บทบันทึกแห้งๆในวันสงกรานต์
แน่นอนว่าส่วนใหญ่มันคือเรื่องที่คุณไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ก็อยากบันทึกไว้ สงกรานต์ทั้งที...ว่าด้วยเรื่องงานตอนนี้ผมไม่ต้องทำงานใน ห้องแห่งความลับ แล้วครับ หลังจากที่ปลุกปล้ำและกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับมันมาหกเดือนเต็มก็ตอบตัวเองได้ว่ากูไม่ไหวจริงๆ งานที่เกี่ยวกับตัวเลขหรือเรื่องเงินๆทองๆนี่นอกจากจะไม่ถนัดแล้ว มันยังเป็นงานที่ทำให้เกิดความเครียดได้มากซะจนเกรงว่าถ้าฝืนทำต่อไปต้องเกิดความวิบัติฉิบหายกับสุขภาพแน่ๆ หลังๆเริ่มออกอาการหูตก ตาขวาง (บางวันมีเสียงคำรามออกมาจากห้องด้วย) ให้คนในแผนกเห็นบ่อยๆจนเค้าเริ่มกลัวกันแล้ว สุดท้ายเจ้านายเลยเมตตา (หรืออยากตัดรำคาญก็ไม่รู้) เปลี่ยนงานให้ ตอนแรกก็กลัวอยู่ว่านายจะสั่งให้ไปเป็นคนขับรถ แต่ชื่อเสียงเรื่องการขับรถโดยใช้สัญชาตญาน (ดิบ) ของเราคงหนาหู นายเลยไม่กล้าเสี่ยง เดี๋ยว Visitor จะหัวใจวายตายซะเปล่าๆ สุดท้ายเลยได้มาทำ recruit (กรุณานึกภาพอัล ปาชิโน) เท่ใช่มั๊ยล่ะงาน recruit จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากฉิบหาย จนถึงวันนี้ผมเพิ่งทำได้เดือนเดียว อาจจะไม่เก๋าเกมหรือลึกซึ้งอะไรมาก แต่เวลาโทรไปขอนัดสัมภาษณ์ก็จะเห็นลักษณะแปลกๆในความคิดของตัวเอง แต่อาจจะไม่แปลกสำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ ประมาณนี้1. นัดแล้วไม่มา - รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะเข้ามาสัมภาษณ์ แต่ถึงเวลาก็หายแซ่บ ที่จริงไม่มาไม่ว่าเพราะพอเข้าใจว่าคนเรามันมีธุระด่วนหรือติดงานอื่นกันได้ แต่ไม่มาแล้วไม่บอกห่าอะไรเลยนี่ยากจะเข้าใจจริงๆ ก็แค่โทรมาบอกกันหน่อยมันลำบากตรงไหน คนสัมภาษณ์เขาจะได้จัดตารางชีวิตถูก มารยาทพื้นฐานแค่นี้ไม่น่าจะไม่รู้ กูว่ากูก็นัดคนมีการศึกษานะ ไม่ใช่นัดพวกกุลีหยาบกร้านถ่อยสถุลที่ไหน เจอแรกๆหงุดหงิดรับไม่ได้ แต่หลังๆชักชินเพราะมีเยอะจนเราต้องเป็นฝ่ายปรับตัวไปเอง นึกแล้วก็ตลกดี2. ถามรายละเอียดเหมือนเขาจะจ้างมึงแล้ว ได้โบนัสเท่าไหร่ ปรับเงินกี่เปอร์เซ็นต์ สวัสดิการเป็นยังไง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ควรถาม แต่... ไว้หลังจากที่เราแสดงว่าเราต้องการคุณก่อนดีมั๊ยครับ? การถามข้อมูลเหล่านี้ตั้งแต่ตอนขอนัดสัมภาษณ์ มันเหมือนคุณกำลังจะบอกว่า ขอดูก่อนนะว่าน่าสนใจหรือเปล่า ไม่งั้นก็ไม่ไปหรอก โถ... มาแล้วยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเลือกหรือเปล่า ออกตัวแรงไปเกินไปนะมึงน่ะ3. ไม่ว่างไปสัมภาษณ์เลย นัดนอกเวลางานได้มั๊ย? กรวยเถอะครับพี่น้อง! คนสัมภาษณ์มึงเขาก็อยากกลับบ้านหาลูกหาเมียเหมือนกันนะครับ ถ้าเป็นการสัมภาษณ์รอบสองรอบสามกูจะไม่ว่าเลย (หรือถ้าตำแหน่งใหญ่โตชิบหายก็ต้องยกเว้น เพราะขั้นตอนกว่าจะได้ candidate ซักคนมันต่างกัน) แต่นี่สัมภาษณ์รอบแรก คุยกันสามประโยคอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่ามึงมันไม่ใช่คนที่เขาต้องการ จะให้ไปนัดเจอร้านกาแฟหรือหน้าโรงหนังทำง่ามอะไรวะครับ แล้วงานมึงยุ่งจนหยุดไม่ได้เลยนี่นะ แล้ววันไหนมึงเจ็บป่วยล้มตายไปบริษัทมันจะฉิบหายเลยรึไง? ไม่มีใครทำแทนได้เลยเหรอ? คือถ้ามองว่าการสัมภาษณ์งานยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นจนถึงกับต้องลางานนี่ผมว่ามึงก็ไม่ควรจะส่ง CV แต่แรกนะ ก็อยู่ทำงานที่ตัวเองรักไปเถิด แต่ขอบอกไว้อย่างในฐานะที่ทำงานมานานว่า เวลาบริษัทเขาจะเอาคนออก มันไม่รับรู้หรอกนะครับว่าคุณรักองค์กรขนาดไม่ยอมลาหยุดไปสัมภาษณ์งาน ถ้าคุณต้องออก มันก็เอาคุณออกอยู่ดี อย่าหัวปักหัวปำนักเลยแล้วก็ยังมีอะไรแปลกๆอีกหลายอย่าง เช่น นัดมาสัมภาษณ์รอบสอง แต่ขับรถมาถึงโรงงานแล้วก็ขับกลับ ไม่เข้าสัมภาษณ์ซะงั้น หรือแบบที่เซ็นสัญญากันดิบดีว่าจะเริ่มงานในเดือนถัดไป แต่ถึงเวลากลับไม่มาซะดิ้อๆ แถมไม่โทรบอกด้วย โอ้แม่ง... เหนือคำบรรยายจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าพฤติกรรมแบบนี้เป็นเรื่องแปลก เพราะถ้าวัดจากตัวเองหรือเพื่อนฝูงรอบตัวก็ไม่มีใครเป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากกรณีศึกษาส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นหลังๆ เลยไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเด็กยุคใหม่ (ที่ยอมรับว่าเก่งกว่าผมเยอะ) อาจจะมองเหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว (หรือเปล่า) ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่ หรือถ้าเป็น ก็ขออย่าให้ทั้งหมดเลย
ไม่ได้อ่านมาเป็นเดือนๆแล้ว..
พูดถึงสัมภาษณ์งาน ก็อย่างที่คุณแฟนผมฯว่า
เด็กสมัยนี้เค้าทำตัวแปลกจริงๆเนอะ
ส่วนเรื่องแยกบ้าน
บางครั้งทางเลือกมันก็มีน้อยจริงๆ
มองโลกในแง่ดีแบบคุณแฟนผมฯก็ทำให้รู้สึกดีได้เยอะเลย
ดีใจที่คุณแฟนผมฯอัพบล๊อก..
สุขสันต์วันครอบครัวนะคะ