Live another day...
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
หมอหมากับยาใจ ตอน 4 : ลูกสาวแม่ค้า (2)

การทำงานวันแรกผ่านไปด้วยความราบรื่น ช่อม่วงเดินอมยิ้มอย่างมีความสุข และเป็นอีกครั้งที่ได้กลับมาพักที่อาพาร์ทเม้นส่วนตัว หลายวันแล้วที่เธอต้องกลับไปอยู่บ้านเพราะเครียดที่อยู่ ๆ ก็ต้องตกงานเพราะทนความประพฤติของนายจ้างไม่ไหว การกลับมาอยู่ที่ห้องพักส่วนตัวมีข้อดีหลายอย่าง แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกัน

“ไม่เห็นหน้าหลายวันเลยนะครับ”

พนักงานรักษาความปลอดภัยของอาคารเอ่ยทัก ช่อม่วงหันไปยิ้มให้เพราะคุ้นหน้ากันดี ทั้งยังเคยสนทนากันมาบ้างแล้ว หล่อนจึงคุยได้โดยไม่ต้องหวาดระแวง

“อ๋อ พอดีมีธุระน่ะค่ะ”

“งั้นเหรอครับ แหม ผมล่ะใจหายหมดเลย นึกว่าคุณจะย้ายไปซะแล้ว” คนพูดยิ้มจนตาเล็กหยี แววตาใสซื่อปราศจากความมุ่งร้าย

“ยังค่ะ ช่อยังอยู่อีกนานเลย ขอบคุณที่ยังนึกถึงกันนะคะ”

“ยินดีครับผม”

ช่อม่วงยิ้มให้ก่อนเดินผ่านประตูกระจกที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเปิดไว้ให้อยู่แล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นข้อดี การออกมาอยู่ตัวคนเดียวในที่แบบนี้ จำเป็นต้องมีคนรู้จักที่ไว้ใจได้บ้าง ไม่อย่างนั้น ชีวิตเธอคงต้องอยู่กับหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา สังคมเปลี่ยนไป ค่านิยมฟุ้งเฟ้อมีอิทธิพลมากขึ้น ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งเลือกวิธีทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ

เมื่อเข้าไปในห้องเธอก็ตรงไปที่โซฟา กระเป๋าสะพายถูกวางทิ้งไว้ที่โต๊ะกระจกสีชา ความเหนื่อยล้าทำให้ช่อม่วงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จในเวลาไม่กี่นาที โทรศัพท์ส่วนตัวถูกหยิบขึ้นมา ชื่อของจอมใจอยู่ในลำดับแรกของรายชื่อทั้งหมด หญิงสาวเรียกไปยังหมายเลขปลายทาง ไม่กี่วินาทีก็มีเสียงตอบกลับมา

“ฮัลโหล ว่าไงช่อ มีอะไรจะให้รับใช้หรือจ๊ะ”

“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่จะโทร.มาบอกว่า เราได้งานแล้วนะ เพิ่งทำวันนี้วันแรก”

และก็ไม่ผิดอย่างที่ช่อม่วงคาดไว้ จอมใจส่งเสียงเอ็ดตะโรกลับมาทันที

“อะไรนะ นี่หล่อนได้งานทำแล้วเหรอ เก็บเงียบเชียวนะ ใจคอจะไม่บอกกันเลยรึไงฮึ หรือชอบทำเซอร์ไพรซ์ ?”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น พอดีมันกะทันหันน่ะ ไปสมัครแล้วเขาก็ขอสัมภาษณ์เลย ถูกใจตรงไหนไม่รู้ คงเห็นเรามีประสบการณ์การทำงานมาแล้วมั้ง เขาก็ถาม ๆ เรื่องงานที่เก่าน่ะ พอคุยเสร็จก็ให้รอพักนึง แล้วก็มาบอกเราว่ารับเข้าทำงานแล้ว”

“แล้วไปทำตำแหน่งอะไรยะแม่คุณ”

“ผู้จัดการทั่วไปจ้ะ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องมาค่อนขอดว่าชั้นใฝ่ต่ำไปเป็นเบ๊รับใช้เค้านะ แผนกนี้เขาเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ย่ะ รองรับการขยายงานในอนาคต ทำ ๆ ไปสักพัก พองานเข้าที่ เดี๋ยวเขาก็ปรับตำแหน่งให้อีกที” ช่อม่วงรีบสาธยายเหยียดยาวก่อนจะโดนจอมใจขัดคอ ทำให้อีกฝ่ายต้องเก็บคำพูดที่คิดไว้ทีแรก แต่ยังมิวายเหน็บแนม

“เริ่ดนะหล่อน ไปเป็นหัวหน้าแผนกเพื่อรองรับการขยายงาน แล้วอีกกี่สิบปีบริษัทถึงจะขยายล่ะจ๊ะ หล่อนมิหัวหงอกก่อนเหรอ”

“จะบ้าเหรอ คิดเอาเองอีกแล้วนะจอม เราบอกแล้วไงว่าเขาทำไว้รองรับการขยายงาน โปรเจคนี้เขาแพลนยาวไปถึงปีหน้าเลยนะ พอบริษัทลูกตั้งเสร็จ เราก็จะไปนั่งแป้นทำหน้าใหญ่เป็นนักเลงโตที่นั่น เป็นไง เจ๋งไหม”

“โถ ๆ ๆ ๆ ยังหวังจะเป็นใหญ่เป็นโตอีกนะแม่คุณ เออ ๆ เอาเป็นว่าฉันเอาใจช่วย ขอให้เธอฟันฝ่าอุปสรรคในการทำงานไปได้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกันนะ อ้อ แล้วก็อย่าโชคร้ายไปเจอเจ้านายลามกอีกล่ะ”

ช่อม่วงหัวเราะเสียงใส ใบหน้าผ่อนคลายด้วยรู้สึกสบายใจ

“ขอบใจจ้ะ เราคงไม่โชคร้ายแบบนั้นหรอก เพราะดู ๆ แล้ว ที่นี่เขาเน้นคนบุคลิกดีดูมีระดับกันทั้งนั้น เรื่องจะมาทำประเจิดประเจ้อกับลูกน้องคงไม่มีหรอก”

“จ้ะ ถ้าได้งานดีฉันก็ดีใจด้วยนะ ทีนี้เธอก็จะกลับบ้านแค่ช่วงเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิมใช่ไหม ฉันจะได้แวะไปหา” จอมใจถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าช่อม่วงต้องไปพักที่อาพาร์ทเม้นแน่นอน

“อือ คงอย่างนั้นแหละ ให้ไปกลับบ้านทุกวันไม่ไหวหรอก ค่ารถแพงจะตาย แถมต้องเสียเวลาต่อรถอีก อยู่ที่นี่ เรานั่งรถไฟฟ้าไปแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว”
“งั้นก็ดีแล้ว ดีใจด้วยนะจ๊ะ”

“ขอบใจจ้ะ แล้วค่อยเจอกันนะ”

“โอเค บายจ้ะ”

บทสนทนาสิ้นสุดลงในเวลาอันสั้น อุปกรณ์สื่อสารถูกวางไว้บนโต๊ะข้างกระเป๋าสะพายสีดำ ช่อม่วงอมยิ้ม เอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายใจ เพียงเริ่มต้นก็รู้สึกว่าทุกอย่างช่างสดใส เงินเดือนใหม่ที่ได้รับถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพและรายได้ที่เธอเคยได้รับ ความหวังที่จะได้เป็นเสาหลักของบ้านเรืองรองอีกครั้ง

“รอก่อนนะแม่ พอทุกอย่างเข้าที่ แม่กับพี่พุดก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว”


.
ประตูห้องทำงานถูกปิดกระแทกอย่างแรง ความรีบร้อนทำให้ครูหนุ่มไม่ใส่ใจว่าจะมีอะไรเสียหายหรือไม่ ทันทีที่คล้องกุญแจเรียบร้อยเขาก็กดล็อคมันอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งพุ่งไปยังจักรยานคู่ชีพที่พิงไว้ข้างบันได ปรานนท์รีบควบพาหนะของตนไปที่ประตูโรงเรียน พอเห็นครูหนุ่มรีบร้อน ยามที่เฝ้าประตูก็รีบเปิดทางให้เขาทีนที

“กลับมืดเหมือนกันนะครู” ยามสูงอายุถามทักพร้อมทำความเคารพไปในตัว

“ครับ” ความรีบร้อนทำให้ปรานนท์หันไปตอบแค่คำเดียว ขายังถีบจักรยานไม่ยอมหยุด ด้วยอยากไปถึงจุดหมายเร็ว ๆ

“โชคดีนะครับ”

ครูหนุ่มได้ยินเสียงยามคนนั้นตะโกนตามหลังมา เขาเพียงเอี้ยวตัวหันกลับไปผงกศีรษะให้ จากนั้นก็รีบไปต่อ

หลายวันมานี้ปรานนท์และเพื่อนครูคนอื่น ๆ ต่างวุ่นวายอยู่กับการประชุมแผนงานของโรงเรียน กิจกรรมกีฬาสีที่ใกล้เข้ามาทำให้ทุกคนต้องแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ทุกอย่างเพิ่งสรุปลงตัวในวันนี้ เมื่อมีเวลาว่าง จุดหมายแรกที่เขาจะไปก็คือบ้านของช่อม่วงนั่นเอง

ปรานนท์นำรถจักรยานวางพิงไว้ที่รั้วหน้าบ้านช่อม่วงเหมือนอย่างเคย แสงไฟจากคลินิกรักษาสัตว์เลี้ยงของมัจฉานุทำให้ครูหนุ่มตวัดสายตาไปทางนั้นโดยอัตโนมัติ เขาเขม้นมองจนแน่ใจว่าช่อม่วงไม่ได้อยู่ที่นั่นแน่ ๆ จึงเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไปในบ้านของเธออย่างสบายอารมณ์ อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่หล่อนไม่ได้ไปขลุกในคลินิกนั้นเหมือนที่เห็นเมื่อหลายวันก่อน

“เสียดาย แป้งหมดซะก่อน ไม่งั้นแม่จะทำถั่วตัดไปขายด้วย พรุ่งนี้ต้องมีลูกค้าถามหาแน่เลย” ปลายพูดกับพุดกรองขณะที่มือก็คอยจัดขนมลงถาด

“ยังมีเผือกตัดนี่คะ คงพอถูไถไปได้ หรือถ้าแม่จะทำจริง ๆ เดี๋ยวพุดออกไปซื้อของมาให้ก็ได้นะ” พุดกรองเสนอ ร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไรนัก เรื่องจะออกไปซื้อของตอนพลบค่ำจึงไม่ลำบากแต่อย่างใด

“ไม่ต้องก็ได้จ้ะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยซื้อที่ตลาดดีกว่า ถูกกว่ากันตั้งเยอะ แม่ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ ของเคยทำเคยขาย ลูกค้าก็ซื้อประจำ เลยอดบ่นไม่ได้เท่านั้นเอง” ปลายว่า

ที่จริงนางไม่อยากให้ลูกสาวออกไปเดินข้างนอกในเวลาค่ำมืด แม้จะแค่ระยะทางใกล้ ๆ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ปลายรู้สึกว่าสังคมเมืองนับวันยิ่งอันตราย แม้แต่คนแปลกหน้าที่เดินสวนกันยังต้องระแวงว่าจะมีมิจฉาชีพปะปนมาด้วยหรือไม่

“สวัสดีครับ”

เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้าน ครูหนุ่มยืนนิ่ง รอให้สองแม่ลูกเอ่ยปากเชิญชวนให้เขาเข้าไป

“อ้าว ปรานนท์ มาทำไมค่ำ ๆ จ๊ะ หรือว่าจะมาหายายช่อ” ปลายถามพร้อมกับเดินออกไปคุยด้วย

“สวัสดีครับแม่ ขอโทษด้วยครับที่ผมมารบกวน ช่วงนี้ที่โรงเรียนกำลังเตรียมงานกีฬาสีกันอยู่น่ะครับ ผมก็ติดประชุมซะหลายวัน พอวันนี้ว่างก็รีบแวะมาเลยครับ ตอนนี้ช่อเป็นยังไงบ้างครับ วันก่อนเห็นดูเครียด ๆ พิกล” ชายหนุ่มหาข้ออ้าง อันที่จริงเขาตั้งใจมาหาช่อม่วงโดยเฉพาะ แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียดจึงต้องยกเหตุผลดี ๆ มาอ้างก่อนเสมอ

ปลายฟังแล้วก็อมยิ้ม ใจหนึ่งก็นึกชื่นชมในความพยายามของปรานนท์ แต่เสียดายที่ลูกสาวของนางไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเพื่อนคนนี้เลย

“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ยายช่อได้งานแล้ว วันนี้ก็เดินปร๋อไปทำงานแต่เช้าแล้วก็จะเลยไปพักที่อาพารทเม้นของเขาเลยจ้ะ ถ้านนท์อยากเจอก็คงต้องรอวันศุกร์นั่นล่ะ ยายช่อจะกลับวันนั้น”

ปรานนท์ประหลาดใจไม่น้อย อดพูดเล่นแกมประชดไปถึงผู้หญิงในดวงใจไม่ได้

“โอ้โห นี่ผมไม่ได้มาแค่สองวันก็ตกข่าวซะแล้วเหรอครับ ยายช่อนี่ร้ายจริง ๆ ได้งานแล้วก็ไม่มีบอกกันสักคำ”

“เอาเถอะ นนท์อย่าน้อยใจไปเลย เอาไว้ถ้าเจ้าตัวกลับมา แม่จะบอกให้นะว่านนท์แวะมาหา”

ครูหนุ่มยิ้มหน้าบาน รู้สึกเหมือนกับว่าปลายยังเข้าข้างเขาอยู่
“ขอบคุณครับแม่ งั้นผมลากลับก่อนนะครับ”

“จ้ะ แล้วค่อยมาใหม่วันหลังนะปรานนท์”

“ครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยความเคารพ แล้วจึงหันหลังกลับออกไป พุดกรองถือโอกาสเดินไปยืนหน้าประตูกับแม่ ทันได้เห็นปรานนท์ขี่จักรยานหายไปในความมืด

“แวะมาหายายช่ออีกแล้วเหรอคะ”

“จ้ะ” ปลายพยักหน้าก่อนจะพูดต่อไปว่า “นนท์เขาพูดเหมือนน้อยใจด้วยนะที่ช่อไม่ยอมบอกเขาเรื่องงาน”

พุดกรองขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

“แล้วจะให้ยายช่อไปบอกในฐานะอะไรล่ะคะ แค่เพื่อนกัน จะบอกเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไม่ได้เป็นแฟนสักหน่อย ทำไมยายช่อจะต้องไปรายงานทุกอย่างให้รู้ด้วย ถึงจะนิสัยดีช่างเอาใจก็เถอะ แต่ถ้ามาตามจิกกันขนาดนี้ พุดว่าพิลึกอยู่นะแม่”

“ก็จริงของเรานะ...” ปลายผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดที่กำลังบีบตัวแน่นขึ้นทุกที...ทุกที...

.
สัปดาห์แรกของการทำงานผ่านพ้นไปด้วยดี เมื่อถึงวันที่ต้องกลับบ้าน สีหน้าของช่อม่วงจึงเปี่ยมไปด้วยความสุขสำราญใจ นอกจากกระเป๋าสะพายสีดำแล้ว ในมือของเธอยังมีถุงส้มสายน้ำผึ้งกับมังคุดอีกข้างละสองกิโล
หญิงสาวถอดรองเท้าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ถุงผลไม้ถูกรวบไว้ในมือเดียว และก่อนที่ช่อม่วงจะก้าวเข้าไปในบ้าน แมวแสนรักก็ออกมายืนรอรับเจ้านายสุดที่รักของมัน


“เมี้ยว...”

น้ำเสียงเล็ก ๆ ออกจากลำคอของแมวไทยที่พยายามทำเสียงออดอ้อนสุดฤทธิ์ พอช่อม่วงเห็น ถุงเงินก็ปฏิบัติการอ้อนทันที มันตรงเข้าไปเคล้าแข้งเคล้าขาเจ้านายที่รักเหมือนจะบอกว่าคิดถึงเสียเหลือเกิน

“ถุงเงิน เจอหน้าก็ประจบเชียวนะ แมวใครน้อ ทำไมน่ารักอย่างนี้”

หญิงสาววางถุงผลไม้ลงกับพื้น แล้วจึงอุ้มเจ้าแมวแสนรู้มากอดจนหนำใจ เจ้าตัวนุ่มขนนิ่มเริ่มอึดอัด มันจึงใช้สี่เท้ายันตัวเจ้านายให้ออกห่าง ช่อม่วงมองหน้าแมวของตัวอย่างตำหนิ

“ทำไมล่ะ กอดหน่อยก็ไม่ได้ อยากเกิดมาเป็นแมวน่ารักทำไมล่ะถุงเงิน” ว่าแล้วเธอก็หอมลงไปบนหน้าแมวทั้งซ้ายทั้งขวา รัวจนเจ้าถุงเงินแทบจะอยากกลับไปเกิดใหม่เพราะหายใจไม่ทัน ระฆังพักยกดังขึ้นก็ตอนที่พุดกรองเดินมานั่นเอง

“อ้าว ไงจ๊ะแม่สาวออฟฟิศ มาถึงแทนที่จะทักคนในบ้านก่อน เห็นแมวดีกว่าแม่กับพี่หรือไงจ๊ะ”

ช่อม่วงหัวเราะออกมาแทบจะทันที เธอปล่อยถุงเงินออกจากอ้อมอก วินาทีที่เป็นอิสระ เจ้าแมวไทยก็วิ่งปร๋อหนีหายไปอย่างรวดเร็ว

“ดูซิ แม้แต่แมวยังกลัว” พุดกรองเหน็บซ้ำอีกครั้ง

คนฟังหัวเราะร่วน พลางแก้ตัวว่า

“โธ่ พี่พุด แบบนี้เรียกกลัวซะที่ไหน ถุงเงินมันคิดถึงช่อต่างหาก พี่ไม่เห็นตอนที่ช่อมาถึง มันเข้ามาอ้อนช่อด้วยนะ นี่ไง เห็นหลักฐานหรือเปล่า” ช่อม่วงชี้ให้ดูขนแมวที่ติดอยู่บนเสื้อสูทและกระโปรงทำงานของตน
“จ้ะ คิดถึง คิดถึงมาก”

“แล้วแม่อยู่ไหนล่ะคะ” หญิงสาวถามพลางหยิบถุงผลไม้มาถือไว้อย่างเดิม

“อยู่ในห้องน่ะจ้ะ เห็นบ่นว่าปวดหัวเลยไปนอนพัก อีกเดี๋ยวคงตื่นแล้วมั้ง”

“งั้นเดี๋ยวช่อขึ้นไปดูแม่ก่อนดีกว่า”

“เฮ้อ ช่อ เมื่อวันก่อนมีคนมาหาแน่ะ” พุดกรองรีบบอกขณะน้องสาวกำลังเดินเข้าบ้าน ช่อม่วงหันมาถามพลางขมวดคิ้ว

“ใครเหรอคะ”

“ปรานนท์ แม่บอกให้เขาแวะมาวันนี้ เดี๋ยวอีกสักพักคงจะมาแล้วมั้ง”

“แล้วนนท์บอกหรือเปล่าคะว่ามาหาช่อทำไม”

พุดกรองมองหน้าน้องสาวก่อนจะพูดออกมาว่า

“ได้ยินแว่ว ๆ ว่าเขาน้อยใจที่เราได้งานแล้วไม่ยอมบอกกล่าว จริง ๆ ก็คงจะแวะมาหาอย่างเคยนั่นแหละ แต่พอรู้ว่าเราไปทำงานแล้วก็แอบมาบ่นกับแม่”
“โถ เรื่องแค่นี้เอง ขอบคุณค่ะพี่พุด ช่อขอไปดูแม่ก่อนนะ”

“จ้ะ...” พุดกรองพยักหน้าช้า ๆ คำพูดบางอย่างถูกเก็บไว้ในใจ ที่จริงเธออยากจะเตือนเรื่องปรานนท์ แต่คิดแล้วว่าหากพูดไปก็จะเหมือนกับว่าเธอไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของช่อม่วงมากเกินไป ของแบบนี้คงต้องให้เจ้าตัวจัดการเอง หากช่อม่วงรู้สึกว่าการแสดงออกของปรานนท์ข้ามเส้นของคำว่าเหมาะสม น้องสาวของเธอคงจะมีวิธีดี ๆ จัดการกับปัญหานี้แน่นอน

ช่อม่วงรีบเอาถุงส้มกับมังคุดไปแช่ไว้ในตู้เย็น จากนั้นก็รีบขึ้นไปดูแม่ของตนในห้องนอน หญิงสาวเคาะประตูเบา ๆ แล้วจึงเปิดอย่างเบามือ ปลายซึ่งนอนตะแคงอยู่ค่อย ๆ พลิกตัวมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าในห้อง

“ช่อเองเหรอ มาถึงนานหรือยังลูก”

ปลายถามบุตรสาวก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้พูดอะไรเสียอีก ช่อม่วงรีบเดินไปนั่งที่ขอบเตียง มองแม่อย่างเป็นห่วง

“เพิ่งมาถึงค่ะ แม่เป็นยังไงบ้างคะ เห็นพี่พุดบอกว่าแม่ปวดหัว”

“จ้ะ แม่ปวดหัวนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เมื่อเช้าน้ำค้างแรงน่ะ สาย ๆ พอเข้าบ้านมาก็เลยมึนหัว พอทำขนมเสร็จแม่ก็รีบกินยานอนเลยนะ ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” ปลายรีบเล่าอาการของตัวเองให้ลูกสาวฟัง เพราะกลัวช่อม่วงจะคิดว่าตนป่วยหนัก

คำบอกเล่าของแม่ทำให้หญิงสาวยิ้มออก

“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วค่ะแม่”

“หิวหรือยังช่อ กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวแม่ไปดูในครัวก่อนนะว่ามีอะไรบ้าง”
ปลายขยับตัวทำท่าจะลุกไปเข้าครัวด้วยตัวเอง ช่อม่วงรีบห้าม

“ไม่ต้องค่ะแม่ ช่อไปดูเองก็ได้ จริง ๆ ช่อยังไม่ค่อยหิวหรอก อ้อ วันนี้มีส้มกับมังคุดด้วยนะคะ เห็นที่ตลาด ดูสด น่าทานดี ช่อเลยซื้อมาอย่างละสองโล”

“ขอบใจจ้ะ เอ้อ แล้วที่ทำงานใหม่เป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรไหม”
ช่อม่วงยิ้มแฉ่ง ตอบอย่างมั่นใจว่า

“ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะแม่ บรรยากาศดูดีกว่าที่เดิมอีก แถมเพื่อนร่วมงานยังเป็นกันเองด้วยนะคะ”

“อืม งั้นก็ดีแล้วล่ะ”

“ช่อไม่กวนแม่แล้วนะคะ ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เหนียวตัวชะมัด”
ประตูไม้สีน้ำตาลแดงถูกปิดอย่างนุ่มนวลพร้อมกับร่างของช่อม่วงที่เดินหายออกไป

.
เวลาหกโมงเย็นของวันนั้น หลังเสร็จงานคุมนักเรียนแล้ว ปรานนท์รีบตรงดิ่งมายังบ้านของช่อม่วงทันทีที่เขาปล่อยนักเรียนคนสุดท้ายกลับบ้าน

ครูหนุ่มขี่จักรยานมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว และเพราะความรีบร้อนนี้เอง จึงทำให้เขาไม่ทันเห็นร่างที่นั่งตะคุ่มอยู่ข้างกระถางต้นไม้ ในจังหวะที่มัจฉานุกำลังถอยหลังเพื่อลุกขึ้นยืน เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่ามีจักรยานวิ่งมาข้างหลัง

“เฮ้ย...ๆ ๆ !”

ปรานนท์ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นร่างของมัจฉานุ พอหมอหนุ่มได้ยินเสียง บั้นท้ายของเขาก็เกือบจะโดนล้อหน้าของจักรยานเฉี่ยวเข้าให้ มัจฉานุกระโดดหลบเกือบไม่พ้น เขาจึงเสียหลักล้มคะมำ ส่วนปรานนท์ก็หักจักรยานเต็มแรงจนเกือบล้มไปเหมือนกัน เมื่อพ้นภาวะวิกฤต ครูหนุ่มรีบจอดจักรยานพลางหันไปมองคู่กรณีที่กำลังควานหาแว่นสายตาที่หล่นอยู่ใกล้ ๆ

“เป็นยังไงบ้างครับพี่นุ” ครูหนุ่มยื่นมือไปให้มัจฉานุจับพร้อมกับขอโทษขอโพย “ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ทันเห็นจริง ๆ นึกว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้ เลยขี่มาซะเต็มที่”

มัจฉานุหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม เขาไม่ได้จับมือปรานนท์เพราะมองไม่เห็น ครูหนุ่มจึงชักมือกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นด้วยตัวเอง พาลคิดไปอีกว่ามัจฉานุคงจะไม่ชอบหน้าตน

“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่ถือหรอก”

“ขอบคุณครับพี่”

“แล้วจะรีบไปไหนเหรอครับ ใกล้ค่ำแล้วนะ” สัตวแพทย์หนุ่มชวนคุยเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ถือโกรธแต่อย่างใด

ปรานนท์อมยิ้ม ตวัดหางตาไปทางบ้านของช่อม่วงก่อนหันมาตอบคำถาม
“แวะมาหาช่อน่ะครับ”

“...งั้นเหรอครับ ตามสบายครับ เดี๋ยวผมจะเข้าบ้านแล้ว ย้ายกระถางต้นไม้มาเกือบทั้งวัน หลังแข็งไปหมดแล้ว” สัตวแพทย์หนุ่มพูดเปิดทางให้อีกฝ่ายได้ไปทำธุระของตัวได้ตามสบาย

“ครับพี่” ปรานนท์อมยิ้ม สายตาของเขามีมากกว่าแค่การกล่าวลา ทว่า มันรวมถึงชัยชนะเล็ก ๆ ที่เขารู้สึกได้

เขาคิดว่ามัจฉานุต้องรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับช่อม่วง และตัวเขาก็รู้เช่นกันว่าสัตวแพทย์หนุ่มรู้สึกอย่างไรกับเธอ ก็แค่เกมเล็ก ๆ ต้องมีใครคนหนึ่งหลีกทางให้อีกคนเท่านั้นเอง !

.
ปรานนท์เข็นจักรยานไปไว้พิงไว้ที่รั้วบ้านของช่อม่วงเหมือนทุกครั้ง ครูหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยหัวใจพองโต วันนี้แล้วที่เขาจะได้พบหน้าผู้หญิงในดวงใจเสียที
“สวัสดีครับทุกคน”
จังหวะที่เขาเข้าไปตรงกับเวลาทานมื้อเย็นของคนบ้านนี้พอดี ชายหนุ่มจึงได้รับการเชื้อเชิญให้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย

“อ้าว ปรานนท์ มา ๆ ได้เวลาพอดีเลย มาทานข้าวกันก่อน” ปลายกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปในครัว

“ครับแม่” ปรานนท์รับคำพร้อมกับเดินเข้าไป สมาชิกในบ้านนั่งกันอยู่พร้อมหน้า เขายกมือไหว้ปลายกับพุดกรองแล้วปรายตาไปทางช่อม่วงซึ่งนั่งอยู่ท้ายโต๊ะ เธอมองหน้าเขาขณะกำลังจะตักข้าวเข้าปาก

“มานั่งทางนี้ก็ได้นนท์ ตรงนี้ว่าง” ช่อม่วงชี้ไปยังเก้าอี้ว่างที่อยู่เยื้องกับตน
“ขอบใจจ้ะ” ปรานนท์รับคำ เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นอย่างไม่ลังเล เพราะอยากอยู่ใกล้เธออยู่แล้ว

“เอาข้าวเยอะไหมปรานนท์” พุดกรองหันมาถาม มือเตรียมตักข้าวใส่จาน
“สองทัพพีก็พอครับ”

พุดกรองจัดการให้ตามที่ขอ ปรานนท์รับจานข้าวมาพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ การรับประทานมื้อเย็นที่หยุดชะงักจึงดำเนินต่ออีกครั้ง

.
การสนทนาบนโต๊ะอาหารไม่มีอะไรมากไปกว่าการไต่ถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไป หลังมื้อหาร ช่อม่วงจึงชวนปรานนท์ออกไปเดินเล่นด้านนอก อากาศเย็นของยามค่ำโรยตัวลงต่ำจนครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ช่อม่วงกับปรานนท์เดินเคียงกัน ทั้งสองก้าวช้า ๆ เหมือนเดินทอดน่อง ที่จริงหญิงสาวตั้งใจจะออกมาส่งเพื่อนของเธอที่หน้าบ้าน แต่ปรานนท์ทำเหมือนไม่ยังอยากกลับ เขาจึงชวนเธอคุยไปเรื่อย ๆ

“งานที่ใหม่เป็นไงบ้าง เข้าท่าไหม”

“อืม ก็ดีนะ ยังไม่มีปัญหาอะไร” ช่อม่วงตอบขณะที่ปลายเท้ายังก้าวไปด้วยจังหวะสม่ำเสมอ

“แล้วตัวไปพักที่ไหน ที่เดิมที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้น่ะเหรอ”

“ใช่ เราก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละนนท์ จะให้ย้ายไปไหนได้ล่ะ ค่าเช่าแพงจะตาย” เธอว่า

“เปล่า นนท์ไม่ได้ว่าตัวสักหน่อย ...นนท์แค่เป็นห่วงน่ะ” ชายหนุ่มทอดเสียงแผ่ว หวังให้คนฟังสัมผัสถึงความรู้สึกลึก ๆ ภายใน

ช่อม่วงหันไปสบตาปรานนท์ตรง ๆ แววตาที่มองมาทำให้หญิงสาวต้องเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่

“คือ... มันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกนนท์ เราอยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหาอะไรนะ อีกอย่าง ความปลอดภัยค่อนข้างสูงด้วย ยังไม่เคยมีเรื่องของหายหรือขโมยขึ้นตึกสักครั้ง สบายใจเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก”

“เฮ้อ ได้ฟังแบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย นนท์เป็นห่วงแทบแย่ อยู่ดี ๆ ก็หนีไปทำงานไม่บอกไม่กล่าว ปล่อยให้เรากังวลอยู่ได้ นี่ถ้าไม่ใช่ช่อ นนท์ไม่ห่วงแบบนี้หรอกนะ”

เป็นอีกครั้งที่ปรานนท์พยายามหยอดคำหวาน ทว่า คนฟังอย่างช่อม่วงกลับไม่รู้สึกอะไร

“ขอบใจที่นนท์เป็นห่วงเรานะ นายเป็นเพื่อนที่ดีของเราเท่า ๆ กับจอมใจเลยรู้ไหม ตอนนี้นอกจากนน์กับจอมแล้ว เราไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย”

ชายหนุ่มยิ้มแห้ง หัวใจที่พองโตก่อนหน้านี้เหมือนจะผ่อนการทำงานไปในบันดล ช่อม่วงยังคงวางสถานะของเขาไว้ที่เดิม ราวกับว่าเธอจะไม่ยอมให้สัมพันธ์นี้แปรไปเป็นอย่างอื่น

“นนท์ดีใจนะ ที่อย่างน้อยช่อก็เห็นว่านนท์เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง นนท์สัญญาว่านนท์จะเป็นคนดีของช่อตลอดไป” เขากล่าวย้ำหนักแน่น

“ขอบใจจ้ะ มืดมากแล้วนะ นนท์กลับบ้านเถอะ ยิ่งมืดจะยิ่งอันตราย”

“แต่บ้านนนท์อยู่แค่ท้ายซอยนี่เองนะ นนท์ก็แค่ครูประถมธรรมดา ไม่มีสมบัติอะไรให้โจรปล้นชิงสักหน่อย”

“แน่ะ นนท์ไม่กลัวแต่เรากลัวนี่ นนท์รีบกลับบ้านเถอะ ไม่งั้นเราจะเป็นห่วงนะ”

ช่อม่วงงัดไม้ตายซึ่งใช้ได้ผลทุกครั้ง สายตาของปรานนท์อ่อนลง ยอมทำตามที่เธอบอกแต่โดยดี

“ก็ได้ งั้นนนท์กลับก่อนแล้วกัน ช่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงนนท์มาก”

“จ้ะ กลับดี ๆ นะ”

“ฮื่อ” ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะขยับจักรยานออกมาในท่าเตรียมพร้อม เขาส่งยิ้มให้ช่อม่วงก่อนจะขี่จักรยานหายไปในความมืด

ไฟถนนนับสิบดวงที่ติดบ้างดับบ้าง ทำให้ถนนเล็ก ๆ สายนี้มีทั้งความสว่างและมืดสลับกันไป บางครั้งมันจึงกลายเป็นที่ซ่อนของพวกมิจฉาชีพไปด้วย ช่อม่วงยืนมองจนแน่ใจว่าคงจะไม่มีเหตุร้ายอะไรกับเพื่อนของตน เธอจึงล็อกกุญแจประตูรั้วแล้วเดินกลับเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัวว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใคร

.
แสงไฟในมัจฉานุเพ็ทแคร์ยังสว่างจ้า สัตวแพทย์หนุ่มนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง เขาเก็บร้านเสร็จนานแล้ว แต่ความคิดวุ่นวายในสมองไม่ยอมให้เขาหยุดพักง่าย ๆ ภาพช่อม่วงกับปรานนท์เดินคุยกันยังติดตา

ชายหนุ่มบอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกหลงใหลช่อม่วงหรืออย่างไรกันแน่ รู้แค่ว่าเมื่อได้เห็นเธอจะรู้สึกมีความสุข ตรงกันข้าม หากปรานนท์ปรากฏตัวขึ้น ความอิ่มเอมจะกลายเป็นกลัดกลุ้มแทบทุกครั้ง

เขาเหลือบตามองไปที่ผนัง นาฬิกาหน้าหมาเรือนโตกำลังส่ายหัวดุกดิกไปมาเหมือนกำลังล้อเลียน ลิ้นสีแดงที่ยื่นยาวออกมาจากปาก ห้อยต่องแต่ง แกว่งซ้ายแกว่งขวาแทนลูกตุ้ม มัจฉานุจ้องดวงตาของมันอยู่หลายนาที แต่ยิ่งมองก็ยิ่งเวียนหัว

“ไม่ไหว สงสัยจะฟุ้งซ่านเกินไปแล้วเรา ไปนอนดีกว่า”

สัตวแพทย์หนุ่มลุกขึ้นยืน กำมือพลางเหยียดแขนขึ้นไปในอากาศ บิดร่างซ้ายขวาสองทีก็คลายความเมื่อยล้าไปได้มาก มัจฉานุเดินไปปิดสวิทช์ไฟ หยิบแม่กุญแจมาไขหมายจะล็อกร้าน ทุกอย่างควรจะดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย แต่เขากลับทำแม่กุญแจหล่นใส่หลังเท้าตัวเอง

“โอ๊ย !!!” ชายหนุ่มร้องลั่น เท้าข้างที่โดนกระแทกด้วยแม่กุญแจยกขึ้นโดยอัตโนมัติ “บ้าเอ๊ย !”

เขาสบถให้ตัวเองฟัง เป็นเพราะความซุ่มซ่ามผสานกับความใจลอยแท้ ๆ จึงทำให้เผลอประทุษร้ายร่างกายแบบไม่ตั้งใจ

นกวิ่งหน้าตื่นออกมา

“นุ ! เป็นอะไร เสียงดังลั่นบ้านเชียว ใครทำอะไรเหรอ ขโมยหรือเปล่า” นกรีบฉวยพลั่วที่วางพิงอยู่ใกล้มาไว้ในมือ หากฟาดมันลงไปบนหัวใคร เจ้าของหัวคงไม่มีแรงลุกมาต่อสู้แน่

มัจฉานุยิ้มแห้ง ประคบมือไว้บนหลังเท้าที่เจ็บระบม

“ไม่มีขโมยหรอกครับแม่ ผมทำแม่กุญแจหล่นใส่หลังเท้าน่ะ...” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อย

“แล้วกัน แม่ก็นึกว่าเอ็งโดนใครตีหัวเข้าแล้ว กำลังว่าจะมาฟาดมันอยู่เชียว” มือที่กำด้ามพลั่วค่อย ๆ ลดระดับลง นกวางมันไว้ที่เดิม หันมาดูรอยช้ำที่ปรากฏอยู่บนหลังเท้าของลูกแทน

“เป็นไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า”

“...เจ็บครับ”

“เอากุญแจมา เดี๋ยวแม่ล็อกให้เอง” ว่าแล้วนกก็คว้าลูกกุญแจกับแม่กุญแจจากมัจฉานุ เมื่อคล้องกุญแจเรียบร้อย นางหันมาเห็นสีหน้าเจ็บปวดของลูกชายก็อดพูดไม่ได้

“แม่ว่ารีบไปทายาก่อนดีกว่า เดี๋ยวมันจะยิ่งช้ำไปกันใหญ่”

“ครับแม่”

“เดินดี ๆ นะ อย่าไปเตะอะไรเข้าอีกล่ะ เดี๋ยวมันจะล้มมาทับแม่ด้วย” นกพูดติดตลก มัจฉานุมองหน้าแม่ตัวเองแล้วยิ้มอย่างอาย ๆ

“มายิ้มอะไร ไป ๆ รีบไปทายาซะ จะได้กินข้าวสักที แม่หิวจะแย่แล้ว”

ชายหนุ่มอมยิ้ม แขนข้างหนึ่งโอบกอดร่างของแม่ แล้วทั้งสองเดินประคองกันไป มีเสียงพูดคุยดังมาเบา ๆ ก่อนจะเงียบหายไปเมื่อมัจฉานุกับแม่เดินขึ้นบ้านไปแล้ว

.
เวลาพักเสาร์อาทิตย์ของช่อม่วงเต็มไปด้วยความหอมหวาน เธอเข้าครัวไปช่วยเป็นกำลังใจให้แม่กับพี่สาวขณะที่ทั้งสองกำลังทำขนม จากนั้นก็ขอส่วนแบ่งเอาไปให้เพื่อนร่วมงานใหม่ เมื่อถึงวันไปทำงาน สองมือของเธอจึงเต็มไปด้วยขนมหวานมากมาย

“เยอะไปหรือเปล่าแม่ ถ้าขาดทุนจะมาว่าช่อทีหลังไม่ได้นา”

ปลายอมยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่เป็นไรหรอก ช่อเอาไปฝากเพื่อนไม่ใช่เหรอ ให้น้อยไปเดี๋ยวเขาจะว่าเอาว่าเรางก เอาไปเถอะ เผื่อเหลือยังดีกว่าขาดไม่พอแบ่งนะ”

“แล้วก็อย่าลืมโฆษณาขนมฝีมือแม่ด้วยล่ะ ช่วย ๆ กันขาย เผื่อจะได้ลูกค้าเพิ่มไง” พุดกรองเสริม

“โห จะดีเหรอพี่พุด อืม... แต่เอาเถอะ จริง ๆ ช่อก็คิดแบบนั้นแหละ แต่เอาไว้สักพักก่อนนะ เอาไปฝากให้ติดใจรสมือของแม่ก่อน แล้วทีนี้ช่อก็จะรอรับออเดอร์ต่อ”

“โอเค แผนนี้ใช้ได้ ทำให้สำเร็จนะจ๊ะ”

สามแม่ลูกหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ใจจริงช่อม่วงอยากจะอยู่คุยกับแม่และพี่อีกสักพัก แต่เมื่อดูเวลาแล้ว เกรงว่าถ้าช้ากว่านี้ เธออาจจะไปทำงานไม่ทัน

“ช่อไปก่อนนะคะ ถ้าผลยังไงจะมาบอกให้ฟังค่ะ”

หญิงสาวกล่าวอำลาแม่กับพี่สาวแล้วพาตัวเองสู่ถนนสายเล็ก ๆ อันคุ้นชิน หลายปีมาแล้วที่เธอวิ่งเล่นโลดโผนอยู่บนถนนสายนี้ มันเป็นเสมือนสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ของวัยเด็ก ทุกสิ่งรอบตัวดูน่าสนใจเสมอ แม้แต่การขยับปีกของผีเสื้อยังกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์

สวิทช์ความทรงจำในวัยเด็กปิดลงเมื่อเธอก้าวพ้นถนนสายนั้น รถยนต์และรถโดยสารที่วิ่งสวนกันบนถนนใหญ่คือภาพปัจจุบันที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ช่อม่วงเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนตัดสินใจขึ้นรถโดยสารปรับอากาศคันแรกที่แวะจอดที่ป้ายรถประจำทาง

.
เมื่อถึงที่ทำงาน ถุงขนมในมือช่อม่วงก็สะดุดสายตาใครต่อใคร มันเต็มไปด้วยขนมหวานหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นเม็ดขนุน ทองหยอด ฝอยทอง ถั่วตัด เต้าส่วน ไปจนถึงขนมลูกชุบ

“ทานขนมไหมคะ ฝีมือของแม่ช่อเองค่ะ รับรองอร่อย”

เธอพูดประโยนี้กับทุกคนที่พบหน้า ช่อม่วงเก็บขนมถุงใหญ่ที่สุดเอาไว้ ตั้งใจจะเอาไปให้กรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นหัวหน้าของเธอนั่นเอง

“ช่อเอาขนมมาฝากค่ะ ฝีมือคุณแม่” หญิงสาวยิ้มพร้อมกับส่งถุงขนมให้เลขาฯ หน้าห้องเจ้านาย

“อุ๊ย ขอบคุณนะคะคุณช่อ”

เธอรับถุงขนมมาอย่างรวดเร็วเหมือนไม่คิดว่าจะมีลาภปากลอยมาถึง ช่อม่วงอมยิ้ม หญิงสาวหันไปทางประตูห้องเจ้านายก่อนถามกับเลขาฯ สาว

“เอ่อ คุณเพ็ญมาหรือยังคะ พอดีช่อมีขนมมาฝากคุณเพ็ญด้วย”

“อ๋อ มาแล้วค่ะ คุณช่อจะเข้าไปให้เองกับมือไหมคะ”

“จะดีเหรอคะ” ช่อม่วงทำท่าลังเล ไม่แน่ใจว่าตนควรทำแบบนั้นหรือไม่ เธอคิดทบทวนครู่หนึ่งก่อนถามกลับไปว่า “ฝากพี่เอาเข้าไปให้ได้ไหมคะ”
อีกฝ่ายรีบโบกมือทันที

“โอ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ คุณช่อเอาเข้าไปให้เองก็ได้ รอเดี๋ยวนะคะ ขอพี่เชคแป๊บนึงว่าคุณเพ็ญว่างหรือเปล่า”

โทรศัพท์ถูกยกขึ้นทันที ช่อม่วงรอฟังผลแค่อึดใจ เลขานุการคนนั้นก็หันมายิ้มให้

“เข้าไปได้เลยค่ะคุณช่อ คุณเพ็ญว่างอยู่พอดี”

“ขอบคุณมากนะคะ” ช่อม่วงส่งยิ้มตอบแทน

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เธอจึงเข้าไปในห้องทำงานของนายใหญ่อย่างระมัดระวัง เจ้าตัวไม่รู้เลยว่า ลับหลังร่างของเธอ เสียงกระซิบนินทาจากทุกซอกมุมก็ดังขึ้นพร้อมกัน

“บอกแล้วไง... ลูกสาวแม่ค้า...”


Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2551 11:20:24 น. 0 comments
Counter : 544 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัญชา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัญชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.