Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 
25 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 

ตอนที่๑๕

ตอนที่๑๕
หลังอาหารมื้อเที่ยงธัชรัตน์พงศ์ก็รับหน้าที่สารถีจำเป็นให้เพื่อนสาวของคนรัก พอรปภ.เห็นหน้าค่าหน้าตาของคนขับที่ชะโงกหน้าที่คุ้นตาให้เห็น เขาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับเข้าป้อมยามและกดปุ่มเปิดประตูให้ผู้มาเยือน

รถยนต์จอดนิ่งสนิทที่หน้าตึกใหญ่ คนสองคนก็ลงจากรถ และแม่บ้านเป็นผู้ต้อนรับผู้มาเยือนตามคำสั่งของโจนาธาน หล่อนเดินนำคนทั้งสองไปยังห้องรับแขกที่มีผู้รอคอย

ธัชรัตน์พงศ์กับสณาจิณห์ยกมือไหว้เอริคที่ยิ้มน้อยๆให้พวกเขา แลเลยยังชายหนุ่มลูกครึ่ง พวกเขาก็ยิ้มให้แทนคำทักทาย ส่วนเด็กหนุ่มที่นั่งล้อเข็นเพียงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาจับจ้องหญิงสาวที่ทรุดตัวลงนั่งโซฟาเดี่ยวอย่างพินิจพิเคราะห์พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนมีกระแสบางอย่างที่บางเบาแผ่ออกจากตัวของหล่อนแล้วกระทบกับสัมผัสของเขาอย่างแรงทำให้เขาย่นหน้าผากน้อยๆ หล่อนมีความพิเศษนอกเหนือจากสัมผัสที่ต้องใช้ควบคู่กับการประกอบอาชีพ…เขามั่นใจ และหล่อนต้องเป็นผู้หญิงคนใหม่ที่ชอบพี่ชายของเขาอย่างแน่นอนเพราะดวงตาของหล่อนเป็นประกายยามมองพี่ชาย ทั้งมีความมุ่งหวังฉายชัดบนใบหน้า

เป้าสายตามองเจอร์ราล์ดด้วยสายตาชื่นชมกับรูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่ม ใบหน้าสวยราวเทวดายุโรป แต่มีบางสิ่งซ่อนเร้นในดวงตาคมกล้าที่อ่านยากคู่นั้นและสัมผัสของหล่อนก็จับกระแสที่แตกต่างจากตัวหล่อนได้ เป็นกระแสอ่อนๆจากเด็กหนุ่ม หล่อนรับรู้ว่าน้องชายของโจนาธานต้องมีสัมผัสพิเศษเหมือนหล่อน ร่างบางจึงยิ้มให้ฝ่ายหลังอย่างเป็นมิตรและริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

"คุณซันที่เป็นพนักงานคนใหม่ของพี่ เธอจะมาเป็นเพื่อนนายบางเวลา" พี่ชายแนะนำง่ายๆอย่างปกปิดเหตุผลที่แท้จริงขณะที่แม่บ้านนำแก้วน้ำมาวางตรงหน้าผู้มาเยือนก่อนออกจากห้องรับแขก

คนฟังรู้เท่าทัน เขาหัวเราะน้อยๆ

"พูดตรงๆว่าพี่ซันจะมาเป็นพี่เลี้ยงให้ผมและช่วยเรื่องความประพฤติของผมใช่ไหมครับ" เขาถามหญิงสาวตรงๆ

สณาจิณห์ออกอาการกระอึกกระอักร้อนถึงคนรักของเพื่อนสนิทที่ต้องช่วยพูดอย่างเฉไฉ

"จิล นายมีเพื่อนเพิ่มก็ดีออก"

"นั่นสิ" เอริคสนับสนุน

"ผมก็ว่าดีครับ" เด็กหนุ่มยิ้มมุมปาก ดวงตาวาวๆของเขาทำให้บรรดาผู้มีวัยมากกว่าต่างรู้สึกไม่สบายใจแม้แต่น้อย

"พี่โจน่า พี่ซันจะอยู่เป็นเพื่อนผมตอนไหนบ้างครับ" เขาถามต่อ

"หลังเลิกงานกับวันเสาร์อาทิตย์ช่วงที่พี่เขาว่าง"

"ว้า น้อยจัง" เจอร์ราล์ดพูดเหมือนเสียดายด้วยสีหน้าที่สมจริง

"พี่ซันต้องทำงานที่บริษัทและงานส่วนตัว" ธัชรัตน์พงศ์อธิบาย

"งานส่วนตัว อ้อ พี่ซันเป็นหมอดูที่มีสัมผัส" เด็กหนุ่มพูดสุ้มเสียงกลั้วหัวเราะ

"น้องจิลก็มีใช่ไหมคะ" ปากถาม ดวงตาจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย

ฝ่ายหลังยิ้มละไม

"พี่ซันคิดว่าไงครับ" คำถามท้าทาย เขาสบตาหล่อนตรงๆ

"น้องจิลต้องมีสัมผัสแน่ค่ะ" หล่อนบอกด้วยความเชื่อมั่น

"คุณรู้หรือ" เอริคหลุดปากถาม

"รู้ค่ะ" หล่อนยอมรับหน้าตาเฉย

"โจน่า นายไม่เคยบอกฉันนี่หว่า" ธัชรัตน์พงศ์หันไปคาดคั้นเพื่อนสนิท

"ของแบบนี้มีใครเขาอยากป่าวประกาศล่ะโก้" คนตอบทำหน้าเมื่อย

"คนมีสัมผัสเหมือนกันดูกันออกครับ" เจอร์ราล์ดบอกเสียงเรียบเรื่อย

หญิงสาวอยากจะถามเรื่องบางเรื่อง เพราะเอริคกับหลานชายคนโตกำชับหล่อนนักหนาในเรื่องที่ห้ามพูดถึงเกี่ยวกับคนที่คิดร้ายพี่ชายของเด็กหนุ่ม หล่อนก็จำต้องข่มใจไม่ให้ตนพลั้งเผลอ และการที่อีกฝ่ายมีความเหมือนหล่อนในบางแง่ก็ทำให้หล่อนคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาจช่วยให้หล่อนกับเด็กหนุ่มเข้ากันได้อย่างที่หล่อนประสงค์

"พี่ค่อยสบายใจ" โจนาธานเปิดยิ้มกว้าง

"อาต้องขอตัว พอดีนัดกับเพื่อนๆกะจะไปตีกอล์ฟ" เอริคพูดพลางลุกยืน

ธัชรัตน์พงศ์จะอยู่เป็นเพื่อนสณาจิณห์อีกสักพักเพราะคนรักของเขากำชับให้เขาอยู่ดูแลเพื่อนสนิทเผื่อสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างเพื่อนสนิทกับเด็กหนุ่มไม่น่าไว้วางใจ อย่างน้อยสณาจิณห์ก็ยังมีคนช่วย ทั้งนี้ก็เพราะความห่วงใยนั่นเอง

โจนาธานตั้งใจอยู่กับหญิงสาวและน้องชายเพราะเกรงเจอร์ราล์ดจะแผลงฤทธิ์เดชเล่นงานหล่อน อย่างไรเขาอยู่ด้วยหล่อนก็ย่อมจะปลอดภัย

"เราย้ายไปห้องนั่งเล่นดีกว่าครับพี่โจน่า"

ชายหนุ่มลูกครึ่งเปิดภาพยนตร์เรื่องใหม่ให้ทุกคนดู เพื่อนสนิทของเขาตั้งหน้าตั้งตาจับจ้องภาพที่ฉายผ่านจอโทรทัศน์ ตัวเขาดูภาพยนตร์ด้วยสีหน้าที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ เจอร์ราล์ดให้ความสนใจกับภาพยนตร์ไม่แพ้เพื่อนสนิทของพี่ชาย หากสณาจิณห์ลอบเบือนหน้ามองทางอื่นเป็นระยะเพราะแนวภาพยนตร์ค่อนข้างหนักและมีแต่ภาพของความรุนแรงอย่างที่หล่อนไม่ใคร่จะพิสมัยสักเท่าใด

ภาพที่ทำให้หญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีกลับตรึงสายตาของเด็กหนุ่มให้จับจ้องอย่างแน่วนิ่ง หล่อนแลเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งและเยือกเย็นของอีกฝ่าย แต่ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายแวววามชวนให้ขนลุกและสะดุดใจอย่างแรง หล่อนสรุปกับตนว่าเจอร์ราล์ดเป็นเด็กที่กระหายความรุนแรงอย่างยิ่ง

น้องชายของโจนาธานหันหน้ามองร่างบาง สายตาสองคู่ประสานกันโดยบังเอิญ เด็กหนุ่มยิ้มเย็น รอยยิ้มของเขาแลดูน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่ารอยยิ้มแบบเดียวกันที่เป็นของหล่อน หญิงสาวก็ให้รู้สึกสันหลังเย็นวาบ

"พี่ซันคงไม่ชอบหนังประเภทนี้" เขาเอ่ยถาม

คนถูกถามยังนิ่งงัน

"ซันชอบหนังรักโรแมนติค ประเภทนางเอกยอมสละชีวิตเพื่อช่วยพระเอก" ธัชรัตน์พงศ์เป็นฝ่ายตอบเสียงดังฟังชัด เขาเจตนาพูดให้เข้าหูพี่ชายของเด็กหนุ่ม

"นางเอกยอมสละชีวิตเพื่อช่วยพระเอกเชียวหรือครับ" เจอร์ราล์ดกลั้นยิ้มอย่างขบขัน

สณาจิณห์วางหน้าไม่ถูกเพราะน้ำเสียงของคนถามคิดเห็นว่าเรื่องที่พูดเป็นเรื่องตลก

"จิล" พี่ชายเรียกเสียงต่ำเป็นเชิงปราม

"ทำไมนางเอกต้องยุ่งกับเรื่องของพระเอกล่ะครับ" น้องชายยังพูดต่ออย่างแสร้งทำหูทวนลม

"ถ้าเรารักใครสักคน เราก็พร้อมจะสละชีวิตเพื่อเขาค่ะน้องจิล ไว้น้องจิลรักใครมากๆ น้องจิลก็จะรู้" หญิงสาวตัดสินใจตอบ

"ผมก็รักพี่ชายไงครับ" เขาหัวเราะในคำอย่างจงใจตีรวนหล่อน

"หมายถึงผู้หญิงต่างหาก" ธัชรัตน์พงศ์พูดเสียงหนักๆ เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับการเล่นเอาเถิดเจ้าล่อของเจอร์ราล์ด

"สภาพของผมเนี่ย อย่างงี้ ใครจะรักลงครับพี่โก้"

"ความรักอยู่ที่ใจค่ะน้องจิล บางทีฟ้าอาจประทานเนื้อคู่ให้"

"ก็แค่บางที" เด็กหนุ่มโต้ทันควัน

สณาจิณห์รู้สึกอ่อนใจกับความดื้อรั้นของเจอร์ราล์ด หล่อนมองหน้าโจนาธานอย่างขอคำปรึกษา เขาก็เอ่ยกับน้องชายอย่างเปลี่ยนเรื่อง

"พี่อุตส่าห์ฉายหนังให้นายดู ตกลงนายจะดูหรือเปล่า"

"ดูครับ" คนตอบทำหน้ามุ่ยเพราะรู้ว่าพี่ชายออกหน้าช่วยหญิงสาว

ภาพยนตร์จบเรื่องก็ย่างเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆ ธัชรัตน์พงศ์กลับไปรายงานเหตุการณ์ให้คนรักรับรู้ โจนาธานเข้าห้องทำงาน เขาปล่อยให้หญิงสาวอยู่กับน้องชายตามลำพัง

เจอร์ราล์ดชักชวนสณาจิณห์ให้ออกไปนั่งเล่นริมสระว่ายน้ำในร่มซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ติดกับตัวอาคารที่พักอาศัย คนถูกชวนก็ตอบรับโดยง่าย และเด็กหนุ่มยังสั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมของว่างสำหรับเขาและผู้มาเยือน พอคนทั้งสองไปถึงโต๊ะเหล็กฉลุลวดลาย พวกเขาก็เห็นของว่างหลายชนิดที่จัดแต่งใส่จานอย่างสวยงามพร้อมด้วยเครื่องดื่มพร้อมสรรพ คนรับใช้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มก็โบกมือเป็นเชิงไล่ คนถูกไล่ผุดลุกอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้เจอร์ราล์ดต้องขับไล่เป็นหนสอง

"ผมอยากอยู่กับพี่ซันสองคน เราจะได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกันสะดวกๆ"

สัญญาณเตือนภัยตามสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ทำให้หล่อนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

เด็กหนุ่มอ่านปฏิกิริยาของหล่อนออก เขาก็ถามอย่างชวนคุยในลักษณะของการเลียบเคียงสืบประวัติอีกฝ่ายระหว่างทานของว่าง

สณาจิณห์พยายามสอบถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาอย่างที่หล่อนต้องการทราบ ทว่าเขารู้เท่าทันและเฉไฉออกนอกเรื่องชนิดที่ยากจะเค้นข้อมูล

"พี่ซันทานน้อยจัง น่าจะทานเยอะๆ ขนมอร่อยๆทั้งนั้น"

"พี่กลัวจะทานข้าวเย็นไม่ลงค่ะ"

"นึกว่าพี่กลัวอ้วน สาวๆส่วนใหญ่มักจะระวังเรื่องอาหารการกินเพราะกลัวรูปร่างจะเสีย"

"น้องจิลพูดอย่างกับพวกผู้ใหญ่แน่ะค่ะ"

"ผมแค่พูดอย่างที่คิด" คนพูดยักไหล่

"แหม" หล่อนพูดแก้เก้อ

"ผมอิ่มละ" เขาวางช้อนในมือ

หญิงสาวเทน้ำผลไม้ใส่แก้วให้เขาอย่างเอาใจ

"เล่นเรือบังคับวิทยุนะครับ" พูดจบเขาก็ก้มลงเปิดกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างโต๊ะ

"รบกวนพี่ซันช่วยหยิบเรือไปวางในสระทีครับ" เขาพูดต่อพลางหยิบเฉพาะส่วนที่ใช้บังคับ

"ตรงโน้นแน่ะครับ" เขาชี้นิ้วไปที่ส่วน…น้ำลึก

ร่างบางยินดีทำตามคำขอของเขา หล่อนนั่งยองๆอยู่ขอบสระพร้อมกับปล่อยเรือพลาสติคเสมือนจริงบนผิวน้ำ เจอร์ราล์ดก็บังคับล้อเข็นตามหลังหล่อนในระยะกระชั้นอย่างเงียบกริบ และโดยที่หล่อนไม่ทันระวังตัว แรงกระทำที่ชนหล่อนจากด้านหลังอย่างมากด้วยกำลังก็ส่งให้หล่อนพลัดตกสระน้ำห่างจากขอบสระพอสมควร ร่างบางพยายามตะเกียกตะกายเพื่อลอยตัว แต่ไม่เป็นผลเพราะหล่อนว่ายน้ำไม่เป็น หนำซ้ำยังสำลักน้ำ พออ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ น้ำก็ทะลักเข้าปากเข้าจมูก หล่อนพยายามเอาชีวิตรอด หูที่ได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความสาแก่ใจของเด็กหนุ่ม ใจจึงประหวัดถึงคนที่หล่อนนึกภาวนาให้เขามาช่วย…โจนาธาน!

คนร่างสูงสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงเรียกที่ดังก้องอยู่ในโสตและเป็นเสียงเรียกของ 'แม่หมอ' เขารู้สึกใจหายวาบ มีบางสิ่งกระตุ้นให้เขาลุกยืนและถลันออกจากห้องทำงานอย่างฉับพลัน

ภาพที่ปรากฏแก่สายตายังความตกตะลึงให้แก่ชายหนุ่มลูกครึ่ง เขารีบกระโดดลงสระ มือใหญ่คว้าตัวสณาจิณห์และพาร่างที่อ่อนปวกเปียกว่ายเข้าสู่ส่วนที่ตื้นที่สุด ปากก็ตะโกนบอกน้องชายให้ตามคนรับใช้มาช่วย

ร่างบางนอนแน่นิ่งอยู่ข้างสระว่ายน้ำ โจนาธานก็ช่วยเหลือคนจมน้ำอย่างหล่อนตามวิธีการที่เขารู้

"พี่ต้องผายปอดพี่ซันหรือเปล่าครับ" เจอร์ราล์ดที่เฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยติดจะเย็นชาอยู่เป็นนานก็เอ่ยถาม
พี่ชายพยักหน้าแทนคำตอบ เขาสั่งคนรับใช้ชายให้ถ่ายทอดคำสั่งต่อให้แม่บ้านเตรียมดูแลหญิงสาว ตัวเขาก็จัดการผายปอดให้คนที่ยังไม่ได้สติ น้องชายมีสีหน้าดุดันอย่างที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็น ชั่วครู่ร่างที่เปียกปอนก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เจอร์ราล์ดปรับเปลี่ยนสีหน้าทันที

อาการของหล่อนดีขึ้นและรับรู้ทุกเรื่องราว หล่อนก็มองหน้าเด็กหนุ่มที่ตีหน้าตื่นกลัวอย่างแนบเนียน

"คุณต้องอาบน้ำและใส่ชุดที่แห้ง ผมจะให้แม่บ้านช่วยดูแลคุณ"

"ขอบคุณค่ะ"

พักใหญ่สณาจิณห์ก็พร้อมจะให้ชายหนุ่มลูกครึ่งที่สวมชุดใหม่ซักถามเหตุการณ์ที่เกิด น้องชายของเขานั่งเงียบอย่างครุ่นคิด

"ช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟังอย่างละเอียด" ชายหนุ่มลูกครึ่งบอกหล่อน

หญิงสาวบอกเล่าโดยละเว้นเรื่องแรงผลักกับข้อสงสัยในตัวเจอร์ราล์ด พอสิ้นเสียงบอกเล่าของหญิงสาว โจนาธานก็หันไปถามน้องชาย

"จิล เป็นอย่างที่คุณซันเล่าหรือเปล่า"

"ครับ"

"คุณว่าเพราะพื้นลื่นคุณถึงตกน้ำ"

"ค่ะ พื้นลื่นจริงๆ และซันก็กะเอื้อมมือวางเรือไกลไป"

คนฟังมองหน้าน้องชายด้วยความคลางแคลงใจ

"พี่โจน่าคิดว่าผมแกล้งพี่ซัน" เขาพูดเป็นเชิงถาม

พี่ชายไม่ปริปากว่ากระไร

"เพราะซันไม่ระวังเองค่ะ" หล่อนออกรับ

"ไม่เกี่ยวกับจิลจริงๆนะครับ" คนร่างสูงย้ำถาม

"ค่ะ ไม่เกี่ยวกับน้องจิล"

"จิล" เขาเรียกขานนามของน้องชาย

"ครับพี่"

"ถ้าพี่รู้ว่ามีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนาย พี่จะชำระโทษกับนายเข้าใจไหม"

"เข้าใจครับ" คนตอบทำหน้าสลด

"คุณซันบอกโก้ให้มารับกี่โมงครับ" โจนาธานถามอย่างเปลี่ยนเรื่อง

"กลับตอนไหนค่อยโทร.บอกค่ะ"

"คุณโทร.บอกยกเลิกกับโก้เถอะครับ ผมจะไปส่ง"

"แต่ว่า…" หล่อนอ้าปากจะปฏิเสธ เขาก็ชิงพูด

"เกิดเรื่องกับคุณในบ้านของผม ผมต้องรับผิดชอบครับ"

"ซันอยากกลับละค่ะ ขอบอกโก้แป๊บนึงนะคะ"

"ตามสบายครับ"

ชายหนุ่มลูกครึ่งที่ขับรถยนต์อย่างหมกมุ่นอยู่กับความคิดอย่างหนึ่งอยู่พักใหญ่ เขามีเรื่องที่รู้สึกติดใจระคนแปลกใจจนต้องเอ่ยถามร่างบาง

"ผมอยากถามอะไรคุณสักเรื่อง"

"ซันยินดีตอบค่ะ" ปากพูด ใจกลับนึกภาวนาให้เขาถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ร้ายที่หล่อนเพิ่งประสบ

"ตอนที่ผมกำลังทำงาน ผมได้ยินเสียงคุณร้องเรียก และทำให้ผมต้องวิ่งไปดูคุณ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง"

คนฟังนิ่งคิดตริตรองว่าจะอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างไร ที่สุดหล่อนก็บอกว่า

"ซันคิดหาคนช่วยและก็คิดถึงคุณ คนที่จดจ่ออยู่กับงานย่อมมีสมาธิแบบชั่วครั้งชั่วคราวทำให้คุณได้ยินเสียงของซันค่ะ"

"เรื่องแบบนี้มีด้วยเหรอครับ" สีหน้าประหลาดใจเป็นล้นพ้น

"มีค่ะ แบบว่าซันส่งสัญญาณออกไป และเครื่องรับของคุณก็รับสัญญาณจากซันได้"

เขารับฟังอย่างพยายามทำความเข้าใจ สณาจิณห์ก็เข้าใจความคิดของคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องทำนองนี้เช่นกัน และในเมื่อเขาเงียบเสียง หล่อนก็จงใจปล่อยให้ความเงียบนั้นคงอยู่ต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงเจอร์ราล์ด

ภวาวดีซักถามคนเป็นเพื่อนอย่างห่วงใยและหล่อนกับคนรักก็รับรู้เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับสณาจิณห์ ความปริวิตกก็ก่อเกิดกับคนทั้งคู่

"ทำไมซันไม่บอกคุณโจน่าว่าเป็นฝีมือของน้องชายเขา" เพื่อนสาวรู้สึกโกรธแทน

"มีหลักฐานที่ไหน แถมตอนนั้นมีแค่ฉันกับน้องจิล อีกอย่างฉันก็ไม่อยากปรักปรำเขาเพราะนิสัยของเขาเป็นอย่างนั้น"

"หนนี้จิลเล่นแรงแฮะ" ธัชรัตน์พงศ์เอ่ย

"ใช่เรื่องเล่นเหรอโก้ ถ้าซันเป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่ต่างจากการฆาตกรรม" ภวาวดีแย้งเสียงเครียด

"ฟังน่ากลัวจังครับวดี" เขาทำท่าสยองขวัญประกอบคำพูด

หญิงสาวก็ถลึงตาใส่

"คงเป็นการต้อนรับที่น้องจิลทำกับผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้พี่ชายกระมัง" เจ้าตัวพูดขรึมๆ

"รู้สึกจะต้อนรับเธอหนักกว่าคนอื่นๆ" ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวเอ่ยอย่างติดจะชวนหัว

"คราวนี้ประมาท คราวหน้าระวังตัวก็ไม่สาย"

"ฉันชักไม่เห็นด้วยกับการที่เธอชอบคุณโจน่า" ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าของภวาวดี

"เปลี่ยนใจยังทันนาซัน" คนรักของเพื่อนสนิทบอกเสียงเรียบเรื่อย

"ช้าไปต๋อย"

"ไว้เธอเจอพี่มาร์ค เธอจะต้องกลืนน้ำลายตัวเอง" เขาบอกอย่างเชื่อมั่น

"ยากย่ะนายโก้"

"ให้เธอทำใจแข็ง พอเห็นหน้าพี่มาร์ค ขี้คร้านเธอจะพร่ำเรียกชื่อเขา มาร์คคะ มาร์คขา สุดหล่อของฉัน" คนพูดบีบเสียงเลียนแบบจริตอิสตรี

"เสียงนายทำให้ฉันอยากเข้าห้องน้ำ"

ภวาวดีเพียงหัวเราะเบาๆ

เอริคที่กลับเข้าบ้านในตอนเย็นก็ทราบเรื่องที่เกิดกับสณาจิณห์ เขารู้สึกสงสัยเจอร์ราล์ด แต่ขาดทั้งพยานทั้งหลักฐาน ครั้นเขาบอกกล่าวความคิดเห็นส่วนตัวให้หลานชายคนโตรับรู้ โจนาธานที่รักน้องก็คงต้องหาเหตุผลสักอย่างเพื่อปกป้องน้องชาย การณ์ก็จะกลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างที่ 'แม่หมอ' พูด สู้เขาเงียบเฉยและคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆจะดีกว่า

"พรุ่งนี้ถ้าพี่ซันว่างก็จะมาอีก นายต้องทำตัวดีๆ" พี่ชายกำชับ

"แค่รับรู้ แต่ไม่ทำ" เอริคดักคอก่อนที่หลานชายคนเล็กจะทันตอบ

"คุณอามองผมในแง่ร้าย ไม่ยุติธรรม" เขาฟ้องพี่ชาย

"ก็พฤติกรรมของเธอแต่ละอย่างชวนให้ใครๆไว้ใจเสียเหลือเกิน" ผู้มีวัยมากกว่าเอ่ยตัดหน้าหลานชายคนโต

เจอร์ราล์ดเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง ทว่าดวงตาฉายแววกร้าว อาของเขาปกป้องยัยหมอดู ก็คอยดูกันไปว่าจะปกป้องสักกี่น้ำ อย่างไรเขาก็จะเล่นงานยัยคนนั้นให้ลี้หนีห่างจากพี่ชายของเขาเหมือนกับผู้หญิงหลายคนที่เขาเคยตีแตกมานักต่อนัก เขานึกคิดอย่างหมายมาด

ร่างของ 'แม่หมอ' ที่ไร้แรงต้านทานถูกดูดให้จมดิ่งสู่ใจกลางของกระแสน้ำวน ที่ระดับน้ำลึกซึ่งมืดมิด หล่อนมองเห็นเงาดำที่รอคอยตัวหล่อนอย่างกระหายชีวิต ดวงตาสีเลือดเปล่งแสงเรื่อเรือง ริมฝีปากเปิดรอยยิ้มเยาะหยัน เงาดำขยายขนาดใหญ่ขึ้น ทุกทีทำให้หล่อนรู้สึกหวาดกลัวจับใจ แต่หล่อนข่มใจเพื่อตั้งสติและสวดมนต์ พลันร่างของหล่อนก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีขาวที่เพิ่มความจัดจ้าแข่งกับความมืดจากเงาดำที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง ร่างของหล่อนค่อยๆลอยขึ้นจนอยู่เหนือผิวน้ำและเงาดำก็ไม่อาจกลืนกินตัวหล่อน ยิ่งมันพยายามแตะต้องหล่อน แสงสว่างที่ห่อหุ้มกายก็ยิ่งนำพาตัวหล่อนให้ถอยห่าง ดูเหมือนเงาดำมีขีดจำกัด มันหยุดขยายตัวและนิ่งดูหล่อนที่อยู่ไกลออกไป เมื่อสณาจิณห์ลืมตาตื่นก็เป็นเช้าวันใหม่และเป็นวันที่หล่อนมีลูกค้าหลายรายมาหาถึงที่พักตั้งแต่เช้า หล่อนคาดเดาก็รู้ว่าคงยุ่งทั้งวันทำให้ต้องตัดสินใจติดต่อบอกเลิกนัดกับทางโจนาธาน หล่อนมั่นใจว่าตนคิดถูกที่ว่าน้องชายของเขาต้องดีใจสุดขีดที่ไม่ต้องทนอยู่กับหล่อน

ภวาวดีรู้สึกสบายใจที่คนเป็นเพื่อนไม่ต้องเสี่ยงพบเจอกับเจอร์ราล์ด ถ้าเป็นไปได้หล่อนก็อยากให้ลูกค้ามาใช้บริการพยากรณ์จาก 'แม่หมอ' ชนิดที่เจ้าตัวไม่มีเวลาว่างจะออกไปที่ไหนในทุกวันหยุดราชการและหลังเลิกงานด้วยเกรงน้องชายของชายหนุ่มลูกครึ่งจะเล่นงานเพื่อนสนิทของหล่อนอย่างหนักข้อ คนที่กังวลอยู่ข้างหลังอย่างหล่อนก็ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนที่เห็นเพื่อนทนทุกข์กับความปรารถนาของอีกฝ่าย เพื่อความสบายใจหล่อนจึงมอบหมายให้คนรักพูดคุยกับโจนาธาน แต่เขารายงานหล่อนว่าเพื่อนสนิทคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าช่วยระวังเหตุที่อาจจะเกิดในอนาคตเพราะเขาไม่ได้อยู่กับน้องชายตลอดเวลา และฝากคำเตือนถึงสณาจิณห์ให้คอยจับทางน้องชายของเขาให้ดี

วิลเลี่ยมส์กับภรรยารอคอยการมาถึงของใครบางคนอยู่ภายในตัวตึกของท่าอากาศยาน คนทั้งสองช่วยกันสอดส่ายสายตามองหาคนที่พวกเขามารับ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาเทียบชั้นดาราฮอลลีวู้ดและรูปร่างสูงโปร่งที่เดินปะปนกับผู้โดยสารคนอื่นๆก็เป็นฝ่ายโบกมือให้พวกเขาแลเห็น สองสามีภรรยายิ้มกว้างด้วยความยินดี หญิงสาวหลายคนที่มองเห็นเขาต่างจดจ้องด้วยความสนใจเพศตรงข้ามผู้มีรูปงาม

"กลับมาคราวนี้จะอยู่เลยหรือว่าหยุดพักชั่วคราว" วิลเลี่ยมส์ถามชายหนุ่ม

"ขอคิดดูก่อนครับ"

"แม่อยากให้ลูกอยู่เลยมากกว่าทิ้งให้พ่อกับแม่อยู่กันสองคน" ซูซานเกลี้ยกล่อมบุตรชาย

"ไว้เราค่อยคุยกันอีกทีดีกว่าครับ ผมอยากกลับไปพักผ่อนที่บ้านเต็มที" มาร์คัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยเนิบ เขารู้สึกอิดโรยและเบื่อหน่ายกับการพูดซ้ำซากเกี่ยวกับเรื่องที่ยากจะหาข้อยุติ

"ตกลงมาร์ค" ผู้เป็นบิดาบอกง่ายๆ

มาร์คัสเรียนจบปริญญาตรีสาขาบริหารจากมหาวิทยาลัยอังกฤษ หลังจากรับปริญญาเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะใช้ชีวิตออกท่องเที่ยวจนกว่าจะรู้สึกเบื่อค่อยปักหลักทำการทำงาน บัดนี้ก็ยังไม่มีสิ่งเร้าใดที่ทำให้เขาอยากหยุดนิ่งเพื่อประกอบสัมมาชีพเลี้ยงตัว ฐานะทางบ้านที่ร่ำรวยก็มีส่วนทำให้เขาไม่อยากหยุดยั้งความต้องการของตน

"พ่ออยากให้ลูกช่วยงานที่บริษัท" วิลเลี่ยมส์เอ่ยเข้าประเด็น

"บริษัทของโจน่า" เขาต่อให้และเป็นความจริงที่ว่าเขาไม่ต้องการจะทำงานภายใต้ร่มเงาของญาติผู้น้องที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

"บริษัทของตระกูลที่เราทุกคนต้องช่วยกันดูแล" ผู้เป็นบิดาแก้ความ

"ผมขอเปิดบริษัทใหม่" เขายื่นคำขาด

"พูดกี่ครั้งแกก็ยังรั้นเหมือนเดิม" สรรพนามเรียกขานเปลี่ยนตามแรงอารมณ์

"มาร์ค ฟังพ่อเขาหน่อยเถอะลูก" ผู้เป็นมารดาช่วยสามีของหล่อนพูดอีกแรง

"หุ้นของคุณพ่อก็น้อยนิดอยู่ละ พอแบ่งให้ผมก็ยิ่งเหลือน้อยเข้าไปใหญ่ สู้ผมตั้งบริษัทที่เป็นของผมเองยังจะภูมิใจกว่า"

"ฉันจะขอให้โจน่าลดหุ้นของเขาลง"

"ยากครับคุณพ่อ พินัยกรรมระบุชัดให้โจน่าถือหุ้นต่อจากพ่อของเขากึ่งหนึ่ง และกึ่งนั้นก็ห้ามแบ่งขายให้ใครด้วย"

"ถ้าแกจะเปิดบริษัท แกจะทำอะไร ฮึ มาร์ค"

"บริษัทส่งออกเครื่องประดับและอัญมณีครับ"

"ใช้ทุนมหาศาลทีเดียว"

"คุณพ่อจะเมตตาผมหรือเปล่า"

"มาร์ค" ซูซานเรียกขานเป็นเชิงปรามบุตรชายที่ใช้คำพูดราวกับประชด

"ฉันยังไม่ให้คำตอบแกตอนนี้ ถ้าแกว่างมากก็เข้าบริษัทไปเจอโจน่าบ้าง"

"เอาเป็นว่าผมจะแวะเยี่ยมเยียนเขาละกัน" ชายหนุ่มรับปากอย่างขอไปทีด้วยท่าทางกวนประสาทผู้เป็นบิดาก่อนลุกเดินขึ้นชั้นบนเพื่อไปยังห้องนอน

บุตรชายผู้ดื้อรั้นยังคงขวางหูขวางตาวิลเลี่ยมส์เหมือนเคยและไม่เคยจะว่าง่ายสักครั้ง ภรรยาก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างหนักอก

"คุณว่ามาร์คเหมือนใคร" เขาถามภรรยา

"เหมือนคุณ" หล่อนตอบเสียงสะบัด

คนฟังก็รับรู้ถึงความขุ่นข้องหมองใจของหล่อน

"ที่ผมไม่อนุญาตให้มาร์คทำกิจการเองเพราะกลัวจะไม่รอด"

"ถ้าให้เขาทำงานกับโจน่า เขาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรี" หล่อนแย้ง

"ก็ยังดีกว่าต้องเสียเงินจำนวนมากให้มาร์คเอาไปละลายเล่น" เขาโต้กลับ

"คุณจะถ่วงเวลาได้นานแค่ไหนเชียว ลูกต้องรู้จนได้ว่าคุณเตะถ่วง"

"ระหว่างที่เขาอยู่กับเรา ผมอยากให้คุณช่วยพูดให้เขาเปลี่ยนใจ"

"ง่ายนักหรือคะวิลล์"

"ผมขอร้อง"

"ค่ะๆ ขืนให้คุณพูดกับลูกก็รังแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ"




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2550
0 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2550 13:03:05 น.
Counter : 303 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.