Live another day...
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
4.ลูกสาวแม่ค้า(1)

: บอกก่อนอ่าน:
เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนฉากนิดหน่อยค่ะ เลยไม่ได้มาแปะต่อ
แต่ตอนนี้เขียนจบแล้วววววววววว
ส่งงานแล้วววววววววว
แล้วก็รอลุ้นผลอยู่ค่ะ ^ ^




4.ลูกสาวแม่ค้า(1)

“แม่ พี่พุด ช่อมีข่าวดีมาบอก”

ช่อม่วงตะโกนบอกแม่กับพี่สาวทันทีที่มาถึงบ้าน ประตูรั้วถูกเปิดและปิดอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเดินแกมวิ่งไปที่ม้านั่งหน้าบ้าน ถือโอกาสนั่งแทรกระหว่างแม่กับพี่สาว

“เอ้า มาถึงก็นั่งแทรกกลางเลยนะยายคนนี้”

“เถอะน่าพี่พุด ก็ช่อมีข่าวดีมาบอกนี่นา” ช่อม่วงไม่พูดเปล่า หล่อนเบียดกระแซะพี่สาวจนร่างอีกฝ่ายโอนเอน

“อะไรกันช่อ ทำเป็นเด็ก ๆ ไปได้”

“ขอช่อเป็นเด็กสักวันแล้วกันนะพี่พุด”

ปลายมองลูกสาว รอว่าเจ้าตัวจะบอกข่าวสำคัญเมื่อไร ครั้นพอเห็นช่อม่วงเอาแต่เล่น นางจึงทวงถาม

“ไหนว่ามีข่าวดียังไงล่ะจ๊ะ จะบอกได้หรือยัง”

ช่อม่วงยิ้มหน้าเป็น บอกทั้งสองเสียงดังฟังชัด

“ช่อได้งานใหม่แล้วค่ะ” จากนั้นหล่อนก็นั่งนิ่ง อมยิ้มจนแก้มป่อง ๆ แทบจะระเบิดออกมา

“เหรอจ๊ะ แม่ดีใจด้วยนะ แล้วหนูต้องไปเริ่มงานเมื่อไหร่” สีหน้าของปลายดูสดใสไม่แพ้ลูกสาว ข่าวดีเช่นนี้พลอยทำให้พุดกรองดีใจตามไปด้วย

“มะรืนนี้เริ่มงานเลยค่ะ”

“พี่ดีใจด้วยนะ ว่าแต่เขาให้เราไปทำตำแหน่งอะไรล่ะ” พุดกรองถามอย่างสนใจ

“ผู้จัดการทั่วไปค่ะ ก็จะต้องประสานกับแต่ละแผนกแล้วก็ต้องคอยตามงานแผนกต่าง ๆ ด้วยว่าทำงานถึงไหนแล้ว ถ้าลูกค้าถามจะได้บอกได้”

พุดกรองขมวดคิ้วเล็กน้อย อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“อ้าว แบบนี้ก็เท่ากับเราต้องคอยรับใช้ทุกแผนกเลยสิ”

ช่อม่วงหน้าแห้ง ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่หล่อนไม่ยอมพูดออกมาตรง ๆ ทำเลี่ยงไปเลี่ยงมาเพื่อสร้างภาพให้ดูดีในสายตาของแม่และพี่ เพราะไม่อยากให้ทั้งสองเป็นห่วง

“แหม แรก ๆ มันก็แบบนั้นแหละค่ะ แต่ดีออกนะ ช่อจะรู้ระบบการทำงานทั้งหมดเลยว่า ต้องทำอะไรก่อนหลัง แต่ละฝ่ายทำงานไปถึงไหนแล้ว จะเรียกว่าเป็นศูนย์กลางข้อมูลก็ได้นะ”

“เอาเถอะ ทำอะไรก็ได้ แต่ขอให้ทำแล้วมีความสุขแล้วกันนะลูก”

“ค่ะแม่”

“แล้วที่ทำงานใหม่อยู่ไกลหรือเปล่า”

กับคำถามนี้ พุดกรองต้องกลั้นใจรอฟังคำตอบ เพราะหากที่อยู่ทำงานอยู่ไกล ช่อม่วงคงไม่แคล้วต้องกลับไปอยู่ไกลตาอีกเป็นแน่

“อืม ก็พอสมควรค่ะ ช่อคงจะกลับไปอยู่อาพาร์ทเม้นตามเดิม เสาร์อาทิตย์ค่อยกลับบ้านเหมือนเมื่อก่อนไงคะ”

หญิงสาวทำหน้าทะเล้น อยากให้แม่กับพี่สาวคิดว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา คนทำงานส่วนใหญ่ต้องไปหาที่พักที่อยู่ในเมืองและใกล้ที่ทำงานกันทั้งนั้น สภาพการจราจรที่ไม่เป็นใจและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกือบทุกครอบครัวต้องมีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนต้องออกไปหาที่พักที่สะดวกในการเดินทางมากกว่า

“แล้วช่อจะไปนอนที่ห้องโน้นเมื่อไหร่จ๊ะ”

ช่อม่วงสบตาแม่ก่อนตอบ
“คงจะวันมะรืนเลยค่ะ พอไปทำงานวันแรก ช่อก็จะกลับไปนอนที่โน่นเลย ส่วนวันนี้กับพรุ่งนี้ ช่อขออยู่อ้อนแม่กับพี่พุดก่อนนะคะ”

ปลายยิ้มกว้าง มองไปทางลูกสาวคนโตก็เห็นนั่งอมยิ้มอยู่เหมือนกัน ถึงจะต้องห่างกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ ณ เวลานี้ นางพอใจแล้วที่ช่อม่วงยังให้ความสำคัญกับสมาชิกในครอบครัวเหมือนเช่นเดิม

.
ความเงียบสงบทำให้มัจฉานุอดหันไปมองรอบตัวไม่ได้ เขาแปลกใจที่วันนี้ไม่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของใครบางคน

“หายไปไหนนะ ไม่ยักมาป่วนเหมือนทุกวัน”

ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะปล่อยความคิดอย่างอิสระ มัจฉานุบรรจงเช็ดเก้าอี้ไม้สี่เหลี่ยมทั้งที่วันนี้ยังไม่มีลูกค้าแวะมาด้วยซ้ำ ความตั้งใจของเขาคือทำความสะอาดมันเพื่อรอการมาเยือนของใครคนหนึ่ง

“ไงนุ แค่เช็ดเก้าอี้ทำไมต้องทำตาเยิ้มด้วยล่ะลูก ทำไม จะแต่งงานกับเก้าอี้ตัวนี้รึไง”

คำหยอกล้อแรง ๆ ของแม่ทำให้สัตวแพทย์หนุ่มสะดุ้งจนแทบจะทำแว่นสายตาหล่นลงพื้น ยังดีที่เขามีสติพอจะคว้ามันไว้ได้ทัน มัจฉานุรีบสวมแว่นให้เข้าที่ก่อนหันไปตอบคำถามของแม่

“เปล่าสักหน่อยแม่ คิดมากไปได้”

นกเดินมาดูลูกใกล้ ๆ รู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง

“อะไรของเอ็งเจ้านุ แม่ล้อซะขนาดนี้ยังไม่เถียงสักคำ จะไม่แก้ตัวให้ชื่นใจหน่อยเหรอ”

“แก้ตัวเรื่องอะไรล่ะแม่ ?” ชายหนุ่มถามหน้าซื่อ

“เออ ๆ ช่างเถอะ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป งั้นแม่ไปขายของก่อนนะ”

“ให้ผมช่วยไหมครับ” มัจฉานุลุกพรวด เตรียมตัวไปช่วยเข็นรถให้แม่ของตน

“ไม่ต้อง ๆ เอ็งอยู่นี่แหละ แม่เข็นไปเองได้ อยู่เฝ้าร้านไปเถอะลูก ดูแลบ้านให้ดีด้วยนะ แม่ไปขายของก่อนล่ะ ยิ่งสาย ลูกค้าจะยิ่งหาย”

“ครับแม่”

นกเข็นรถออกไปด้วยท่าทางแข็งขัน มัจฉานุมองตามครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับไปยังบ้านหลังข้าง ๆ โดยอัตโนมัติ

“...หายไปไหนนะ”

สายตาของชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าต่างของบ้านอีกหลัง มัจฉานุลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อมองไม่เห็น ‘ใครบางคน’

.
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ‘ใครบางคน’ ก็เดินยิ้มกริ่มมายังสำนักงานเล็ก ๆ ของสัตวแพทย์หนุ่มพร้อมด้วยขนมหวานจานใหญ่

“พี่นุ ป้านกไปตลาดเหรอคะ บ้านเงียบเชียว”

มัจฉานุสะดุ้งเฮือก ตกใจที่อยู่ ๆ คนในความคิดก็แวะมาหา ชายหนุ่มตีหน้าซื่อปกปิดความรู้สึกของตัวเอง

“จ้ะ ๆ แม่เพิ่งไปตลาดเมื่อสักพักนี้เอง ป้าปลายให้เอาขนมมาให้เหรอ”

“ฮื่อ นี่ไง จานเบ้อเริ่ม... รู้ไหมว่าทำไมแม่ให้เอามา” ช่อม่วงตั้งคำถามด้วยนึกสนุก มัจฉานุทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ ก่อนจะตอบไปอย่างที่คิด

“ทำไมล่ะ ทุกทีก็เป็นแบบนี้นี่นา แม่พี่เอาแกงไปให้ป้าปลาย ป้าปลายก็เอาขนมมาให้ มีอะไรก็แบ่งกัน บ้านเราเป็นแบบนี้มานานแล้วนี่นา”

ช่อม่วงยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอบเสียงใสชนิดไม่กลัวคนฟังจะทำโทษหลังได้ฟังคำเฉลย

“ใครบอกล่ะ แม่ตั้งใจจะวางยาป้านกกับพี่นุต่างหาก ขุนด้วยขนมหวานเยอะ ๆ พอเบาหวานรับประทาน ช่อกับพี่พุดก็จะขยายฐานอำนาจมาที่บ้านพี่ เป็นการเพิ่มอิทธิพลด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลคุ้มค่า เป็นไง แผนช่อกับพี่พุดเข้าท่าไหม”

“มะเหงกสิ คิดเหรอว่าเราจะยึดอำนาจง่าย ๆ ขืนลองทำสิ พี่จะได้จับเจ้าถุงเงินมาเป็นตัวประกัน ดูสิว่าทนกันได้ไหม หึหึ...”

ชายหนุ่มทำเสียงคำรามในลำคอ คำขู่ของเขาทำให้ช่อม่วงหน้าเบ้ มือส่งจานขนม ปากก็ต่อว่าไปด้วย

“โห เล่นจี้จุดตายเลยนี่นา ก็ได้ ไม่วางยาก็ได้ เอาไปเลยค่ะ เชิญรับประทานให้อิ่มหนำแล้วอย่าลืมให้ทิปคนส่งของด้วยล่ะ” ว่าแล้วหล่อนก็แบมือรอ

มัจฉานุหันไปมองรอบตัว เหลือบไปเห็นอาหารแมวถุงเล็ก จึงหมายจะให้อีกฝ่ายเป็นค่าขนส่ง และเพราะถุงมีขนาดพอ ๆ กับฝ่ามือ เขาจึงวางถุงอาหารใส่มือตัวเองก่อนจะคว่ำทั้งถุงทั้งมือลงไปบนมือเรียวเล็กของคนขี้งก

“เอ้า เอาไป ถุงเดียวคงพอนะ ตัวเล็ก ๆ คงกินไม่จุหรอก”

ยิ้มเบิกบานของมัจฉานุทำให้ช่อม่วงรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึก ๆ ด้วยสัมผัสอุ่นที่ประทับลงมาบนฝ่ามือ แม้จะมีถุงรางวัลของเจ้าแมวกั้นกลาง ทว่า ความอบอุ่นที่แทรกผ่านจากปลายนิ้วที่แตะลงบนข้อมือของเธอก็ทำให้อกใจของหญิงสาวแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ช่อม่วงกระพริบตา มองหน้ามัจฉานุให้ชัด ๆ เขาก็ยังเป็นเขา พี่ชายและเพื่อนเล่นที่แสนดีและน่ารักของเธอ

“อ้าว มองหน้าพี่ทำไม ถุงเดียวไม่พอเหรอ แหม แสดงว่าถุงเงินมันกินจุเหมือนกันล่ะสิ งั้นเอาไปอีกถุงแล้วกัน”

สัตวแพทย์หนุ่มทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบถุงอาหารแมวมาเพิ่มจริง ๆ ครั้นพอตั้งสติได้ ช่อม่วงก็รีบร้องห้าม

“โอ๊ย ไม่ต้อง ๆ พี่นุ ถุงเดียวก็พอแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก เอาไปอีกถุงก็ได้ คนละรสกัน ลองดูสิว่าถุงเงินมันชอบรสไหนมากกว่า เนี่ย อาหารแมวยี่ห้อนี้เพิ่งออกใหม่เลยนะ พี่ไม่มีแมว ฝากช่อเอาไปลองให้ถุงเงินกินแล้วกัน”

ช่อม่วงตาโต ความหวั่นไหวสลายเป็นปลิดทิ้ง
“โธ่เอ๊ย ช่อก็นึกว่าพี่นุจะใจดี ที่แท้จะหาแมวมาทดลองนี่เอง”

“ไม่ดีเหรอ ได้ของฟรีแถมแมวก็อิ่ม” ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม เป็นรอยยิ้มในแบบที่ช่อม่วงไม่เคยเห็น ประกายระยับในดวงตาที่มองผ่านแว่นมายังเธอ ทำให้ช่อม่วงต้องรีบพาตัวเองออกจากสถานที่แห่งนั้นก่อนที่ความรู้สึกจะสับสนวุ่นวายมากไปกว่านี้

“ขอบคุณค่ะ ช่อไปก่อนนะ”

แล้วร่างของช่อม่วงก็หันหลังกลับทันที เมื่อเดินไปถึงประตู อยู่ ๆ เจ้าตัวก็นึกอยากบอกข่าวบางอย่างกับเขา จึงหันกลับไปอีกครั้ง

“อ้อ มะรืนนี้ช่อจะไปทำงานแล้วนะคะ คงไม่ได้มาป่วนพี่นุอีกหลายวันเลย”
“เหรอ ดีใจด้วยนะ” มัจฉานุตอบรับทั้งที่ยังงงอยู่

“งั้นช่อไปก่อนนะคะ ไปช่วยแม่กับพี่พุดจัดของก่อน แล้วเจอกันค่ะ” พอพูดจบ เจ้าของเสียงก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

มัจฉานุยืนคว้างอยู่กลางสำนักงาน ความคิดของเขากำลังสับสนอยู่กับคำว่าน้องสาวข้างบ้าน ชายหนุ่มรู้สึกว่าบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนแปลงไป การพูดคุยกับช่อม่วงกลายเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษสำหรับเขา

ความรู้สึกที่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ บ่อยครั้งที่มัจฉานุต้องบอกตัวเองว่า ‘นี่ยังไม่ใช่ความรัก’ เขาอาจหลงเสน่ห์ช่อม่วงก็ได้ ผู้ชายเกือบทุกคนชอบผู้หญิงร่าเริงแจ่มใสด้วยกันทั้งนั้น และช่อม่วงก็เป็นหนึ่งในนั้น คงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้

“...เอาเถอะ ไม่เห็นหน้าสักพักคงหายเอง... ต่อให้เราคิดจริง ๆ ยายช่อก็คงไม่คิดอะไรหรอก”

เป็นคำถามและคำตอบที่มัจฉานุมอบให้ตัวเอง หากช่อม่วงจะรู้สึกอะไรกับคนใกล้ตัว ปรานนท์คงจะมีภาษีมากกว่า ถ้าอยากให้ช่อม่วงหันมาสนใจจริง ๆ เขาคงต้องลงทุนลงแรงมากกว่านี้

“บ้า คิดอะไรฟุ้งซ่านไปได้ ทำงานต่อดีกว่า” ชายหนุ่มสะบัดหัวแรง ๆ หลายที ก่อนหันไปทำตัววุ่นวายด้วยการสลับของที่วางในร้านใหม่ทั้งหมด ทั้งที่สิ่งนั้นไม่ช่วยคลายความรู้สึกที่มีต่อช่อม่วงได้เลย

.
เมื่อกลับไปที่บ้าน ช่อม่วงตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตัวเอง ปลายได้ยินเสียงฝีเท้าลูกสาว นางจึงวางห่อข้าวต้มมัดลงในถาด แล้วจึงเดินออกมาจากห้องครัว ทันเห็นช่อม่วงกำลังเดินขึ้นห้องพอดี

“เจอป้านกหรือเปล่าลูก”

ช่อม่วงชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดขั้นถัดไป เธอเปลี่ยนใจลงมาคุยกับแม่ที่ยืนรออยู่ข้างตู้เย็นหน้าครัว

“ไม่เจอค่ะ พี่นุบอกว่าป้านกไปตลาดสักพักแล้วค่ะ ช่อเลยให้ขนมไว้กับพี่นุเลย”

“จ้ะ” ปลายพยักหน้าช้า ๆ “ให้แม่หรือให้ลูกก็เหมือนกัน”

“ค่ะ อืม ช่อไปนอนก่อนนะคะ รู้สึกมึนหัวยังไงไม่รู้” หญิงสาวใส่ข้ออ้างให้ตัวเองแก้เก้อที่ไม่ได้กลับมารายงานแม่ก่อน

“จ้ะ อย่าลืมกินยาด้วยนะลูก”

“ค่ะแม่ ช่อขอตัวก่อนนะคะ”

“จ้ะ” พอแม่พยักหน้า ช่อม่วงก็รีบขึ้นชั้นบนอย่างรวดเร็ว อันที่จริงเธอไม่ได้ป่วยไข้อะไร ที่ป่วยไข้คือความรู้สึกของตัวเองต่างหาก

.
ประตูห้องปิดทันทีที่ร่างของเธอเข้าไปอยู่ด้านใน ช่อม่วงล้มตัวลงนอน เสียงถอนหายใจยาว ๆ ดังออกมาเมื่อศีรษะสัมผัสหมอน ความหวั่นไหวที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันตั้งตัวทำให้ช่อม่วงอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้

“ทำไมนะ ทำไมถึงเป็นพี่นุ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา...”

แล้วเธอก็นึกย้อนไปถึงภาพในวัยเด็ก เธอ พุดกรอง และมัจฉานุเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อโตจนขึ้นวัยมัธยม ครอบครัวของปรานนท์ก็ย้ายมาอยู่ในละแวกบ้าน เขาจึงกลายเป็นเพื่อนเล่นอีกคนที่เธอสนิทด้วย ส่วนจอมใจนั้นมาสนิทกันตอนขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว

หญิงสาวพลิกตัวเปลี่ยนมานอนตะแคงข้าง สมองยังคิดเรื่องมัจฉานุไม่หยุด

“พี่นุมีอะไรดี สูงกว่าเราก็ไม่เท่าไหร่ ทำอะไรก็เฟอะฟะ แต่งตัวก็เชย แถมยังใส่แว่นอีก แหวะ มีดีตรงไหน”

แล้วคำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิดของช่อม่วง สิ่งที่นับได้ว่าดีที่สุดของมัจฉานุคือความมีน้ำใจของเขา ทั้งยังเกรงใจคนอื่น ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะไม่อยากให้ใครตำหนิทีหลังได้ แต่เสน่ห์ที่จับใจเธอวันนี้กลับไม่ใช่สิ่งนั้น
ประกายในดวงตาของเขาต่างหากที่ทำให้เธอสนใจ

บรรยากาศในที่ทำงานใหม่มีแต่ความสดชื่นแจ่มใส ช่อม่วงได้รับการต้อนรับจากเพื่อนร่วมงานใหม่อย่างเป็นกันเอง ยิ้มอย่างไมตรีปรากฏอยู่เกือบทุกใบหน้า

“ช่อขอฝากตัวด้วยค่ะ ถ้ามีอะไรที่ช่อทำไม่ถูกหรือไม่เหมาะก็แนะนำกันได้นะคะ”

เมื่อผู้จัดการแผนกคนใหม่พูดจบเสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราวทั่วห้อง ช่อม่วงกวาดตามองหน้าเพื่อนร่วมงานทีละคน ความอบอุ่นจากรอยยิ้มที่เห็นทำให้เธอมั่นใจว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกมาร่วมงานกับบริษัทนี้

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวคำนับให้ทุกคนในห้อง หลายคนหันไปซุบซิบกัน แล้วก็หันกลับมาทั้งรอยยิ้ม ช่อม่วงจึงเชื่อเหลือเกินว่า สังคมคนทำงานที่นี่จะต้องดีกว่าบริษัทเดิมที่เธอเคยทำงานด้วยแน่นอน

.
“นี่เธอ เห็นผู้จัดการแผนกคนใหม่หรือยัง”

พนักงานหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเริ่มบทสนทนา ผู้หญิงที่นั่งข้างหล่อนพยักหน้าพร้อมกับบอกว่า

“เห็นแล้วค่ะพี่ เหมือนจะอายุเท่า ๆ หนูนะ ท่าทางคล่องงานไม่เบา”

“แล้วเธอรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร...”

คนฟังขมวดคิ้ว สงสัยว่าเพื่อนร่วมงานคนใหม่คงจะมีปูมหลังที่น่าสนใจไม่น้อย ไม่อย่างนั้น เพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างหล่อนคงจะไม่พูดถึง

“ได้ข่าวอะไรมาเหรอพี่ บอกกันมั่งสิ อย่าเก็บไว้คนเดียว เดี๋ยวบูดไม่รู้ด้วยนะ”

“เรื่องดี ดีมาก ดีเชียวแหละ”

แล้วหล่อนก็ก้มไปกระซิบข้างหูให้อีกฝ่ายได้ยินถนัด คนฟังถึงกับทำหน้าตกใจเพราะไม่อยากเชื่อ แต่พอแหล่งข่าวยืนยันก็เริ่มคล้อยตาม

“จริงเหรอพี่ ไม่บอกไม่รู้เลยนะ มาดเขาดูดีมาก ๆ เลยนะพี่” หล่อนชมเปาะก่อนจะร่วมวงนินทาทีหลัง

“ฮื่อ ทีแรกพี่ก็ไม่เชื่อนะ แต่พี่แผนกบุคคลเขายืนยันมาว่าคนนั้นน่ะ เขาให้สัมภาษณ์ไว้แบบนั้น”

“แล้วบริษัทเราก็รับเข้าทำงานเหรอคะ ต๊าย ตาต่ำจริง ๆ ไม่น่าให้มาเกลือกกลั้วกับนักเรียนนอกอย่างพวกเราเลยนะคะ”

คนต้นข่าวรีบจุ๊ปากโดยไว

“...เบา ๆ สิคะคุณน้องขา เดี๋ยวใครได้ยินมันจะไม่ดี คนนั้นเขาเพิ่งมาทำงานวันนี้เองนะ รอดูกันไปดีกว่าว่าจะมีอะไรดี ๆ ให้ดูหรือเปล่า”
สายตาเจ้าเล่ห์มองสบกันอย่างรู้ใจ แล้วหนึ่งในแก๊งค์แมงเม้าท์ก็บินรี่ไปกระจายข่าวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น กลายเป็นเรื่อง ‘นินทา’ ไปทั่ว...




Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2551 8:27:28 น. 2 comments
Counter : 521 Pageviews.

 
อิอิ น่ารักจ้า คุงอัญชา
อยากจะบอกว่า คุงเป็นคนทำให้เรากลับมาอ่าน เรื่องสั้น อีกครั้ง นะจ๊ะ
หลังจากย้ายสังกัด ไปอ่านเรื่องแปล ตั้งกะอยู่มหาลัยแล้ว หง่า๐๐๐
ขอบคุงมากก๊าบบบ


โดย: zMee IP: 125.25.34.211 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:13:13 น.  

 
ขอบกุงก่ะ


แหม เล่นมาชมกันซึ่งหน้าแบบนี้
เค้าเขินนะตัวเอ๊งงงงง


อิอิ



โดย: อัญชา วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:04:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัญชา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัญชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.