่มแจ้งแดงแจ๋" เจ้าของห้องตัวจริงต่อปากต่อคำ

สณาจิณห์นอนหลับฝันดีและมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า กระทั่งวันใหม่รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายจนใครต่อใครที่พบเห็นพากันเกิดความสงสัยใคร่รู้ และคนที่เฉลยให้ทุกคนรับรู้ว่า 'แม่หมอ' กำลังมีความรักก็คือเพื่อนสนิทของหล่อน ทว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เจ้าหล่อนออกอาการอย่างสุดระงับ ภวาวดียังเก็บงำไว้เป็นปริศนาให้ใครๆคิดคาดเดาต่างๆนานา ครั้นพนักงานของร้านเรือนทิพย์จะไถ่ถามเจ้าตัวให้รู้เรื่องอย่างหมดเปลือกก็ใช่ที่จึงปล่อยให้ปริศนาค้างคาใจกันต่อไป

"น้องๆเขาอยากรู้ว่าใครหนอคือหนุ่มในดวงใจของซัน"

"วดีคงไม่บอกหมดใช่ไหม" หรี่ตามองเพื่อนสาว

"เปล๊า ฉันปล่อยให้น้องๆคิดเอา"

"เธอก็ช่างบอกจริง"

"อ้าว! ฉันโดนตื๊อถาม นานๆเข้าก็รำคาญจนต้องบอก ถ้าเป็นเธอจะทนไหวเหรอ"

"น่านสิ" เจ้าตัวยอมรับง่ายๆ

"ฉันอยากให้เธอเก็บอาการบ้าง เย็นๆเขาก็จะมาหาแล้ว เกิดหลุดอาการออกนอกหน้าให้เขารู้ เขาจะคิดยังไงจริงไหม"

"อืมๆ ฉันต้องรักษาหน้าของตัวเอง ใช่ๆ คงต้องพยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ เจอหน้าเขาฉันจะต้องข่มใจสุดๆ" สณาจิณห์พึมพำด้วยดวงตาชวนฝัน

"อาการน่าเป็นห่วง" ภวาวดีหัวเราะในคำกับคนที่ออกอาการ

"อ้อ เธอหลงลืมอะไรคิดออกยัง" หล่อนถามต่อ

เพื่อนสาวมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตามีคำถาม

"ข้อมูลเขาไง ตายๆ เธอลืมกระทั่งควรจะสืบข้อมูลของเขาจากโก้ เพราะเธอต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของเขานานพอดู เธอลืมจริงอะ"

"ขอบใจวดี ฉันมัวแต่คิดเรื่องอื่นจนหลงๆลืมๆจริงๆ เออ เขาแค่มาคุยก่อน ฉันค่อยถามโก้เรื่องของเขาทีหลังคงได้เนอะ"

"แม่หมอป้ำๆเป๋อๆจะรอดไหมเนี่ย ลำพังตัวเองก็จะแย่ ยังต้องช่วยเขา"

"ฉันก็ใจเสียนะเพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นใครก็ยังไม่รู้ ไหนต้องระวังตัวแจ" แววกังวลฉายชัดในดวงตาของคนพูด

"ในเมื่อเธอเจอเรื่องหิน ฉันก็ขอเอาใจช่วยให้รอดพ้นทั้งเธอทั้งคุณโจน่า ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง"

"สมพรปากเหอะ" สณาจิณห์ทำปากยื่น

"ที่แท้ก็กลัว"

"ฉันเป็นคนธรรมดามีเนื้อมีหนังก็กลัวเป็น" และก็ใช่ที่หวาดหวั่นกับศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืดอันยากจะมองเห็น

"ละยังเสนอตัวช่วยเขา"

"ขอล่ะวดี ฉันยิ่งใจไม่ดีอยู่ ต้องขอทำนายให้ตัวเองล่วงหน้ามั่งเผื่อมีอะไรจะได้ทันระวัง"

'แม่หมอ' เพียงหยิบสำรับไพ่ออกจากกล่อง เสียงของพนักงานคนหนึ่งก็ร้องบอกจากชั้นล่างว่า

"พี่ซัน ลูกค้ามาค่ะ"

ความคิดที่จะพยากรณ์โชคชะตาของตนจึงถูกขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะลูกค้าของสณาจิณห์มีมาไม่ขาดสาย เจ้าหล่อนก็ให้รู้สึกแปลกใจและสังหรณ์ใจชอบกล ขณะที่ภวาวดีก็ยุ่งอยู่กับลูกค้าของหล่อนเช่นกัน

โจนาธานโทรศัพท์บอกน้องชายของเขาให้ทานอาหารกับอาโดยใช้ข้ออ้างว่าธัชรัตน์พงศ์กับคู่หมั้นนัดเลี้ยงอาหารเย็น เขาจะปฏิเสธก็กระไร และความเป็นจริงก็มีส่วน ปลายสายเองก็ทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย เด็กหนุ่มยินยอมโดยดีและเอริคก็ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับสณาจิณห์แม้แต่น้อยซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะปกปิดเพื่อป้องกันความห่วงใยจากทั้งน้องชายทั้งอาอันอาจเกิดขึ้นได้

ธัชรัตน์พงศ์เป็นผู้มาก่อนและรอเพื่อนสนิทอยู่กับสองสาวเพียงครู่เดียวฝ่ายหลังก็ตามมาสมทบ ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มอ่อนๆพลางกล่าวคำทักทายกับภวาวดีและเพื่อนสาวของหล่อน สองสาวก็ทักทายปานกัน

"คุณโจน่าจะทานอาหารหรือยังคะ"

"สักครู่ดีกว่าครับคุณวดีเพราะผมอยากพูดคุยธุระก่อน" เขาบอกด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

"โก้บอกว่าบริษัทของผมควรมีนักจิตวิทยาอย่างคุณซัน" เขาพูดต่อ

"ค่ะ ซันจะคอยจับตาดูคนที่น่าสงสัยให้คุณ" หล่อนพูดตรงประเด็นกว่าเขา

"ผมตกลงใจเปิดตำแหน่งใหม่และจะรับคุณเข้าทำงานตามคำแนะนำของโก้ แต่ก็หนักใจที่ต้องแนะนำตัวคุณให้ผู้บริหารรับทราบในฐานะของนักพยากรณ์เพราะพนักงานระดับผู้บริหารของเราส่วนมากเป็นพวกหัวสมัยใหม่ที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์หรือศาสตร์การพยากรณ์เท่าไรนัก คุณซันคงต้องทำใจ ตัวพนักงานผมไม่หนักใจ ถึงผมจะให้การยอมรับและรับรองตัวคุณ คุณก็ต้องพิสูจน์ความสามารถให้ทุกคนยอมรับด้วย" ท่าทีของโจนาธานเป็นการเป็นงานมากกับปัญหาที่จะพุ่งตรงเป้าหมายคือผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาทางโหราศาสตร์

"ข้อนี้ซันคิดว่าน่าจะผ่านได้ไม่ยากเพราะปรกติซันก็เจอคนประเภทนั้นบ่อยๆ" 'แม่หมอ' ยิ้มเย็นด้วยดวงตาวาววับ

"ฉันเชื่อมือซัน" ธัชรัตน์พงศ์ให้การรับรองอย่างแข็งขัน

"วดีก็ไม่คิดว่าคนของคุณจะเป็นปัญหา" ภวาวดีแสดงความคิดเห็นสนับสนุนถ้อยคำของคนรัก

"ซันขอร้องอะไรคุณอย่างค่ะคุณโจน่า"

"ครับ" เขาบอกอย่างยินดีรับฟัง

"ถ้าเป็นไปได้ซันก็อยากจะขอติดตามคุณเพราะอาจเกิดอะไรขึ้นกับคุณตอนที่ซันไม่อยู่ร่วมรับรู้"

คนฟังมีสีหน้าปั้นยากเพราะไม่คุ้นชินและไม่ชอบใจที่มีหญิงสาวตามติด

"นายมักจะอยู่ติดบริษัท น้อยครั้งที่จะออกไปข้างนอก ก็ทำอย่างที่ซันขอร้องก็ไม่น่าจะมีปัญหา" ธัชรัตน์พงศ์ช่วยร้องขอแทนสณาจิณห์

"คุณโจน่าอาจขัดข้อง ซันเข้าใจค่ะ" สณาจิณห์ตีหน้าสลด

ยิ่งคนรักของเพื่อนสนิทมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนก็ยิ่งทำให้โจนาธานรู้สึกกระอักกระอ่วนใจและจำใจตอบรับคำขอของ 'แม่หมอ' เจ้าหล่อนก็ซ่อนยิ้มยินดีไว้ในสีหน้าอย่างแนบเนียนพอๆกับคู่รักที่นั่งร่วมโต๊ะ

"ผมขอแลกเปลี่ยนกับคุณบ้าง" เขาเอ่ย

"คะ" หล่อนทำหน้าเหลอ

"ผมอนุญาตตามคำขอของคุณ คุณต้องไม่ทำให้ใครๆเข้าใจผิดเรื่องของผมกับคุณ และคุณต้องปกปิดจุดประสงค์แท้จริงที่เข้าทำงานในบริษัทของผม"

"สบายมากค่ะคุณโจน่า" คนพูดยิ้มกริ่ม


Create Date : 15 มิถุนายน 2550
Last Update : 15 มิถุนายน 2550 13:09:44 น. 0 comments
Counter : 296 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.