ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
โปริสาทกับพระเจ้าชัยทิศ

ชัยทิสชาดก
ว่าด้วยโปริสาทกับพระเจ้าชัยทิศ
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี ดังนี้.
ก็ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า บัณฑิตแต่ครั้งโบราณทั้งหลาย ละเศวตฉัตร อันประดับด้วยกาญจนมาลา แล้วเลี้ยงดูมารดาบิดา ดังนี้ พระบรมศาสดาอันภิกษุนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล มีพระราชาทรงพระนามว่า อุตตรปัญจาลราช เสวยราชสมบัติอยู่ในกปิลรัฐ พระอัครมเหสีของท้าวเธอทรงตั้งพระครรภ์ แล้วประสูติพระราชโอรส ในภพก่อน หญิงคนหนึ่งร่วมสามีกับพระนาง โกรธเคืองกัน แล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอให้เราสามารถเคี้ยวกินบุตรของท่านที่คลอดแล้ว ดังนี้ แล้วได้มาเกิดเป็นนางยักษิณี คราวนั้น นางยักษิณีนั้นได้โอกาส ทั้ง ๆ ที่พระนางเทวีทอดพระเนตรเห็นอยู่ คว้าเอาพระกุมารผู้มีวรรณะ ดุจ ชิ้นเนื้อสดไปเคี้ยวกิน เสียงกร้วม ๆ แล้วหลบหลีกไป แม้ในวาระที่ ๒ ก็ได้ทำอย่างนั้น แต่ในวาระที่ ๓ ในเวลาที่พระนางเทวีเสด็จเข้าไปสู่เรือนประสูติแล้ว พวกราชบุรุษพากันแวดล้อมตำหนัก จัดการถวายอารักขามั่นคง ใน วันที่พระเทวีประสูติ นางยักษิณีก็มาจับเอาทารกไปอีก พระนางเทวีจึงส่งพระสุรเสียงร้องขึ้นว่า นางยักษ์ ๆ ราชบุรุษทั้งหลายมีอาวุธครบมือ พากันวิ่งติดตามนางยักษิณี ตามสัญญาที่พระนางบอกให้
นางยักษิณีไม่ได้โอกาสเพื่อจะเคี้ยวพระกุมารนั้นกิน ก็หนีไปจากที่นั้นเข้าไปยังท่อน้ำ ส่วนทารกอ้าปากดูดนมนางยักษิณี โดยเข้าใจว่าเป็นมารดา นางยักษิณีก็เกิดความรักเหมือนบุตรของตน หนีออกจากท่อน้ำได้แล้วไปยังสุสานสถาน ทำการประคบประหงมทารกนั้นอยู่ในถ้ำศิลา ต่อมาเมื่อทารกนั้นเจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับ นางยักษิณีก็นำเนื้อมนุษย์มาให้กินเป็นอาหาร ทั้งสองก็กินเนื้อมนุษย์อยู่ในที่นั้น ทารกไม่รู้ตัวว่าเป็นมนุษย์ สำคัญว่าเป็นบุตรนางยักษิณี แต่ก็ไม่อาจที่จะจำแลงกายหายตัวได้
ต่อมานางยักษิณีจึงให้รากไม้อย่างหนึ่งแก่พระราชกุมาร เพื่อต้องการให้หายตัวได้ด้วยอานุภาพแห่งรากไม้นั้น พระราชกุมารหายตัวได้ก็เที่ยวไปกินเนื้อมนุษย์ นางยักษิณีไปปรนนิบัติท้าวเวสสวัณมหาราช เลยทำกาลกิริยา เสีย ณ ที่นั้นเอง
ฝ่ายพระนางเทวีประสูติพระโอรสองค์หนึ่ง ในวาระที่ ๔ พระราชโอรสจึงปลอดภัย เพราะพ้นจากนางยักษิณี พระชนกชนนีและพระประยูรญาติ ได้ขนานพระนามให้พระโอรสนั้นว่า ชัยทิสกุมาร เพราะเกิดมาชนะนางยักษิณีผู้เป็นปัจจามิตร พระชัยทิสกุมารทรงเจริญวัยแล้ว ได้ทรงศึกษาศิลปวิทยาสำเร็จ แล้วให้ยกเศวตฉัตร ครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์.
คราวนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าชัยทิสนั้น พระชนกชนนีและพระประยูรญาติขนานพระนามว่า "อลีนสัตตุกุมาร" พออลีนสัตตุกุมารเจริญวัยแล้ว ทรงเล่าเรียนศิลปศาสตร์ จนสำเร็จและได้เป็นอุปราช
ในเวลาต่อมา กุมารผู้เป็นบุตรนางยักษิณีทำรากไม้หายเพราะความประมาทจึงไม่สามารถหายตัวได้อีกต่อไป เมื่อปรากฏตัวขณะเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์อยู่ที่สุสาน คนทั้งหลายเห็นเข้าก็พากันสะดุ้งตกใจกลัว แล้วเข้ามาร้องทุกข์พระราชาว่า ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ มียักษ์ตนหนึ่ง ปรากฏตนเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์อยู่ที่สุสาน มันคงเข้ามาพระนครโดย ลำดับ ๆ จักฆ่ามนุษย์เคี้ยวกินเป็นอาหาร ควรตรัสสั่งให้จับเสีย พระเจ้าข้า
พระราชาทรงรับทราบแล้ว มีพระราชโองการสั่งพลนิกายว่า ท่านทั้งหลายจงจับยักษ์ตนนั้น พลนิกายเหล่านั้น ไปยืนรายล้อมสุสานประเทศ กุมารบุตรนางยักษิณีมีรูปร่างเปล่าเปลือย น่าสะพรึงกลัว หวาดต่อมรณภัย ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง วิ่งฝ่าฝูงคนไป ผู้คนทั้งหลายหวาดหวั่นต่อมรณภัย ร้องบอกกันว่า ยักษ์ ๆ ดังนี้ แตกกลุ่มออกเป็นสองฟาก
ฝ่ายกุมารบุตรนางยักษิณี หนีจากที่นั้นได้แล้วก็เข้าไปสู่ป่า ไม่กลับมายังถิ่นมนุษย์อีก ได้ไปอาศัยดงใกล้ทางใหญ่แห่งหนึ่ง คอยจับผู้คนที่เดินทางผ่านมาได้ทีละคน แล้วเข้าไปสู่ป่าฆ่า เคี้ยวกิน พำนักอาศัยอยู่ที่โคนต้นไม้นิโครธต้นหนึ่ง.
ลำดับนั้น พราหมณ์พ่อค้าเกวียนคนหนึ่ง จ้างคนรักษาดงเป็นราคาหนึ่งพัน เพื่อพาข้ามดง พร้อมด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม มนุษย์ยักษ์เห็นแล้วจึงส่งเสียงดังลั่น วิ่งมา ผู้คนทั้งหลายต่างตกใจกลัว พากันนอนราบหมด มนุษย์ยักษ์นั้นจับพราหมณ์พ่อค้าได้แล้ว ระหว่างทางที่หนีไปถูกตอไม้ตำเอาที่เท้า และเมื่อพวกมนุษย์รักษาดงวิ่งติดตามมา จึงทิ้งพราหมณ์แล้ววิ่งหนีไป
เมื่อมนุษย์ยักษ์นั้นนอนอยู่ในที่นั้น ๗ วัน พระเจ้าชัยทิสเสด็จออกจากพระนครล่าเนื้อ พราหมณ์ผู้เลี้ยงดูมารดาคนหนึ่งชื่อนันทะ เป็นชาวเมืองตักกศิลา ได้เรียนสตารหคาถา ๔ บาท มาเฝ้าพระเจ้าชัยทิส ซึ่งกำลังจะเสด็จออกจากพระนคร พระเจ้าชัยทิส ตรัสสั่งว่า เรากลับมาแล้วจักฟัง พระราชทานบ้านพักแก่พราหมณ์นั้น แล้วเสด็จไปล่าเนื้อ ตรัสสั่งว่า เนื้อหนีไปทางด้านผู้ใด ผู้นั้นจักต้องมีโทษ.
ลำดับนั้น กวางตัวหนึ่ง ลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีผ่านหน้าพระราชาไป อำมาตย์ทั้งหลายต่างพากันหัวเราะ พระราชาทรงถือพระขรรค์ติดตามกวางไป สิ้นระยะทาง ๓ โยชน์จึงตามทัน แล้วเอาพระขรรค์ฟันกวางนั้นขาดออกเป็นสองท่อนทรงใส่หาบ ๆ เสด็จมาถึงสถานที่มนุษย์ยักษ์นอนอยู่ ประทับนั่งพักหน่อยหนึ่งที่ลานหญ้าแพรกแล้วเตรียมจะเสด็จต่อไป ลำดับนั้น มนุษย์ยักษ์ลุกขึ้น กล่าวว่า หยุดนะ! ท่านจะไปไหน ท่านตกเป็นอาหารของเราแล้ว ยึดพระหัตถ์ไว้ กล่าวว่า
เป็นเวลานานนักหนา นับแต่เวลาที่เราอดอาหารมาครบ ๗ วัน อาหารมากมาย พึ่งเกิดขึ้นแก่เราวันนี้ ท่านเป็นใคร มาจากไหน ขอเชิญท่านบอก ชาติสกุล ตามที่รู้กันมาเถิด.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นยักษ์ แล้วตกใจกลัว ถึงกับอุรประเทศ แข็งทื่อดังเสา ไม่ทรงสามารถจะวิ่งหนีไปได้ จึงตั้งพระสติ ตรัสว่า
เราเป็นพระเจ้าปัญจาลราช มีนามว่าชัยทิส ถ้าท่านได้ยินชื่อก็คงรู้จัก เราออกมาล่าเนื้อ เที่ยวมาตามข้างภูเขาและป่า ท่านจงกินเนื้อกวางนี้เถิด วันนี้จงปล่อยเราไป.
ยักษ์ได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่า
พระองค์ถูกข้าพเจ้าเบียดเบียน กลับเอาของที่ตกเป็นของข้าพเจ้านั่นเองมาแลกเปลี่ยน กวางที่พระองค์ตรัสถึงนั้นเป็นอาหารของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กินพระองค์แล้ว อยากจะกินเนื้อกวาง ก็จักกินได้ภายหลัง เวลานี้มิใช่เวลาขอร้อง.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงระลึกถึงนันทพราหมณ์ได้ จึงตรัสว่า
ถ้าความรอดพ้นของเราไม่มี แม้ด้วยการแลกเปลี่ยนแล้วละก็ เมื่อเป็นอย่างนี้ วันนี้ท่านจงกินเนื้อกวางตัวนี้ ขอให้เราได้กลับไปยังพระนครเสียก่อน เพราะเราได้ผัดพราหมณ์ไว้ว่า จะให้ทรัพย์แก่เขา เราจักรักษาคำสัตย์ ย้อนกลับมาหาท่านอีก.
ยักษ์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า
ดูก่อนพระราชา พระองค์ใกล้จะถึงสวรรคตอยู่แล้ว ยังทรงเดือดร้อนถึงกรรมอะไรอยู่ ขอจงตรัสบอกกรรมนั้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะอนุญาตให้กลับไปก่อนได้.
พระราชาเมื่อจะตรัสบอกเหตุนั้น จึงตรัสว่า
กรรมนั้นคือ เราได้ให้สัญญาไว้แก่พราหมณ์ว่า เมื่อพราหมณ์นั้นได้ท่องสตารหคาถา ๔ บาท แล้วเราจักให้ทรัพย์แก่เขา แต่เพราะเรายังมิได้ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์ สัญญานั้นจึงหาพ้นไปได้ไม่.เมื่อเราได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แก่พราหมณ์นั้นแล้ว เราจักรักษาคำสัตย์ กลับมาหาท่านอีก
ยักษ์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า
เมื่อพระองค์ได้สัญญาไว้กับพราหมณ์ดังนั้น พระองค์ก็จงรักษาสัญญานั้น ขอพระองค์จงกลับไปปฏิบัติตามคำสัญญา แล้วเสด็จกลับมาเถิด.
ก็แลครั้นยักษ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ปล่อยพระราชาไป พระราชาเมื่อยักษ์ปล่อยแล้ว จึงตรัสว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจักมาแต่เช้าตรู่ทีเดียว แล้วทรงสังเกตเครื่องหมายตามทาง เสด็จเข้าไปหาพลนิกายของพระองค์ แวดล้อมด้วยพลนิกาย เสด็จเข้าสู่พระนคร ตรัสสั่งให้หานันทพราหมณ์มาเฝ้า เชิญให้นั่งบนอาสนะอันมีค่ามาก ทรงสดับคาถาเสร็จแล้ว พระราชทานทรัพย์ ๕ พัน เชิญพราหมณ์ให้ขึ้นยานพาหนะแล้วตรัสสั่งว่า ท่านจงนำทรัพย์นี้ไปยังเมืองตักกศิลาเถิด ทรงมอบคนให้แล้วก็ส่งพราหมณ์ไป ทรงพระประสงค์จะเสด็จกลับคืนไปหายักษ์ในวันรุ่งขึ้น จึงตรัสสั่งให้หาพระโอรสอลีนสัตตุมาทรงสั่งสอนว่า
ลูกรัก พ่อจะมอบราชสมบัติให้แก่เจ้า เจ้าจงอภิเษกปกครองรัฐสีมาในวันนี้แหละ จงประพฤติธรรมในรัฐสีมาและในประชาชนทั้งหลาย บุคคลไม่ประพฤติธรรม อย่าได้มีในแว่นแคว้นของเจ้า เราจะไปในสำนักแห่งยักษ์.
พระราชกุมารทรงสดับดังนั้น ตรัสว่า
ขอเดชะ ข้าแต่พระราชบิดาผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระองค์ได้ทำความไม่พอพระทัยอะไรไว้ในใต้ฝ่าพระบาท ข้าพระองค์ปรารถนาจะได้สดับความที่พระองค์จะให้ขึ้นครองราชสมบัติในวันนี้ เพราะข้าพระพุทธเจ้า ขาดพระราชบิดาเสียแล้ว หาปรารถนาแม้ราชสมบัติไม่.
พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสต่อไปว่า
ลูกรัก พ่อไม่ได้เพ่งถึงความผิดทางกายกรรมและวจีกรรมของเธอเลย แต่เพราะยักษ์ตนหนึ่ง จับพ่อไว้ คราวไปป่าล่าเนื้อ จักกินเป็นอาหาร เมื่อ เป็นเช่นนั้น พ่อจึงให้สัตยสาบานไว้กับยักษ์นั้นว่า เมื่อเราได้ฟังธรรมกถาของพราหมณ์ กระทำสักการะแก่เขาแล้ว จักมาให้ทันเวลาอาหารเช้า พรุ่งนี้ จึงกลับมาได้ เพราะเหตุนั้น เพื่อจะตามรักษาความสัตย์ไว้ พ่อจักต้องไปในที่นั้นอีก เจ้าจงเสวยราชสมบัติเถิด.
อลีนสัตตุราชกุมาร ทรงฟังพระราชดำรัสของพระราชบิดาแล้ว ตรัสว่า
ข้าพระพุทธเจ้าจักไปแทน ขอพระราชบิดาจงประทับอยู่ ณ ที่นี้ ขึ้นชื่อว่าความรอดชีวิตจากสำนัก ของยักษ์นั้น ไม่มีทางเลย ข้าแต่สมเด็จพระราชบิดา ถ้าพระองค์มีพระประสงค์จะเสด็จให้ได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็จักตามเสด็จด้วย เราทั้งสองจะไม่ยอมอยู่.
พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า
ลูกรัก นั่นเป็นธรรมของสัตบุรุษ โดยแท้จริง แต่การที่จะให้ยักษ์ข่มขี่ทำลายเผาจ้ากินเสียที่โคนไม้ นั่นเป็นความด่างพร้อยของพ่อ ข้อนี้แหละเป็นทุกข์ยิ่งกว่าความตายของพ่อเสียอีก.
พระราชกุมารทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า
ข้าพระพุทธเจ้า ขอเอาชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าแลกพระชนมชีพของพระราชบิดาไว้ พระราชบิดาอย่าเสด็จไปในสำนักของยักษ์เลย พระเจ้าข้า.
พระเจ้าชัยทิส ได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงทราบกำลังของพระโอรส จึงตรัสสั่งว่า ดีละลูกรัก เจ้าจงไปเถิด อลีนสัตตุราชกุมาร ถวายบังคมลาพระราชมารดาและพระราชบิดาแล้วก็เสด็จออกจากพระนคร.
ลำดับนั้น พระชนกชนนีก็ดี พระภคินีก็ดี พระชายาก็ดี ของพระราช กุมารนั้น พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ และบริวารชนก็เสด็จออกไปส่งพระกุมารด้วย ครั้นพระราชกุมารนั้นออกจากพระนครแล้ว ก็ทูลถามหนทางกะพระราชบิดาแล้ว ถวายบังคมพระชนกชนนี ประทานโอวาทแก่ชนที่เหลือแล้ว มิได้สะดุ้งตกพระทัยแล้ว เสด็จขึ้นสู่ทางดำเนินไปสู่ที่อยู่ของยักษ์ ประหนึ่งว่าไกรสรสีหราชฉะนั้น พระมารดาทอดพระเนตรเห็นพระกุมารกำลังทรงดำเนินไป ไม่สามารถจะดำรงพระองค์อยู่ได้ ก็ล้มลง ณ พื้นปฐพี พระราชบิดาก็ทรงประคองพระพาหา คร่ำครวญด้วยเสียงอันดัง.แล้วทรงเบือนพระพักตร์ประดิษฐานอัญชลีเหนือเศียรเกล้า ในกาลนั้น ทรงไหว้วิงวอน นอบน้อมเทพยเจ้าทั้งหลาย คือ พระโสมราชา พระวรุณราช พระปชาบดี พระจันทร์และพระอาทิตย์
ขอเทพยเจ้าเหล่านี้ ช่วยคุ้มครองโอรสของเรา จากอำนาจแห่งยักษ์ อลีนสัตตุลูกรัก ขอยักษ์นั้นจงอนุญาตให้เจ้ากลับมาโดยสวัสดี.
พระราชมารดานั้นเล่าก็กระทำสัตยาธิษฐานว่า
มารดาของรามบุรุษ ผู้ไปสู่แคว้นของพระเจ้าทัณฑกิราช ได้คุ้มครองทำความสวัสดี แก่รามะผู้เป็นบุตรอย่างใด * แม่ขอทำความสวัสดีอย่างนั้นแก่เจ้า ด้วยคำสัตย์นั้น ขอทวยเทพจงช่วยคุ้มครอง ขอให้เจ้าได้รับอนุญาต กลับมาโดยสวัสดีเถิด ลูกรัก.
พระกนิษฐภคินีของอลีนสัตตุราช กุมารนั้นได้ตั้งสัตยาธิษฐานอย่างนี้ว่า
น้องนึกไม่ออกเลย ถึงความคิดประทุษร้าย ในอลีนสัตตุผู้พระเชษฐา ทั้งในที่แจ้งหรือที่ลับ ด้วยความสัตย์นี้ ขอเทพยเจ้าโปรดระลึกถึงพระเชษฐาที่เคารพ ขอพระเชษฐาจงได้รับอนุญาตให้กลับมาโดยสวัสดี.
พระชายานั้นก็กระทำสัตยาธิษฐานว่า
ข้าแต่พระสวามี พระองค์ไม่เคยประพฤตินอกใจหม่อมฉันเลย ฉะนั้น จึงเป็นที่รักของหม่อมฉันด้วยใจจริง ด้วยความสัตย์นี้ ขอเทพยเจ้าโปรดระลึกถึงพระสวามีที่เคารพ ข้าแต่พระสวามี ขอพระองค์จงได้รับอนุญาตให้กลับมาโดยสวัสดี.
* เล่ากันมาว่า มีบุรุษคนหนึ่งเป็นชาวเมืองพาราณสี ชื่อรามะ เป็นผู้ เลี้ยงดูมารดา ปฏิบัติมารดาบิดา คราวหนึ่งไปค้าขายถึงเมืองกุมภวดี ในแว่นแคว้นของพระเจ้าทัณฑกิราช เมื่อแคว้นทั้งสิ้นต้องพินาศลงด้วยฝน เก้าประการ เขาได้ระลึกถึงคุณของมารดาบิดา ครั้งนั้น ด้วยผลแห่งมาตาปิตุปัฏฐานธรรม เทพยเจ้าทั้งหลายได้นำเขามามอบให้แก่มารดาด้วยความสวัสดี พระชนนีของอลีนสัตตุราชกุมาร ทรงนำเหตุการณ์นั้นมาตรัสอย่างนี้ ก็โดยที่ได้ยินได้ฟังมา.
พระราชกุมาร เสด็จดำเนินไปสู่ทางที่อยู่ของยักษ์ ตามคำแนะนำที่พระราชบิดาตรัสบอก ฝ่ายยักษ์คิดว่า ธรรมดากษัตริย์มีมายามาก ใครจะรู้ว่า จักเกิดอะไรขึ้น จึงขึ้นต้นไม้นั่งแลดูทางที่พระเจ้าชัยทิสจะเสด็จมา เหลือบเห็นพระกุมารกำลังดำเนินมา คิดว่า ชะรอยพระโอรสจักให้พระราชบิดากลับแล้วตัวมาแทน ภัยคงไม่มีแก่เรา จึงลงจากต้นไม้นั่งผินหลังให้ พระราชกุมารเสด็จมาถึงแล้ว เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้ายักษ์.
ลำดับนั้น ยักษ์กล่าวว่า
ท่านผู้มีร่างกายอันสูงใหญ่ มีหน้าอันงดงามมาจากไหน ท่านไม่รู้หรือว่า เราอยู่ในป่านี้ ชะรอยจะไม่รู้ว่า เราเป็นคนดุร้าย กินเนื้อมนุษย์กระมังจึงได้มา ผู้ที่ไม่รู้ความสวัสดีของตนดอกจึงได้มาในที่นี้.
พระราชกุมารทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า
เรารู้ว่าท่านเป็นคนหยาบช้า กินมนุษย์ แต่หารู้ว่าท่านอยู่ในป่านี้ไม่ เราคือโอรสของพระเจ้าชัยทิส วันนี้ท่านจงกินเราแทนพระชนก เพื่อปลดเปลื้องให้พระองค์พ้นไป.
ลำดับนั้น ยักษ์กล่าวว่า
เรารู้ว่าท่านเป็นโอรสของพระเจ้าชัยทิส ดูพระพักตร์และผิวพรรณ ของท่านทั้งสองคล้ายคลึงกัน การที่บุคคลยอมตายแทน เพื่อเปลื้องบิดาให้พ้นไปนี้เป็นกรรมที่ทำได้ยากทีเดียว แต่ท่านก็ทำได้.
ลำดับนั้น พระราชกุมารตรัสคาถา ความว่า
มิใช่ของทำยากเลยในเรื่องนี้ เราไม่เห็นสำคัญอะไร ผู้ใดยอมตายแทนเพื่อเปลื้องบิดา หรือเพราะเหตุแห่งมารดา ผู้นั้นไปสู่ปรโลกแล้ว ย่อมเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสุข และอารมณ์อันงามเลิศ.
ยักษ์ฟังดังนั้นแล้วจึงถามว่า พ่อกุมาร ธรรมดาว่าสัตว์บุคคลที่จะไม่กลัวตายไม่มีเลย เหตุไฉนท่านจึงไม่กลัวเล่า? เมื่อพระราชกุมารจะบอกความแก่ยักษ์ ได้กล่าวว่า
เราระลึกไม่ได้เลยว่า เราจะกระทำความชั่วเพื่อตนเอง ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ เพราะว่าเราเป็นผู้มีชาติและมรณะอันกำหนดไว้แล้วว่า ในโลกนี้ของเราฉันใด โลกหน้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
เชิญท่านกินเนื้อเราในวันนี้ เสียบัดนี้เถิด เชิญท่านทำกิจเถิด สรีระนี้เราสละแล้ว เราจะทำเป็นพลัดตกมาจากยอดไม้ ท่านชอบใจเนื้อส่วนใด ๆ ก็เชิญท่านกินเนื้อส่วนนั้น ๆ ของเราเถิด.
ยักษ์ฟังถ้อยคำของพระกุมารแล้ว ตกใจกลัว คิดว่า เราไม่อาจที่จะกินเนื้อพระกุมารนี้ได้ จักต้องหาอุบายไล่ให้เธอหนีไปเสีย จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า
ดูก่อนพระราชโอรส เรื่องนี้ท่านเต็มใจจริง จึงสละชีวิตเพื่อปลดเปลื้องพระชนกได้ ท่านจงเข้าไปสู่ป่า หาฟืนไม้แก่นมาก่อไฟขึ้น ทำให้เป็นถ่านที่ปราศจากควัน เราจักปิ้งเนื้อของท่านในถ่านเพลิงนั้นกิน.
อลีนสัตตุราชกุมาร ได้กระทำตามที่ยักษ์บอกทุกประการ เสร็จแล้วไปยังสำนักของยักษ์แจ้งให้ยักษ์ทราบว่า บัดนี้ได้ก่อไฟเสร็จแล้ว.
ยักษ์มองดูพระราชกุมารซึ่งก่อไฟเสร็จแล้วเดินมาหา เกิดขนพองสยองเกล้าว่า บุรุษนี้เป็นดุจราชสีห์ ไม่กลัวความตายเลย ตลอดเวลาสที่ผ่านมานี้ เราไม่เคยพบเห็นคนที่ไม่กลัวตายอย่างนี้เลย จึงนั่งชำเลืองดูพระกุมารบ่อย ๆ พระราชกุมารเห็นกิริยาของยักษ์แล้ว จึงตรัสคาถา ความว่า
เมื่อครู่นี้ ท่านทำการขู่เข็ญว่า จะกินเราในวันนี้ทำไมจึงหวาดระแวงเกรงเรา มองดูอยู่บ่อย ๆ เราได้ทำตามคำของท่านเสร็จแล้ว เมื่อพอใจจะกินก็เชิญกินได้.
ยักษ์ฟังคำของพระกุมารแล้ว กล่าวว่า
ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม มีวาจาสัตย์ รู้ความประสงค์ของผู้ขอเช่นท่าน ใครจะนำมากินเป็นภักษาหารได้ ผู้ใดกินผู้มีวาจาสัตย์เช่นท่าน ศีรษะของผู้นั้น ก็จะพึงแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง.
พระราชกุมารได้สดับดังนั้น จึงพูดว่า ถ้าท่านไม่ประสงค์จะกินเรา เหตุไรจึงบอกให้เราหักฟืนมาก่อไฟ เมื่อยักษ์บอกว่า เพื่อต้องการลองดูว่า ท่านจะหนีหรือไม่ จึงตรัสว่า ท่านจักเข้าใจเราในบัดนี้ได้อย่างไร แต่ก่อนเมื่อครั้งเราบังเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ยังไม่ยอมให้ท้าวสักกเทวราชดูหมิ่นตน ได้ จึงได้ตรัสเรื่อง สสปัณฑิตชาดกให้ยักษ์นั้นฟัง *
* รายละเอียดตามเรื่อง สสปัณฑิตชาดก จตุกกนิบาตชาดก มีเรื่องโดยย่อว่า สสบัณฑิตนั้นสำคัญสักกพราหมณ์นี้ว่า ผู้นี้เป็นพราหมณ์ จึงพูดว่า วันนี้เชิญท่านเคี้ยวกินสรีระของเราเถิด แล้วได้ให้สรีระเพื่อเป็นอาหารแก่สักกพราหมณ์นั้น ท้าวสักกเทวราชจึงบีบบรรพตให้เหลวแล้วนำมาเขียนเป็นภาพกระต่ายไว้ในพระจันทร์ นับแต่นั้นมาภาพกระต่ายจึงปรากฏอยู่ในดวงจันทร์มาจนทุกวันนี้
ยักษ์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะปล่อยพระราชกุมาร จึงกล่าวว่า
พระจันทร์หรือพระอาทิตย์ พ้นจากปากราหูแล้วย่อมสว่างไสว ในดิถี ๑๕ ค่ำฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็ฉันนั้นจงหลุดพ้นจากเรา ผู้กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารแล้ว ยังพระชนกชนนีให้ปลื้มพระทัย จงรุ่งโรจน์ในกบิลรัฐ อนึ่ง พระประยูรญาติของท่านจงยินดีกันทั่วหน้าเถิด.
ยักษ์กล่าวว่า ดูก่อนท่านมหาวีรเจ้า เชิญท่านไปเถิด แล้วส่งเสด็จพระมหาสัตว์เจ้า ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้า ครั้นทรงทำให้ยักษ์สิ้นพยศแล้วให้ศีล ๕ จากนั้นทรงพิจารณาว่า ผู้นี้เห็นจะมิใช่ยักษ์กระมัง จึงทรงพระดำริว่า ธรรมดายักษ์ย่อมมีนัยน์ตาแดงและไม่กระพริบ เขาก็ไม่ปรากฏเป็นผู้ดุร้าย อาจหาญ ผู้นี้ชะรอยจะมิใช่ยักษ์ คงเป็นมนุษย์แน่ เขาเล่ากันว่า พระเชษฐาแห่งพระราชบิดาของเรา ถูกนางยักษิณีจับไปถึงสามองค์ ในจำนวนนั้น นางยักษิณีกินเสียสององค์ แต่ประคบประหงมเลี้ยงดูด้วยรักใคร่เหมือนบุตรองค์เดียว ชะรอยจะเป็นองค์นี้แน่ เราจักนำไปทูลชี้แจง แก่พระราชบิดาของเรา ให้ท่านผู้นี้ครองราชสมบัติ
แล้วจึงตรัสชักชวนว่า มาเถิด ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ใช่ยักษ์ ท่านเป็นพระเชษฐาแห่งพระราชบิดาของเรา เชิญท่านมาไปกับเรา แล้วให้ยกเศวตฉัตร เสวยราชสมบัติสืบสันตติวงศ์เถิด
เมื่อยักษ์ค้านว่า เราไม่ใช่มนุษย์ จึงตรัสว่า ท่านไม่เชื่อเรา แต่มีผู้ที่ท่านพอจะเชื่อถืออยู่บ้างหรือ?
เมื่อยักษ์ตอบว่ามีอยู่ คือพระดาบสผู้มีจักษุเป็นทิพย์ ณ ที่โน้น จึงทรงพายักษ์นั้นไปสำนักพระดาบส นั้น พระดาบสเห็นคนทั้งสองแล้ว ทักขึ้นว่า ท่านทั้งสองคือลุงกับหลาน เที่ยวทำอะไรอยู่ในป่า แล้วชี้แจงความที่ชนเหล่านั้นเป็นญาติกันให้ทราบ ยักษ์เชื่อถ้อยคำของพระดาบส จึงกล่าวว่า พ่อหลานชาย เจ้าจงกลับไปเถิด ลุงเกิดมาชาติเดียวเป็นถึงสองอย่าง ลุงไม่ต้องการราชสมบัติดอก ลุงจักบวช แล้วยักษ์นั้นก็บวชเป็นฤๅษีอยู่ในสำนักของพระดาบส ลำดับนั้น พระอลีนสัตตุราชกุมารถวายบังคมลาพระเจ้าลุงแล้ว ได้เสด็จกลับไปยังพระนคร.
พระเจ้าชัยทิส ทรงสดับข่าวว่า พระราชกุมารกลับมาได้ทรงจัดการสมโภชต้อนรับ พระราชกุมารแวดล้อมด้วยมหาชน ไปถวายบังคมพระราชบิดา ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามว่า ลูกรัก เจ้าพ้นมาจากยักษ์เช่นนั้นได้อย่างไร
พระราชกุมารทูลว่า ขอเดชะ พระราชบิดาเจ้า ผู้นี้มิใช่ยักษ์ แต่เป็นพระเชษฐาธิราชของพระราชบิดา ผู้นี้เป็นพระปิตุลาของข้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งปวงให้ทรงทราบ แล้วทูลว่า ควรที่พระราชบิดาจะเสด็จเยี่ยมพระปิตุลาของข้าพระพุทธเจ้าบ้าง
ทันใดนั้น พระเจ้าชัยทิสจึงตรัสสั่ง ให้พนักงานเภรีตีกลองประกาศให้ทราบทั่วกัน แล้วเสด็จไปยังสำนักแห่งดาบสทั้งหลายพร้อมกับราชบริพารเป็นอันมาก พระมหาดาบสจึงทรงเล่าเรื่องนางยักษิณีนำพระองค์ไปเลี้ยงดูไว้ไม่กินเสีย เรื่องที่พระองค์มิใช่ยักษ์ และเรื่องที่พระองค์เป็นพระประยูรญาติของราชสกุลเหล่านั้น แด่พระเจ้าชัยทิสหมดทุกอย่างโดยพิสดาร
พระเจ้าชัยทิสทรงเชื้อเชิญว่า ข้าแต่พระเชษฐาธิราชเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จเสวยราชสมบัติเถิด
พระมหาดาบส ถวายพระพรห้ามว่า อย่าเลย มหาราชเจ้า
พระเจ้าชัยทิสตรัสเชิญชวนว่า ถ้ากระนั้น ขอเชิญพระเชษฐาธิราชเจ้าไปอยู่ในพระอุทยานเถิด กระหม่อมฉันจักบำรุงด้วยปัจจัย ๔
พระมหาดาบสถวายพระพรว่า อาตมาภาพจะยังไม่ไปก่อน มหาบพิตร
พระเจ้าชัยทิส ตรัสสั่งให้ขุดคลองใหญ่เหยียดยาวไประหว่างภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ห่างจากอาศรมบทของเหล่าพระดาบส แล้วให้หักล้างถางพงทำไร่นา โปรดให้มหาชนพันตระกูลอพยพมาตั้งครอบครัว เป็นตำบลใหญ่ ตั้งไว้เป็นภิกขาจารของพระดาบสทั้งหลาย บ้านตำบลนั้นปรากฏชื่อว่า "จุลลกัมมาสทัมมนิคม" ส่วนประเทศที่พระมหาสัตว์เจ้าสุตตโสมบัณฑิต ทรมานพระยาโปริสาท (ในเรื่องมหาสุตโสมชาดก) พึงทราบว่า ชื่อมหากัมมาสทัมมนิคม.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้ว ทรงประกาศอริยสัจจธรรม ในเวลาจบอริยสัจจกถา พระเถระผู้เลี้ยงดูมารดา ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระราชมารดาบิดา ได้มาเป็นตระกูลแห่งพระมหาราชเจ้า พระดาบสได้มาเป็นพระสารีบุตร ยักษ์ได้มาเป็นพระองคุลิมาล พระกนิษฐภคินี ได้มาเป็น นางอุบลวรรณาเถรี พระอัครมเหสี ได้มาเป็นราหุลมารดา ส่วนอลีนสัตตุราชกุมาร ได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 26 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 15:41:32 น. 1 comments
Counter : 624 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:15:50:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.