ทำไม ไอคิว และ อีคิว เด็กไทยต่ำกว่ามาตรฐาน?
ผลการสำรวจ ระดับสติปัญญา ของเด็กไทยปี 2554 โดยกรมสุขภาพจิต ซึ่งตรวจสอบเด็กวัย 6-15 ปี จากโรงเรียนทั่วประเทศพบว่า ไอคิว ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน
รายงานนี้บอกว่านักเรียนหลายหมื่นคน ไอคิว เฉลี่ยไม่ถึง 100 คะแนน ซึ่งจะส่งผลทำให้การศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาลดน้อยลง และจะส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของประเทศให้ต่ำลงตามไปด้วย
ผลการสำรวจนี้บอกด้วยว่าหากเทียบกับไอคิวของเด็กสิงคโปร์กับมาเลเซีย, คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเด็กไทยมาก
ไม่เพียงแต่เท่านั้น การวัด ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ (อีคิว) ของเด็กไทยก็มีแนวโน้มต่ำลงเช่นกัน เช่นเรื่องจริยธรรม, การปรับตัว และการเข้าใจคนอื่น เป็นต้น
เทียบกับเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ยังไม่พอ ต้องเทียบกับประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจด้อยกว่าไทยมากอย่างภูฏาน ซึ่งผลการสำรวจบอกว่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาระดับสติปัญญาของเด็กมาก โดยรัฐบาลมีนโยบายสอนภาษาอังกฤษให้เด็กตั้งแต่ระดับประถมศึกษาตอนต้น อีกทั้งช่องฟรีทีวีทุกรายการจะมีคำแปลภาษาอังกฤษเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปพร้อมกัน
ข้อมูลนี้ได้จากการเสวนาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณหมออนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข รายงานว่า ขณะที่เด็กทั่วโลกกำลังมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ไอคิวเด็กไทยมีปัญหา ไม่ทันโลก ภาพรวมของเด็กไทยมีผลสำรวจต่ำกว่าค่าเกณฑ์มาตรฐานสากล
ท่านบอกว่า ผลการเสวนาในหัวข้อ สุขภาวะของเด็กไทย การพัฒนาทางสติปัญญาเพื่อก้าวไปสู่โลกแห่งการแข่งขัน จะรายงานให้ที่ประชุมวุฒิสภารับรองเพื่อจะส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อตระหนักในเรื่องนี้ให้มากขึ้น
พอผมอ่านข่าวมาถึงวรรคนี้ก็เริ่มเฉลียวใจว่า ไอคิว ของเด็กไทยกับ ไอคิว ของนักการเมืองระดับนำของไทยนั้นมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
เพราะยังไม่มีใครสำรวจว่า ไอคิว ของคนที่อาสามารับผิดชอบบ้านเมืองของเรานั้นเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ และมาเลเซีย หรือภูฏาน แล้วจะมีความสามารถในการแข่งขันได้มากน้อยเพียงใด
หากผลการสำรวจของเด็กไทยเป็นจริงตามนั้น ก็เท่ากับยืนยันว่าทั้ง สติ ทั้ง ปัญญา ของเยาวชนไทยเราไม่ได้ดีขึ้นเลยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทั้ง ๆ ที่ทางด้านกายภาพของบ้านเมืองได้ชื่อว่า ก้าวหน้า ไปมากโข
คนดูแลสุขภาพกายสุขภาพจิตของเยาวชนไทยอาจจะโทษมาตรฐานอาหารการกินหรือสิ่งแวดล้อมของความเป็นอยู่ แต่ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักคือมาตรฐานการศึกษาของไทยเราที่อ่อนด้อยและแข่งกับใครเขาไม่ได้
เหมือนที่มีคนเปรียบเทียบว่าเมื่อ 20-30 ปีก่อน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ล้าหลังกว่าเรา หรือไทยกับญี่ปุ่นเริ่มต้นสร้างระบบรถไฟพร้อม ๆ กัน แต่วันนี้เรามองหน้าแลหลังแล้วก็จะพบว่าหากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ สติ และ ปัญญา แล้วเราสู้ใครเขาลำบากมากขึ้นทุกวัน
เราอาจจะอ้างว่าเราไม่ได้ถอยหลัง แต่ความจริงก็คือว่าคนอื่นเขาวิ่งไปข้างหน้า และหัวใจของการขยับตัวไปข้างหน้าสำหรับทุกประเทศที่เอ่ยชื่อมานั้นคือการศึกษา
เพราะการศึกษาทำให้คนฉลาด, กล้าคิดกล้าถาม, มีความมุ่งมั่นที่จะทำความดีและความถูกต้องชอบธรรม, ไม่ยอมให้เรื่องฉ้อฉลโกงกินมีอิทธิพลเหนือความคิดความอ่านของผู้คน...
ใครที่ย้อนศึกษาเส้นทางสร้างบ้านสร้างเมืองของญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่สามารถนำมาเปรียบกับไทยเราได้ก็จะเห็นว่าปัจจัยตรงกันประการหนึ่งคือการศึกษา
หาก ไอคิว ดีแล้ว อีคิว ก็จะดีขึ้นตาม เพราะเมื่อ สมอง พัฒนาในทางที่ถูกต้อง อารมณ์และความรู้สึก ก็จะก้าวไปในทิศทางเดียวกัน
เมื่อมาตรฐานการศึกษาแย่, ค่านิยมและหลักแห่งชีวิตก็ปรวนแปร... ยักแย่ยักยันอย่างที่เห็นในสังคมไทยวันนี้
ที่มา //www.oknation.net/blog/black/2012/10/16/entry-1
Create Date : 16 ตุลาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 16 ตุลาคม 2555 17:23:15 น. |
Counter : 1807 Pageviews. |
|
|
|