|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ดื่มเบียร์ให้อร่อยแบบต้นตำรับ...ต้องทำไง (ตอน3)
ดื่มเบียร์อย่างไรจึงอร่อย
คำตอบที่ถูกต้องที่สุดคือดื่มแบบที่คุณว่าอร่อย เช่นถ้าคุณชอบกินไอติมเบียร์ ก็จงดื่มเบียร์จากร้านที่เขาโฆษณาว่ามีเบียร์วุ้นขาย บางคนว่าดื่มเบียร์ต้องอย่าจิบ แต่ควรดื่มเป็นอึก อย่าไปเชื่อ จงดื่มในลักษณาการที่คุณคิดว่าได้รสชาติถูกใจคุณเป็นใช้ได้ ก็เงินคุณไม่ใช่หรือที่จ่ายไปสำหรับค่าเบียร์
แต่หลังจากดื่มเชอร์เบทเบียร์มานานแล้ว ลองเปลี่ยนวิธีดื่มเป็นอย่างอื่นดูบ้าง แล้วอาจจะเห็นกลิ่น, รสที่แตกต่างจากที่เคย ถ้าชอบก็เปลี่ยน ถ้าไม่ชอบก็อย่าไปเปลี่ยน
เบียร์นั้นเขาดื่มอะไรกัน ไม่ใช่แอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียวแน่ เพราะถ้าอย่างนั้นไปซื้อเอทธีลแอลกอฮอล์มาหยดน้ำดื่มก็ได้ เมาเหมือนกัน และถูกกว่ากันมากเลย
คอเบียร์ฝรั่งเขาว่า เบียร์มีคุณสมบัติ ๖ อย่างให้เสพ คือ สี, ฟองปากแก้ว, รสชาติซึ่งเกิดจากคุณภาพของส่วนผสม, กลิ่น (ของมอลต์, ฮอป, ส่า และการผสมทางเคมี), สมดุล และความรู้สึกที่ได้หลังดื่ม (ฝรั่งเรียกว่า finish)
สีต้องตรงกับคุณสมบัติของเบียร์ ไม่ใช่เบียร์จะต้องใสเพียงอย่างเดียว ที่ควรจะใสก็ใส ที่ควรจะข้นก็ข้น ที่ไม่ควรมีตะกอนลอยแขวนก็ไม่ควรมี ที่ควรมีก็มี ในเมืองไทยเรานิยมดื่มเบียร์ลาเกอร์ตระกูลพิลสเนอร์ ก็ควรมีคุณสมบัติใส สีออกไปทางสีทองเข้มพอสมควร เมื่อรินลงไปแล้วก็จะเห็นเม็ดของคาร์บอนไดออกไซด์ลอยขึ้นเป็นทิว นี่เป็นการเสพเบียร์ทางตาที่สำคัญ เหตุฉะนั้นภาชนะสำหรับการดื่มเบียร์ที่ดีคือแก้วใสนี่แหละครับ ไม่จำเป็นต้องใช้จอกหูกระเบื้องหรือพิวเตอร์ (mug)
ฟองก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญของการดื่มเบียร์ วิธีรินเบียร์ให้เป็นฟองไม่ใช่เทลงไปที่ก้นแก้วแรงๆ กระทุ้งให้เกิดฟองขึ้น เพราะฟองอย่างนั้นไม่ใช่ฟองคุณภาพที่แท้จริง จะเห็นได้ว่าฟองที่ได้มาด้วยวิธีรินแบบนั้นจะเป็นฟองหยาบ เหมือนฟองผงซักฟอก กินไปจนหมดแก้วแล้วก็ไม่เกิดคราบฟองที่ริมแก้วให้เห็น
ฟองที่มีคุณภาพต้องได้มาจากการรินเบียร์ไปที่ข้างแก้ว แรงของแก้วที่ไหลลงไปป่วนกันในแก้วก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดฟองขึ้นแล้ว ฟองแบบนี้จะเป็นฟองละเอียด ค่อนข้างเหนียว ยอดฟองมักไม่ค่อยราบเรียบแต่มีลักษณะเหมือนเนินเขา เมื่อกินเบียร์หมดแก้วแล้วก็จะยังเห็นคราบฟองติดอยู่ตามผนังแก้ว (รวมถึงหนวดและริมปากงามของผู้หญิงด้วย)
แต่คุณผู้อ่านจะพบว่า รินเบียร์อย่างนี้ในเมืองไทยไม่ค่อยได้ฟอง หรือได้ฟองที่บางมาก
ก็จริงครับ ทั้งนี้เพราะเราดื่มเบียร์ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเกินไป จึงทำให้ไม่เกิดฟอง นอกจากนี้ เบียร์ตลาดซึ่งไม่ค่อยมีคุณภาพก็มักให้ฟองน้อยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว (ยกเว้นที่เขาใส่สารเร่งคาร์บอนไดออกไซด์ในตอนบ่ม ซึ่งทำให้รสเบียร์เสียไปอีก) จึงทำให้เกิดฟองคุณภาพได้ยาก
เหตุดังนั้นผมจึงไม่ชอบเลยที่ร้านอาหารส่วนใหญ่จะสั่งพนักงานเสิร์ฟไว้ว่า จงรินเบียร์ในแก้วของลูกค้าหน้าโง่อย่าให้พร่องเป็นอันขาด เพื่อทางร้านจะได้ขายเบียร์ได้มากๆ หมดแล้วก็รีบเปิดขวดใหม่ บังคับให้ต้องดื่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมเห็นว่าการดื่มเบียร์ให้หมดแก้วแล้วรินใหม่ จะได้ทัศนียภาพของเบียร์แก้วใหม่ ซึ่งเป็นของอร่อยในการเสพ หมดขวดแล้วค่อยสั่งใหม่ เปิดป๊อกก็รินเลย ไม่ใช่เปิดมาทิ้งราไว้ข้างๆ เป็นนาน
รสชาติของเบียร์เกิดจากส่วนผสมหลายอย่าง โดยเฉพาะมอลต์ของบาร์เลย์ และธัญพืชอื่นๆ รวมทั้งฮอปซึ่งให้รสขม เบียร์อเมริกันเป็นเบียร์ปร่าๆ ไม่ใช่เพราะเบียร์อเมริกันมีแอลกอฮอล์น้อยกว่าเบียร์ยุโรปหรือเบียร์ไทย แต่เพราะเบียร์อเมริกันเป็นเบียร์ชั้นเลว จึงไม่มี ตัว หรือที่ฝรั่งเรียกว่า body ไม่ได้รสมอลต์ แทบไม่มีกลิ่นฮอป เป็นต้น เบียร์จะมีแอลกอฮอล์มากหรือน้อยไม่ได้อยู่ที่ว่ามัน จืด หรือไม่ ส่วนใหญ่ของเบียร์ในเมืองไทยมีปริมาณแอลกอฮอล์พอๆ กัน แต่รสชาติต่างกันเท่านั้น
ฉะนั้นเวลาดื่มเบียร์จึงควรปล่อยให้มันไหลซาบซ่าไปทั่วลิ้น เพื่อจะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของเบียร์ไปด้วย ผมเข้าใจว่ารสที่คอเบียร์เมืองไทยเรียกว่า มัน ก็คือรสของส่วนผสมที่ไม่ขาดไม่เกินของเบียร์ยี่ห้อนั้นนั่นเอง คือมีทั้งตัวและมีทั้งรสครบบริบูรณ์
แต่แปลกที่คอเบียร์ในเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบรสขมของเบียร์ จึงพยายามทำลายรสนี้เสียด้วยการเอาเบียร์ไปแช่จนกลายเป็นเกร็ดน้ำแข็ง ความเย็นจัดนี้ไม่ได้ทำลายปุ่มรับรสขมบนลิ้นเท่านั้น แต่ทำลายทุกปุ่มบรรดามีไปหมดจนไม่ได้รสชาติอะไรของเบียร์เลย ดื่มแล้วดูเหมือนจะสดชื่น แต่ถ้าอย่างนั้นเอาโซดาไปแช่แข็งบ้างก็คงจะได้ความรู้สึกสดชื่นเท่ากัน ซ้ำถูกสตางค์กว่าอีกด้วย
รสขมนี้เป็นรสสำคัญสุดของเบียร์เลยนะครับ ถ้าเบียร์ไม่ขมก็ไม่รู้จะดื่มไปทำไม เช่นถ้าเบียร์มีรสหวานเหมือนน้ำขวด ผมเชื่อว่าคุณคงไม่สามารถดื่มเบียร์ทั้งลังข้ามคืนได้ ถ้าขืนทำป่านนี้ก็คงตายด้วยโรคหัวใจวายไปแล้วด้วย
แต่ขมก็มีหลายพรรณนะครับ ขมอร่อยกับขมไม่อร่อยแตกต่างกันแน่ ขมไม่อร่อยเป็นอย่างไรก็ลองเอาเบียร์ที่ถูกแช่แข็งแล้วมาละลายจนได้อุณหภูมิที่เหมาะสมแล้วดื่มดูสิครับ จะพบว่ารสขมของเบียร์จะเปลี่ยนเป็นลักษณะขมปี๋ ออกขื่น และเปรี้ยวนิดๆ ด้วย ไม่ได้เป็นสรรพรสเลย
อันที่จริงการเอาเบียร์ไปแช่ในตู้เย็นไว้นานๆ ก็ไม่ดี ถึงไม่แข็งก็ไม่ดี เพราะทำให้รสเบียร์เปลี่ยนไปเป็นขมปี๋ออกขื่นอย่างว่าได้เหมือนกัน ถึงได้ออกไงครับว่า สั่งเบียร์ที่ไหนก็ให้สั่งยี่ห้อที่คนอื่นๆ ในแถวนั้นเขานิยมกันนั่นแหละดี มันจะได้ไม่ถูกแช่เย็นไว้นานเกินไป
กลิ่นนี้ยิ่งมีความสำคัญใหญ่ ไม่น้อยไปกว่ารสเลย
เบียร์ที่ดีจะให้กลิ่นของมอลต์และฮอปที่พอเหมาะ คือไม่ฉุนเกินไปจนเอียน แต่เรื่องนี้ไม่น่าห่วงเท่ากับมีกลิ่นน้อยเกินไป โดยเฉพาะเบียร์ตลาดที่เราดื่มในเมืองไทยนั้น ให้กลิ่นจางเกินไป (ยกเว้นตอนอ้วก ซึ่งเป็นกลิ่นเบียร์ที่บูดเสียแล้ว) เบียร์ดีบางยี่ห้อนั้น แค่รินลงแก้วก็ได้กลิ่นหอมออกมาแล้วโดยยังไม่ทันดื่ม
สมดุลคือส่วนผสมที่ลงตัวของรสชาติและกลิ่น เช่นได้ส่วนผสมที่พอเหมาะและไม่เปลี่ยนแปลงในการดื่ม ได้กลิ่นที่ลงตัวของมอลต์และฮอป เป็นต้น เรื่องสมดุลนี้เป็นศิลปะสำคัญที่สุดของ brewmaster หรือศิลปินหมักเบียร์เลยนะครับ แต่ละอย่างจะมีสัดส่วนอย่างไร หมักในอุณหภูมิเท่าไร บ่มในอุณหภูมิเท่าไร เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เขากำหนดมาไว้ในเบียร์ของเขา
ในอังกฤษแม้จนถึงทุกวันนี้ เขาไม่ได้นับปริมาณของแอลกอฮอล์ในเบียร์เป็นเปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักหรือปริมาตร แต่เขานับกันตาม แรงโน้มถ่วงเดิม หมายความว่ามีสัดส่วนของสารที่สามารถหมักขึ้นได้ต่อปริมาณน้ำเท่าไร เช่นถ้าเบียร์ที่มีสัดส่วนของแรงโน้มถ่วงเดิมเท่ากับ ๑๐๔๐ ก็แปลว่ามีสารที่หมักขึ้นได้อยู่ ๔๐ ส่วนในปริมาณน้ำ ๑๐๐๐ ส่วน ยิ่งมีสัดส่วนของสารที่หมักขึ้นได้มาก ก็มีแนวโน้มว่าจะมีแอลกอฮอล์สูงขึ้น
ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ความสมดุลเฉพาะเรื่องของส่วนผสมเพียงอย่างเดียว มีความสำคัญขนาดไหน เราในฐานะผู้ดื่มหรือผู้ขายเบียร์จึงไม่ควรไปเปลี่ยนสมดุลนี้อย่างง่ายๆ เช่นไม่ควรเอาน้ำแข็งหย่อนลงไปในแก้วเบียร์เป็นอันขาด เพราะจะทำให้ค่าของแรงโน้มถ่วงเดิมเสียไปทันที เนื่องจากน้ำแข็งละลายน้ำให้เพิ่มขึ้น
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่เบียร์ที่ถูกทำให้เป็นวุ้นหรือแข็งแล้ว แม้เอามาละลายใหม่ก็ทำให้เสียสมดุลไปเหมือนกัน เพราะรสชาติเสียไปอย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น ผมเรียกเบียร์วุ้นหรือเบียร์แช่แข็งเป็นเบียร์ที่เสียแล้วเสมอ ไม่ควรเอามาเสิร์ฟลูกค้าหรือเพื่อนเป็นอันขาด ผมอยากเดาว่า เมื่อเบียร์ถูกทำให้เป็นน้ำแข็ง ก็คือแยกส่วนของน้ำและส่วนผสมอื่นซึ่งเคยผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับน้ำออกจากกัน แม้เอามาละลายอีก ก็ไม่สามารถผสมกลมกลืนกับน้ำได้เหมือนเดิม คือเสียสมดุลไปแล้วนั่นเอง
finish หรือความรู้สึกที่ได้หลังดื่มเป็นเรื่องอธิบายยาก ดื่มลงไปแล้วรู้สึกสดชื่น, อร่อย, กินอาหารอื่นลงไปแล้วก็ไม่รู้สึกพะอืดพะอม ฯลฯ พูดสั้นๆ ก็คือดีล่ะครับ
คราวนี้ก็ถึงเรื่องของอุณหภูมิในการดื่มเบียร์
อุณหภูมิของเบียร์นั้นมีหลายระดับ แล้วแต่ว่าเป็นเบียร์ชนิดไหน ที่คนอังกฤษมักดื่มเบียร์ในอุณหภูมิ ห้อง ก็เพราะเบียร์ของเขาเป็นพวกเอลซึ่งต้องการอุณหภูมิในการดื่มสูงกว่า เบียร์ดีๆ บางยี่ห้อจะบอกอุณหภูมิสำหรับดื่มไว้ที่ข้างขวดเลย บ้านเราผลิตเบียร์ลาเกอร์ตระกูลพิลสเนอร์เป็นส่วนใหญ่ เบียร์ประเภทนี้ควรดื่มที่อุณหภูมิ ๑๐ องศาเซลเซียส (ต่ำกว่าเบียร์อื่นๆ อีกหลายประเภท)
แต่อย่าเคร่งครัดนักนะครับ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ก็อาจแช่เย็นให้ต่ำกว่านี้ไปอีกสักหนึ่งหรือสององศา กะว่าเมื่อรินเบียร์แล้วดื่มไปสัก ๑/๔ แก้ว เบียร์ที่เหลือจะอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมพอดี ถ้าไปดื่มเบียร์ยอดดอยในหน้าหนาว ก็อาจไม่ต้องแช่เลยก็ได้
อุณหภูมิระดับนี้คอเบียร์เมืองไทยจะบอกว่าเย็นไม่พอ (ส่วนใหญ่ถ้าไม่นับเบียร์วุ้นแล้ว คอเบียร์เมืองไทยจะดื่มเบียร์ที่ประมาณ ๔ องศา หรือต่ำกว่านั้น) แต่ขอให้คุณลองดื่มเบียร์ในอุณหภูมิ ๑๐ องศาดูสักครั้งเถิดครับ แล้วสังเกตให้ดีว่า คุณได้กลิ่นของมอลต์และฮอปดีขึ้น และรสชาติก็มีความหลากหลายมากกว่าขมเพียงอย่างเดียว
ข้อแนะนำคอเบียร์และเจ้าของร้านขายเบียร์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ซื้อเบียร์มาเป็นลังแล้ว อย่าเพิ่งรีบเอาแช่ตู้เย็น จะกินเบียร์หรือขายเบียร์ตอนเย็นก็แช่ก่อนดื่มสัก ๒-๓ ชั่วโมง ทยอยไหลเวียนเข้าตู้เย็นไปเรื่อยๆ เพราะอย่างที่บอกแล้วว่าเบียร์แช่เย็นไว้นานๆ นั้นเสียรสเสียกลิ่น ส่วนที่ยังไม่ดื่มหรือยังไม่ได้ขาย ก็เก็บไว้ในลังให้มิดชิด ไม่เปิดให้แสงเข้า วันหลังจะดื่มใหม่ค่อยแช่ใหม่
Create Date : 19 เมษายน 2549 |
Last Update : 19 เมษายน 2549 18:35:40 น. |
|
28 comments
|
Counter : 3990 Pageviews. |
|
|
|
โดย: นายอร วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:19:32:53 น. |
|
|
|
โดย: PADAPA--DOO วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:19:55:59 น. |
|
|
|
โดย: ชาจัง IP: 124.120.17.131 วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:20:46:30 น. |
|
|
|
โดย: Markabyte วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:21:30:09 น. |
|
|
|
โดย: เสือจ้ะ วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:22:52:42 น. |
|
|
|
โดย: Cutetetsu วันที่: 20 เมษายน 2549 เวลา:6:54:40 น. |
|
|
|
โดย: lovetree วันที่: 20 เมษายน 2549 เวลา:11:07:04 น. |
|
|
|
โดย: เสือจ้ะ วันที่: 20 เมษายน 2549 เวลา:11:46:29 น. |
|
|
|
โดย: superjack วันที่: 20 เมษายน 2549 เวลา:19:07:05 น. |
|
|
|
โดย: mungkood วันที่: 21 เมษายน 2549 เวลา:0:25:31 น. |
|
|
|
โดย: แ ม ง ป อ วันที่: 21 เมษายน 2549 เวลา:2:20:42 น. |
|
|
|
โดย: เม IP: 58.147.124.154 วันที่: 22 เมษายน 2549 เวลา:13:14:57 น. |
|
|
|
โดย: เสือจ้ะ วันที่: 22 เมษายน 2549 เวลา:14:03:52 น. |
|
|
|
โดย: อพันตรี IP: 203.113.45.198 วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:12:17:57 น. |
|
|
|
โดย: หมูน้อยกลางสายฝน (pippojuve ) วันที่: 23 เมษายน 2549 เวลา:16:56:28 น. |
|
|
|
โดย: POL_US วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:2:52:04 น. |
|
|
|
โดย: นายเบียร์ วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:23:30:50 น. |
|
|
|
โดย: polla IP: 203.146.63.184 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:37:59 น. |
|
|
|
โดย: HEAVY IP: 58.9.24.201 วันที่: 9 ตุลาคม 2553 เวลา:14:35:08 น. |
|
|
|
โดย: คนรักเบียร์ IP: 124.121.166.174 วันที่: 11 ธันวาคม 2553 เวลา:9:19:23 น. |
|
|
|
โดย: คนรักเบียร์ IP: 124.121.166.174 วันที่: 11 ธันวาคม 2553 เวลา:9:19:23 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนบางคนอยากมีเงินเท่าทะเล เขาจึงมีความทุกข์เท่าทะเล...... เพียงเพราะต้องดิ้นรน........ หาเงินให้เท่ากับทะเล
คนบางคนอยากมีเพียงเบ็ดสักคัน เพียงเพื่อหาปลาตัวนึง....จากทะเล กลับไปเป็นอาหารเย็น และมีความสุขกับ....การนอนนับดาว ยามค่ำคืนบนชายหาดที่สงบเงียบ
|
|
|
|
|
|
|
|
ได้ผลไงแล้วจะกลับมาอีกทีครับ