<<
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
14 เมษายน 2554
 

บทบันทึกแห้งๆในวันสงกรานต์

แน่นอนว่าส่วนใหญ่มันคือเรื่องที่คุณไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ก็อยากบันทึกไว้ สงกรานต์ทั้งที...

ว่าด้วยเรื่องงาน

ตอนนี้ผมไม่ต้องทำงานใน “ห้องแห่งความลับ” แล้วครับ หลังจากที่ปลุกปล้ำและกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับมันมาหกเดือนเต็มก็ตอบตัวเองได้ว่ากูไม่ไหวจริงๆ งานที่เกี่ยวกับตัวเลขหรือเรื่องเงินๆทองๆนี่นอกจากจะไม่ถนัดแล้ว มันยังเป็นงานที่ทำให้เกิดความเครียดได้มากซะจนเกรงว่าถ้าฝืนทำต่อไปต้องเกิดความวิบัติฉิบหายกับสุขภาพแน่ๆ หลังๆเริ่มออกอาการหูตก ตาขวาง (บางวันมีเสียงคำรามออกมาจากห้องด้วย) ให้คนในแผนกเห็นบ่อยๆจนเค้าเริ่มกลัวกันแล้ว สุดท้ายเจ้านายเลยเมตตา (หรืออยากตัดรำคาญก็ไม่รู้) เปลี่ยนงานให้ ตอนแรกก็กลัวอยู่ว่านายจะสั่งให้ไปเป็นคนขับรถ แต่ชื่อเสียงเรื่องการขับรถโดยใช้สัญชาตญาน (ดิบ) ของเราคงหนาหู นายเลยไม่กล้าเสี่ยง เดี๋ยว Visitor จะหัวใจวายตายซะเปล่าๆ สุดท้ายเลยได้มาทำ recruit (กรุณานึกภาพอัล ปาชิโน) เท่ใช่มั๊ยล่ะ

งาน recruit จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากฉิบหาย จนถึงวันนี้ผมเพิ่งทำได้เดือนเดียว อาจจะไม่เก๋าเกมหรือลึกซึ้งอะไรมาก แต่เวลาโทรไปขอนัดสัมภาษณ์ก็จะเห็นลักษณะแปลกๆในความคิดของตัวเอง แต่อาจจะไม่แปลกสำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ ประมาณนี้

1. นัดแล้วไม่มา - รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะเข้ามาสัมภาษณ์ แต่ถึงเวลาก็หายแซ่บ ที่จริงไม่มาไม่ว่าเพราะพอเข้าใจว่าคนเรามันมีธุระด่วนหรือติดงานอื่นกันได้ แต่ไม่มาแล้วไม่บอกห่าอะไรเลยนี่ยากจะเข้าใจจริงๆ ก็แค่โทรมาบอกกันหน่อยมันลำบากตรงไหน คนสัมภาษณ์เขาจะได้จัดตารางชีวิตถูก มารยาทพื้นฐานแค่นี้ไม่น่าจะไม่รู้ กูว่ากูก็นัดคนมีการศึกษานะ ไม่ใช่นัดพวกกุลีหยาบกร้านถ่อยสถุลที่ไหน เจอแรกๆหงุดหงิดรับไม่ได้ แต่หลังๆชักชินเพราะมีเยอะจนเราต้องเป็นฝ่ายปรับตัวไปเอง นึกแล้วก็ตลกดี

2. ถามรายละเอียดเหมือนเขาจะจ้างมึงแล้ว – ได้โบนัสเท่าไหร่ ปรับเงินกี่เปอร์เซ็นต์ สวัสดิการเป็นยังไง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ควรถาม แต่... ไว้หลังจากที่เราแสดงว่าเราต้องการคุณก่อนดีมั๊ยครับ? การถามข้อมูลเหล่านี้ตั้งแต่ตอนขอนัดสัมภาษณ์ มันเหมือนคุณกำลังจะบอกว่า “ขอดูก่อนนะว่าน่าสนใจหรือเปล่า ไม่งั้นก็ไม่ไปหรอก” โถ... มาแล้วยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเลือกหรือเปล่า ออกตัวแรงไปเกินไปนะมึงน่ะ

3. ไม่ว่างไปสัมภาษณ์เลย นัดนอกเวลางานได้มั๊ย? – กรวยเถอะครับพี่น้อง! คนสัมภาษณ์มึงเขาก็อยากกลับบ้านหาลูกหาเมียเหมือนกันนะครับ ถ้าเป็นการสัมภาษณ์รอบสองรอบสามกูจะไม่ว่าเลย (หรือถ้าตำแหน่งใหญ่โตชิบหายก็ต้องยกเว้น เพราะขั้นตอนกว่าจะได้ candidate ซักคนมันต่างกัน) แต่นี่สัมภาษณ์รอบแรก คุยกันสามประโยคอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่ามึงมันไม่ใช่คนที่เขาต้องการ จะให้ไปนัดเจอร้านกาแฟหรือหน้าโรงหนังทำง่ามอะไรวะครับ แล้วงานมึงยุ่งจนหยุดไม่ได้เลยนี่นะ แล้ววันไหนมึงเจ็บป่วยล้มตายไปบริษัทมันจะฉิบหายเลยรึไง? ไม่มีใครทำแทนได้เลยเหรอ? คือถ้ามองว่าการสัมภาษณ์งานยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นจนถึงกับต้องลางานนี่ผมว่ามึงก็ไม่ควรจะส่ง CV แต่แรกนะ ก็อยู่ทำงานที่ตัวเองรักไปเถิด แต่ขอบอกไว้อย่างในฐานะที่ทำงานมานานว่า เวลาบริษัทเขาจะเอาคนออก มันไม่รับรู้หรอกนะครับว่าคุณรักองค์กรขนาดไม่ยอมลาหยุดไปสัมภาษณ์งาน ถ้าคุณต้องออก มันก็เอาคุณออกอยู่ดี อย่าหัวปักหัวปำนักเลย

แล้วก็ยังมีอะไรแปลกๆอีกหลายอย่าง เช่น นัดมาสัมภาษณ์รอบสอง แต่ขับรถมาถึงโรงงานแล้วก็ขับกลับ ไม่เข้าสัมภาษณ์ซะงั้น หรือแบบที่เซ็นสัญญากันดิบดีว่าจะเริ่มงานในเดือนถัดไป แต่ถึงเวลากลับไม่มาซะดิ้อๆ แถมไม่โทรบอกด้วย โอ้แม่ง... เหนือคำบรรยายจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าพฤติกรรมแบบนี้เป็นเรื่องแปลก เพราะถ้าวัดจากตัวเองหรือเพื่อนฝูงรอบตัวก็ไม่มีใครเป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากกรณีศึกษาส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นหลังๆ เลยไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเด็กยุคใหม่ (ที่ยอมรับว่าเก่งกว่าผมเยอะ) อาจจะมองเหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว (หรือเปล่า) ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่ หรือถ้าเป็น ก็ขออย่าให้ทั้งหมดเลย



ว่าด้วยเรื่องชีวิต

ตอนนี้ผมกับภรรยาแยกบ้านกันอยู่แล้วครับ...

อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตาลุกโพลงกันไป มันไม่ได้มีอะไรร้ายแรงขนาดนั้น ก็แค่ปัญหาสามัญประจำบ้าน เรื่องของแม่ผัว-ลูกสะใภ้ ที่แม้จะไม่ดราม่าตบตีกันเหมือนละครหลังข่าว แต่ก็ร้าวฉานบานปลายจนยากจะเยียวยา ใครที่เคยอ่านเรื่อง I killed my mother ที่ผมเขียนไว้ในบล็อกคงทราบดีถึงพลังพิเศษของแม่ผม ที่ต่อให้ส่งไปอยู่กับCharles Xavier ก็ควบคุมไม่ได้ ป่วยการจะหาคนผิด เพราะถ้าหาจริงๆมันก็คงผิดกันทั้งหมด ตั้งแต่ผมที่ประเมินสถานการณ์ผิด ภรรยาผมที่อดทนน้อยไป (อีกเหรอ?) และแม่ผมที่ไม่เคยคิดจะยอมใครเลย สุดท้ายทางออกที่เราคิด (เอาเอง) ว่าดีคือการที่ภรรยาผมแยกออกไปอยู่ต่างหาก ผมยังอยู่กับแม่เป็นหลักเหมือนเดิม (และคงต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป) นี่อาจเป็นรูปแบบชีวิตที่หลายคนอาจจะคิดว่านี่มันครอบครัวเหี้ยอะไรวะ ผมก็คิดเหมือนพวกคุณนั่นแหละ แต่เชื่อเถอะ บางครั้งชีวิตคนก็มีทางเลือกน้อยจริงๆ และผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว เอาเข้าจริง ผมมองหาข้อดีจากเรื่องนี้ได้ตั้งหลายข้อ เช่น

1. ผมมีบ้านเพิ่มอีกหลังหนึ่ง – ตอนแรกภรรยาผมก็ตั้งใจจะไปเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ แต่พอดีมีหมู่บ้านมาปลูกใหม่แถวบ้านพอดี ระยะทางห่างกันแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลก เลยซื้อมันซะเลย ไหนๆก็มาทางฉิบหายแล้ว เพิ่มหนี้อีกก้อนจะเป็นไรไป 555

2. มีเวลาส่วนตัวเหมือนเดิม – คนเราไม่ว่าจะรักกันแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถอยู่ติดกันตลอดเวลาได้หรอกครับ เราทุกคนอยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง ทำอะไรที่เราชอบเพียงลำพัง อย่างผมก็อาจจะอยากโหลดหนังโป๊ ดูหนังหวีด เข้าบอร์ดกระปู๋คลับ (ทำไมมีแต่เรื่องเหี้ยๆ) ภรรยาผมก็อยากจะลองเสื้อใหม่ เม้าโทรศัพท์ นอนกินขนม ฯลฯ แยกกันอยู่ซะ เราก็ได้ space ตรงนี้กลับมา

3. อื่นๆ (จริงๆคือลึกเกิน เขียนไม่ได้) 555

แน่นอนว่าผมและภรรยากำลังพยายามสุดชีวิตที่จะมองโลกในแง่ดีกันอยู่ เราพยายามมองข้ามข้อเสียต่างๆของความห่างไกล ภรรยาผมพยายามจะเข้มแข็งมากกว่าที่เป็น ผมพยายามไม่รับรู้ถึงความรู้สึกผิด (ไม่ว่าจะกับใคร) ที่ขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เรากำลังพยายามกันจริงๆก็คือ พยายามที่จะรักกันเหมือนเดิม



ป.ล. จริงๆอยากจะเขียนถึงหมาแมวและหนังที่ดูในช่วงหยุดสงกรานต์ด้วย แต่รู้สึกว่าชักจะยาวเกินไปแล้ว ไว้แยกออกมาต่างหากดีกว่า มีความสุขสงกรานต์นะทุกท่าน




 

Create Date : 14 เมษายน 2554
10 comments
Last Update : 31 กรกฎาคม 2554 14:06:41 น.
Counter : 1702 Pageviews.

 
 
 
 
จะเขียนยาวกกว่านี้อีกเท่าตัวก็ได้ค่ะ..
ไม่ได้อ่านมาเป็นเดือนๆแล้ว..

พูดถึงสัมภาษณ์งาน ก็อย่างที่คุณแฟนผมฯว่า
เด็กสมัยนี้เค้าทำตัวแปลกจริงๆเนอะ

ส่วนเรื่องแยกบ้าน
บางครั้งทางเลือกมันก็มีน้อยจริงๆ
มองโลกในแง่ดีแบบคุณแฟนผมฯก็ทำให้รู้สึกดีได้เยอะเลย

ดีใจที่คุณแฟนผมฯอัพบล๊อก..
สุขสันต์วันครอบครัวนะคะ
 
 

โดย: VELEZ วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:1:21:19 น.  

 
 
 
 
 

โดย: VELEZ วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:19:58:40 น.  

 
 
 
เด็กสมัยนี้มันเป็นงี้จริงๆ พี่
มันเป็นกันมาตั้งแต่สอบสัมภาษณ์แล้ว

สอบติดแต่ไม่มารายงานตัว ไม่แจ้งอะไรด้วย





อยากด่า เมิงคิดว่าคนสัมภาษณ์แต่ละคนที่เขามารอเมิงเนี่ยว่างนักเหรอ
 
 

โดย: แพนด้ามหาภัย IP: 222.28.239.30 วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:21:34:57 น.  

 
 
 
อย่างน้อยปัญหานี้ก็ยังมีทางออกเนอะ
ดีกว่า ตัน ตันหาทางออกทางไป ไม่เจอ

ขอให้บรรยากาศมาคุคลี่คลายไปด้วยดีค่ะ
 
 

โดย: Shallow Grave วันที่: 26 เมษายน 2554 เวลา:20:46:56 น.  

 
 
 
เอ่อ เพิ่งมาเข้าใจไอ้ภาพหลังชื่อ login
ที่แท้มันก็คือหมุดปักนี่เอง

ให้ตายเถอะ หลงคิดว่ามันเป็นไอติมสีแดงอยู่ตั้งหลายปี
 
 

โดย: Shallow Grave วันที่: 26 เมษายน 2554 เวลา:20:49:33 น.  

 
 
 
อืม.. เวเลซว่า เดี๋ยวเวเลซตามคุณแฟนฯ ไปสิงอยู่ใน FB บ้างดีกว่า..
 
 

โดย: VELEZ วันที่: 30 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:07:04 น.  

 
 
 
แวะมาเยี่ยมครับ
 
 

โดย: LoveOnly วันที่: 13 มิถุนายน 2554 เวลา:23:33:12 น.  

 
 
 
โหลๆ เทสๆ *เสียงจิ้งหรีด*
 
 

โดย: BloodyMonday วันที่: 21 มิถุนายน 2554 เวลา:21:45:04 น.  

 
 
 
 
 

โดย: VELEZ วันที่: 4 กรกฎาคม 2554 เวลา:11:23:01 น.  

 
 
 
เพิ่งจะได้ตามอ่านบล็อคของคุณ
หลงเสน่ห์ตัวหนังสือไปเลยค่ะ อ่านแล้วสนุกมาก
แง่คิดต่างๆ ที่คุณเขียนออกมามีหลายส่วนที่คิดเหมือนกันด้วย

แล้วจะมาทักทายใหม่นะคะ
 
 

โดย: ^ ^ (เพียงใครบางคนบนฟ้ามองมาทางนี้ ) วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:22:27:20 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

แฟนผมตัวดำ
 
Location :
ระยอง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add แฟนผมตัวดำ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com