Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2560
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
19 ตุลาคม 2560
 
All Blogs
 
บันทึก การปฏิบัติธรรม จิตเกาะพระ โดยสังเขป



บันทึก การปฏิบัติธรรม จิตเกาะพระ โดยสังเขป

..........................

การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

ลูกพลัง : การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

 

สืบเนื่องมาจากมีผู้คนสงสัยในการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระกันมาก คือว่าเป็นของใหม่สำหรับท่านๆเหล่านั้น จึงมีการดำริขึ้นมาว่าควรที่จะทำการรวบรวมข้อมูลอธิบายความการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อ่านทั่วไปหรือผู้สนใจจะปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง จะได้รับทราบโดยองค์รวมของการปฎิบัติรวมถึงเป้าหมายปลายทางว่าเป็นเช่นไร

 

ที่มา: สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทรงมีเมตตา แนะนำถ่ายทอดผ่านท่านพี่ภูลงมา โดยมีท่านพี่ภูเป็นผู้ปฎิบัติสำเร็จเป็นคนแรกแล้วก็ถ่ายทอดต่อมายังบุคคลท่านอื่นๆตามลำดับต่อมา แล้วในวันหนึ่งกาลภายภาคหน้า การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระนี้จะเป็นที่แพร่หลายแก่พุทธศาสนิกชนสืบต่อไป ตั้งแต่ยุคกึ่งพุทธกาลนี้เป็นต้นไป..

 

วัตถุประสงค์: เป็นการปฎิบัติธรรมซึ่งเจริญรอยตามอริยมรรควิธีของพุทธศาสนา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมโดยใช้เวลาไม่นานนัก คือนอกจากจะเป็นทางสายตรงแล้วก็ยังเป็นทางลัดด้วย..(คำว่าทางลัดในที่นี้หมายถึง ผลแห่งการปฎิบัติจะเกิดประสิทธิผลด้านเวลาอยู่มาก)

 

อานิสงค์: มีดวงตาเห็นธรรม สามารถตัดสิ้นอาสาวะกิเลสทั้งปวง ถึงมรรค ผล นิพพานในภพชาตินี้

 

อรรถาบรรยาย: ความจริงแล้วก็เป็นการปฎิบัติธรรมเชกเช่นเดียวกับการปฎิบัติธรรมในรูปแบบอื่นๆ สายอื่นๆสำนักอื่นๆ แต่ที่มีความต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ รูปแบบการปฎิบัติสามารถเข้ากับภาระกิจทางโลกได้ง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา มีความคล่องตัวในการปฎิบัติไม่มีเงื่อนไขมาก ทำแบบสบายๆ ทำไปเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพประสิทธิผลแห่งการปฎิบัติเมื่อเทียบกับเวลาที่สูญเสียไปทุกวันๆ (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่เขียนข้อเด่นเอาไว้แล้ว)

 

 

วิธีการปฎิบัติ: แบ่งออกได้เป็น4ขั้น

(ขออนุญาติใช้ภาษาทางโลกตอนที่เราๆท่านๆเข้าโรงเรียน เรียนหนังสือเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับทางธรรม..) ตามลำดับดังนี้:-

 

-------------------------------------------------------------------------

ขั้นที่ 0: อนุบาล - ทาน (ทานศีลภาวนาพื้นฐานทั่วๆไป)

 

วัตถุประสงค์: เพื่อเตรียมความพร้อมพื้นฐานทางจิตและ/หรือข้อปฎิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปที่ใฝ่ดี

 

อานิสงค์: ของการทำบุญทำทานหรือการสร้างทานบารมีนั้นยังผลให้เกิดความไม่อับจนในโภคทรัพย์ และยังผลให้มีกำลังใจ(เมื่อบารมีมากขึ้นๆ) ในการปฎิบัติธรรมขั้นสูงๆต่อไป โดยที่ไม่อับจนข้นแค้นในทางโภคทรัพย์จนเกินไป

 

อรรถาบรรยาย: การสร้างทานบารมีคือการทำบุญภายนอก ลดความตระหนี่ถี่เหนียวแห่งใจ มีเมตตาจิตช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากหรือจะช่วยส่งเสริมพุทธศาสนะกิจให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป มีกำลังใจเป็นบาตรฐานในการรักษาศีล มีหิริโอตัปปะ เมื่อสิ้นอายุขัยก็จะไปจุติยังเทวโลก เมื่อกลับมาเกิดยังโลกมนุษย์อีกก็จะมีความเป็นอยู่ไม่ขัดสนไม่อับจน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสร้างทานบารมี ในความเป็นจริงแล้วการสร้างทานบารมี มีข้อรายละเอียดอยู่อีกมากแต่ในที่นี้ก็ขอละไว้เท่านี้ก่อน

 

วิธีการปฎิบัติ: ก็ไม่มีอะไรมากคือว่า หมั่นทำบุญทำทานตามกาล ฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านธรรมะ รักษาศีล(ปุถุชน-ศีล5) สวดมนต์ ภาวนาเบื้องต้นตามกาล ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วพุทธศาสนิกชนใฝ่ดีก็ได้ปฎิบัติตนกันอยู่แล้ว เมื่อปฎิบัติมากๆเข้าก็จะเกิดมีกำลังใจสูงขึ้นๆ "กำลังใจ"หรือบารมีนี้แหล่ะจะเป็นบาตรฐานในการก้าวเข้าสู่การปฎิบัติธรรมขั้นสูงขึ้นๆ ต่อไป

 

หมายเหตุ: ในกรณีท่านที่มีบุญบารมีเดิมหรือบุญเก่ามานั้นแท้จริงแล้วคือ ท่านได้สั่งสมบารมีต่างๆมาในภพชาติก่อนๆ เช่น ทานบารมี ศีลบารมี (บารมี10ทัศ) ดังนั้นแล้วกำลังใจของท่านในการที่จะปฎิบัติธรรมในขั้นที่สูงๆขึ้นไปจึงไม่เป็นปัญหาเมื่อเทียบกับบุคคลที่ยังต้องหวังพึ่งการให้กำลังใจจากผู้อื่นอยู่ (คือท่านสามารถเติมกำลังใจให้แก่ตนเองได้..ว่างั้นเถอะ)

 

-------------------------------------------------------------------------

 

การเจริญอริยมรรควิธี (แก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา)

 

ขั้นที่ 1: ประถม - ศีล

 

วัตถุประสงค์: การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แบ่งเป็นศีลหยาบ กลาง ละเอียด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)

 

อานิสงค์: เมื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้แล้วก็ยังผลให้เกิดบารมีหรือกำลังใจที่สูงขึ้นเป็นบาตรฐานแห่งสมาธิในขั้นต่อไป

 

อรรถาบรรยาย: การทรงศีลให้บริสุทธิ์เป็นการชำระกิเลสเบื้องต้น(ปิดประตูอบายภูมิ) ทำให้จิตมีความสงบและนิ่งมากยิ่งขึ้น เหมาะสมควรแก่งานด้านการเจริญสมาธิภาวนาให้ได้ผลมากยิ่งๆขึ้นไป

 

วิธีการปฎิบัติ: หมั่นมีสติระลึกรู้ที่จะไม่ทำผิดศีล รักษาศีลยิ่งชีวิต จนกระทั่งจิตจะทำการรักษาศีลให้เราเองโดยอัตโนมัติ (นี่..ต้องทำให้ได้ถึงขั้นนี้ จนศีลเป็นฝ่ายรักษาเรา)

 

เพิ่มเติม: กรรมเก่า คือการกระทำในครั้งอดีตของตนเองทั้งในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติโดยเฉพาะในทางอกุศล ก็จะมีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยขัดขวางการเจริญปฎิบัติธรรมของเราทำให้ไม่ก้าวหน้า (คือเหนี่ยวรั้ง ขัดขวางหรือมีเหตุให้ไม่สามารถปฎิบัติได้ต่อเนื่อง) แล้วจะทำอย่างไร? เพราะว่าไม่มีใครย้อนอดีตไปแก้ไขกรรมนั้นได้

 

วิธีแก้ไขคือ ให้อุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและขออโหสิกรรม ทุกๆครั้งที่เราได้กุศลผลบุญมา เช่น ทำบุญทำทานมา(กุศลยังน้อยนัก..บุญภายนอก) รักษาศีลบริสุทธิ์ เจริญสมาธิ (กุศลมากโข) แล้วหมั่นอุทิศบุญ(อย่าลืม ขอบารมีพระรัตนตรัยช่วยแปรเปลี่ยนบุญกุศลนี้ให้เป็นบุญกุศลที่เขาสามารถรับได้ และเมื่อได้รับแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุกา อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ..) ทำอยู่เนืองๆทำบ่อยๆภายหลังจากได้บุญกุศลมาทุกครั้ง นานวันไปเจ้ากรรมก็จะอโหสิกรรมและละวางกรรมเก่าของเราเอง (แต่ว่าไม่ใช่เขาจะละวางทั้งหมดนา อย่าเข้าใจผิดคือมันจะมีกรรมบางประเภทที่ จะอย่างไรก็มิอาจหลีกหนีได้..อีอันนี้ก็วิบากใครวิบากมัน..รับกันไป)

 

อีกกรรมหนึ่งที่สำคัญมากๆคือ อกุศลกรรมกับบุพการี ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอช้าให้รีบไปขอขมาแล้วให้ท่านอโหสิกรรมให้แก่ตัวเรา เพื่อเป็นการตัดเวรตัดกรรม ไม่เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งในการเจริญธรรม

 

อย่าลืม.. แล้วก็ตัวโตๆเอาไว้ด้วยว่า

 

"จะไม่สร้างอกุศลกรรมใหม่ใดๆขึ้นมาอีก"

 

มิฉะนั้นตามโหสิกรรมจนตายก็ไม่หมดซักที..

 

สรุปว่า เมื่อทรงศีลบริสุทธิ์และจัดการเรื่องโหสิกรรมแล้ว บารมีหรือกำลังใจก็จะทะยานพุ่งขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง อันเป็นบาตรฐานแห่งการเจริญสมาธิสืบต่อไป (เริ่มเข้าสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว มองเห็นโลกุตระอยู่ไม่ไกลแล้ว)

 

 

-------------------------------------------------------------------------

 

ขั้นที่ 2: มัธยม - สมาธิ

 

วัตถุประสงค์: การทำจิตเกาะพระเพื่อเจริญสมถกรรมฐาน(แถมวิปัสสนากรรมฐานบางส่วน) เพื่อเสริมสร้างกำลังแห่งสมาธิ อันประกอบด้วยองค์ฌานทั้ง5ได้แก่ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัตคตา ให้ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนหรือตลอดเวลานั่นเอง

 

อานิสงค์: การทำสมาธิจิตเกาะพระยังผลให้เกิดกำลังฌานสมบัติ(แถมสติตามรู้)คือทรงฌานได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นบาตรฐานในการเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานในขั้นปัญญาต่อไป

 

อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนาโดยขาดกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐาน พระท่านเรียกว่า "วิปัสสนึก" คือไม่อาจทำให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริงในการตัดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสได้ ขอให้ทุกท่านได้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ปัญญาทางธรรมหรือเรียกว่า ปัญญาวิมุติจะต้องมีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานเท่านั้นจึงจะเกิดได้ (มิฉะนั้นมันก็เป็นปัญญาทางโลกเท่านั้นเอง) ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าการเจริญสมถกรรมฐานนี้เป็นบาตรฐานที่สำคัญยิ่งทางพุทธศาสนา และก็เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ติดกันอยู่ตรงนี้มากๆเลย คือว่า บางท่านก็ปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีก็ยังไม่ไปถึงไหน ติดเวทนาปวดขาปวดหลังฟุ้งซ่านไปเรื่อย หรือเข้าได้แค่ฌาน1(ก็บุญแล้ว..) หรือเข้าได้แค่ฌาน2-3 ติดสุขอีก หรือเข้าฌาน4ได้ ติดฤทธิ์ติดอภิญญาอีก เพิ่มทิฏฐิมานะ ทรงคุณวิเศษเหนือบุคคลธรรมดา หลงตัวหลงตนหนักข้อเข้าไปใหญ่ โน้นออกทะเลไปเลย (เห็นแก่อามิส วันหนึ่งกิเลสเข้าครอบงำอภิญญาเสื่อมถอย ก็ต้องโป้ปดมดเท็จไปเรื่อย ผิดศีลข้อ4มุสาอีก ดันสร้างอกุศลกรรมขึ้นมาใหม่อีก ยิ่งแย่เข้าไปอีก) หรือปฎิบัติได้ทุกวันวันละ1-2ชม. ขาดความต่อเนื่องในการปฎิบัติ ติดๆดับๆ เป็นเวรเป็นกรรมเสียช่างกระไรนี่ จนท้อแท้กำลังใจหดลงก็พาลโทษว่าบุญเก่าเรามีน้อย..

 

การทำจิตเกาะพระถือเป็นสมถกรรมฐานที่เป็น พุทธานุสติ+กสิน สามารถเจริญกรรมฐานกองนี้ไปได้ถึงฌาน4 เพิ่มความรวดเร็วและความต่อเนื่องในการปฎิบัติให้ได้ผลเป็นอย่างดี(สำหรับผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติจริงนะ) และสามารถเข้าออกฌานได้อย่างคล่องแคล่ว คือทรงฌานได้ตลอดเวลานาที จนกระทั่งจิตทำหน้าที่ทรงฌานเองเป็นอัตโนมัติ(ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่ได้เขียนข้อเปรียบเทียบที่เด่นๆเอาไว้แล้ว)

 

วิธีการปฎิบัติ: เนื่องจากมีรายละเอียดยาวมากๆจึงละไว้ว่าให้ไปหาอ่านในกระทู้ว่ามีวิธีการปฎิบัติอย่างไร

 

บางครั้งการปฎิบัติไม่ก้าวหน้า ก็ให้หมั่นกลับไปสำรวจตรวจสอบขั้นอนุบาลและขั้นประถม(ทาน ศีล กรรมเก่า) อยู่เป็นนิจว่าได้ชำระสะสางไปมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้นะเป็นเส้นผมบังภูเขาเลย จะบอกให้..

 

การระลึกนึกถึงพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืนนั้นได้อานิสงค์2ประการคือ 1)สามารถทรงฌานได้ตลอด 2)มีสติที่ไวไม่เผลอ ในความเป็นจริงแล้วเจ้าสองสิ่งนี้คือ ฌานกับสติ (คล้ายๆไก่กับไข่หรืองูกินหาง) ถ้ามาก็จะมาคู่กัน ถ้าหายก็หายไปพร้อมกัน คือมันเป็นสิ่งที่หนุนเนื่องซึ่งกันและกัน แล้วจะต้องทำให้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง จิตของเราจนจำได้ นี่ข้อนี้คือข้อสำคัญ "ความต่อเนื่องแห่งการปฎิบัติ" บางท่านปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีแต่ไปไม่ถึงไหนก็เพราะว่าขาดความต่อเนื่องคือทำเฉพาะก่อนนอน1-2ชม. จิตยังไม่ทันได้จำ เอ้าพอรุ่งขึ้นก็ไปวิ่งตามกระแสแห่งกิเลสต่อ จิตมันก็เพลินกับกิเลส จิตมันก็ลืมต่อ พอตกค่ำก็มาบอกกับมันใหม่ ทำอยู่อย่างนี้เป็นสิบๆปี มันก็ไม่ไปถึงไหนนะซีครับ..

 

เพราะว่าเวลางานก็ไม่ทรงฌาน(สติก็หาย) จึงสรุปว่ามีแต่พระชีเณรเท่านั้นที่จะทำได้เพราะว่าท่านๆเหล่านั้นมีเวลา แต่อันตัวเราไม่มีเวลาแถมต่อว่าบุญเก่ามันน้อยไปอีก.. ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือข้อเท็จจริงและเป็น"อวิชชา" คือความไม่รู้(บางท่านเรียกว่าความโง่) จึงทำให้ผู้ปฎิบัติหลายๆท่านยังติดอยู่ในวังวนอันนี้ ไม่ไปไหน..

 

การทำจิตเกาะพระสามารถแก้ปัญหาการทรงฌานและทรงสติระหว่างวันหรือตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องได้ อย่างน่าอัศจรรย์

 

ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการให้ท่านผู้อ่านเชื่อ แต่ต้องการให้ท่านผู้อ่านลองไปปฎิบัติแล้วค่อยมาตัดสินกันว่าจะเชื่อหรือไม่..

 

เมื่อผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้แล้วถึงขั้น "เมาฌาน" คือจิตมันจะดิ่งอย่างเดียว ครูฝึกก็จะเริ่มสอนการวิปัสสนาขั้นต่อไป

 

ผู้สำเร็จขั้นอุปจาระสมาธิหรืออัปปนาสมาธิขั้นต้นคือฌาน1-2ก็สามารถตัดสังโยชน์ขั้นต้นบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นต้นได้คือขั้นโสดาบัน สกิทาคามีกำลังฌาน4มีความสำคัญมากในการวิปัสสนาตัดสังโยชน์ในขั้นอริยบุคคลขั้นอนาคามีขึ้นไป มิให้กิเลสกลับมากำเริบอีก ตัดขาดจริงๆ

 

ดังนั้นสมถะเป็นบาตรฐานของวิปัสสนา เป็นเนื้อเดียวกันมิอาจจะแยกออกจากกันได้ การเขียนตำราทางโลกเราสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ออกจากกันได้ แต่ว่าเวลาปฎิบัติทั้งสองนี้หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่สามารถแยกจากกันได้จริงๆ..

 

 

-------------------------------------------------------------------------

 

ขั้นที่ 3: มหาลัย - ปัญญา

 

วัตถุประสงค์: ภายหลังจากที่ผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้เป็นวสี(ชำนาญ)แล้ว ก็จะเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปเพื่อที่จะบังเกิด"ปัญญาวิมุติ" คือรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะธรรมต่างๆแห่งธรรมชาติ มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอันจบกิจ

 

อานิสงค์: ผลแห่งการปฎิบัติจะนำมาซึ่งการละ เลิก วาง หลุดพ้นจากอาสาวะกิเลสต่างๆ ตามลำดับๆ จนจิตยกเข้าสู่โลกุตระ สำเร็จเป็น อริยบุคคลในขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ตามลำดับชั้นในการละสังโยชน์10ได้

 

อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ก็ได้อาศัยตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าคือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 หนทางสายเอกแห่งปัญญาวิมุติ

 

วิธีการปฎิบัติ: การมีสติอยู่ตลอด(จะทำได้เมื่อทรงฌานได้ตลอด) และนำสติตามรู้ปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วก็ปลงลงพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมั่นปฎิบัติอยู่เนืองๆทั้ง กาย(ขันธ์5) เวทนา จิต ธรรม จนบังเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ (จิตจะทำงานเองเป็นอัตโนมัติ) จนอินทรีย์แก่กล้าบารมีเต็มเปี่ยม สำเร็จมรรคผล เป็นลำดับขั้นขึ้นไปจนถึงอรหันต์ปฎิผล.. ก็เป็นอันเสร็จกิจแห่งการปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา

 

เมื่อยังมีอายุขัยอยู่ก็หมั่นบำรุงและสืบสานพุทธศาสนา ประกอบกิจทางโลกบ้าง ช่วยยกจิตผู้คนเป็นธรรมทานเสริมสร้างบารมีต่อไปบ้าง จวบจนละสังขารขันธ์..

 

ประโยชน์ของครูฝึก:-- เราจะเห็นได้ว่าการปฎิบัติธรรมจนถึงขั้นสมถะและวิปัสสนาแล้วจะเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งๆขึ้น ถ้าเราคิดเองคือใชัสัญญา(ความจำ) ทางโลกเข้านำการปฎิบัติเอง บางครั้งมันจะเป็นเรื่องเสียเวลาหรือว่าอาจจะหลงทางไปเลย เพราะครูฝึกท่านผ่านมาหมดแล้ว ท่านจะช่วยตอบแล้วให้ผู้ปฎิบัติได้วางกำลังใจได้อย่างถูกต้องและปฎิบัติได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

- ครูฝึกจะทำการสอบอารมณ์ในการปฎิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนา แล้วแนะนำต่อยอด

 

- และอื่นๆอีกมากมายถามว่า:ไม่จำเป็นต้องมีครูฝึกสามารถปฎิบัติได้หรือไม่? คำตอบ: ได้ถ้ามีผู้รู้ช่วยชี้แนะตามขั้นๆไป

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใดดังคำพูดที่กล่าวไว้ว่า "จิตสำนึกไม่สามารถจับยัดใส่หัวกันได้ มันจะต้องเกิดจากตัวเราเองขึ้นมา" ฉันใด "อันผู้ใดปฎิบัติ ผู้นั้นพึงได้" หรือ "ผู้ใดกินผู้นั้นก็อิ่ม ไม่สามารถกินแทนกันได้จริงๆ" ก็ฉันนั้น..

 

แต่เราก็พอจะเข้าใจผู้ที่ยังถนัดการปฎิบัติเอง ว่าก็มีเหตุปัจจัยในเรื่องความพร้อมทางด้านจิตใจตนเอง (เราก็เคยเป็นมาก่อนจึงพอที่จะเข้าใจ หลายๆท่านที่ขอซุ่มแอบฝึก เกาะขอบกระทู้ฝึก ความจริงแล้วดีกว่าหลายๆท่านมากๆที่ยัง"หลง"ตามกระแสโลกอยู่)

 

จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เราเขียนภาพรวมของการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อให้ผู้ปฎิบัติได้เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร ทำแล้วไปที่ไหน เป็นแผนที่นำทางฉบับย่อๆ โดยเฉพาะกับบุคคลจำพวกพุทธจริต(ปัญญาจริต) ได้เข้าใจแล้วก็จะได้ลงมือปฎิบัติ รวมถึงท่านพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปด้วย ที่มีวาสนาบารมีเกี่ยวเนื่องกันด้วย.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้..

 

สุดท้ายนี้ก็ขออวยชัยอวยพรให้ทุกๆท่านจงถึง บารมี10ทัศ ศีลบริสุทธิ์ ฌานสมาบัติ ปัญญาวิมุติและมรรคผลนิพพานโดยเร็ววันด้วยเทอญ..

 

ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ.. สาธุสวัสดี..

................................................................................................................

สาธุๆๆ ขอบพระคุณที่มาจาก

https://web.facebook.com/JitKohPhra/notes/?ref=page_internal#!/notes/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%9B/354614827946894/

..........................................

...




Create Date : 19 ตุลาคม 2560
Last Update : 19 ตุลาคม 2560 2:48:06 น. 0 comments
Counter : 496 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.