Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 
16 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
ตอนที่๖

ตอนที่๖
หลังมื้ออาหารชายหนุ่มลูกครึ่งก็ขอตัวกลับแทบจะในทันทีเพราะหมดธุระกับพนักงานใหม่ที่จะเริ่มงานกับเขาในเช้าวันจันทร์ และเห็นทีว่าเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนรับรู้ อาของเขาที่ทราบเรื่องพร้อมกับใครอีกหลายคนคงต้องซักถามเอาเรื่องเอาราวกับเขาเป็นแน่ ยิ่งเขาทำเหมือนปิดๆบังๆ ฝ่ายหลังก็จะยิ่งทวีความสงสัยใคร่รู้ ใกล้ถึงคราวที่เขาต้องเปิดเผยเรื่องบางเรื่องให้อาล่วงรู้กระมัง เถอะ ถ้าเขาจะต้องบอกความจริงก็ขอให้เป็นวันทำงานเพราะหากบอกกล่าวตอนอยู่ที่บ้านก็เกรงเจอร์ราล์ดจะรู้เรื่องเข้าจนได้ เขาขับรถยนต์ด้วยใจหนึ่งที่หนักอึ้ง หวังเพียงน้องชายของเขาจะรับรู้ก็ตอนที่เงื่อนปมถูกคลายและผู้ประสงค์ร้ายถูกเปิดเผยตัว รวมทั้งรับโทษทัณฑ์อันสมควร เพื่อให้ตัวเขาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่อย่างปลอดภัยไร้กังวล อีกใจเขาอยากรู้ว่า 'แม่หมอ' จะช่วยเขาได้จริงหรือ หล่อนจะทำประการใดเพื่อสืบเสาะหาตัวบุคคลผู้อยู่ในเงามืด โจนาธานครุ่นคิดไปตลอดเส้นทาง

หญิงสาวผู้โดยสารเบาะหลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และปิดปากเงียบราวกับเป็นใบ้ทำเอาเพื่อนสนิทกับชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนพาหนะเกิดความห่วงใยเกรงอาการของเจ้าหล่อนจะหนักหนาจนต้องนำส่งจิตแพทย์ตัวจริง

"กินยาระงับประมาทมั่งนะซัน" ธัชรัตน์พงศ์เอ่ยเสียงเรียบ แต่เข้าโสตประสาทของคนฟังชัดเจนทุกถ้อยคำ เรียกถ้อยความสวนคำจากผู้โดยสารทันใจ

"นายนั่นแหละสมควรต้องกิน"

"ทำไมฉันต้องกินด้วยล่ะ"

"ก็เผื่อว่าจะช่วยให้นายกวนประสาทฉันน้อยลง"

"ฉันไม่จำเป็นต้องกินยาหรอก เธอต่างหาก เห็นเธอคลั่งไคล้โจน่าเหลือเกินนี่ ขนาดคิดฟุ้งซ่านแทบทุกวินาที" คนพูดแสร้งโคลงศีรษะพลางเปิดรอยยิ้มน้อยๆ

"นายไม่เคยเป็นหรือไง" หล่อนย้อนถาม

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งกับคำพูดยอกย้อนของหล่อนทำให้คนรักที่นั่งคู่กันหัวเราะเบาๆอย่างถูกใจกับประโยคคำถามของสณาจิณห์ที่ตีโต้ด้วยวาจาอย่างฉับไว

"เคยครับผม" คนตอบยอมรับโดยดีก่อนหัวเราะเบาๆ

"ทีหลังเวลาพูดจาก็ควรหัดใช้หัวคิด" เจ้าหล่อนสอนสั่ง

"โห เอาเชียว" เขาแสร้งมีปฏิกิริยาต่อถ้อยความของสณาจิณห์

"ซันมีเรื่องจะถามโก้เกี่ยวกับคุณโจน่าไม่ใช่เหรอ" ภวาวดีช่วยย้ำเตือนความทรงจำของอีกฝ่ายถึงเรื่องที่หล่อนเคยหลงลืม

"อือ" คนตอบทำเสียงในลำคอ

"เรื่องอะไร" ธัชรัตน์พงศ์เอ่ยถาม

"ฉันอยากรู้ข้อมูลของเพื่อนนาย"

"ข้อมูลอะไร" เขาแสร้งถามอย่างพาซื่อทั้งที่พอจะเดาออกว่าหล่อนต้องการรู้เรื่องไหน

สณาจิณห์หรี่ตามองเบื้องหลังคนขับก่อนเอ่ยอย่างขัดใจ

"ฉันอยากรู้ข้อมูลส่วนตัวของเขา ครอบครัวเป็นไง เขาชอบไม่ชอบอะไร เป็นคนแบบไหน มีแฟนหรือยัง ทำนองเนี้ย"

"เล่นถามเป็นชุด เธอจะให้ฉันตอบคำถามไหนก่อนดี"

"โก้ ฉันรู้ว่านายความจำดี ถ้าขืนยังยึกๆยักๆ ฉันอาจเสกตะปูเข้าท้องให้นายตายอย่างทรมาน"

"กลัวแล้วจ้าแม่มด เอ๊ย! แม่หมอ ฉันจะตอบละ ช่วยจำๆด้วยล่ะ" ถ้อยสุดท้ายสุ้มเสียงกลั้วหัวเราะ

"โจน่าเป็นลูกชายคนโตของตระกูล เขามีน้องชายที่พิการตั้งแต่กำเนิดชื่อเจอร์ราล์ด แต่ใครๆเรียกจิล อายุสิบกว่าปี น้อยคนที่จะรู้ว่าตระกูลแลนด์ดอล์ฟมีทายาทสองคน เพราะทางบ้านเขาปิดเรื่องจิลจนมิด จะสาเหตุจากอะไรไว้เธอถามโจน่าเอง ฉันไม่อยากพูดเรื่องที่มันส่วนตัวมากๆ เขามีคุณอาชื่อเอริค คุณแม่ของเขาเสียตอนที่คลอดน้องชาย คุณพ่อของเขาเสียตอนที่เขาเรียนอยู่เมืองนอก พอเรียนจบก็กลับมาบริหารบริษัท โจน่าเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว ขอสรุปเรื่องนิสัยใจคอว่าดีที่สุด และรักน้องชายทีเดียว เลิกงานปุ๊บเป็นกลับบ้านไปอยู่กับน้องชาย วันหยุดก็ทุ่มเทเวลาให้ เรื่องแฟนตัดทิ้งได้เพราะถึงจะมีผู้หญิงคอยตามเกาะแกะ เขาก็มักทำตัวเฉยชาจนพวกหล่อนต้องล่าถอย หนำซ้ำยังเจอฤทธิ์ของจิลเข้าไปอีก เออ จิลนี่แหละสำคัญ ใครจะมาเป็นแฟนกับโจน่าต้องผ่านด่านจิลก่อน เขาเคยบอกฉันว่าผู้หญิงคนไหนยอมรับและเอ็นดูจิลอย่างจริงใจได้ และจิลให้การยอมรับ เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ขอบอกด้วยความหวังดีว่าคนที่เธอต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือก็มีแต่จิล เห็นหน้าตาน่ารัก แต่นิสัยตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นลิบลับ จิลค่อนข้างเจ้าอารมณ์ โมโหง่ายและร้าย ถ้าเธอถามคนรับใช้ในบ้าน เธอจะรู้ว่าไม่มีใครรักจิลลงสักคน ยกเว้นโจน่า ส่วนคุณอาเอริคก็พอทำเนา ซัน ฉันว่าเธอควรจะสอบถามข้อมูลของจิลมากกว่าโจน่า เพราะเจ้านั่นน่ะตัวหลัก ลองเธอไม่ผ่านด่านจิล เธอก็ชวดโจน่า"

"นายก็บอกเพิ่มเติมสิว่าจิลเป็นไง" หล่อนเร่งเร้า

"เอาแต่ใจสุดฤทธิ์สุดเดช ถ้าไม่ได้ดั่งใจเป็นอาละวาด คิดดู…ขนาดโจน่ายังเข้าหน้าไม่ติดต้องปล่อยให้น้องชายสงบสติอารมณ์อยู่ตามลำพัง และคนที่จิลเชื่อฟัง…เป็นบางเรื่องก็คือพี่ชายที่แสนดี จะให้จิลเชื่อฟังคนอื่น…เป็นไปไม่ได้ เจ้านั่นจะน่ารักก็แค่ตอนหลับ นอกนั้นเหลือรับประทาน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นน้องของเพื่อน ฉันก็อยากจะลงไม้ลงมือทั้งสั่งสอนทั้งเฆี่ยนตีเต็มที่เผื่อจะแก้นิสัยเสียๆของจิลได้มั่ง"

"โก้ออกจะรักเด็ก ถ้าลองโก้พูดแบบนี้ น้องชายของคุณโจน่าก็ต้องเป็นยอดวายร้ายตัวฉกาจ" คนรักของเขาวิจารณ์

"ปีศาจหนุ่มน้อยหน้าหวานต่างหากวดี" ธัชรัตน์พงศ์หัวเราะในคำขัดกับดวงตาที่ขรึมลง เขาเพียงไม่ชอบอุปนิสัยของเด็กหนุ่ม แต่ไม่เคยนึกรังเกียจหรือถึงกับเกลียดชัง

"ซันจะรับมือไหวไหม" เขาถามต่อ

"ศึกหนักอะไรจะปานนี้" เจ้าหล่อนเอ่ยสุ้มเสียงเนือยเนิบอย่างหนักใจ

"ฮื่อ ไหนเธอต้องพยายามทำให้คุณโจน่าชอบ ไหนต้องช่วยเขา ละไหนยังจะน้องชายเขาอีก จะไปจนถึงฝั่งฝันหรือเปล่าหนอเพื่อนเรา" ภวาวดีรู้สึกกลุ้มใจแทนเพื่อนสาว

"ฉันตั้งเป้าไว้ก็ต้องสู้สุดใจขาดดิ้น อีกอย่างขืนชวดเนื้อคู่ก็ขึ้นคานอย่างถาวรแหง"

"เป็นเนื้อคู่ใครไม่เป็น ดันเป็นเนื้อคู่กับโจน่า พยายามเข้าล่ะซัน" ชายหนุ่มบอกขรึมๆอย่างรู้สึกเห็นใจหล่อน

สณาจิณห์แทบนอนเอาเท้าก่ายหน้าผาก…ถ้าหล่อนทำได้ จากการพยากรณ์ให้ตัวเอง ผลที่ปรากฏไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าใดนัก ตำแหน่งทั้งสิบมีไพ่ที่ให้ผลทางร้ายเกินกว่าครึ่ง อาทิ The Tower , The Moon , Three of Swords , Five of Swords , Five of Cups , Nine of Swords และ Ten of Swords ไพ่ดาบที่หมายถึงอุปสรรคและปัญหาต่างดาหน้ากันออกมาเสริมไพ่สามใบที่ชวนให้หวั่นใจเป็นทุนเดิมให้ยิ่งรู้สึกใจฝ่อห่อเหี่ยว ไพ่ที่ให้ผลทางดีพอให้ใจชื้นขึ้นบ้างมีอยู่น้อยใบ แม้คำพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตกาลจะบ่งบอกถึงชัยชนะในกำมือ กระนั้นหล่อนก็ยังรู้สึกเหมือนหัวใจหดลีบเล็กลงเพราะกว่าจะถึงวันที่รอคอย หล่อนคงกระอักเป็นเลือดพอดี ฟ้าช่างเล่นตลกอย่างร้ายเหลือ ลิขิตให้โจนาธานเป็นเนื้อคู่ของหล่อน ไยต้องลิขิตให้เขามีน้องชายอย่างเจอร์ราล์ดด้วย กับพวกผู้หญิงที่เป็นคู่แข่งไม่เท่าไร กับน้องชายของเขากลับสาหัสกว่าหลายเท่า

หญิงสาวนอนกระสับกระส่ายทั้งที่เครื่องปรับอากาศก็ทำงานเป็นปกติ ทว่าความที่คิดน้อยๆไม่ค่อยเป็นก็ทำให้หล่อนนึกวาดภาพสภาพการณ์ที่เลวร้ายไว้ในหัว ความร้อนรุ่มกลุ้มอุราของหล่อนเผื่อแผ่ไปถึงภวาวดีที่นอนเตียงใกล้ๆกันซึ่งรับรู้การพลิกตัวบ่อยครั้งของเพื่อนสนิทจนต้องออกปากอย่างติดจะรำคาญด้วยสุ้มเสียงเข้ม

"จะคิดเรื่องน้องชายคุณโจน่าทำไมให้เสียเวลาหลับเวลานอน รกสมองเปล่าๆ ถึงเวลาเจอตัวค่อยว่ากัน ถ้าเธอยังวิตกจริต มีหวังพรุ่งนี้ขอบตาคล้ำเพราะนอนไม่พอชัวร์ แถมจะพ่วงฉันด้วยอีกคน"

"จ้าๆ จะพยายามข่มตาหลับจ้า" เจ้าตัวบอกเสียงอ่อนอย่างเกรงอกเกรงใจ

กว่าหล่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์เวลาก็ล่วงเกือบครึ่งคืน…ในฝัน หล่อนยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่แสนจะเย็นเยียบ เหลียวมองรอบตัวก็ไม่เห็นใคร แล้วเงาดำที่ก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์และมีดวงตาของความชั่วร้ายระคนมุ่งร้ายหมายขวัญฉายชัดก็ปรากฏต่อหน้าหล่อน หล่อนรู้แน่แก่ใจว่าต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนโดยปราศจากความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันหล่อนก็สัมผัสถึงกระแสบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงที่แผ่กระจายมาจากเงาดำตรงหน้า เป็นกระแสจิตที่แข็งกล้าอย่างที่หล่อนรู้ตัวดีว่าตกเป็นรองหลายขุม หล่อนพยายามเพ่งมองฝ่าม่านเงาที่บดบังตัวบุคคล แต่ไร้ผล พร้อมกับฝ่ายตรงข้ามก็ขยับเคลื่อนมาหาด้วยท่าทีคุกคาม หล่อนก้าวเท้าไม่ออก ร่างกายเหมือนถูกตรึงให้อยู่กับที่ หล่อนอ้าปากและพยายามส่งเสียงร้อง แต่ไร้เสียงเล็ดลอดออกจากลำคอ มันเป็นแค่ความฝัน! หล่อนเรียกสติและเตือนตัวเอง ขอเพียงตื่นขึ้นทุกอย่างก็จะมลายหายไป!

เปลือกตาของร่างบางที่เหงื่อผุดซึมทั่วร่างเต้นน้อยๆ เงาดำในโลกแห่งความฝันยังคงเคลื่อนตัวเข้าใกล้หล่อนทุกขณะจิต สณาจิณห์ เธอต้องตื่น! ตัวตนในห้วงฝันของหล่อนข่มความกลัว ปากก็สวดมนต์ชินบัญชร ทว่าหล่อนหลับตา ยิ่งสวดมนต์ความรู้สึกอุ่นซ่านก็เริ่มแผ่ทั่วร่างและจิตใจก็ค่อยๆเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับก่อให้เกิดความสงบแห่งจิตที่แน่แน่ว ก่อนตัวตนในโลกแห่งความเป็นจริงจะค่อยๆลืมตาและหายใจผะแผ่ว ที่สุดหล่อนก็เรียกสติคืนกลับสู่ปัจจุบันกาลที่เป็นจริงสำเร็จ

ช่างเป็นฝันบอกเหตุที่ทำให้รู้สึกครั่นคร้ามต่อเงาดำที่หล่อนพานพบ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร หญิงสาวก็ตระหนักรู้ว่าตัวหล่อนยังอ่อนด้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามและจำต้องเพียรปฏิบัติอย่างยิ่งยวด

ช่วงเวลาเดียวกันใครบางคนก็รู้สึกตัวอยู่ในห้องที่ไร้แสงไฟและสิ่งที่จดจำได้คือความฝันประหลาด เขาเห็นหงส์ขาวตัวเมียมีรัศมีเรื่อเรืองล้อมกรอบโครงร่าง มันเป็นหงส์ที่สวยงามน่าจับต้องในความคิดของเขา หากเขาก็หยั่งรู้ถึงความเป็นศัตรู ความรู้สึกนี้ทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับนางหงส์ มันทำท่าจะหนี เขาก็เพ่งกระแสจิตสะกดไว้ ทว่าพอเขาเข้าใกล้ระยะประชิด พลันรัศมีเรื่อเรืองของหงส์ขาวก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้าบาดตาทำให้เขาต้องยอมถอยหนีพร้อมกับร่างของนางหงส์ที่อันตรธานอย่างไร้ล่องลอย ความฝันแฝงเร้นความนัยบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกตื่นตัวและกระหายใคร่รู้ว่าใครที่บังอาจคิดต่อกรกับเขา มันผู้นั้นย่อมเป็นบุคคลที่เขาต้องกำจัดให้สิ้นซาก!

วันใหม่มาเยือนหากสองสาวที่ปิดร้านเพียงวันอาทิตย์วันเดียวก็ยังต้องเปิดร้านตามปกติ และสณาจิณห์ก็ไม่คิดจะบอกเล่าความฝันให้เพื่อนสาวรับฟังด้วยเกรงจะสร้างความกังวลให้อีกฝ่าย เท่าที่ภวาวดีรับรู้ก็เพียงพอแล้ว หล่อนปั้นสีหน้าให้แลดูสดชื่นแจ่มใสทั้งที่มีความรู้สึกเร้นลึกเก็บซ่อนอยู่ภายในใจ

เนื่องจากเป็นวันหยุดโจนาธานจึงตื่นสายกว่าเคย เจอร์ราล์ดที่ตื่นเช้าเป็นวิสัยก็ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปลุกพี่ชายให้ตื่นนอนเพื่อทานอาหารที่ขึ้นโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย ทั้งอาของพวกเขาก็รออยู่

เด็กหนุ่มเคาะประตูห้องของพี่ชาย เสียงอู้อี้จากด้านในของคนที่งัวเงียและลืมตาตื่นอย่างยากเย็นก็ร้องเรียกขานเป็นเชิงถาม

"จิล"

"ครับ ผมเอง"

"ตอนนี้กี่โมง" สองมือเสยผมขณะศีรษะยังหนุนหมอน

คนที่อยู่ด้านนอกก้มลงดูนาฬิกาข้อมือชั้นเยี่ยมครู่หนึ่งก็ร้องบอก

"เก้าโมงสิบห้าครับ"

"คุณอามาหรือยัง"

"อยู่ข้างล่างครับ"

"จิลลงไปก่อน เดี๋ยวพี่ตามไป" ผุดลุกเกือบรวดเร็ว

ชายหนุ่มลงมาสมทบเป็นคนสุดท้าย เขาสวมใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ที่ทำให้ภาพลักษณ์ผิดแผกจากความเป็นนักธุรกิจอย่างสิ้นเชิง เฉพาะวันหยุดเขาเลือกที่จะสวมใส่เสื้อผ้าอยู่กับบ้านแบบสบายๆ เรือนผมเงางามถูกมัดรวบ โจนาธานสลัดคราบจนไม่หลงเหลือความเป็นผู้บริหารที่เคร่งขรึม เขากลายเป็นวัยรุ่นชายธรรมดาๆผู้อ่อนโยนคนหนึ่งเท่านั้น

"พี่ชายผมแต่งตัวแบบนี้อย่างกับน้องใหม่มหาวิทยาลัยแน่ะ" เจอร์ราล์ดเย้าแหย่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

"นายประเหลาะพี่ด้วยคำพูดเดิมๆไม่ได้ผลหรอกจิล" คนพูดเอ่ยก่อนลงมือทานอาหารในจานที่ประกอบด้วยไข่ดาวทอดสวยน่าทาน ไส้กรอก แฮม และขนมปัง พร้อมกับซอสที่คู่กัน

"ผมพูดจริงๆ" เน้นย้ำทั้งประโยคอย่างหนักแน่น

"พี่คงเชื่อนายกระมัง"

เด็กหนุ่มทำหน้าทะเล้นพลางทานต่อ

"โจน่า หลานอยู่บ้านล่ะลดอายุลงตั้งเยอะ ทีอยู่บริษัทจากอายุยี่สิบสามก็กลายเป็นสามสิบ" เอริคพูดสุ้มเสียงกลั้วหัวเราะ

"ก็งานทำให้ผมต้องซีเรียสนี่ครับ" เขาท้วง

"ขนาดวันหยุดทั้งทีพี่โจน่ายังหอบงานมาทำ" น้องชายค่อนแคะ

"พี่น่าจะให้คุณอาช่วยแบ่งเบางานสักหลายๆงาน" เขาพูดต่อ

"อาก็มีงานล้นมือ ส่วนของโจน่าก็เป็นหน้าที่ของโจน่า จะให้อาช่วยได้ยังไง" เอริคออกตัว

"ใช่ คุณอาก็งานยุ่ง พี่จะทำอย่างที่นายบอกก็เท่ากับเพิ่มภาระให้ พี่สมควรทำเหรอจิล" โจนาธานติงเสียงเรียบเรื่อย

"ผมแค่อยากเห็นพี่ทำงานสบายๆ" เจอร์ราล์ดบอกเสียงแผ่วเบาและปล่อยมือจากส้อมและมีดที่ถือค้าง

"พี่เข้าใจและขอบใจที่นายเป็นห่วง"

"ถ้าผมเหมือนคนอื่นๆ เมื่อถึงเวลาผมคงช่วยงานพี่ได้" สีหน้าสลดและน้ำเสียงของคนพูดทำให้พี่ชายและอาผู้นั่งร่วมโต๊ะพลอยรู้สึกหมองเศร้า

"จิล พี่ไม่เคยคิดจะใส่ใจหรือรู้สึกอับอายที่มีน้องชายไม่เหมือนใครเขา เพราะเรามีสายเลือดเดียวกัน และพี่ก็ยินดีจะดูแลนายตลอดชีวิต ถ้าไม่ติดตรงที่พี่รับปากกับคุณพ่อ พี่ก็อยากให้นายเห็นโลกภายนอกแทนที่จะเก็บนายไว้บนหอคอยงาช้างแถมลั่นดาลหลายชั้น พี่คิดว่าไม่ว่านายจะเป็นยังไง นายก็ช่วยพี่ได้เพราะนายหัวดีเรียนรู้ไว รับรองบริษัทที่เราช่วยกันบริหารต้องยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับพี่รักนาย"

น้องชายน้ำตาซึมและมองพี่ชายอย่างรักใคร่ เอริคก็ให้รู้สึกชื่นชมความเป็นพี่ของหลานชายคนโต

"อย่ามัวแต่ซาบซึ้ง อาหารจะเย็นชืดหมด" อาของหลานๆเอ่ยทำลายความเงียบที่อวลด้วยความรักความอบอุ่นระหว่างพี่น้องด้วยรอยยิ้มละมุน

"ครับ" หลานชายต่างวัยรับคำอย่างพร้อมเพรียง

ช่วงสายเอริคที่นัดพบเพื่อนฝูงก็ออกบ้านโดยปล่อยให้สองพี่น้องดูภาพยนตร์จากแผ่นซีดีอยู่ด้วยกัน โดยมากโจนาธานจะเลือกซื้อแต่ภาพยนตร์ที่น้องชายชอบซึ่งเป็นประเภทบู๊ดุเดือดตามล้างตามผลาญชีวิตกันเป็นว่าเล่น และแนวเขย่าขวัญสั่นประสาทชวนให้หวาดผวา อาจเป็นเพราะเจอร์ราล์ดติดจะเก็บกดและก้าวร้าวรุนแรงจึงชอบภาพยนตร์ประเภทนี้ พอดูจบเขาก็จะชี้แนะให้น้องชายรู้จักคิดว่าการกระทำใดสมควร หรือถูกต้องดีงามให้ยึดถือปฏิบัติ การกระทำใดเป็นเรื่องที่ผิดให้หลีกเลี่ยง คนฟังก็ยอมรับฟังโดยดี แต่สีหน้าที่เรียบเฉยบ่งบอกว่าเจ้าตัวรับฟังอย่างเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา จะจดจำหรือซึมซับก็เปล่า ชายหนุ่มสังเกตจากพฤติกรรมของเจอร์ราล์ดก็พอจะทราบ จบรายการภาพยนตร์ที่ใช้เวลาสองชั่วโมงเต็ม เขาก็เล่นเกมแข่งขันกับน้องชายและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป

"พี่แพ้อีกละ" โจนาธานพูดยิ้มๆ

"ผมจะสอนพี่เล่นเกมบ้างเอาไหมครับ" เจอร์ราล์ดเสนอตัว

คนฟังเพียงหัวเราะ ทว่าไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด

"อย่างนี้ทุกที ผมจะสอนพี่ทีไร พี่ก็เล่นไม้นี้" คนพูดแสร้งปั้นหน้าบึ้งตึง

"จิล พี่เล่นเกมคลายเครียด ไม่ได้เล่นเอาเป็นเอาตาย จะแพ้หรือชนะพี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ นายก็อย่าจริงจังกับเกมนักล่ะ"

"พี่โจน่าจริงจังกับเกมธุรกิจมากกว่าใช่ไหมครับ" เจอร์ราล์ดย่นจมูกน้อยๆให้แลดูน่ารักสมวัย

"ก็ธุรกิจหมายถึงความอยู่รอดของเราและพนักงานอีกหลายชีวิต และพี่ก็ดำเนินธุรกิจแบบไม่ทำร้ายใคร"

"ถึงขนาดนั้นก็ยังมีคนเกลียดพี่"

"ช่างเขา พี่ไม่เคยบีบให้ใครจนมุม พี่เปิดทางให้เขาเสมอ เพราะคนที่จนตรอกย่อมทำได้ทุกอย่าง" และมันเป็นเรื่องจริงที่วงการธุรกิจบางประเภทถึงกับแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายและถึงขนาดที่ต้องเอาชีวิตกันและกัน

"คุณอาเคยบอกผมว่าความคิดของพี่เหมือนคุณแม่" น้องชายพูดเป็นเชิงถาม

"คุณแม่ของเราเป็นผู้หญิงที่ดีพร้อมและมีจิตใจที่ดีงาม"

"เสียดายที่พอผมเกิด ท่านก็ตาย" สุ้มเสียงแผ่วหวิวเอ่ยราวปรารภ ดวงตาสีฟ้าแลดูหมองหม่น

"พี่เชื่อว่าคุณแม่ไม่เคยนึกโทษนาย" โจนาธานปลอบใจน้องชาย

"ผมก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นตัวต้นเหตุให้คุณพ่อกับพี่ต้องสูญเสียคุณแม่"

"จิล ไม่ใช่ความผิดของนาย" พี่ชายประกาศอย่างชัดเจน

"คุณพ่อคิดต่างจากพี่"

"มันผ่านไปนานแล้ว นายก็อย่าคิดมากอีกเลย พี่ขอยืนยันว่าที่คุณแม่ตายไม่เกี่ยวกับนายสักนิด" โจนาธานใช้มือข้างหนึ่งโอบไหล่ของน้องชายและมือใหญ่ก็บีบหัวไหล่ของฝ่ายหลังอย่างต้องการจะปลอบโยน

"ครับพี่"

"มื้อกลางวันเราโทร.สั่งพิซซ่าดีไหม" เขาถามอย่างเสเปลี่ยนเรื่อง

"ดีครับ" เจอร์ราล์ดคล้อยตามอย่างง่ายดาย

กิจกรรมยามบ่ายของสองพี่น้องมีโปรแกรมชมภาพยนตร์ต่ออีกหนึ่งเรื่อง ตอนบ่ายแก่ๆก็เป็นเวลาทานของว่าง ช่วงเย็นถึงค่ำทานอาหารและดูรายการโทรทัศน์ของสถานีตามลำดับ สี่ทุ่มตรงเป็นเวลาอาบน้ำและต่างคนต่างพักผ่อน สำหรับเด็กหนุ่ม คุณแม่บ้านจะทำหน้าที่ชำระล้างร่างกายและแต่งตัวให้ก่อนเข้านอนโดยมีผู้ช่วยเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หนึ่งคน

วันอาทิตย์กิจกรรมของสองพี่น้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเฉพาะตอนสายของวันที่โจนาธานจะขลุกอยู่ในห้องทำงานจนถึงเที่ยงวัน น้องชายจะพบเจอตัวเขาอีกครั้งก็ตอนร่วมโต๊ะอาหาร

หากกิจกรรมของสณาจิณห์กับเพื่อนสนิทคือการเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้าซึ่งไม่ใช่สถานที่ตั้งของร้านอาหารเรือนทิพย์โดยมีธัชรัตน์พงศ์ทำหน้าที่หอบหิ้วข้าวของของคนรัก บางครั้งก็ชมภาพยนตร์ชนโรง มีบ้างที่สารถีหนุ่มจะพาสองสาวออกเที่ยวต่างจังหวัดที่ระยะทางใกล้กับเมืองหลวงชนิดที่มีเวลาไป-กลับภายในวันเดียว ถ้าพวกผู้หญิงไม่อยากออกไปไหนชายหนุ่มก็ต้องเป็นฝ่ายไปหาถึงที่พักและประกอบอาหารทานกันเอง แต่วันอาทิตย์อย่างนี้สาวๆเลือกกิจกรรมเดินซื้อของ พวกหล่อนจึงได้ยินเสียงทุ้มที่บ่นอุบอยู่เบื้องหลังดังขึ้นถี่ๆ และโอดครวญอย่างวอนขอให้พวกหล่อนหยุดนั่งพักบ้าง บางทีเขาก็หาข้ออ้างเพื่อให้ได้หยุดหายใจหายคอ

"เอ่อ ผมชักคอแห้ง"

สองสาวหันขวับมองเขาด้วยดวงตาวาวๆทำให้เป้าสายตากลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ

"ผมอยากดื่มน้ำ" เขาบอกไม่เต็มเสียง

"อะไรกัน เพิ่งจะซื้อของแค่ไม่กี่ร้านเอง ฉันกับวดีเป็นผู้หญิงยังอึดกว่า" 'แม่หมอ' ยืดอกพูดอย่างกระทบอีกฝ่าย

"ซันหิ้วของเหมือนโก้ วดีต่างหากที่สบายเนื้อสบายตัว โก้เป็นผู้ชายจะยอมแพ้ซันเหรอ" ภวาวดีเข้าข้างเพื่อนสาว

"โธ่ วดี ผมไหว้ล่ะ"

"ไหว้วดีทำไมคะ วดีเป็นคู่หมั้นไม่ใช่แม่" หล่อนเอ่ยอย่างตีรวน

"วดีเป็นแม่…แม่คุณแม่ทูนหัวของผม วดีจ๋าผมอยากพักจริงๆครับ" ธัชรัตน์พงศ์ใช้ลูกอ้อน

"แหวะ เลี่ยน" สณาจิณห์แขวะตรงๆ

คนฟังอีกคนกลับหัวเราะเบาๆอย่างขบขันระคนเขินอาย

"วดีอนุญาตค่ะ" ภวาวดีอมยิ้ม

"วดี!" คนเป็นเพื่อนเรียกเสียงเข้ม

"น่า ซัน ปล่อยๆเขามั่ง เดี๋ยวเส้นเลือดที่ขาของเขาขอด เขาจะโทษเราสองคน"

สณาจิณห์เบ้ปากและแสร้งเหลือบมองคู่หมั้นของเพื่อนสนิทด้วยหางตา

"แทนที่จะห่วงขาของเราๆผู้หญิง เธอกลับห่วงขาของโก้ หึ ขาเขาจะเป็นไงก็ช่างสิ ใช่ขาเขาจะเรียวสวยเหมือนเรานี่" หล่อนบอกอย่างคนแล้งน้ำใจ

"รู้สึกเธอจะมีน้ำใจกับเพื่อนกับฝูงเหลือเกิน" ชายหนุ่มพูดประชด

"มีน้ำใจน่ะฉันมีย่ะ กับคนบางคน คนอย่างนายล่อลวงเพื่อนรักของฉันให้หลงผิดยังไม่พอ ยังจะทำสำออยอีก แค่ถือของให้วดีกับเดินตามเราสองคนแค่เนี้ยทำกระบิดกระบวน"

"โจน่าคงชอบผู้หญิงปากจัด แล้งน้ำใจอยู่หรอก เอ ถ้าเขารู้ว่าแม่หมอเป็นคนยังไง เขาจะว่าไงน้อ" เขาใช้ไม้ตายกับเพื่อนสนิทของคนรัก

"หน็อย ขู่กันหรือยะ"

"เปล๊า" คนตอบยักไหล่

"นายอยากพัก ฉันก็ยินดีสนอง แต่นายต้องเลี้ยงไอศกรีม ตกลงไหม" หล่อนกระแทกเสียงด้วยความรู้สึกขัดใจอย่างจนแต้ม

"ตกลงครับผม เชิญสุภาพสตรีตรงไปที่ร้านสเวนเซนส์ครับ" เขาตอบอย่างล้อเลียนด้วยความสมใจ


Create Date : 16 มิถุนายน 2550
Last Update : 16 มิถุนายน 2550 12:55:45 น. 0 comments
Counter : 323 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.