ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
สังขปาลนาคราชบำเพ็ญตบะ

สังขปาลชาดก
ว่าด้วยสังขปาลนาคราชบำเพ็ญตบะ



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุโบสถกรรม ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีดังนี้.

ความพิสดารว่า คราวนั้น พระบรมศาสดาทรงยังอุบาสกผู้รักษาอุโบสถทั้งหลายให้ร่าเริงแล้วตรัสว่า โบราณบัณฑิตทั้งหลาย ละนาคสมบัติอันใหญ่แล้ว เข้าจำอุโบสถเหมือนกัน ครั้นเมื่ออุบาสกเหล่านั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล พระเจ้าแผ่นดินมคธเสวยราชสมบัติในพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชานั้น พระชนกชนนีทรงขนานพระนามว่า ทุยโยธนกุมาร เธอเจริญวัยแล้วไปเรียนสรรพศิลปศาสตร์ในเมืองตักกศิลา กลับมาแสดงศิลปะถวายพระราชบิดา ต่อมาพระราชบิดาจึงอภิเษกพระกุมารไว้ในราชสมบัติแล้วผนวชเป็นพระฤๅษีอยู่ในพระราชอุทยาน พระโพธิสัตว์ได้เสด็จไปยังสำนักของพระราชบิดาวันละ ๓ ครั้ง ลาภสักการะใหญ่เกิดขึ้นแก่พระราชฤๅษี พระราชฤๅษีไม่สามารถจะทำแม้เพียงกสิณบริกรรมได้ด้วยความกังวลนั้น จึงทรงดำริว่า ลาภสักการะของเรามากมาย เราอยู่ที่นี่ไม่สามารถจะตัดรกชัฏนี้ได้ เราจักไม่บอกลาพระโอรสแล้วไปอยู่เสียในที่อื่น
พระราชฤๅษีไม่บอกให้ใคร ๆ รู้ เสด็จออกจากสวน ดำเนินล่วงมคธรัฐเข้าไปอาศัยจันทกบรรพต ทำบรรณศาลาอยู่ ณ ที่นั้น ในสถานที่พอไปมาได้ แต่แม่น้ำกัณณเวณณาอันไหลแยกออกจากลำน้ำชื่อสังขปาละ เขตมหิสกรัฐ กระทำกสิณบริกรรม ยังฌานและอภิญญาให้บังเกิดแล้ว ดำรงชีพด้วยการเที่ยวขอเลี้ยงชีพ
นาคราชชื่อสังขปาละออกจาก กัณณเวณณานที พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เข้าไปหาพระราชฤๅษีนั้นเป็นครั้งคราว พระราชฤๅษีก็แสดงธรรมแก่พญาสังขปาลนาคราชนั้น ต่อมาพระราชโอรสของพระราชฤๅษีนั้น อยากจะทรงพบพระชนก แต่ไม่ทราบสถานที่เสด็จไปจึงโปรดให้เที่ยวติดตามก็ทรงทราบว่าประทับอยู่ในสถานที่นั้นจึงได้เสด็จไปพร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย เพื่อทรงเยี่ยมเยียนพระราชฤๅษี รับสั่งให้ตั้งค่าย ณ ที่แห่งหนึ่ง
พระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์สองสามคน เสด็จมุ่งหน้าไปยังอาศรมสถาน ขณะนั้น สังขปาลนาคราช กำลังนั่งฟังธรรมอยู่กับบริวารจำนวนมาก เหลือบเห็นพระราชาเสด็จมา จึงไหว้พระฤๅษีลุกขึ้นจากอาสนะแล้วหลีกไป
พระราชาถวายบังคมพระบิดาทรงทำปฏิสันถารประทับนั่งแล้ว ทูลถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นั่นพระราชาที่ไหนเสด็จมายังสำนักของพระคุณท่าน
ตรัสตอบว่า ลูกรัก นั่นคือพญาสังขปาลนาคราช
พระราชาทรงเกิดความโลภในนาคพิภพ เพราะอาศัยสมบัติของพญานาคราชนั้น ประทับอยู่สองสามวัน โปรดให้จัดภิกษาหารถวายพระราชบิดาเป็นประจำ แล้วเสด็จกลับยังพระนครของพระองค์ทีเดียว โปรดให้สร้างโรงทานไว้ในทิศทั้ง ๔ ยังสกลชมพูทวีปให้เอิกเกริก ทรงบริจาคทาน รักษาศีล ทำการรักษาอุโบสถกรรม ปรารถนานาคพิภพ ในที่สุดแห่งพระชนมายุก็ได้ไปบังเกิดเป็นพญาสังขปาลนาคราชในนาคพิภพ
เมื่อเวลาล่วงผ่านเลยไปนานเข้า เธอกลับเป็นผู้เดือดร้อนรำคาญในนาคสมบัตินั้น นับแต่นั้นมา ก็ปรารถนากำเนิดมนุษย์ จึงอยู่รักษาอุโบสถกรรม แต่เมื่อพญาสังขปาลนาคราชอยู่ในนาคพิภพคราวนั้น การอยู่รักษาอุโบสถไม่สำเร็จผล เกิดศีลพินาศ นับแต่นั้นท้าวเธอจึงออกจากนาคพิภพไปขดวงล้อมจอมปลวกแห่งหนึ่ง ในระหว่างทางใหญ่ และทางเดินเฉพาะคน ๆ เดียว ไม่ห่างแม่น้ำกัณณเวณณานที อธิษฐานอุโบสถ เป็นผู้มีศีลอันสมาทานแล้ว สละตนในทานมุขว่า ชนทั้งหลายผู้มีความต้องการด้วยหนังและเนื้อเป็นต้นของเรา จงนำหนังและเนื้อเป็นต้นไปเถิด แล้วนอนอยู่บนยอดจอมปลวก บำเพ็ญสมณธรรม อยู่รักษาอุโบสถในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แล้วไปสู่นาคพิภพในวันปาฏิบท.
วันหนึ่ง เมื่อพญานาคราช สมาทานศีลนอนอยู่อย่างนี้ มีชาวปัจจันตคาม ๑๖ คน คิดกันว่า พวกเราจักไปหาเนื้อมา มีอาวุธครบมือ เที่ยวไปในป่า เมื่อไม่ได้อะไร ก็กลับออกมา พบพญานาคราชนั้นนอนอยู่บนจอมปลวก คิดกันว่า วันนี้พวกเราไม่ได้แม้แต่ลูกเหี้ย พวกเราจักฆ่าพญานาคราชนี้รับประทาน แล้วคิดต่อไปว่า นาคราชนี้ใหญ่โต เมื่อถูกจับ คงจะหนีไปเสีย จักต้องเอาหลาวแทงที่ขนดทั้ง ๆ ที่ยังนอนทีเดียว ทำให้หมดกำลังแล้วคงจับเอาได้
ชาวปัจจันตคามเหล่านั้นต่างถือหลาวเป็นต้นเข้าไปใกล้ร่างกายของพระโพธิสัตว์ที่มีขนาดเท่าเรือโกลนลำใหญ่ลำหนึ่ง เช่นเดียวกับพวงมะลิอันบุคคลตั้งไว้ นาคราชนั้นประกอบด้วยนัยน์ตาคล้ายเมล็ดมะกล่ำ ศีรษะเช่นกับดอกชัยพฤกษ์และดอกมะลิ ย่อมงามเกินที่จะเปรียบได้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้ง ๑๖ คน พญานาคจึงโผล่ศีรษะออกจากวงขนด ลืมดวงตาอันแดงมองเห็นคนเหล่านั้น มีมือถือหลาวเดินมา จึงคิดว่า วันนี้มโนรถของเราจักถึงที่สุด เรามอบตนในทานมุขแล้ว จึงนอนอธิษฐานความเพียร เราจักไม่ลืมตาดูคนเหล่านี้ด้วยอำนาจความโกรธ แม้เขาเหล่านั้นจะเอาหอกทิ่มแทงสรีระของเราทำให้เป็นช่องน้อยช่องใหญ่ และเนื่องเพราะกลัวศีลของตนจะทำลายจึงอธิษฐานมั่นคง สอดศีรษะเข้าไปในวงขนดนอนอยู่อย่างเดิม
ครั้นคนเหล่านั้นเข้ามาใกล้แล้ว จึงจับหางพญานาคกระชากให้ตกลงภาคพื้น เอาหลาวอันคมแทงที่ขนดแปดแห่ง สอดหวายดำมีหนามเข้าไปตามช่องที่แทง เอาคานสอดในที่ทั้งแปดแล้ว พากันเดินทางกลับหนทางใหญ่
พระมหาสัตว์นับแต่ถูกแทงด้วยหลาว ก็มิได้ลืมตาดูคนเหล่านั้นด้วยอำนาจความโกรธเลย เมื่อถูกเขาเอาคานทั้งแปดหามไป ศีรษะก็ห้อยลงกระทบพื้น ลำดับนั้น คนเหล่านั้นพูดกันว่า ศีรษะของพญานาคห้อยลง จึงให้นอนในทางใหญ่ เอาหลาวเล็กแทงที่ช่องจมูก แล้วเอาเชือกร้อย แล้วยกศีรษะพาดที่ปลายคาน ช่วยกันยกขึ้น เดินทางต่อไปอีก.
ขณะนั้น กุฏุมพีชื่ออาฬาระ ชาวเมืองมิถิลา เขตวิเทหรัฐ นั่งบนยานอันสบาย พาเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางผ่านไป เห็นลูกบ้านชาวปัจจันตคามกำลังหามพระโพธิสัตว์เดินไปอย่างนั้น จึงให้มาสกทองคนละซองมือ กับ โคพาหนะ ๑๖ ตัว แก่คนทั้ง ๑๖ คน และให้ผ้านุ่ง ผ้าห่ม แก่คนเหล่านั้นทุกคน ทั้งให้ผ้าผ่อน และเครื่องประดับ แม้แก่ภรรยาของคนเหล่านั้น ขอร้องให้ปล่อยพญานาคไป
พญานาคไปยังนาคพิภพ มิได้มัวโอ้เอ้อยู่ในนาคพิภพเลย ออกไปหาอาฬารกุฏุมพีพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก กล่าวคุณของนาคพิภพแล้ว เชิญกุฏุมพีนั้นไปยังนาคพิภพ ประทานยศใหญ่พร้อมด้วยนางนาคกัญญาสามร้อยแก่กุฏุมพีนั้น ให้อิ่มหนำสำราญด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์
อาฬารกุฏุมพีอยู่บริโภคกามอันเป็นทิพย์ในนาคพิภพสิ้นเวลาประมาณหนึ่งปีแล้วบอกพญานาคว่า สหาย เราปรารถนาจะบวช รับเอาบริขารบรรพชิตแล้วไปจากนาคพิภพ บวชอยู่ในหิมวันตประเทศสิ้นกาลนาน
ต่อมาอาฬารดาบสจึงเที่ยวจาริกไปจนถึงเมืองพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน รุ่งขึ้นเข้าไปยังพระนครเพื่อภิกษาจาร ได้ไปสู่ประตูพระราชวัง ครั้งนั้นพระเจ้าพาราณสี ทอดพระเนตรเห็นอาฬารดาบสนั้นแล้ว ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถ จึงรับสั่งให้นิมนต์มา ให้นั่งเหนือปัญญัตตาอาสน์ ให้ฉันโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ แล้วประทับนั่งบนอาสนะตำแหน่งหนึ่ง ทรงนมัสการ เมื่อจะทรงปราศรัยกับดาบสนั้น ตรัสว่า
ท่านเป็นผู้มีรูปงามยิ่ง มีดวงตาแจ่มใส ข้าพเจ้าสำคัญว่า ท่านคงเป็น ผู้บวชจากตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ หรือตระกูลเศรษฐี เพราะเหตุไรหรือ ท่านผู้มีปัญญาจึงสละทรัพย์ และโภคสมบัติออกบวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า?
อาฬารดาบส ทูลว่า
ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นจอมนรชน อาตมาภาพเห็นวิมานกาญจนมณี เพียบพร้อมด้วยนางรำ สมบัติของพญาสังขปาลนาคราช ครั้นเห็นมหาวิบากแห่งบุญที่นาคราชนั้นทำมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงออกบวชด้วยศรัทธา อันเป็นไปเพราะเชื่อกรรม เชื่อผลแห่งกรรม และเชื่อปรโลก.
พระราชาตรัสว่า
บรรพชิตทั้งหลายย่อมไม่กล่าวคำเท็จ เพราะความรัก เพราะความกลัว เพราะความชัง ข้าพเจ้าถามท่านแล้ว ขอท่านได้โปรดบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ฟังแล้ว ความเลื่อมใส โสมนัส จักเกิดแก่ข้าพเจ้าบ้าง.
อาฬารดาบส ทูลว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ผู้เป็นอธิบดีในรัฐมณฑล อาตมาภาพเดินทางไปทำการค้าขาย นั่งไปบนยานน้อยข้างหน้าขบวนเกวียน ๕๐๐ เล่ม ได้เห็นบุตรนายพรานช่วยกันหามนาคผู้มีร่างกายใหญ่โตไปด้วยคานแปดอัน เดินร่าเริงไปในหนทางใหญ่.
ดูก่อนพระจอมประชานิกร อาตมาภาพมาประจวบเข้ากับลูกนายพรานเหล่านั้น ก็กลัวจนขนลุกขนพอง ได้ถามเขาว่า ดูก่อนพ่อบุตรนายพราน ท่านทั้งหลายจะนำงูซึ่งมีร่างกายน่ากลัวไปไหน ท่านทั้งหลายจักทำอะไรกับงูนี้.
เขาพากันตอบว่า
งูใหญ่มีกายอันเจริญ พวกเรานำไปเพื่อจะกินเนื้อของมันมีรสอร่อยมัน และอ่อนนุ่ม ดูก่อนท่านผู้เป็นบุตรชาววิเทหรัฐ ท่านยังมิได้เคยลิ้มรส.เราทั้งหลายไปจากที่นี่ ถึงบ้านของตนแล้ว จะเอามีดสับกินเนื้อกันให้สำราญใจ เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นศัตรูของพวกงู.
อาตมาภาพจึงพูดว่า
ถ้าท่านทั้งหลาย จะนำงูใหญ่มีกายอันเจริญนี้ไปเพื่อกิน เราจะให้โค ๑๖ ตัว แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ปล่อยงูนี้เสียจากเครื่องผูกเถิด.
พวกเขาตอบว่า
ความจริง งูตัวนี้เป็นอาหารที่ชอบใจของเราทั้งหลายโดยแท้ และเราทั้งหลายเคยกินงูมามาก ดูก่อนนายอาฬาระผู้เป็นบุตรชาววิเทหรัฐ เราทั้งหลายจักทำตามคำของท่าน ดูก่อนท่านผู้เป็นบุตรของชาววิเทหะแต่ว่าท่านจงเป็นมิตรของเราทั้งหลาย.
ดูก่อนมหาราชเจ้า ครั้นบุตรนายพรานเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว อาตมาภาพได้ให้โคมีกำลัง ๑๖ ตัว เครื่องนุ่งห่ม ทรัพย์คนละร้อย ๆ ทองคำหนึ่งมาสกแก่บุตรนายพรานเหล่านั้น และผ้ากับเครื่องประดับแก่ภรรยาทั้งหลาย ของ บุตรนายพรานเหล่านั้น.
ลำดับนั้น บุตรนายพรานเหล่านั้นให้พญาสังขปาลนาคราชนอนลงบนภาคพื้น ด้วยความกักขฬะของตน ก็พากันเริ่มฉุดลากนาคราชที่ถูกมัดด้วยเถาหวายดำซึ่งพราวไปด้วยหนามเกี่ยว ทางปลายหางมา ทีนั้นอาตมาภาพเห็นนาคราชลำบาก เมื่อจะไม่ให้ลำบากจึงเอาดาบตัดเถาวัลย์เหล่านั้นค่อย ๆ นำออกมิให้นาคราชเจ็บ แล้วจึงนำเชือกซึ่งบุตรนายพรานเหล่านั้นได้สอดผ่านช่องจมูก แล้วร้อยเป็นบ่วงออกจากจมูกของนาคราชนั้น ในเวลานั้น บุตรนายพรานเหล่านั้น ครั้นปล่อยนาคราชอย่างนี้แล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่งก็พากันแอบเสียข้างทาง ด้วยคิดว่า นาคนี้บาดเจ็บหนัก ในเวลามันตายแล้ว เราจักหามเอาไป.
นาคราชเมื่อได้พ้นจากเครื่องผูกซึ่งเขาร้อยไว้ที่จมูกกับบ่วงนั้นแล้วบ่ายหน้าตรงไปทิศปราจีนได้ครู่หนึ่งก็เหลียวหน้าอันมีดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา มาดูอาตมาภาพ อาตมาภาพได้ตามไปข้างหลังของนาคราชในคราวนั้น ก็ได้ประคองอัญชลีทั้ง ๑๐ นิ้ว เตือนว่าท่านจงรีบไปเสียโดยเร็ว ขอพวกศัตรูอย่าจับได้อีกเลย เพราะว่าการสมาคมกับพวกพรานบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ท่านจงไปสถานที่ ๆ พวกบุตรนายพรานจะไม่เห็นเถิด
นาคราชนั้นได้ไปสู่ห้วงน้ำใส มีสีเขียว น่ารื่นรมย์ มีท่าราบเรียบปกคลุมไปด้วยไม้หว้าและย่างทรายเป็นผู้ปลอดภัย มีปีติ ได้ความร่าเริงยินดี เข้าไปยังนาคพิภพ.
ดูก่อนพระจอมประชานิกร นาคราชนั้นครั้นเข้าไปสู่นาคพิภพแล้ว เมื่ออาตมาภาพเดินไปยังไม่เลยฝั่งกัณณเวณณานที พญานาคราชก็ได้มาปรากฏข้างหน้าอาตมาภาพ พร้อมด้วยทิพยบริวารไม่ช้าก็มีบริวารทิพย์มาปรากฏแก่อาตมาภาพ บำรุงอาตมาภาพเหมือนบุตรบำรุงบิดาฉะนั้น นาคราชนั้น พูดจารื่นหู จับใจว่า ท่านอาฬาระ ท่านเป็นเหมือนมารดาบิดาของข้าพเจ้า เป็นดังดวงใจ เป็นผู้ให้ชีวิต เป็นสหายข้าพเจ้าจึงกลับได้อิทธิฤทธิ์ของตน ข้าแต่ท่านอาฬาระขอเชิญท่านไปเยี่ยมนาคพิภพของข้าพเจ้า ซึ่งมีภักษาหารมาก มีข้าวและน้ำมากมาย ดังเทพนครของท้าววาสวะ ฉะนั้น.
ดูก่อนมหาราช นาคราชนั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อจะพรรณนานาคพิภพของตนให้ยิ่งขึ้นไป จึงกล่าวต่อไปว่า
นาคพิภพนั้นสมบูรณ์ด้วยภูมิภาค ภาคพื้นปราศจากหินและกรวด อ่อนนุ่ม งดงาม ล้วนแล้วไปด้วย ทองเงินและแก้วมณี เกลื่อนกล่นไปด้วยทรายคือรัตนะเจ็ด มีหญ้าเตี้ย ๆ ไม่มีละอองธุลีนำมาซึ่งความเลื่อมใส ระงับความโศกของผู้ที่เข้าไป มีสระโบกขรณีอันไม่อากูล เขียวชอุ่มดังแก้วไพฑูรย์ สมบูรณ์ด้วยน้ำมีสีเขียวดาดาษไปด้วยดอกบัวและอุบลหลากสี ในสวนอัมพวันนั้นมีต้นมะม่วงน่ารื่นรมย์ทั้ง ๔ ทิศ มีผลสุกกึ่งหนึ่ง ผลอ่อนกึ่งหนึ่ง เผล็ดผลเป็นนิตย์.
อาฬารดาบส ทูลพระเจ้าพาราณสีต่อไปว่า
ดูก่อนมหาบพิตรผู้ประเสริฐกว่านรชน ในท่ามกลางสวนเหล่านั้น มีนิเวศน์เลื่อมประภัสสรล้วนแล้วไปด้วยทองคำ มีบานประตูแล้วไปด้วยเงินงามรุ่งเรืองยิ่ง ประหนึ่งสายฟ้ารุ่งเรืองอยู่ในกลางหาวฉะนั้น.
ขอถวายพระพร ในท่ามกลางสวนเหล่านั้นเรือนยอดและห้อง แล้วไปด้วยแก้วมณี แล้วไปด้วยทองคำโอฬารวิจิตร เป็นอเนกประการ เนรมิตด้วยดีติดต่อกันเต็มไปด้วยนางนาคกัญญาทั้งหลาย ผู้ประดับแล้ว ล้วนทรงสายสร้อยทองคำ.
ดูก่อนมหาราช เมื่อนาคราชนั้น สรรเสริญนาคพิภพนั้นอยู่อย่างนี้ อาตมาภาพใคร่จะดูนาคพิภพนั้น ลำดับนั้น สังขปาลนาคราชจึงนำอาตมาภาพไปในที่นั้น จับมือรีบด่วนขึ้นสู่ปราสาท มีเสาพันหนึ่ง ล้วนด้วยเสาแก้วไพฑูรย์ นำไปยังสถานที่ซึ่งมเหสีของเธออยู่.
นารีนางหนึ่งว่องไว ไม่ต้องเตือน ยกอาสนะล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ มีค่ามาก งดงาม สมบูรณ์ด้วยแก้ว มีชาติดังแก้วมณีมาปูลาด.
ลำดับนั้น นาคราชจูงมืออาตมาภาพให้นั่งบนอาสนะอันเป็นประธาน กล่าวว่า นี่อาสนะ เชิญท่านนั่งบนอาสนะนี้ เพราะว่าท่านเป็นเหมือนมารดาบิดาของเราคนใดคนหนึ่ง
ดูก่อนพระจอมประชานิกร นารีอีกนางหนึ่งก็ว่องไว ตักเอาน้ำมาล้างเท้าของอาตมาภาพ ดุจภรรยาล้างเท้าสามีที่รัก ฉะนั้น.
มีนารีอีกนางหนึ่งว่องไว ประคองภาชนะทองคำเต็มไปด้วยภัตตาหารน่าบริโภค มีสูปะหลายอย่าง มีพยัญชนะต่าง ๆ นำมาให้อาตมาภาพ.
ขอถวายพระพร นารีเหล่านั้นรู้จักใจสามี พากันบำรุงอาตมาภาพผู้บริโภคแล้ว ด้วยดนตรีทั้งหลายนาคราชนั้นก็เข้ามาหาอาตมาภาพ พร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์มิใช่น้อย ใหญ่ยิ่งกว่าการฟ้อนรำนั้น.
ก็แลครั้นนาคราชนั้น เข้ามาหาอย่างนี้แล้วกล่าวคาถา ความว่า
ข้าแต่ท่านอาฬาระ ภรรยาของข้าพเจ้าทั้ง ๓๐๐นี้ ล้วนมีเอวอ้อนแอ้น มีรัศมีรุ่งเรือง ดังกลีบปทุมนางเหล่านี้ จักเป็นผู้บำรุงบำเรอท่าน ข้าพเจ้าขอยกนางเหล่านี้ให้ท่าน ท่านจงให้นางเหล่านี้บำเรอท่านเถิด.
อาฬารดาบสนั้น ทูลต่อไปว่า
อาตมาภาพ ได้เสวยรสอันเป็นทิพย์อยู่ปีหนึ่ง คราวนั้นอาตมาภาพ ได้ไต่ถามถึงสมบัติอันยิ่งว่า ท่านพญานาคได้สมบัตินี้ ด้วยทำกรรมอย่างไร ได้วิมานอันประเสริฐนี้อย่างไร ได้โดยไม่มีเหตุ หรือเกิดเพราะใครน้อมมาให้แก่ท่าน ท่านกระทำเอง หรือว่าเทวดาให้ ดูก่อนพญานาคราช ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนั้นกะท่าน ท่านได้วิมานอันประเสริฐอย่างไร.
สังขปาลนาคราช ตอบว่า
ข้าพเจ้าได้วิมานนี้ มิใช่โดยไม่มีเหตุ และมิใช่เกิดเพราะใคร น้อมมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ทำเองแม้เทวดาก็มิได้ให้ ข้าพเจ้าได้วิมานนี้ ด้วยบุญกรรมอันไม่เป็นบาปของตน.
อาตมาภาพ ถามว่า
พรตของท่านเป็นอย่างไร และพรหมจรรย์ของท่านเป็นไฉน นี้เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร ที่ท่านประพฤติดีแล้ว ดูก่อนพญานาคราช ขอท่านจงบอกเนื้อความนี้แก่ข้าพเจ้า ท่านได้วิมานนี้มาอย่างไรหนอ?
พญานาคราช ตอบว่า
คราวนั้นเรือนของข้าพเจ้าเป็นเหมือนสระโบกขรณีที่ขุดไว้ในหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง มีสมบัติอันสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม พึงบริโภคได้ตามสบาย.
ข้าพเจ้าได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ กว่าชนชาวมคธ มีนามว่า ทุยโยธนะ มีอานุภาพมาก ได้เห็นชัดว่า ชีวิตเป็นของนิดหน่อยไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา.
จึงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส ได้ให้ข้าวและน้ำเป็นทานอันไพบูลย์โดยเคารพ วังของข้าพเจ้าในครั้งนั้น เป็นดุจบ่อน้ำ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ก็อิ่มหนำสำราญในที่นั้น.
ข้าพเจ้าได้ให้ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ประทีป ยวดยาน ที่พัก ผ้านุ่งห่ม ที่นอน และข้าวน้ำ เป็นทานโดยเคารพ ในที่นั้น.
นั่นเป็นพรต และเป็นพรหมจรรย์ของข้าพเจ้านี้เป็นวิบากแห่งกรรมนั้น ที่ข้าพเจ้าประพฤติดีแล้วข้าพเจ้าได้วิมานอันมีภักษาหารเพียงพอ มีข้าวน้ำมากมาย เพราะวัตร และพรหมจรรย์นั้นแล.
วิมานนี้ แม้จะเป็นของตั้งอยู่ได้นาน แต่ก็ก็มิใช่เป็นของเที่ยง
อาตมาภาพจึงถามว่า
บุตรนายพรานทั้งหลาย เมื่อเทียบกับท่านแล้ว เป็นผู้มีอานุภาพน้อย ไม่มีเดช ไยจึงสามารถเบียดเบียนท่านผู้มีอานุภาพมาก มีเดชได้ ดูก่อนท่านผู้มีเขี้ยวเป็นอาวุธ เพราะอาศัยอะไรหรือท่านจึงถึงความเศร้าหมอง ในสำนักของบุตรนายพรานทั้งหลาย.
ท่านมีความกลัว หรือว่าพิษของท่านไม่แล่นไปยังเขี้ยว เพราะอาศัยอะไรหรือ ท่านจึงยอมถึงซึ่งทุกข์ในเงื้อมมือของบุตรนายพรานทั้งหลาย.
สังขปาลนาคราช ตอบว่า
มหันตภัย มิได้ตามถึงข้าพเจ้าเลย ชนพวกนั้นไม่อาจทำลายเดชของข้าพเจ้าได้ แต่ว่าธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น กล่าวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ขันติ ความเอ็นดู และเมตตาภาวนา ท่านประกาศไว้ดีแล้ว ยากที่จะล่วงได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ประกอบด้วยขันติ และ เมตตา เพราะกลัวศีลจะขาด เมื่อข้าพเจ้าขุ่นเคือง ก็พยายามระงับไว้ เพื่อจะมิให้ล่วงละเมิดขอบเขตของศีล
* ธรรมเทศนาของสังขปาลนาคราชนี้ ย่อมได้บารมี ครบ ๑๐ ทัศ คือ
๑ ความที่มหาสัตว์สละสรีระในคราวนั้นจัดเป็นทานบารมี.
๒ ความที่ศีลมิได้ทำลาย ด้วยเดชคือพิษเห็นปานนั้น จัดเป็น สีลบารมี.
๓ การออกจากนาคพิภพ บำเพ็ญสมณธรรม จัดเป็นเนกขัมมบารมี.
๔ การจัดแจงว่า ควรทำสิ่งนี้ ๆ จัดเป็นปัญญาบารมี.
๕ ความเพียรด้วยสามารถแห่งความอดกลั้น จัดเป็นวิริยบารมี
๖ ความอดทน ด้วยสามารถแห่งความอดกลั้น จัดเป็นขันติบารมี.
๗ การสมาทานความสัตย์ จัดเป็นสัจจบารมี.
๘ การอธิษฐานในใจว่า เราจักไม่ทำลายศีลของเรา จัดเป็นอธิฏฐานบารมี.
๙ ความเป็นผู้มีความเอ็นดู จัดเป็นเมตตาบารมี.
๑๐ ความเป็นผู้วางตนเป็นกลางในเวทนา จัดเป็นอุเบกขาบารมี.
ข้าแต่ท่านอาฬาระ ข้าพเจ้านอนอยู่บนยอดจอมปลวกเข้าจำอุโบสถ ในวันจาตุททสี ปัณณรสีเป็นนิตย์ ต่อมาพวกบุตรนายพราน๑๖ คน เป็นคนหยาบช้า ถือเอาเชือกแข็ง บ่วงอันเหนียว และหลาว มายังข้าพเจ้า
พรานทั้งหลายเหล่านั้นแทงสรีระของข้าพเจ้าแปดแห่ง แล้วสอดหวายหนามเข้าไป ช่วยกันแทงจมูก เอาเชือกร้อยแล้วหามข้าพเจ้าไป เดินไปได้หน่อยหนึ่ง เห็นศีรษะของข้าพเจ้าห้อยลง จึงได้ให้นอน ณ หนทาง ใหญ่ แล้วแทงจมูกของข้าพเจ้าอีก ร้อยเชือกเกลียวคล้องที่ปลายคาง ควบคุมรอบข้าง นำข้าพเจ้าไป.ข้าพเจ้าอดทนต่อทุกข์เช่นนั้น ไม่ทำให้อุโบสถวิบัติ.
อาตมาภาพ ถามว่า
ดูก่อนสหายสังขปาละ บุตรนายพรานเหล่านั้น เห็นท่านสมบูรณ์ด้วยกำลังและผิวพรรณ ในทางที่ไปมาได้คนเดียว แต่ท่านเจริญด้วยอิสริยยศและความงามเลิศ และเจริญด้วยปัญญา ท่านเป็นผู้รุ่งโรจน์เห็นปานนี้ บำเพ็ญตบะเพื่ออะไร ท่านปรารถนาอะไร จึงเข้าจำอุโบสถ คือรักษาศีล
สังขปาลนาคราช ตอบว่า
ข้าแต่ท่านอาฬาระ ข้าพเจ้าบำเพ็ญตบะ มิใช่เพราะเหตุแห่งทรัพย์ และมิใช่เพราะเหตุแห่งอายุเพราะข้าพเจ้า ปรารถนากำเนิดมนุษย์ จึงบากบั่นบำเพ็ญตบะ.
อาตมาภาพ ถามว่า
ท่านเป็นผู้มีนัยน์ตาแดง มีรัศมีรุ่งเรือง ประดับตกแต่งแล้ว ปลงผมและหนวด ชโลมทาด้วยจุรณจันทน์แดง ส่องสว่างไปทั่วทิศ ดุจคนธรรพราชาฉะนั้น.
ท่านเป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมากพร้อมพรั่งไปด้วยกามารมณ์ทั้งปวง ดูก่อนพญานาคราช ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน เหตุไรมนุษยโลก จึงประเสริฐกว่านาคพิภพนี้.
สังขปาลนาคราช ตอบว่า
ข้าแต่ท่านอาฬาระ นอกจากมนุษยโลก มรรคผล และพระนิพพาน หรือ ความบังเกิดขึ้นแห่ง พระพุทธเจ้า และปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มี ถ้าข้าพเจ้าได้กำเนิดมนุษย์แล้ว จักกระทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้.
เมื่อนาคราชนั้น สรรเสริญมนุษยโลกอยู่อย่างนี้ อาตมาภาพก็แสดงความปรารถนาในการบรรพชา จึงกล่าวคำนี้.
ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักของท่านปีหนึ่งแล้ว เป็นผู้ที่ท่านบำรุงด้วยข้าวด้วยน้ำ ข้าพเจ้าขอลาท่าน ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมนาถะ ข้าพเจ้าจากมนุษยโลกมาเสียนาน.
สังขปาลนาคราช ตอบว่า
ข้าแต่ท่านอาฬาระ ข้าพเจ้าพร่ำสอนบุตร ภรรยาและชนบริวารอยู่เป็นนิตย์ว่าให้บำรุงท่าน ในพวกเหล่านั้น มิได้มีใครด่า หรือบริภาษท่านมิใช่หรือ เพราะว่าการที่ได้พบท่าน นับว่าเป็นที่พอใจของข้าพเจ้า.
อาตมาภาพ ตอบว่า
ดูก่อนพญานาคราช เพราะว่าท่านมีจิตของเลื่อมใสในข้าพเจ้า.ท่านจึงได้ดูแลข้าพเจ้าอยู่ในที่นี้ยิ่งกว่าบุตรที่รักปฏิบัติบำรุงมารดาบิดาในเรือนเสียอีก
สังขปาลนาคราช กล่าวว่า
ท่านสหายอาฬาระ ถ้าเมื่อท่านจะไปให้ได้อย่างนี้ ข้าพเจ้าแก้วมณีสีแดง ซึ่งสามารถบันดาลให้เกิดทรัพย์ขึ้นได้ ให้ซึ่งสมบัติที่น่าใคร่ทั้งปวง ท่านอาฬาระท่านจงถือเอามณีรัตนะนั้นไปยังเรือนของท่าน ท่านก็จักได้ทรัพย์ตามปรารถนา ด้วยอานุภาพแห่งมณีรัตนะนี้ แล้วจงเก็บมณีรัตนะนี้เสียในเรือนนั้น และเมื่อจะเก็บ อย่าเก็บไว้ในที่อื่น ควรเก็บไว้ในตุ่มน้ำของตน
ครั้นนาคราชกล่าวดังนี้แล้ว ก็น้อมมณีรัตนะมาให้อาตมาภาพ.
ครั้นอาฬารดาบสกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ครั้งนั้นอาตมาภาพได้กล่าวคำนี้ กะพญานาคราชว่า
แน่ะสหาย เรามิได้มีความต้องการด้วยทรัพย์ แต่เราปรารถนาจะบวชดังนี้ แล้วร้องขอบริขารแห่งบรรพชิต ออกจากนาคพิภพพร้อมด้วยนาคราชนั้น เชิญให้พญานาคราชกลับแล้ว จึงเข้าสู่หิมวันตประเทศบรรพชา ดังนี้แล้ว เมื่อจะกล่าวธรรมกถาถวายพระราชา จึงกล่าวว่า
ขอถวายพระพร แม้กามคุณเป็นของมนุษย์ อาตมาภาพได้เห็นแล้ว เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อาตมาภาพเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย จึงออกบวชด้วยศรัทธา.
ขอถวายพระพร ทั้งคนหนุ่มคนแก่ ย่อมมีสรีระทำลายร่วงหล่นไป เปรียบเหมือนผลไม้ฉะนั้น อาตมาภาพเห็นคุณข้อนี้ว่า บรรพชานั่นเทียวเป็นของสูงสุด นำให้ออกไปจากทุกข์ได้ จึงได้บวชดังนี้
พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาเป็นอันดับต่อไป ความว่า
ชนเหล่าใดเป็นพหูสูต ค้นคิดเหตุผลได้มาก ชนเหล่านั้นเป็นคนมีปัญญา บุคคลควรคบหาโดยแท้ทีเดียว ข้าแต่ท่านอาฬาระ ข้าพเจ้าได้ฟังคำของนาคราชและของท่านแล้ว ข้าพเจ้าจักสร้างบุญกุศลนานัปการ.
ลำดับนั้น เมื่อดาบสจะยังพระอุตสาหะให้เกิดแก่พระราชา จึงกล่าวว่า
ขอถวายพระพร ชนทั้งหลายเป็นพหูสูต ค้นคิดเหตุผลได้มาก ชนเหล่านั้นเป็นคนมีปัญญา บุคคลควรคบหาโดยแท้ทีเดียว ดูก่อนราชันย์ เพราะทรงสดับเรื่องราวของนาคราช และของอาตมาภาพแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงบำเพ็ญกุศลให้มาก.
ดาบสนั้น แสดงธรรมถวายพระราชาอย่างนี้แล้ว อยู่ในพระราชอุทยานนั้นแล ตลอด ๔ เดือนฤดูฝน แล้วกลับไปยังหิมวันตประเทศอีกเจริญพรหมวิหาร ๔ ตราบเท่าชีวิต ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกแล้ว. ฝ่ายสังขปาลนาคราชอยู่รักษาอุโบสถตลอดชีวิต ส่วนพระเจ้าพาราณสี ก็ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น แล้วต่างไปตามยถากรรมของตน ๆ.
พระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่าโปราณกบัณฑิตทั้งหลาย ละนาคสมบัติอยู่รักษาอุโบสถกรรมอย่างนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระดาบสผู้พระราชบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระกัสสปะพระเจ้าพาราณสีได้มาเป็น พระอานนท์ อาฬารดาบส ได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนสังขปาลนาคราช ได้มาเป็นเราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าฉะนี้แล.


Create Date : 26 สิงหาคม 2554
Last Update : 26 สิงหาคม 2554 13:12:15 น. 1 comments
Counter : 606 Pageviews.

 
ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love. _/|\_


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 11 ธันวาคม 2563 เวลา:15:27:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.