|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
รีวิวหนังสองเรื่องควบ เอทีเอ็ม เออรัก เออเร่อ & สงครามธนูพิฆาต
พักเรื่องร้านเช่าหนังสือมาดูหนังกันบ้างดีกว่า
ATM เออรัก เออเร่อ
ดูแล้วไม่รู้จะด่าอะไรดี ระหว่างตัวหนังหรือตัวกู ทั้งที่เพื่อนรอบตัวก็ไม่มีใครชื่นชม (จริงๆต้องบอกว่าถล่มกันเละเทะเป็นเอกฉันท์ด้วยซ้ำ) แต่ด้วยความน่ารักของน้องไอซ์ และความฉงนใจว่าหนังมีอะไรดีถึงได้เงินตั้งร้อยสามสิบกว่าล้าน สุดท้ายผลของการเป็นคนช่างสงสัยเลยสนองให้ต้องไปนั่งอึดอัดอยู่ในโรง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้คนรอบตัวที่ขำกันเป็นบ้าเป็นหลัง ความรู้สึกเหมือนไปกินอาหารร้านที่คนเยอะสัดแต่กูกินอะไรไม่อร่อยซักอย่าง จนอยากจะลุกขึ้นมาถามว่า ขำเหี้ยอะไรก๊านนนนนน รู้สึกแปลกแยกมากๆ ไม่เข้าใจรสนิยมของคนประเทศนี้ ระหว่างที่ดูก็นั่งคิดจนปวดหัว นี่คือหนังที่ได้ 130 ล้านจริงๆเหรอ? ประเทศกูเป็นอะไรไปแล้ว?
ไม่ได้มีปัญหากับความเป็นการ์ตูนของหนัง เพราะอย่าง Suck Seed ก็ดูได้มีความสุขดี แต่การ์ตูนของหนังเรื่องนี้มันเหมือนการ์ตูนเล่มละบาท ไม่ต้องไปเทียบกับชั้นเชิงระดับการ์ตูนมังงะ เอาแค่ขายหัวเราะยังไม่ได้ขี้เล็บก้อยตีนเค้าเลย ความเป็นเหตุเป็นผลก็อ่อนยวบ แถมไอ้ความเป็นการ์ตูนของมึงก็ทำให้กูลืมความปัญญาอ่อนของพล็อตไม่ได้ ตรงข้ามทุกครั้งที่มีเสียง ควิ้ง ฉ่าง ตึ่ง เพื่อบอกกูว่าตรงนี้ขำนะจ๊ะ ช่วยหัวเราะหน่อยเถอะ มันกลับยิ่งทำให้รู้สึกถึงความด้อยปัญญาของหนัง เพราะขนาดเตือนกันแล้วกูยังไม่รู้เลยว่า ต้องขำ ทั้งที่ความจริงก็รออยู่นะ อยากขำบ้าง ซื้อตั๋วมาตั้งแพง แต่ให้กูเค้นก็ไม่ไหวจริงๆ
ที่น่าด่าที่สุดก็คือการสร้างอารมณ์ร่วมไปกับความสัมพันธ์ของคู่พระ-นาง ดูแล้วไม่รู้สึกเลยว่าไอ้สองคนนี้รักกัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การแสดงเพราะทั้งเต๋อและน้องไอซ์ก็ทำได้ดีเท่าที่บทห่วยๆนี้จะพาไปได้แล้ว เอาเข้าจริงการแสดงของเต๋อและความน่ารักของน้องไอซ์ช่วยให้หนังดีและตลกขึ้นด้วยซ้ำในหลายๆฉาก แต่บทและจังหวะมันเละเทะขนาดนี้ จะไปหวังให้นักแสดงกอบกู้หนังทั้งเรื่องก็คงไม่ไหว ขนาดบทของโจ๊ก โซคูล ยังกลายเป็นตัวละครที่น่าอึดอัดมากกว่าจะมาสร้างสีสันเลย (อันนี้ก็โทษการแสดงไม่ได้ แต่การซูมหน้าพี่โจ๊กตอนถอดแว่นมากๆนี่มันเป็นเรื่องไม่ควรทำจริงๆ)
ย้ำกันอีกครั้งว่านี่คือหนังร้อยสามสิบหกล้าน (ณ วันที่เขียน เชื่อว่ากว่าที่หนังจะออกจากโรงน่าจะได้ถึงร้อยห้าสิบล้านด้วยซ้ำ) หลังจากนี้คุณเมษ ธราธรผู้กำกับจะได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับร้อยล้าน ซึ่งผมก็ดีใจด้วย เพราะรู้ว่าคนทำงานคงตั้งใจ ในเมื่อผลงานโดนใจคนหมู่มากก็เป็นเรื่องน่ายินดี แล้วผมควรจะโกรธใครดี โกรธรสนิยมตัวเองที่ดันเป็นพวกชนกลุ่มน้อยไม่เข้ากับชาวบ้าน โกรธอีคนดูในโรงเดียวกับผมที่ขำได้เป็นวรรคเป็นเวรแม้ในฉากเปิดเรื่องที่มีป้ายรถฟอร์ดออกมาจากตู้เอทีเอ็ม (จริงๆอีนี่ขำตั้งแต่โฆษณาปิดมือถือของดีแทคแล้ว เส้นมึงนี่ตื้นระดับหนังกำพร้าจริงๆ ซื้อตั๋วมาคุ้มเหลือเกินนะอีห่า) เกลียดทัศนคติประเภท จะเครียดอะไรนักหนา ชีวิตจริงก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว ของคนไทยที่ใช้เป็นข้ออ้างในการอ้าแขนรับอะไรห่วยๆกันอย่างง่ายๆ (ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพราะความสามารถในการแยกแยะของดี-ของเสียมีจำกัด) เกลียด GTH ที่ทำหนังอย่างนี้แล้วเสือกได้ตังค์ นี่มึงกำลังจะกลายเป็นพระนครฟิล์ม 2 ใช่มั๊ย?
ตอนดูหลวงพี่เท่งภาคแรกก็แปลกใจแล้วที่ได้ร้อยล้าน มาเจอเรื่องนี้เข้าไปกูรู้สึกเหมือนกูมาจากดาวอังคารจริงๆ มนุษย์โลกเป็นเหี้ยอะไรกันหมดแล้ว...
สงครามธนูพิฆาต
สนุกสมกับที่เป็นหนังทำเงินของเกาหลีประจำปี 2011 แม้ช่วงเปิดเรื่องจะดูซ้ำซากตามสูตรจนนึกว่ากำลังจะได้ดูหนังแนวล้างแค้นให้ท่านพ่ออีกเรื่อง แต่หลังจาก 20 นาทีแรกของหนังผ่านไป หนังก็ทิ้งความดราม่าจำเจที่เราเคยชิน และหันมาอัดฉากการไล่ล่าสุดตื่นเต้น โดยเฉพาะครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของหนังที่ทำได้ลุ้นระทึกบีบหัวใจ ถึงเลือดถึงเนื้อและพลิกผันไปมาจนแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ ดูจบนี่แทบจะหาไม้ไผ่มาดัดไปฝึกยิงธนูกันเลยทีเดียว
ที่ชอบมากคือหนังเลือกที่จะเล่าเรื่องในประเด็นเล็กๆมากกว่าจะขยายใหญ่โตไปเป็นเรื่องของการกู้ชาติ เพราะตอนแรกที่เปิดเรื่องมาก็เหมือนจะปูไปทางนั้น (ครอบครัวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏถูกฆ่าล้างตระกูล พระราชาที่มัวเมาในอำนาจไม่ใส่ใจประชาชน การรุกรานของชนชาติอื่น) แต่แรงผลักดันที่ทำให้พระเอกต้องวิ่งวุ่นไปมาทั้งเรื่องมีแค่อย่างเดียวคือความอยากช่วยน้องสาวที่ถูกจับเป็นเชลย แถมหนังยังทำให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ดูคลุมเครือน่าสงสัย ว่าจริงแล้วทั้งคู่รักกันเกินความเป็นพี่น้องหรือเปล่า ฉากยิงธนูที่เป็นจุดขายก็ทำได้ดีน่าตื่นตา ดูเหลือเชื่อแต่ก็สมจริง ไม่ถึงกับแฟนตาซีเว่อร์ประเภทยิงทีเดียวสี่ห้าดอก หรือยิงต่อเนื่องเร็วเป็นตับ เต็มที่ก็แค่ธนูวิถีโค้งที่หนังก็ถ่ายทอดให้เราเชื่อว่าถ้ามีเทคนิคประกอบกับทิศทางลมช่วย การยิงแบบนี้ก็พอจะเป็นไปได้ (เรียกว่าโม้เก่งจนกูเชื่อว่างั้นเถอะ) และทำให้ฉากแอ๊คชั่นของหนังฉีกตัวเองออกจากหนังย้อนยุคเรื่องอื่นๆที่เน้นการฟันดาบได้อย่างสวยงามน่าสนใจ
หนังกำลังจะเข้าโรง 23 ก.พ. นี้ ส่วนฉบับที่ผมได้ดูเป็นเวอร์ชันที่เราต่างก็รู้ว่ามาจากไหน (หลายคนบอก ก็จากไหนล่ะวะ) ซึ่งก็ต้องขอคารวะในความอุตสาหะของคนทำซับมากๆ เพราะนอกจากจะแปลรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง (บางประโยคก็ไม่แปลเลย) แต่ก็ยังอุตส่าห์ใส่รายละเอียดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจำพวกประวัติศาสตร์เกาหลี ชนิดของลูกธนู เทคนิคการยิงธนู ฯลฯ ทำให้ดูหนังสนุกขึ้นเยอะเลย
ปล. ชอบคำประกาศ พร้อมปักเข่า 23 กุมภา... มาก คนคิดแม่งโคตรกล้า นี่มึงเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ที่หนังฉบับฉายโรงต้องยอมแพ้ให้กับแผ่นโมแน่ๆคือชื่อไทย เพราะขณะที่ค่ายหนังใช้ชื่อ สงครามธนูพิฆาต แผ่นโมใช้ ศึกโคตรธนูอหังการ สะท้านภพ ถล่มแผ่นดินเถื่อน แม่งงง... โคตรอลังการ 55
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2555 2:46:21 น. |
|
4 comments
|
Counter : 2127 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ป้าแก่ๆ (เสี่ยวเฟย ) วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:17:59:07 น. |
|
โดย: VELEZ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:13:42 น. |
|
โดย: JewNid วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:45:32 น. |
|
โดย: VELEZ วันที่: 13 เมษายน 2555 เวลา:16:37:24 น. |
|
| |
|
แฟนผมตัวดำ |
|
|
|
|
หนังเหนิงไม่ต้องเน้นกันแระ