ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
6 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
การปฏิบัติธรรมและประสบการณ์แปลกๆ ในทัศนะ

ได้เข้าไปเจอประสบการณ์ของคุณที่ใช้ชื่อว่า So Cold แล้ว ไม่อยากให้ประสบการณ์ของท่านเลือนหายไปกับเวลา ก็เลยขออนุญาตนำมาลงไว้ในบล๊อกนี้นะครับ ผมขอไม่ออกความคิดเห็นใด เพราะประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยนัก แต่ผมมีเพียงความเชื่อและศรัทธาว่าสิ่งที่จะกล่าวถึงเหล่านี้เป็นจริงแน่นอน เริ่มอ่านประสบการณ์ของท่านได้แล้ว ณ บัดนี้

การปฏิบัติธรรมและประสบการณ์แปลกๆ ในทัศนะ

ผมปฏิบัติธรรมมาพอสมควรด้วยความล้มลุกคลุกคลานต่างๆ นานา ตามหลักสติปัฏฐาน 4 ปฏิบัติมากก็เห็นกองทุกข์มาก เห็นกิเลสที่ร้อยรัดตรึงจิตตึงใจมาก ถึงขั้นเสียน้ำตาว่า ทำไมกิเลสมันถึงมีความเหนียวแน่นในจิตมากมายนัก เมื่อก่อนเราไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ พอปฏิบัติไปๆ ก็เสียน้ำตาให้มันมากขึ้นๆ พร้อมๆ กับความฮึกเหิมที่จะต่อสู้กับมันอย่างไม่ย่อท้อ

ผมเริ่มต้นจากการพิจารณากายคตาสติ เพราะรู้สึกถูกจริตในการพิจารณามาก พิจารณาแล้วจิตสงบเป็นสมาธิได้เร็ว ผมจะชอบลอกหนังออก เห็นแต่เลือดเยิ้มๆ เต็มไปหมดทั้งร่าง เข้าใจว่าตอนแรกเป็นโดยสมาธิ ตอนแรกก็คิดพิจารณาไป จิตจะสงบได้เร็ว สักพักภาพเลือดเยิ้มๆ นั้น มันมาติดตรึงอยู่ในจิต เริ่มมองเห็นคนเป็นเลือดแดงฉาน สลายเป็นกระดูกมากขึ้น พอพิจารณาไปนานๆ เข้า จิตสงบดีแต่รู้สึกว่าภาพนั้นมันมาฝังแน่นกับจิต รู้สึกลึกๆ ว่าจิตติดในนิมิตภาพนั้น โชคดีที่เห็นทัน แต่แกะยังไงก็แกะไม่ออก เลยมาเปิดหลักสติปัฏฐาน 4 ดู ท่านว่า เมื่อพิจารณากาย เป็นต้น ท่านว่า “พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เสมอ มีความเพียร มีสติสัมปะชัญญะ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ฯ”

ผมก็มาสักเกตุในจิตว่า เอ จิตมันยังไม่ตั้งตรงนี่ ยังติดความสบายในสมาธิอยู่ หลังจากนั้นก็มาพิจารณากายตรงที่มันติดอยู่ พอตั้งใจปั๊บ จิตมันเริ่มเห็นว่า จิตมันมีความเห็นว่า “เราอยากทำลายความติดในสมาธิอยู่ เราจะต้องทำลายความติดในภาพนิมิตแห่งอสุภะนั้นอยู่” ด้วยข้อดีของจิตที่สงบด้วย เลยเห็นความรู้สึกว่า “เราอยากทำลาย” นี้เป็นความยึดมั่นถือมั่น เป็นเพียงอารมณ์หนึ่งอยู่แว็บๆ พอเห็นอารมณ์นั้นปั๊บ คราวนี้จิตกลับมาตั้งมั่นแบบโล่ง เป็นกลางเลยครับ แล้วเห็นอารมณ์ความอยากดับไปแบบเนียนๆ ลองโยนิโสมนสิการดูหลายครั้งๆ ก็ตรงกับคำว่า “กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้”

ก็ปฏิบัติเรื่อยมา แต่กิเลสมันฉลาดมากเลย พอเราไม่ติดในภาพนิมิต หรือสมาธิแล้ว เริ่มเห็นอารมณ์ชัดเจนขึ้น มันก็กลายเป็นติดความว่างจากการที่อารมณ์หนึ่งดับไป เป็นอารมณ์ที่สว่าง ผ่องใสขึ้นจากการที่จิตปล่อยวางอารมณ์เดิม คราวนี้เนียนกว่าเก่าอีก ตอนแรกจิตไม่รู้ว่าติด แต่เพราะไปเทียบกับที่ท่านว่า กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ หรือว่าจิตที่ตั้งมั่น เป็นเอกัคคตาอย่างแท้จริง อันนี้มันเป็นเอกัคคตาเหมือนจิตติดในอารมณ์ว่างๆ พอจิตจับได้ว่าติดอารมณ์ว่างๆ ปั๊บ อารมณ์ว่างที่ติดนั้นจะดับไป เข้าสู่ความว่างอีกแบบที่จิตเห็นด้วยปัญญาว่า “เราอยากจะดับความว่าง” ก็มาเพ่งในจิตว่าความเรา ของเราอยู่ที่ไหน เพ่งไปค้นคว้าไป ก็เกิดเสียงพูดในจิตขึ้นมาเองว่า เราไม่ได้มีหรอก เราเป็นเพียงอารมณ์หนึ่ง จิตผมก็เริ่มเข้าใจธรรมะมากขึ้น คราวนี้ก็มาสังเกตุอีกว่าจิตยังติดในอารมณ์อะไรอีกไหม เริ่มเห็นเองว่าอารมณ์ก็เป็นธรรมชาติหนึ่ง ด้วยอำนาจสมาธิ ทำให้ผมเห็นอารมณ์บ่อยขึ้น จนไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร เพราะจิตรู้สึกว่า การเรียกว่าอารมณ์อะไรก็เป็นธรรมชาตินึงที่เกิดขึ้นดับไป คราวนี้เห็นเหมือนไม่เห็น อะไรก็ละเอียดยุบยิบๆ ในจิตหมด

ไม่นานเท่าไรก็เกิดความรู้แปลกๆ ขึ้นมาที่ไม่สามารถบอกมาเป็นคำพูดได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่เอาเป็นว่า จิตมันเข้าใจด้วยตัวเองว่าอะไรๆ ในโลกนี้ ไม่ว่าจะในโลก นอกโลก นอกจักรวาล ในจิต นอกจิต มันเกิดขึ้น และดับไปโดยธรรมชาติ จะตั้งใจดู หรือไม่ตั้งใจดูมันก็เกิดขึ้นดับไปของมันเอง จิตแปลกตรงที่มันเบาขึ้นเยอะเลย ต่างจากการเบาครั้งก่อนๆ ตรงที่เบาครั้งนี้ เหมือนยกภูเขาออกจากอก แบบไปแล้วไปเลย

ลองพิสูจน์โดยการนอนหลับแล้วตื่นมาจะเดือนนึงแล้วก็ไม่เปลี่ยน จะมีสติ ไม่มีสติ มันก็เบา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วก็รู้สึกกลวงๆ ในท่ามกลางอกอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเป็นรูว่างๆ สูญญกาศทะลุไปข้างหลัง เหมือนคนโดนยิงแล้วทะลุออกข้างหลังอ่ะครับ จะค้นคว้าหาว่าความรู้สึกว่าเป็นเราอยู่ตรงไหน อยู่ในจิต หรืออยู่นอกจิต หรืออยู่ที่กาย มันก็รู้สึกว่าสักแต่ว่าเป็นอารมณ์แห่งการค้นหาเท่านั้น แล้วมันก็ดับไป แม้ความรู้สึกว่าอันนั้นเป็นเรา อันนี้เป็นเราก็เป็นเพียงความรู้สึก เออหว่ะ แปลกดีเนอะ จะเปิดตรวจสอบในพระไตรปิฎกว่าเค้าเรียกว่าอะไร พอเริ่มจะเปิด จิตเห็นอารมณ์แห่งความอยากดูนั้นเกิดขึ้นดับไปเอง แล้วมันก็ไม่อยากเปิด ไม่อยากดู ไปแล้ว แล้วเหมือนมีอะไรผุดขึ้นในจิตมาบอกว่า เออ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ มันก็เกิดดับเท่านั้นแหละ

ตอนนี้ จึงมีเพียงธรรมเล็กๆ ในจิต ที่จะมา share กับเพื่อนๆ ว่า การปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติเรื่องของใจ ตามสติปัฏฐาน 4 มรรค 8 ธรรมะจะเข้าสู่ใจ สำคัญที่ใจนะครับ หากจิตใจเข้าใจถึงเนื้อแท้ของใจจริงๆ แล้ว ว่า ยัง กิญจิ สมุทยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล ในโลกทั้ง 3 ขมวดเข้าที่ใจมีเหตุแห่งการเกิด ย่อมมีผลที่จะต้องรับเป็นธรรมดา หากจิตใจเข้าใจถึงเนื้อแท้แบบนี้จริงๆ ย้ำนะครับว่าใจเข้าใจถึงแก่นแท้จริงๆ แล้ว ความเห็นว่าอันนั้นเป็นเรา อันนี้เป็นเรา เราเป็นอันนั้น เราเป็นอันนี้ มันก็ไม่มีหรอกครับ เพราะมันเป็นเพียงความเห็น เป็นเพียงอารมณ์หนึ่ง เป็นเพียงสภาวะนึง เท่านั้น จะหลับหรือตื่น หรือสลบไสลไปสภาพจิตที่หยั่งรากลึกถึง เหตุและผลของสรรพสิ่งมีอยู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ อะไรเกิดขึ้นแล้วทั้งปวงย่อมดับไปหมด ก็ไม่มีเสื่อม หากมันจะรู้สึกกลัวเสื่อม จิตจะรู้ทันทีว่า แม้อารมณ์กลัวเสื่อมมันก็เป็นอารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา ความรู้สึกกลัวเสื่อมเป็นเพียงอารมณ์หนึ่งที่มากระทบจิต แล้วมันก็ดับไป แต่จิตจริงๆ ไม่ได้กลัวแต่ประการณ์ใด ยังคงวางอุเบกขาได้อย่างไม่ตั้งใจจะวาง

ทุกวันนี้เห็นอารมณ์ละเอียดแบบบอกไม่ถูก ไม่ตั้งใจจะเห็นก็เห็นเอง เวลาตื่นขึ้นมานี่เห็นอารมณ์มันฟุ้งซ่านมาแล้ว แล้วมันก็ดับไปเอง ถ้าแต่ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเราตื่น ตัวเราเบื่อ ต้องไปทำงานอีกแล้ว แต่คราวนี้รู้สึกว่า ร่างกายตื่น เกิดอารมณ์เบื่อ แต่ไม่ใช่เราเบื่อ อะไรเบื่อก็ไม่รู้ พูดว่าอารมณ์เบื่อแล้วกัน ต้องเป็นทำงานอีกแล้ว แล้วอารมณ์เหล่านั้นมันก็ดับไป ประมาณนี้แหละครับ

จึงอยากมาให้กำลังใจเพื่อนๆ ครับ ว่าตั้งใจปฏิบัติธรรมเถิดครับ ของดีมีอยู่จริง พระพุทธศาสนานี้เป็นของจริงแบบจริงๆ ไม่เสียชาติเกิดและเสียที พระพุทธองค์ทรงประทานศาสนาแห่งเหตุผล ท้าทายแห่งการพิสูจน์ได้ทุกกาล ทุกเมื่อ ทุกยุค ทุกสมัย ทีเดียวครับ สาธุ

---------------------------------------------------------------------------

ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ มันเห็นอารมณ์ยุบยิบๆ ละเอียดขึ้นไปอีก เห็นเอง จะหลับก็ไม่หลับ บางครั้งก็รำคาญ ไม่ตั้งใจจะเห็นมันก็เห็น รู้สึกว่าอะไรๆ ในจิตมันลึกขึ้นเรื่อยๆ ทำไมมันประหลาดกว่าที่เคยเป็นๆ มาในชีวิตที่ผ่านมา พูดไม่ถูกครับ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ว่าจะไปเดินจงกรมสักหน่อย

ไม่รู้ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณศิษย์พระป่าจะสื่อไหม ที่อ่านแว็บแรก คือ ลองค้นหาอะไรสักอย่างที่มีลักษณะเที่ยงแท้คงที่ ไม่เคยเกิดมาก่อน ไม่เคยดับมาก่อน ทรงสภาพแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นมานานช้ากาเลแล้วก่อนการเริ่มต้นของกาลเวลา และจะทรงสภาพนั้นต่อไปหลังการสิ้นสุดของกาลเวลา สื่งนั้นไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม ไม่ใช่สังขารใดๆ ไม่ใช่ความว่าง ไม่ใช่ความไม่ว่าง ... ต้องค้นลงไปในศูนย์กลางของจิต จึงจะเจอ อยู่ตรงนั้นแหละ...แต่ก็แปลก ดูเหมือนอะไรต่างๆจะถูกปรุงแต่งออกมาจากตรงนั้นเอง แต่สิ่งนั้นไม่ปรุงแต่งอะไรกับสิ่งใดๆ

จิตรู้สึกว่าอะไรที่มันเที่ยงแท้คงที่อ่ะไม่มีหรอกครับ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้น หากแต่มีบางสิ่งบางอย่างที่พูดไม่ถูก สภาวะนั้นผมรู้สึกว่ามันเหนือคำว่าเที่ยง มันเหนือคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาวะนั้นมีอยู่ อยู่ใต้สมมติ ใต้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดได้ พอจิตลองจ่อแหวกทะลุอารมณ์แบบเล่นๆ ดู มันเหมือนแหวกชั้นไปเรื่อยๆๆๆ จนไม่มีอะไรเลย จิตแท้ๆ มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่ครับ มันไม่มีที่ตั้งอ่ะ

เดี๋ยวผมจะลองดูนะครับ

ทำแล้ว มีอะไรในจิตบอกว่า มีบางสิ่งบางอย่างมีอยู่นานแล้ว อย่าสงสัยเลย มันไร้ที่ตั้ง ไม่รู้ตั้งอยู่ตรงไหน มันเกินคำพูดว่ามันอยู่ตรงไหน แต่ไม่สงสัยว่ามันมีอยู่ แต่สัมผัสได้นะ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เท่านั้นแหละครับ ไม่รู้ว่าเป็นรูปหรือนาม เพราะมันไม่มีคำพูด เหนือคำพูดไปอีก มันละเอียดเกินคำว่าละเอียดอีกอ่ะครับ แค่คิดจะพูดก็ไม่มีคำบรรยายแล้ว ขอบคุณครับ ภาวะนี้เป็นมาได้เดือนกว่าๆ แล้วครับ แต่ไม่ได้บอกใคร

ผมเข้าใจว่าจุดสุดท้ายจริงๆ ต้องเป็นจุดเดียวกัน แต่ตอนนี้จิตผมรู้สึกว่า อารมณ์จะหยาบ ละเอียด มันก็เป็นไตรลักษณ์เหมือนกันๆ ที่บอกว่า “ถ้าพื้นฐานสติไม่คมพอ ต้องไปเพิ่มกำลังสติอีกจนกว่าจะรับ + รู้ตามจริงได้”

จิตผมรู้สึกว่า หากทำอะไรโดยความยึดมั่นลึกๆ ว่าทำเพื่อให้หลุดพ้น มันจะไม่หลุดพ้นอ่ะครับ เพราะลึกๆ มันคือ ความอยากผลักดันจิตให้ทำอะไรออกไป มันต้องเป็นธรรมชาติจริงๆ อะไรประมาณนี้หน่ะครับ

ผมนึกแล้วว่าหลายท่านต้องคิดแบบนี้แน่ ผมไม่ใช่อริยบุคคลอะไรหรอกครับ ผมก็เป็นเพื่อนปฏิบัติธรรม เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายเหมือนทุกท่านนั่นแหละ ใครจะยกขึ้น สาธุ อนุโมทนา จิตผมก็รู้สึกเฉยๆ นะครับ อารมณ์มีอยู่เป็นธรรมชาติ มียินดี ดีใจ เสียใจ ชอบ เบื่อ เป็นต้น แต่มันก็เป็นเพียงอารมณ์ ไม่ได้เข้ามาในจิต จะตั้งใจดูจิตหรือไม่ตั้งใจดูจิต มันก็เห็นว่าอารมณ์ก็เกิดขึ้นดับไปโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว จิตมันเลยเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร อันนี้พูดจากเนื้อในของจิตเองครับ ไม่ได้อาศัยธรรมจากครูบาอาจารย์ท่านมาพูด เดี๋ยวผมจะบาปเกินไป ยกท่านไว้เนื้อหัวอยู่แล้ว


จิตเป็นยังไงก็ว่าไปตามนั้นแหละครับ ผิดก็เปิดเผยให้ดู ถูกก็เปิดเผยให้ดู ความผิดเป็นครู เพื่อจะได้ถูกในอันดับต่อไป ในทัศนะผม ผู้ปฏิบัติธรรมแท้จริงควรเป็นผู้รู้จักเปิดใจครับ เปิดใจเพื่อดูใจตัวเอง หรือเพื่อสัมผัสธรรมใหม่ๆ ที่ถูกต้องเพื่อความเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ลดทิฏฐิ มานะ เพื่อลดความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของตน สักกายทิฏฐิที่ท่านว่าเห็นกายเป็นตน เห็นกายเป็นเรา เห็นเราเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ มันอยู่ได้เพราะเกิดจากจิตที่เข้าใจผิดจากมิจฉาทิฏฐิ จิตเห็นผิดว่า เรามีอยู่จริง ตัวเองมีอยู่จริง เราเป็นรูป เราเป็นอารมณ์ เราเป็นความรู้สึก เราเป็นสุข เราเป็นทุกข์ เราเฉยๆ เราว่าง เราวุ่น เราผ่องใส เราบรรลุธรรมแล้ว หากเข้าใจว่าเราบรรลุธรรมแล้วที่ไม่ผิดจะเป็นทำนองว่า จิตรู้ว่าเป็นเราโดยสมมติ คือสมมติเรียกว่าเราเฉยๆ เพื่อให้เหมาะ ให้เข้าใจภาษาที่ใช้กัน แค่นั้น ในความเป็นจริงแท้จริงแล้วทุกอย่างมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันอยู่แล้ว เมื่อมีเหตุ ผลย่อมมี เมื่อเหตุหมด ผลย่อมดับไป หากอินทรีย์แก่กล้าแล้วมันไม่ยากหรอกครับ


ผมเดาว่าบางท่านอ่านสิ่งที่ผมเขียนนี้ แล้วคิดตาม หรืออาจพอใจ ยินดี ในสิ่งที่ผมเขียน หรือยินร้าย เป็นต้น จิตแบบนั้นยังไม่เหมาะแก่การเห็นธรรมชาติของจิตหรอกครับ เพราะยังไม่ตั้งมั่น หากเปิดใจ ทำจิตให้ตั้งมั่นแบบสบายๆ ปิดสมองไว้ก่อนเพราะมันชอบคิดตาม ธรรมนั้นแลจะง่ายต่อการเข้าสู่ใจครับ พอใจรับธรรม จิตจะเริ่มเห็นสภาวะอารมณ์ที่มันไม่แน่นอน หรือความยึดมั่นบางอย่าง แล้วก็หายไป ไม่มากก็น้อย อันนี้เรียกว่า จิตมีปัญญาทางธรรมในเบื้องต้นแล้ว


หากยังจิตผิดอยู่ ก็ยอมรับว่ายังผิดอยู่ ลดทิฏฐิ ลดความยึดมั่นถือมั่น แล้วมาช่วยกันแก้ไข ใครผ่านมาแล้วแบบถูกต้องจริงๆ ก็บอกคนที่ยังผ่านไม่ได้ ว่าท่านติดตรงไหน ตรงไหนที่ติดแล้วยังไม่เห็น เมื่อเห็นในสิ่งที่ติด ที่เกี่ยว ที่ข้องแล้ว มันจะรู้ทางแก้ไขได้เอง

แต่สำคัญตรงนี้ มันยากตรงที่ว่า ที่เข้าใจว่าผ่านมาแล้วอย่างถูกต้องๆ เนี่ยะ มันถูกต้องจริงไหม หรือยึดมั่นว่าถูกต้องแล้ว ตรงนี้ต้องตรวจสอบกับพุทธพจน์ ตรวจสอบกับพระธรรมวินัย ครับ เปิดเผยจิตกันไปเลย ในทางที่ลึกซึ้งไปอีก คือ บางท่านผ่านไปแล้ว และมีญาณเห็นจิตตัวเอง และจิตคนอื่นด้วย รู้วิธีการแก้ไข ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้มากครับ

ต่ออีกหน้าก็แล้วกันนะ


Create Date : 06 มิถุนายน 2553
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 0:16:15 น. 1 comments
Counter : 641 Pageviews.

 


สวัสดีคะ แวะมาทักทายในวันหยุด
มีความสุขมากๆ นะคะ..



โดย: หน่อยอิง วันที่: 6 มิถุนายน 2553 เวลา:12:33:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.