<<
สิงหาคม 2558
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
18 สิงหาคม 2558
 

วิเคราะห์ระเบิด"ราชประสงค์"ด้วยหลักวิชา"การก่อการร้ายสมัยใหม่" ทำไม กทม.ตกเป็นเป้า?

วิเคราะห์ระเบิด"ราชประสงค์"ด้วยหลักวิชา"การก่อการร้ายสมัยใหม่" ทำไม กทม.ตกเป็นเป้า?

ขออนุญาตคุณกฤดิกร วงศ์สว่างพานิช และมติชนรายวัน
นำข้อมูลเรื่องนี้มารวบรวมไว้เป็นกรณีสึกษาต่อไป ดังนี้
โดย กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช




เหตุระเบิดรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณแยกราชประสงค์ เป็นที่ตั้งศูนย์กลางเศรษฐกิจในใจกลางกรุงเทพฯ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 20 คน บาดเจ็บ
นับร้อย สร้างกระเเสถกเถียงในสังคมอย่างหลากหลาย แม้ข้อมูลหรือความจริงบางอย่างจะยังไม่ถูกทำให้ปรากฎในขณะนี้

กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช เสนอความเห็นถึงเหตุการณ์ดังกล่าว มติชนออนไลน์เห็นว่าน่าสนใจและมีประเด็นที่ก่อให้เกิดการถกเถียงทางวิชาการอย่างสร้างสรรค์ จึงขออนุญาตนำเสนอ โดยกฤดิกรตั้งคำถามต่อตัวเหตุการณ์เป็น 4 ประเด็น พร้อมพยายามตอบคำถามว่า ทำไมผู้ก่อเหตุจึงเลือกกรุงเทพฯเป็นเป้าหมาย รวมถึงการอธิบาย ผู้ที่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเหตุผลทางการเมือง ดังนี้


1. ลักษณะตำแหน่งทำเลการวางระเบิดมีนัยยะสำคัญ สองประการ


- ใกล้สถานีตำรวจ ซึ่งน่าจะบ่งบอกสัญลักษณ์บางอย่าง เพราะต้องเข้าใจก่อนว่า terrorist movement (ขบวนการก่อการร้าย-แอดมิน) นั้นเป็น political movement (การเคลื่อนไหวทางการเมือง) ประเภทหนึ่ง ที่ aggressive (มีลักษณะรุนแรงแข็งกร้าว)มากเป็นพิเศษ และในระดับหนึ่ง จะแฝงด้วย political symbol (สัญลักษณ์ทางการเมือง)บางประการอยู่เสมอ ฉะนั้นจะละเลยเรื่องนี้ไม่ได้

- ตำแหน่งที่เลือกวางระเบิด มีลักษณะของการก่อการร้ายแบบ post-9/11 อย่างชัดเจน คือ หวังให้เกิดเหยื่อจำนวนมาก (โดยเฉพาะลูกที่อยู่ใกล้ไลน์รถไฟฟ้า) ไม่ใช่เพียงการสร้างสัญลักษณ์ทางการเมืองแบบเดียว (pre-9/11 terrorism จะไม่สนเรื่องปริมาณ "เหยื่อ" แต่เน้นให้คนหันมาฟัง "เสียง" ของพวกเขาบ้าง) ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นรูปแบบที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดในไทยแบบเต็มตัวนัก (แบบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ยังไม่ถึงกับจะเรียกได้ว่าเป็นเคสแบบ post-9/11)

แต่ตำแหน่งการวางระเบิดครั้งนี้นั้น น่ากลัวว่าจะเป็นหมุดหมายใหม่ของรูปแบบการก่อการร้ายในไทย



2. การก่อเหตุแบบนี้ใน กทม. นอกจากจะเป็นการ spread fear (แพร่กระจายความหวาดกลัว-แอดมิน) ในวงกว้างที่สุดแล้ว ยังเป็นการประกาศไปด้วยว่า แม้แต่ในปริมณฑลที่ถูกถือเสมือนว่าปลอดภัยที่สุด ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดีสำหรับผม นี่คือการเกิดเหตุแบบการก่อการร้ายขึ้นจริงๆ น่าจะครั้งแรกในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เพราะเงื่อนไขสำคัญของการก่อการร้ายคือ "การเดาไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่" ซึ่งที่ผ่านมา เราพอจะจำกัดบริเวณที่เกิดความรุนแรงได้ เฉพาะในบริเวณภาคใต้ แต่การอุบัติขึ้นของการเกิดเหตุครั้งนี้ เป็นการบอกว่า
"ไอ้ที่เคยคิดว่าจะอยู่เฉพาะจุดนั้นน่ะ มันไม่ใช่อีกแล้ว"

3. อย่างไรก็ดี ผมอยากเตือนทุกคน ในฐานะคนที่ศึกษาด้านนี้มา ว่า การ spread fear คือ เป้าหมายหลักของคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นเราต้องพยายาม "ดิ้นตามเกม" ให้น้อยที่สุด (ว่ากันในเชิงสถิติ act of terrorism (การปฏิบัติการก่อการร้าย-แอดมิน) ไม่ควรจะเป็น cause of death (เหตุแห่งความตาย) ที่ทำให้กลัวได้ มีอย่างอื่นให้กลัวกว่ามันอีกเยอะครับ)

4. การต่อต้านการก่อการร้าย ด้วย "กำลัง, ความรุนแรง หรือการก่อการร้ายเอง" ไม่เคยนำมาซึ่งบทสรุปที่ดีเลย นำมาซึ่งความฉิบหายในวงกว้างกว่าเดิมเสมอ เพราะฉะนั้น "การพยายามเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่าย ("แต่ไม่ใช่ยอมรับการกระทำนั้น") และหาช่องทางออกด้วยการไม่ใช้กำลัง และ "ไม่เหยียด" พวกเขาไปก่อนแต่แรก (ว่าเป็นพวกบ้า, ไร้เหตุผล, คลั่ง, ฯลฯ) นำมาซึ่งทางออกที่ดีกว่าเสมอ

(กรุณาดูกรณีสวีเดน)

คำถามคือ "ทำไม กทม. ถึงตกเป็นเป้าหมาย"

ผมขออธิบายแบบนี้นะครับ คือ เหตุผลที่เราไม่สามารถตอบคำถามนี้แบบลงรายละเอียดได้ เพราะ "เรายังไม่รู้ครับว่ากลุ่มใดคือผู้ก่อเหตุ" จะต้องไม่ฟันธงใดๆ จนกว่าจะสืบสวนรู้ความจริง ถึงพอจะบอกได้บ้างว่า "ทำไมต้อง กทม."

แต่เราพอจะตอบได้ในระดับภาพรวมในวงกว้างๆ ได้

คือ เราต้องเข้าใจว่าโดยภาพรวมแล้ว การก่อการร้าย มีลักษณะการวางตัวตนอยู่บนฐานของ "ความเชื่อยุคเก่า/กลาง" (Ancient/Medieval Ideology) ซึ่งในระดับหนึ่ง (ถึงที่สุด) ไม่ได้มีความเชื่อบนฐานของ Virtue of Life (คุณงามความดีของชีวิต-แอดมิน)แต่เชื่อในวิถีทางแบบ Martyrdom (ความทุกข์ทรมาณ-แอดมิน)(เรียกได้ว่าเป็น Political Martyrdom เลย) และเอาจริงๆ บ่อยครั้งปฏิเสธ "รัฐในฐานะพระเจ้าองค์ใหม่" ด้วย (State as the new God) เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีร่วมกันอยู่คือ การ "ปฏิเสธ Modern Ideology" (ไม่ได้แปลว่าจะปฏิเสธ modern tech นะครับ)

ด้วยเหตุนี้ ในระยะที่ผ่านมา (โดยเฉพาะหลัง 9/11, รวมถึง 9/11 เองด้วย) ภาพรวมของการก่อการร้ายในโลกจึงมีลักษณะของการต่อสู้ของ old ideology vs modern ideology อยู่เสมอ เราจะเห็นได้จากการสละชีพต่างๆ ของการก่อการร้าย (car bomb, hijack, หรือแม้แต่เหตุการณ์แบบในภาคใต้ของเรา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวางอยู่บนฐานการต่อสู้สละชีพแบบหนึ่ง) นั่นหมายความว่า ในสำนึกคิดแบบเดิมนั้น life ไม่ใช่ the most virtue entity (หัวใจหลักแห่งศีลธรรมที่สำคัญที่สุด -แอดมิน) แต่มีบางสิ่งที่ beyond life และมีคุณค่าให้สละให้ได้ ฉะนั้น พวกเขาจึงพร้อมตาย และพร้อมทำให้คนอื่นตายได้ (เพราะไม่ใช่ the most virtue entity อยู่แล้ว ก็ sacrifice for the sake of the most virtue one หรือการพลีชีพ (เสียสละ) เพื่อหัวใจหลักแห่งศีลธรรมที่สำคัญที่สุด ไป)

ฉะนั้น การเข้ามาท้าทาย ณ ตำแหน่ง "ศูนย์กลางที่สุด" เป็นตัวแทนที่สุดของความทันสมัย และ modern state ของ state นั้นๆ จึงเป็น motivation สำคัญ ให้เกิด "การเลือก" Metropolis (มหานคร-เมืองใหญ่) เป็นเป้าหมาย

คำถามว่า ทำไมต้อง "กทม." จึงตอบแบบภาพกว้างๆ ได้แบบเดียวกับการตอบคำถามว่า "ทำไมต้องเป็นตึกใหญ่กลางแมนฮัตตั้น" นั่นก็เพราะ กทม. คือ ตัวแทนของ modern entity (อัตลักษณ์ของความเป็นสมัยใหม่-แอดมิน)ของไทย และ modern God (แบบที่ แมนฮัตตั้น เป็นศูนย์กลางและตัวแทน "ของโลก")



สุดท้าย ... ผมอยากพูดถึงเรื่องการฟันธงของท่านโฆษกรัฐบาลหน่อยเท่านั้นแหละครั

คือ อย่างที่ผมคิดว่าทุกท่านคงทราบกันดี ว่าการ "ฟันธง" ครั้งนี้ เกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีเวลาสืบสวนหาความจริง หาหลักฐานอะไรทันการณ์แน่ๆ แต่ทำไมออกมา "ฟันธงคดี" เร็วยิ่งกว่าอเมริกาโบ้ยอัลเคดะฮ์อีก?

อย่างที่ผมเคยเขียนว่า ความเป็นไปได้หลักๆ น่าจะมาจาก "3 ส่วน" (เอาแบบ possibility น้อยแค่ไหนก็ช่าง มาวางๆ) และอาจจะมีความเป็นไปได้อื่นๆ อีกที่ผมนึกไม่ถึง แต่แน่ๆ หลักๆ มีอย่างน้อยสามกลุ่ม คือ เสื้อแดง, ทหารทำเอง, หรือภาคใต้

ผมคิดว่า "ถ้าคิดเร็วๆ" ไม่ว่าใครก็จะคิดได้ว่า possibility รวมๆ ประมาณนี้ ฉะนั้น มันก็ by default แหละครับที่ทหารจะต้องรีบฟันธงว่าเป็นการเมือง เพราะ

1. ไม่มีทางพูดอยู่แล้วว่าตัวเองทำ (ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าเป็นเคสนี้อ่ะนะ)

2. ไม่มีทางพูดหรอกว่ากลุ่มภาคใต้ทำ (ต่อให้สมมติกลุ่มนี้ทำจริงๆ) เพราะจะแปลว่าตัวเองบริหารจัดการคุมความสงบภาคใต้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นมันก็เหลือตัวเลือกเดียวคือ"โบ้ยการเมือง"เพราะนี่คือการ "กอบโกย" ผลประโยชน์จากสถานการณ์ได้ดีที่สุด ก็แค่นั้น เพื่อ prolong เหตุผลในการอยู่ของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งโพลล์ปลอม 38 สำนักเรย

ต่อให้ไม่ใช่ฝ่ายที่ก่อเหตุเอง (และผมก็เชื่อเช่นนั้น แต่ไม่ขอตัดความเป็นไปได้) ต่อให้ไม่รู้ว่าใคร แต่ก็ต้องรีบออกมาฟันธงอยู่ดี เพื่อกอบโกยจากสถานการณ์ย่ำแย่นี้ให้ได้มากที่สุด ก็เท่านั้นครับ Politics is the victim of the time.  Even they (ทหาร) didn′t do it, but they wish for it. (การเมืองต้องกลายเป็นเหยื่อของยุคเวลานี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำ, แต่พวกเขาก็ต้องการให้มันเกิดขึ้น-แอดมิน)

ผมลืมบอกอะไรนิดนึง โดยมากแล้ว ในหมู่กลุ่มก่อการร้าย "การก่อเหตุ" นั้น ทำเพื่อ either (1) ต้องการ voice อะไรบางอย่าง or (2) ต้องการ "เบี่ยงเบน" ความสนใจ (misdirection) จากบางสิ่งที่กำลังจะทำนะครับ

ผมเองก็สุดจะทราบได้ว่าแบบไหน

ส่วนกรณีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องชาวอุยกูร์นั้น เห็นว่า ไม่ค่อยจะคิดว่าเป็นประเด็นนี้นัก เพราะโดยธรรมชาติของ international terrorist network แล้ว ไทยนี่เป็นศูนย์กลางสำคัญ ในการ "เคลื่อนย้ายถิ่น" เลยนะ

โดยปกติพวกนี้จะไม่ค่อยทำลายศูนย์กลางในการอพยพตัวเองนัก

แต่ก็นั่นแหละ ก็มีโอกาสเป็นได้

ย้ำอีกครั้ง #อย่าเพิ่งฟันธง #อย่าเพิ่งฟันธง #อย่าเพิ่งฟันธง




หมายเหตุ : กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช  จบการศึกษา ปริญญาตรีภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ และ MSc Econ in Terrorism and International Relations  University of Wales, Aberystwyth  ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท หัวข้อ The Delegitimation of (Non-State) Vilolence: Constructing Terror in Medernity"/จบ
........................................................................................................
ขออนุญาตเนชั่นรายวัน เก็บเรื่องราวต่อไปนี้รวบรวมไว้เพื่อการศึกษาต่อไป ดังนี้

ผู้รอดชีวิตเหตุการณ์ระเบิดกลางกรุงเผยวินาทีชีวิต

เหตุการณ์ระเบิดบริเวณศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ เมื่อวานนี้(17 ส.ค.2558) แรงระเบิดทำให้รั้วของศาลพระพรหมกระเด็นไปกว่าไปกว่า 10 ม. สร้างความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 20 ราย ผู้บาดเจ็บ 108 ราย ทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณศาลพระพรหมได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก หนึ่งในผู้รอดชีวิต นายประโพธิ์ ปาทาน คนขายดอกไม้ในศาลพระพรหม กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นไปตามปกติไม่มีทีท่าว่าจะเกิดระเบิดซึ่งเวลานั้นผมขายดอกไม้ตามปกติ จนกระทั่งเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ผมรีบหมอบลงกับพื้น สถานการณ์ตอนนั้นเกิดความวุ่นวาย เต็มไปด้วยควันและเสียงกรี๊ดร้องของผู้บาดเจ็บ  ความรุนแรงของระเบิดทำให้กระจกของโรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณแตกกระจายลงมาถึง 3 ชั้น  บริเวณนี้เต็มไปด้วยชิ้นส่วนอวัยวะของผู้บาดเจ็บกระเด็นมายังจุดที่ผมขายของ เป็นภาพที่สยดสยองมาก  ซึ่งวันที่เกิดระเบิดเป็นวันจันทร์ทางด้านเทศกิจจะไม่ให้พวกแม้ค้ามาขายบริเวณฟุตปาธหากเกิดระเบิดวันนี้หรือวันอื่นๆคงจะเกิดความสูญเสียมากกว่านี้  

เช่นเดียวกับรปภ.ที่อยู่ภายในศาลพระพรหม กล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อวานนี้มีคนเข้ามาไหว้พระตามปกติไม่พบเห็นผู้ต้องสงสัยจนกระทั่งเกิดระเบิดขึ้น “แรงระเบิดทำให้ผมกระเด็นออกมาแล้วสลบทันที ผมฟื้นขึ้นมาอีกที ที่รพ.ตำรวจ สภาพร่างกายที่ผมได้รับผลกระทบคือหูดับเป็นเวลานานมากจากเสียงที่ดังของระเบิด และข้อเท้าของผมได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดครั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายมากไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น คนที่ผมรู้จักและเห็นหน้ากันเกือบทุกวันได้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนางร่ำที่รู้จักก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 2 ราย และยังมีอีกหลายๆคนที่ขาดการติดต่อไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร”/จบ

..................................................................................................................................

ขออนุญาตนำข้อมูลบางตอนจากกรุงเทพธุรกิจมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษาต่อไปดังนี้

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุประมาณ 2 อาทิตย์ ทางสถานเอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้ประสานมายัง บช.น. เพื่อขอกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลรักษาความปลอดภัย โดยทาง พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ได้สั่งการให้กองกำกับการสายตรวจ191 จัดรถสายตรวจไปเฝ้าประจำสถานฑูตต่างๆ เพราะคิดว่าคนร้ายน่าจะมุ่งเป้าไปที่สถานฑูตมากกว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งของชาวอุยกูร์จริง นอจากนี้จากการข่าวความมั่นคงยืนยันว่าให้ระมัดระวังการก่อความไม่สงบกับนักท่องเที่ยวชาวจีนใน กทม. อีกด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการก่อการร้ายอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ตัดประเด็นการเมืองทิ้ง ทั้งนี้ที่ผ่านมาการก่อเหตุไม่สงบทางการเมืองไม่มีความรุนแรงขนาดนี้ วัสดุที่ใช้ก่อเหตุจะไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้/จบ

................................................................................................................................

ขออนุญาตโพสต์ทูเดย์นำข้อมูลบางตอนต่อไปนี้เก็บรวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ดังนี้

สื่อเยอรมนีตีข่าวชาวไทยน้ำใจงาม แห่ช่วยเหลือนานาวิธี เหตุระเบิดราชประสงค์ 

สำนักข่าวเยอรมนี dpn-international ได้เผยแพร่เรื่องราวความประทับใจดีๆ ของประชาชนคนไทยท่ามกลางเหตุการณ์ระเบิดครั้งร้ายแรงที่ราชประสงค์เมื่อคนไทยจำนวนมากแห่เข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหยื่อเหตุระเบิดด้วยวิธีต่างๆ อย่างน่าตื้นตันใจ เว็บไซต์ได้ระบุว่า ทันทีที่โรงพยาบาลประกาศขาดเลือดและรับบริจาค ก็มีชาวไทยจำนวนมากแห่มาบริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือเหยื่อ โดยผู้บริจาครายหนึ่งได้กล่าวอย่างน่าประทับใจว่า "ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยและเป็นมนุษย์ เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน"

ขณะที่หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มนักบิดจักรยานยนต์จำนวนมากมาร่วมกันบริจาคเลือด "ถึงเวลาที่เราต้องแสดงให้โลกเห็นถึงด้านดีๆ ของประเทศไทย" หนึ่งในกลุ่มนักบิดกล่าว

.................................................................................................................................

ขออนุญาตนำข้อมูลจากมติชนรายวันมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษาดังนี้

สื่อจีนชี้ต่อไปนักท่องเที่ยวอาจต้องดูปัจจัยอื่นนอกจาก "สันติสุข" เพียงภายนอกของไทย

The Global Time สื่อจีนฉบับภาษาอังกฤษได้ลงบทความแสดงความเห็น

ในวันนี้ (18 สิงหาคม) ต่อเหตุการณ์การวางระเบิดในประเทศไทย

ที่บริเวณศาลพระพรหม ซึ่งมีชาวจีนหลายรายเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ 

โดยชี้ว่าหากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากการก่อการร้ายจะส่งผลกระทบ

ต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรง

//www.matichon.co.th/online/2015/08/14398833361439883391l.jpg

สื่อรายนี้กล่าวว่าไทยได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่ง
ของชาวจีนแซงหน้าเกาหลีไปแล้วโดยในช่วง6 เดือนที่ผ่านมา 
มีชาวจีนเดินทางมายังประเทศไทยกว่า 6 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ในทางกลับกันนักท่องเที่ยวจีน
ก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง

TheGlobalTimes กล่าวว่า ชาวจีนตระหนักดีถึงปัญหาความวุ่นวาย
ทางการเมือง รวมถึงความรุนแรงในชายแดนภาคใต้ของไทย 
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่มองว่าปัญหาดังกล่าว 
น่าจะไม่ส่งผลใดๆกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง
เรื่องความเป็นมิตรกับชาวต่างชาติของไทย

จากเหตุระเบิดดังกล่าวที่มีชาวจีนหลายรายตกเป็นเหยื่อทำให้สื่อรายนี้
เชื่อว่าชาวจีนกำลังต้องเผชิญกับอันตรายอย่างร้ายแรงจากการท่องเที่ยว
ในเมืองไทยและหากผลสรุปยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการก่อการร้าย
ย่อมส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยวของไทยที่มีชาวจีน
เป็นลูกค้าอันดับหนึ่ง เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านี้จำเป็นต้องพิจารณา
ถึงปัจจัยอื่นๆที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์แห่งสันติสุขจากภายนอก
รวมถึงให้ความสนใจต่อสถานการณ์ทางการเมืองและการปกครองของไทย
ด้วยโดยชี้ว่านับแต่รัฐประหารเมื่อปีที่แล้วความแตกแยกในสังคมไทย
ยังไม่คลี่คลาย

สุดท้ายสื่อแห่งนี้กล่าวว่าไทยเป็นมิตรประเทศที่ดีของจีนการระเบิด
กลางเมืองหลวงของไทยจึงไม่เพียงเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัย
ของนักท่องเที่ยวชาวจีนแต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ต่อเหตุการณ์ที่เกิดกับมิตรประเทศซึ่งหวังว่าไทยจะผ่านวิกฤติจ
ากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ และขอให้นักท่องเที่ยวจีนในไทยทุกคนปลอดภัย/จบ

.....................................................................................................
ขออนุญาตนำเนื้อหาเรื่องนี้จากกรุงเทพธุรกิจรายวัน
มารวบรวมเพื่อการศึกษาต่อไปดังนี้

นักวิเคราะห์ชี้เหตุโจมตีกรุงเทพฯไม่ได้ลงมือลำพัง

หนังสือพิมพ์สเตรท ไทม์ส ฉบับออนไลน์ เผย นักวิเคราะห์ประเมินเหตุโจมตีกรุงเทพฯ
ไม่ได้ลงมือลำพัง ปัดโยงการเมืองในประเทศ
หนังสือพิมพ์สเตรท ไทม์ส ฉบับออนไลน์ของสิงคโปร์ รายงานอ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงหลายคน ที่มองว่า เหตุระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ ไม่น่าจะเกี่ยวกับขบวนการปลดปล่อยปัตตานี เพราะแม้กลุ่มนี้จะมีเป้าหมายเป็นพลเรือน และโจมตีนอกพื้นที่ปฏิบัติการเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ใช่กรุงเทพฯ และอานุภาพของระเบิดก็ไม่ถึงขนาดนี้ 

นายแอนโธนี่ เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของเอชไอเอส เจนส์ ที่มีสำนักงานในกรุงเทพฯ ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่ฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ภาคใต้ และเมื่อดูจากขนาดของการบาดเจ็บและเสียชีวิต ก็ยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าจะโยงกับเรื่องการเมืองไทย ซึ่งมักจะพุ่งเป้าไปที่การส่งสารและหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย ก็เหลือหนทางเดียว คือ เป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ

ทั้งนี้ การที่นักท่องเที่ยวจีน นิยมไปสักการะที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ก่อให้เกิดการคาดเดาว่า การโจมตีครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมพูดภาษาเตอร์กิชในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน และเมื่อเดือนที่แล้ว ไทยได้ส่งชาวอุยกูร์กว่า 100 คน ให้แก่จีน ซึ่งก่อให้เกิดเสียงประนามอย่างกว้างขวาง

แต่นักวิเคราะห์บางคน บอกว่า ขณะที่มีองค์ประกอบในเรื่องของความรุนแรงในการเคลื่อนไหวของชาวอุยกูร์ แต่การโจมตีในระดับนี้ นอกประเทศจีนถือเป็นเรื่องผิดปกติ ซึ่งนายเดวิส ก็เห็นด้วย โดยบอกว่า เขาไม่คิดว่าชาวอุยกูร์จะมีความช่ำชองขนาดนี้

ด้าน ดร.ซาคารี อาบูซา ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านการเมืองและความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีอุยกูร์ ส่วนนักวิเคราะห์อีกคนหนึ่ง กลับเห็นด้วยว่า น่าจะเกี่ยวกับพวกอุยกูร์ และไม่ควรโยงกับการเมืองไทย

ดร.อาบูซา บอกด้วยว่า แต่อาจจะยังมีกลุ่มอื่นที่ไม่อาจมองข้าม จึงไม่สามารถแยกแยะเชื้อชาติของชายที่ปรากฎอยู่ในกล้องวงจรปิดได้ อาจจะเป็นพวกไอเอส ที่เติบโตในมาเลเซียและอินโดนีเซีย หลังหมดยุคของเจมาห์อิสลามิยาห์ ก็เป็นได้

อีกประเด็นหนึ่งที่นักวิเคราะห์ ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ชายที่นำระเบิดไปวางและเดินจากไป ไม่ได้ลงมือเพียงลำพัง อาจจะมีทีมย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำระเบิด และเลือกเป้าหมายในการโจมตี ซึ่งดร.อาบูซาบอกว่าเป็นปฏิบัติการที่มีความซับซ้อนพอสมควร และเห็นได้ชัดว่า มีการวางแผนเลือกเป้าหมายด้วย/จบ
..................................................................................................................................
ขออนุญาตคุณสุทธิชัยหยุ่นนำข้อเขียนต่อไปนี้จากกรุงเทพธุรกิจรายวัน
มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ดังนี้
ไม่ว่าเป้าหมายคืออะไร นี่คือเหตุ‘ก่อการร้ายในเมือง’ 
ไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังระเบิดรุนแรงที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ครั้งนี้มีผลให้คนไทยต้องยอมรับความจริงที่ว่ากรุงเทพฯ ได้เข้าสู่ภาวะเสี่ยง ต่อภัยคุกคามการก่อการร้ายในเมืองหลวงแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้

และไม่ว่าทฤษฎีไหนว่าด้วยคนที่บงการเหตุร้ายครั้งนี้จะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกผิด แต่ที่แน่นอนก็คือว่าคนที่มีเป้าหมายจะสร้างความปั่นป่วน ให้กับสังคมไทยนั้นสามารถจะทำได้ง่าย เพราะระบบรักษาความปลอดภัยและป้องกันเหตุร้ายของเรายังเป็นระบบ “ไม่เป็นไร” และตั้งอยู่ที่บนพื้นฐานความเชื่อเดิม ๆ ว่า “คงไม่มีอะไร” แทนที่จะตั้งประเด็นไว้ก่อนว่า “อาจจะเกิดเรื่องได้”

ความขัดแย้งทั้งในสังคมไทยเองและในระดับสากลเป็นสาเหตุแห่ง “ความเปราะบาง” ของระดับความปลอดภัยสำหรับคนไทยในการดำรงชีวิตประจำวัน และเป้าของผู้ที่จะก่อเหตุร้ายคือจุดที่มีผู้คนพบปะกันเป็นประจำ

กลางใจเมืองและที่ชุมชนหนาแน่นจึงเป็นเป้าประสงค์ของนักวางแผนก่อเหตุร้ายเสมอ

และครั้งนี้ไม่ต้องสงสัยว่าผู้ก่อเหตุ “มุ่งหมายชีวิต” ของผู้ไร้เดียงสาให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อให้เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก สร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงประเทศไทยอีกรอบหนึ่ง

กรณีระเบิดสี่แยกราชประสงค์มีเบาะแสเพียงพอที่ฝ่ายความมั่นคงและข่าวกรอง รวมไปถึงฝ่ายสืบสวนสอบสวนจะต้องสามารถสาวไปถึงต้นตอของการวางแผน บงการและดำเนินการเพราะอย่างน้อยผู้ว่า กทม. และตำรวจยืนยันว่าภาพจากกล้องวงจรปิดหรือ CCTVs ในจุดนั้นถ่ายความเคลื่อนไหวก่อน ระหว่างและหลังการระเบิดมีมากเพียงพอที่จะสืบสาวไปถึงผู้ก่อเหตุได้

ลักษณะของระเบิดที่ตำรวจบอกว่าเป็น “แบบแสวงเครื่อง” และผู้ดำเนินการดูจะมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเพราะเป็นการ “ระเบิดอย่างสมบูรณ์” ซึ่งแปลว่าใช้อำนาจการทำลายล้างสูงได้เต็มที่จึงทำให้มียอดคนเสียชีวิตเกิน 20 และบาดเจ็บเกือบร้อยคนทั้ง ๆ ที่ตำรวจบอกว่าระเบิดเพียงครั้งเดียว

หากฝ่ายความมั่นคงบอกว่า “รู้เบาะแส” แต่ “ไม่ชี้ชัดว่าเป็นใครหรือกลุ่มไหน” และไม่ตัดประเด็นไหนออกไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ เกี่ยวกับเรื่องโยกย้ายหรือความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ ก็ย่อมแปลว่าคนไหนหรือกลุ่มใดหากต้องการจะใช้อาวุธรุนแรงเช่นนี้ก่อเหตุในจุดที่สร้างความปั่นป่วนได้เพียงนี้ก็ทำได้ทุกขณะ

นั่นคือความเปราะบางของสถานการณ์ที่จะต้องแก้ไขด้วยการสร้างมาตรการป้องกันและสร้างความตื่นตัวสำหรับประชาชนทั่วไปในการดำเนินชีวิตประจำวันจากนี้ไปในทุก ๆ ด้าน

ความตระหนักในการรักษาความปลอดภัย และให้เป็น “พลเมืองตื่นตัว” ที่มีความระแวดระวังในการทำกิจกรรมในที่สาธารณะจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องฝึกปรือให้เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

ยิ่งในภาวะที่ข้อมูลไหลเทตลอดเวลาใน social media ก็ยิ่งทำให้การเผยแพร่ข่าวสารต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นเพราะกรณีคืนวันจันทร์ก็เห็นได้ชัดว่ามี “ขบวนการ” เกี่ยวเนื่องกับการก่อเหตุร้ายด้วยการปล่อยข่าวเท็จข่าวลวง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปิดสถาบันการศึกษาและสถาบันการเงินทั้งหมดในวันรุ่งขึ้น

หรือที่มีการส่งข้อความ “จุดอันตรายทั่วกรุงเทพฯ” อย่างรวดเร็วฉับพลัน จนแม้เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลออกมาปฏิเสธก็มีการกระจายข่าวเรื่องนี้ไปอย่างกว้างขวางแล้ว

แนววิเคราะห์จากสำนักข่าวต่างประเทศในลักษณะ “เรียงลำดับเหตุการณ์” โยงใยกับเหตุการณ์ภาคใต้หรือเรื่องอุยกูร์ก็ไม่ได้มาจากหลักฐานหรือข้อมูล ณ ที่เกิดเหตุ เพียงเป็นการคาดการณ์ของนักข่าวต่างชาติบางคนเท่านั้น

จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องมีการตั้งหน่วยสื่อสารกับประชาชนและสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โปร่งใส และตอบคำถามทุกคำถามอย่างตรงไปตรงมาเพราะความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจะฟื้นคืนมาได้ก็ด้วยการบอกกล่าวความจริง ไม่ปิดบังอำพรางและเคารพในสิทธิรับรู้ข่าวสารของสาธารณชนเท่านั้น/จบ

..................................................................................................................................





Create Date : 18 สิงหาคม 2558
Last Update : 25 สิงหาคม 2558 8:40:47 น. 0 comments
Counter : 1653 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

justice0009
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




[Add justice0009's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com