ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
ละมั่งทำคุณแก่พระราชา

สรภชาดก
ว่าด้วยละมั่งทำคุณแก่พระราชา
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ การพยากรณ์ปัญหาของพระธรรมเสนาบดี ที่พระองค์ตรัสถามโดยย่อ ได้อย่างพิสดาร จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ก็แลในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามปัญหากะพระเถรเจ้าโดยย่อ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวในคราวเสด็จจากเทวโลกนั้นโดยสังเขป.
กล่าวความนับแต่ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะถือเอาบาตรไม้จันทน์แดง ในสำนักของราชคฤหเศรษฐี ได้ด้วยฤทธิ์แล้ว พระศาสดาตรัสห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์แก่ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นเหล่าเดียรถีย์คิดกันว่า พระสมณโคดมทรงห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์เสียแล้ว ที่นี้แม้ตนเองก็คงจักกระทำไม่ได้ ครั้นถูกพวกสาวกของตนซึ่งขายหน้าไปตามกันพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายถือเอาบาตรด้วยฤทธิ์ไม่ได้แล้วหรือ ก็พากันแถลงว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย นั่นมิใช่เป็นการที่พวกเราจะกระทำได้ยากเลย แต่ที่พวกเราไม่ถือเอาเพราะคิดกันว่า ใครเล่าจักประกาศคุณที่ละเอียดสุขุมของตนแก่พวกคฤหัสถ์เพื่อต้องการบาตรไม้อันเป็นประหนึ่งศพ ฝ่ายพวกสมณศากยบุตร พากันสำแดงถือเอาไปเพราะเป็นคนโง่ ใจโลเล พวกเธออย่าคิดเลยว่า การกระทำฤทธิ์เป็นเรื่องหนักของพวกเรา เพราะพวกเราน่ะ ไม่ต้องพูดถึงการแสดงฤทธิ์กับพวกสาวกของสมณะโคดมหรอก แต่จำนงจะแสดงฤทธิ์กับพระสมณโคดมทีเดียว แม้นว่าพระสมณะโคดมจักกระทำปฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ฝ่ายพวกเราจักกระทำให้ได้สองเท่า
พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้วพากันกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าพวกเดียรถีย์จักพากันกระทำปฏิหาริย์
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงพากันกระทำเถิด แม้เราก็จักกระทำบ้าง
พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับเรื่องนั้น เสด็จมากราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าจักทรงกระทำปาฏิหาริย์หรือ
ตรัสว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร
ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วมิใช่หรือ
ตรัสว่า มหาบพิตร นั่นอาตมาภาพบัญญัติแก่หมู่สาวก แต่สิกขาบทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี มหาบพิตร เหมือนอย่างว่า ดอกไม้และผลไม้ในพระอุทยานของมหาบพิตร ทรงห้ามไว้แก่ชนเหล่าอื่น มิได้ทรงห้ามแก่บพิตร ฉันใด ข้อนี้ ก็พึงเห็นเทียบเคียงฉันนั้น
ทูลถามสืบไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์จักทรงกระทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ไหนพระเจ้าข้า
ตรัสว่า ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ ใกล้ประตูเมืองสาวัตถี ขอถวายพระพร
ทูลถามว่า ในเรื่องนั้นพวกหม่อมฉัน จะต้องทำอะไรบ้าง
ตรัสว่า ไม่มีอะไรเลย มหาบพิตร.
ครั้นวันรุ่งขึ้น พระศาสดาทรงกระทำภัตกิจเสร็จ ก็เสด็จจาริกไป หมู่มนุษย์พากันถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย พระศาสดาจักเสด็จไป ณ ที่ไหน พระเจ้าข้า พวกภิกษุบอกว่า ไปกระทำยมกปาฏิหาริย์กำราบ เดียรถีย์ ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ ใกล้ประตูเมืองสาวัตถี
มหาชนฟังถ้อยคำของพวกภิกษุเหล่านั้นแล้วคิดว่า พระปาฏิหาริย์จักมีทีท่าน่าอัศจรรย์เช่นไรหนอ พวกเราต้องไปดูปาฏิหาริย์นั้น แล้วปิดประตูเรือนไปกับพระศาสดาเลยทีเดียว พวกอัญเดียรถีย์ก็พากันบอกว่าแม้พวกเราก็จักพากันกระทำปาฏิหาริย์ ณ สถานที่ ที่สมณโคดม กระทำปาฏิหาริย์ พากันติดตามพระศาสดาไปกับพวกอุปัฏฐากเหมือนกัน
พระศาสดาเสด็จถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ พระราชาทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าจักทรงกระทำปาฏิหาริย์หรือพระเจ้าข้า
ตรัสว่า จักกระทำ ขอถวายพระพร
ทูลถามว่า เมื่อไรพระเจ้าข้า
ตรัสว่าในวันที่ ๗ จากวันนี้ เป็นวันเดือนอาสาฬห (เดือน ๘)
กราบทูลว่า หม่อมฉันจะทำมณฑปพระเจ้าข้า
ตรัสว่า อย่าเลย มหาบพิตร ท้าวสักกะจักกระทำมณฑปแก้วขนาด ๑๒ โยชน์ ในที่กระทำปาฏิหาริย์ของอาตมาภาพ
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอป่าวร้องเรื่องนี้ในพระนคร พระเจ้าข้า
ตรัสว่า ป่าวร้องเถิด มหาบพิตร.
พระราชาตรัสสั่งธรรมโฆสก (ผู้ป่าวร้องธรรม) ขึ้นเหนือหลังช้างที่ประดับประดาแล้วทำการโฆษณาทุกๆ วันจนถึงวันที่ ๖ ว่า ได้ยินว่า พระศาสดาจักทรงกระทำพระปาฏิหาริย์กำราบเดียรถีย์ ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ใกล้เมือง สาวัตถีในวันที่ ๗ แต่วันนี้
พวกเดียรถีย์รู้ข่าวว่าจักทรงกระทำพระปาฏิหาริย์ ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ ก็พากันให้ทรัพย์แก่พวกเจ้าของให้ตัดต้นมะม่วงที่ใกล้เมืองสาวัตถีเสียให้หมดสิ้น
เมื่อถึงวันเพ็ญแต่เช้าตรู่ ธรรมโฆสกป่าวร้องก้องสนั่นว่า พระปาฏิหาริย์ของพระผู้ทรงพระภาคจักปรากฏในวันนี้ ด้วยอานุภาพแห่งเทวดาก็ได้เป็นเสมือนหนึ่งว่า ธรรมโฆษกนั้นยืนปรากฏป่าวร้องอยู่ที่ประตูชมพูทวีปทีเดียว ชนเหล่าใด ๆ เกิดคิดจะไปชมพระปาฏิหาริย์ ชนเหล่านั้นก็เห็นตนเหมือนอยู่เมืองสาวัตถีทีเดียว ประชุมชนได้มีปริมณฑล ๑๒ โยชน์
พระศาสดาเสด็จเข้าสู่พระนครสาวัตถีแต่เช้าตรู่ เมื่อโปรดสัตว์แล้วเสด็จออก คนเฝ้าพระอุทยานชื่อคัณฑะ กำลังนำผลมะม่วงสุก ผลใหญ่ขนาดหม้อ สุกงอมทีเดียวไปถวายพระราชา พบพระศาสดาที่ประตู พระนคร คิดว่า ผลมะม่วงสุกสมควรแก่พระตถาคตเจ้าแท้ ๆ จึงได้ถวายแด่พระศาสดา พระศาสดาทรงรับแล้วประทับนั่ง ณ ส่วนหนึ่ง ใกล้ประตูพระนครนั้นเอง เสวยเสร็จก็ตรัสว่า อานนท์ เธอจงให้เมล็ดมะม่วงนี้แก่คนเฝ้าอุทยานเพื่อปลูกตรงนี้ ต้นมะม่วงนี้จักมีนามว่า คัณฑามพะ พระเถระเจ้าได้กระทำตามนั้น
คนเฝ้าอุทยานคุ้ยดินแล้วปลูก ทันใดนั้นเองรากทั้งหลายก็ชำแรกเมล็ดหยั่งลงไป หน่อสีแดงขนาดเท่าหัวคันไถ ก็ตั้งขึ้น เมื่อมหาชนกำลังดูอยู่นั่นเอง ต้นมะม่วงอันมีลำต้นวัดรอบถึง ๕๐ ศอก มีกิ่งยาว ๕๐ ศอก โดยส่วนสูงเล่า ก็มีประมาณ ๑๐๐ ศอก ทันทีทันใด ต้นมะม่วงนั้นก็ออกช่อและมีผลมากมาย ต้นมะม่วงนั้นระย้าระยับด้วยดอกและผล มีสีเหมือนสีทอง มีรสอร่อย ปรากฏประหนึ่งเต็มท้องฟ้า เวลาต้องลมพัดผลสุกอันอร่อยทั้งหลายก็หล่นลง พวกภิกษุที่พากันมาทีหลังต่างก็มาฉัน ถึงเวลาเย็นท้าวเทวราชทรงรำพึงทราบว่า การสร้างรัตนมณฑปเพื่อพระศาสดาเป็นภาระของพวกเรา ทรงส่งวิษณุกรรมเทพบุตร ไปสร้างมณฑปแก้ว ๗ ประการ มีประมาณ ๑๒ โยชน์ ดาดาษด้วยอุบลเขียว เทพดาในหมื่นจักวาลพากันมาประชุมด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดาทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์กำราบเหล่าเดียรถีย์ มิใช่เป็นเรื่องทั่วไปกับสาวก ทรงทราบความที่ชนเป็นอันมากพากันเลื่อมใส เสด็จลงประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ ทรงแสดงธรรม ฝูงปาณชาติ ๒๐ โกฏิพากันสำเร็จธรรม ต่อจากนั้นทรงพระดำริว่า ก็พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน เมื่อทรงกระทำปาฏิหาริย์แล้วเสด็จไป ณ ที่ไหน ทรงทราบว่า เสด็จไปสู่ดาวดึงส์พิภพ จึงเสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์ ย่างพระบาทเบื้องขวาเหยียบเขายุคนธร พระบาทซ้ายเหยียบยอดเขาสิเนรุ แล้วเสด็จเข้าจำพรรษาเหนือบัณฑุกัมพลศิลา โคนปาริฉัตตกพฤกษ์
ภายในระยะกาล ๓ เดือน ทรงแสดงพระอภิธรรมกถาแก่ฝูงเทวดา ฝ่ายบริษัทเมื่อไม่ทราบสถานที่พระศาสดาเสด็จไป คิดว่าเห็นพระองค์แล้วจักพากันไป เลยพากันอยู่ตรงนั้นเองตลอดไตรมาส ครั้นใกล้ถึงปวารณา พระมหาโมคคัลลานเถรเจ้า จึงไปกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามว่า ก็เดียวนี้สารีบุตรอยู่ที่ไหน
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เธออยู่ที่นครสังกัสสะกับพวกภิกษุ ๕๐๐ รูปที่พากันบวช เพราะเลื่อมใสในพระยมกปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า
ตรัสว่า โมคคัลลานะในวันที่เจ็ดแต่วันนี้ เราจักลงที่ประตูนครสังกัสสะ ฝูงชนที่ต้องการจะเห็นตถาคต จง ชุมนุมกันที่นครสังกัสสะเถิด
พระเถรเจ้าทูลรับสั่งว่า สาธุ แล้วมาบอกแก่บริษัท ช่วยให้บริษัททั้งสิ้นลุถึงนครสังกัสสะ อยู่ห่างนครสาวัตถี ๓๐ โยชน์ โดยเวลาครู่เดียวเท่านั้นเอง พระศาสดาทรงออกพรรษาปวารณาแล้ว ตรัสแจ้งแก่ท้าวสักกะว่า มหาบพิตร อาตมาภาพจักไปสู่มนุษยโลก.
ท้าวสักกะตรัสเรียกวิษณุกรรมเทพบุตร มาตรัสว่า เธอจงกระทำบันไดเพื่อพระทศพลเสด็จมนุษยโลกเถิด วิษณุกรรมเทพบุตรนั้น สร้างเป็นบันไดสามอันคืออันกลางเป็นบันไดแก้วมณี ข้างหนึ่งเป็นบันไดเงิน ข้างหนึ่งเป็นบันไดทอง ทุกอันหัวบันไดอยู่ยอดเขาสิเนรุ เชิงบันไดจรดประตูนครสังกัสสะ แวดล้อมด้วยไพทีล้วนแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการ
พระศาสดาทรงกระทำพระปาฏิหาริย์เปิดโลก เสด็จลงทางบันไดแก้วมณี อันมี ณ ท่ามกลาง ท้าวสักกะทรง เชิญบาตรจีวร ท้าวสุยามทรงเชิญวาลวิชนี ท้าวสหัมบดีพรหมทรงเชิญฉัตร เทพดาในหมื่นจักรวาลพากันบูชาด้วยของหอมและมาลาอันเป็นทิพย์ พอพระศาสดาเสด็จประทับ ณ เชิงบันได พระสารีบุตรเถรเจ้าถวายบังคมเป็นประถมทีเดียว บริษัทที่เหลือพากันถวายบังคมทีหลัง
พระศาสดาทรงดำริในสมาคมนั้นว่า โมคคัลลานะปรากฏไปทั่วว่ามีฤทธิ์ อุบาลีปรากฏไปทั่วว่าทรงพระวินัย แต่ปัญญาคุณของสารีบุตรยังไม่ปรากฏเลย ได้ยินว่า ยกเว้นเราผู้สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผู้อื่นที่จะได้นามว่ามีปัญญาเสมอเหมือนเธอไม่มีเลย เราต้องกระทำปัญญาคุณของเธอให้ปรากฏไว้
แล้วทรงตั้งต้นถามปัญหาของปุถุชนก่อน พวกปุถุชนก็พากันกราบทูลแก้ปัญหานั้น ต่อจากนั้นทรงถามปัญหาในวิสัยแห่งเหล่าพระโสดาบัน เหล่าพระโสดาบันเท่านั้นก็พากันกราบทูลแก้ปัญหานั้น ปัญหานั้นพวกปุถุชนไม่รู้เลย
ต่อจากนั้นทรงถามปัญหา ในวิสัยพระสกทาคามี พระอนาคามี พระขีณาสพ และพระมหาสาวกโดยลำดับ ท่านที่ดำรงในชั้นต่ำ ๆ ไม่ทราบปัญญาของชั้นที่สูงขึ้นไปนั้นเลย ท่านที่ดำรงในภูมิสูงๆ เท่านั้นพากันกราบทูลแก้ แม้ถึงปัญหาในวิสัยแห่งอัครสาวก พระอัครสาวกกราบทูลแก้ได้ พวกอื่นไม่รู้เลย
ต่อจากนั้นตรัสถามปัญหาในวิสัยแห่งพระสารีบุตรเถรเจ้า พระเถรเจ้าองค์เดียวกราบทูลแก้ได้ พวกอื่นไม่รู้เลย ฝูงคนพากันถามว่า พระเถรเจ้าที่กราบทูลอยู่กับพระศาสดานั้นมีนามว่าอะไร ครั้นพอฟังว่า ท่านเป็นธรรมเสนาบดีมีนามว่า สารีบุตรเถรเจ้า ต่างกล่าวว่า โอ้ โฮ มีปัญญามากจริง ๆ ตั้งแต่บัดนั้นคุณคือปัญญาอันมากของพระเถรเจ้าก็ได้ปรากฏไปในกลุ่มเทพยดาและมนุษย์ ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสถามปัญหาในพุทธวิสัยกะท่านว่า
ชนเหล่าใดเล่า มีธรรมอันกำหนดได้แล้วสิ ชน
เหล่าใดเล่าที่ยังต้องศึกษา มีจำนวนมากในธรรมวินัยนี้
ดูก่อนท่านผู้ไร้ทุกข์ เธอมีปัญญารักษาตัวรอด ถูกเรา
ถาม เชิญบอกความเป็นไปแห่งชนเหล่านั้นแก่เราดังนี้
แล้วตรัสว่า สารีบุตร เธอพึงเห็นความแห่งภาษิตโดยย่อนี้ได้โดยพิสดาร อย่างไรเล่าหนอ พระเถรเจ้าตรวจดูปัญหาแล้ว เห็นว่า พระศาสดาตรัสถาม ปฏิปทาอันเป็นทางบรรลุแห่งพระเสขะและพระอเสขะกะเรา เลยหมดสงสัย คงกังขาในพระอัธยาศัยว่า อันปฏิปทาทางบรรลุอาจกล่าวแก้ได้โดยมุขเป็นอันมากด้วยอำนาจขันธ์เป็นต้น เมื่อเรากราบทูลแก้โดยอาการไรเล่า ถึงจักสามารถยึดพระอัธยาศัยของพระศาสดาได้
พระศาสดาทรงทราบว่า สารีบุตรหมดสงสัยในข้อปัญหา แต่ยังกังขาในอัธยาศัยของเรา แม้นว่าเรายังไม่ให้นัย เธอไม่อาจกล่าวแก้ได้ จักต้องให้นัยแก่เธอ เมื่อจะประทานนัย ตรัสว่า สารีบุตร เธอจักเล็งเห็นภูตนี้ ได้ยินว่า พระองค์ทรงมีพระปริวิตกอย่างนี้ว่า เมื่อสารีบุตร จักถืออัธยาศัยของเรากล่าวแก้ ต้องแก้ด้วยอำนาจขันธ์ พอทรงประทานนัย ปัญหานั้นกระจ่างแก่พระเถระเจ้าตั้งร้อยนัยพันนัย ท่านยึดตามนัยที่พระศาสดา ประทาน กราบทูลแก้ปัญหาในพุทธวิสัยได้
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่บริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์ ปาณชาติ ๓๐ โกฏิบรรลุธรรมแล้ว จากนั้นพระศาสดาทรงส่งพุทธบริษัทแล้วเสด็จจาริกถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ วันรุ่งขึ้นเสด็จเข้าไปโปรดสัตว์ในพระนครสาวัตถี เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว พวกภิกษุพากันแสดงวัตรเสร็จ เสด็จเข้าพระคันธกุฎี
ยามเย็นพวกภิกษุพากันนั่งในธรรมสภา กล่าวถึงคุณกถาของพระเถระเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระสารีบุตร มีปัญญามาก มีปัญญาหลักแหลม มีปัญญาว่องไว มีปัญญาคมคาย กราบทูลความแก้ปัญหาที่พระทศพลตรัสถามโดยย่อได้อย่างพิสดาร
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนาด้วยเรื่องอะไรกัน เมื่อพวกภิกษุพากันกราบทูลให้ทรงทราบ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้แต่ในปางก่อน เธอก็เคยกล่าวแก้ความแห่งภาษิตโดยย่อ ได้อย่างพิสดารแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดละมั่งอาศัยอยู่ในป่า พระราชาทรงพอพระหฤทัยในการล่าเนื้อ ทรงสมบูรณ์ด้วยพระกำลัง ถึงกับไม่ทรงนับ มนุษย์อื่นว่าเป็นมนุษย์ไปเลย วันหนึ่งท้าวเธอเสด็จไปล่าเนื้อ ตรัสกับหมู่อำมาตย์ว่า เนื้อหนีไปได้ข้างผู้ใด เราต้องลงอาชญาแก่ผู้นั้นทีเดียว พวกนั้นคิดกันว่า บางครั้งเนื้ออยู่ในวงล้อมแล้วยังวิ่งกระเจิงไปได้ พวกเราต้องช่วยต้อนเนื้อให้วิ่งไปทางที่พระราชาประทับ ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งจงได้
ครั้นคิดกันแล้ว ก็กระทำกติกากำหนดช่องทางกัน เมื่อเริ่มทำการล่า พวกเหล่านั้นพากันล้อมละเมาะใหญ่ไว้ ตีแผ่นดินด้วยไม้พลองเป็นต้น ละมั่งพระโพธิสัตว์ลุกขึ้นเลาะละเมาะไปสามรอบ เมื่อจะหนีก็มองดูช่องทางที่จะหนี มองไปรอบทิศ ทุกทิศเห็นฝูงคนยืนถือธนูรายเรียง แขนจรดแขน ธนูจรดธนู มีแต่สถานที่ที่พระราชาประทับยืนเท่านั้นที่เห็นเป็นช่อง ละมั่งนั้นจึงวิ่งไปตรงหน้าพระราชา ก็เป็นเหมือนขว้างทรายใส่ตาที่กำลังลืม พระราชาเห็น ละมั่งนั้นมาด้วยกำลังแรง ก็ปล่อยลูกศรไปผิด
ธรรมดาฝูงละมั่งย่อมเป็นสัตว์ฉลาดที่จะลวง เมื่อลูกศรมาตรงหน้า ก็หมอบเสียโดยเร็วแล้วหยุดนิ่ง เมื่อลูกศรมาข้างหลัง ก็วิ่งไปโดยรวดเร็ว เมื่อลูกศรมาทางเบื้องบน ก็เอี้ยวหลังเสีย เมื่อลูกศรมาทางข้าง ก็หลีกเสียหน่อย เมื่อลูกศรมาติด ๆ กัน ก็หมุนตัวล้มลง เมื่อลูกศรผ่านพ้นไปแล้ว จึงวิ่งหนีด้วยกำลังเร็วประหนึ่ง วลาหกที่ถูกลมพัดกระจายไป.
พระราชาพระองค์นั้นเล่า เมื่อละมั่งนั่นหมุนตัวล้มลง ทรงเปล่งพระสีหนาทว่า เรายิงละมั่งได้แล้ว ละมั่งกลับผลุดลุกวิ่งหนีโดยเร็วปานลม ทำลายวงล้อมไปได้ พวกอำมาตย์ที่ยืนอยู่ ณ ด้านทั้งสอง เห็นละมั่งกำลังหนีไป แล้วต่างคนต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่า เนื้อเผ่นไปทางที่ใครยืนอยู่เล่า แล้วต่างก็ตอบกันว่า ทางที่พระราชาทรงประทับยืนอยู่
พระราชาก็ตรัสว่า เรายิงได้แล้ว
ทูลถามว่า อะไรที่พระองค์ทรงยิงได้ พวกนั้นพากันยั่วเย้ากับพระราชา ด้วยประการต่าง ๆ เช่นว่า ชาวเราเอ๋ย พระราชาของเราทั้งหลายทรงยิงไม่มีพลาดเลย พระองค์ทรงยิงแผ่นดินได้แล้วละ
พระราชาทรงพระดำริว่า พวกนี้ เยาะเราได้ ช่างไม่รู้ฝีมือของเราเลย เราต้องแสดงการใช้พระขรรค์จับละมั่งให้พวกเหล่านี้ดู แล้วทรงวิ่งไปโดยเร็ว ครั้นทรงเห็นละมั่งนั้นแล้ว ก็ทรงติดตามไปถึงสามโยชน์ ละมั่งเข้าป่าไปแล้ว ถึงพระราชาเล่าก็เสด็จเข้าป่าเหมือนกัน
ในป่านั้น ณ หนทางที่ละมั่งวิ่งไป มีบ่อลึกเป็นเหวประมาณ ๖๐ ศอกเกิดจากไม้ใหญ่ผุ บ่อนั้นมีน้ำประมาณ ๓๐ ศอก หญ้าคลุมมิดชิด ละมั่งได้กลิ่นน้ำเข้า ก็ทราบว่ามีบ่อ จึงเลี่ยงเสียหน่อยแล้วผ่านไป ส่วนพระราชาเสด็จไปตรงทีเดียว เลยตกลงในบ่อนั้น
ละมั่งไม่ได้ยินเสียงฝีพระบาทของท้าวเธอ เหลียวดูไม่เห็นเธอ ก็ทราบว่า คงตกลงในหลุมลึกเสียแล้ว เดินมามองดู เห็นท้าวเธอไม่มีที่เกาะ ลำบากอยู่ในน้ำลึก มิได้ใสใจถึงความผิดที่ท้าวเธอทรงกระทำเลย เกิดความสงสารขึ้นมา คิดว่าพระราชาอย่าฉิบหาย ต่อหน้าต่อตาเราเลย เราจักช่วยพระองค์ให้พ้นจากทุกข์นี้ แล้วยืนอยู่ที่ขอบบ่อ กล่าวว่า มหาราช พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระองค์จักช่วยพระองค์ให้พ้นทุกข์ เพื่อจะช่วยพระราชาให้ขึ้นจากบ่อ เหมือนบุคคลกระทำความอุตสาหะเพื่อช่วยลูกรักของตนฉะนั้น
พระโพธิสัตว์คิดว่า เราต้องเอาหินถมลงไปจึงจะช่วยขึ้นได้ จึงกระทำดังนั้นแล้วช่วยพระราชาให้ขึ้นจากเหวลึก ๖๐ ศอกได้ ทำการปลอบพระราชาแล้วให้ขึ้นหลังพาออกจากป่า ส่งลง ณ ที่ไม่ห่างเสนา ให้โอวาทแก่ท้าวเธอ ให้ทรงดำรงในศีล ๕ ประการ.
พระราชาสุดที่จะทรงพลัดพรากจากพระมหาสัตว์อยู่ได้ จึงตรัสว่า ข้าแต่พญาละมั่งผู้เป็นนาย เชิญท่านมาสู่พระนครพาราณสีพร้อมกับฉัน ฉันจะถวายราชสมบัติในเมืองพาราณสีมีปริมาณ ๑๒ โยชน์ให้แก่ท่าน ท่านจงครองราชสมบัตินั้นเถิด
กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์เป็นดิรัจฉาน ไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ แม้พระองค์มีความไยดีในข้าพระองค์ไซร้ โปรดทรงรักษาศีลที่ข้าพระองค์ให้ไว้ ทรงรับสั่งให้แม้ชาวแว่นแคว้นรักษากันด้วยเถิด ให้โอวาท แล้วเข้าป่าไปเลย
ท้าวเธอมีพระเนตรนองด้วยพระอัสสุชล ทรงรำลึกถึงคุณของละมั่งนั้นเรื่อยมาทีเดียว ครั้นเสนาพร้อมกระบวนแล้วทรงแวดล้อมด้วยเสนาเสด็จไปพระนคร ตรัสให้นำธรรมเภรีไปเที่ยวตีป่าวร้องว่า ตั้งแต่นี้ไป ชาวแว่นแคว้นทั่วหน้า จงพากันรักษาศีล ๕ เถิด แต่ไม่ทรงเล่าคุณที่พระมหาสัตว์กระทำไว้ แก่พระองค์ให้ใคร ๆ ฟัง เสวยพระกระยาหารมีรสเลิศต่าง ๆ ในเวลาเย็นเสร็จ เสด็จบรรทมเหนือพระแท่นที่บรรทมอันอลงกต เวลาใกล้รุ่ง ทรงระลึกถึงคุณของพระมหาสัตว์ เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดบัลลังก์เหนือพระยี่ภู่ มีพระหฤทัยเปี่ยมด้วยพระปีติ ทรงเปล่งพระอุทาน ด้วยพระคาถา ๖ คาถาว่า
[๑๘๕๔] บุรุษพึงหวังไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ปรารถนา
อย่างใด ได้เป็นอย่างนั้น.
[๑๘๕๕] บุรุษพึงหวังไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ได้
รับความช่วยเหลือให้ขึ้นจากน้ำสู่บกได้.
[๑๘๕๖] บุรุษพึงพยายามไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า
ปรารถนาอย่างใด ได้เป็นอย่างนั้น.
[๑๘๕๗] บุรุษพึงพยายามร่ำไป บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ได้รับ
ความช่วยเหลือให้ขึ้นจากน้ำสู่บกได้.
[๑๘๕๘] นรชนผู้มีปัญญา แม้ตกอยู่ในกองทุกข์ ก็ไม่ควรตัดความหวังในอันจะ
มาสู่ความสุข เพราะว่าผัสสะอันไม่เกื้อกูลและเกื้อกูลมีมาก คนที่ไม่ใฝ่
ฝันถึงเลยก็ต้องเข้าถึงความตาย.
[๑๘๕๙] สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ย่อมมีได้บ้าง สิ่งที่คิดไว้ย่อมพินาศไปบ้าง โภคะ
ทั้งหลายของสตรี หรือบุรุษ จะสำเร็จได้ด้วยความคิดนึกไม่มีเลย.
เมื่อท้าวเธอกำลังทรงเปล่งพระอุทานอยู่นั่นแหละ อรุณปรากฏ ท่านปุโรหิตมาเฝ้าเพื่อทูลถามสุขไสยาแต่เช้าตรู่ ยืนอยู่ที่พระทวาร ได้ยินเสียงพระอุทานของท้าวเธอ ดำริว่า เมื่อวานพระราชาเสด็จไปล่าเนื้อ คงจักยิงละมั่งนั้นผิด ครั้นถูกพวกอำมาตย์มายั่วเย้า ก็ทรงติดตามละมั่งนั้นด้วยขัตติยมานะ ว่าจักฆ่าเสีย หิ้วมันมา เลยไปตกเหวลึก ๖๐ ศอก พญาละมั่งมีใจสงสาร มิได้คิดถึงโทษของพระราชา คงจักช่วยพระราชาขึ้นได้ เห็นจะเป็นด้วยเหตุนั้น ท้าวเธอจึงทรงเปล่งอุทาน
เหตุได้ยินพระอุทานอันมีพยัญชนะบริบูรณ์ของพระราชา เหตุการณ์ที่พระราชาและพญาละมั่งกระทำไว้ได้ปรากฏแก่พราหมณ์ เหมือนเงาปรากฏแก่ผู้ส่องหน้าที่กระจกเจียระไนฉะนั้น ท่านจึงเคาะประตูพระทวารด้วยเล็บ พระราชาตรัสถามว่า ใครนั่น เขากราบทูลว่า ข้าพระองค์ ปุโรหิต พระเจ้าข้า
ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงเปิดพระทวารแล้วตรัสว่า เชิญทางนี้เถิด ท่านอาจารย์ ท่านเข้าไปถวายชัยพระราชาแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์ทราบเหตุการณ์ที่ พระองค์กระทำไว้ในป่า พระองค์ทรงติดตามละมั่งตัวหนึ่งไปตกเหว ครั้นแล้ว ละมั่งนั้นทำการถมด้วยศิลาช่วยพระองค์ขึ้นจากเหวลึก พระองค์นั้นทรงรำลึกถึง คุณของละมั่งนั้น ทรงเปล่งพระอุทานแล้ว พระเจ้าข้า พลางกราบทูลคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๘๖๐] เมื่อก่อนพระองค์เสด็จติดตามละมั่งตัวใดไปตกเหวที่ซอกเขา พระองค์
ทรงพระชนม์สืบมาได้ ด้วยความบากบั่นของละมั่งตัวนั้น ผู้มีจิตไม่
ท้อแท้.
[๑๘๖๑] ละมั่งตัวใดพยายามเอาก้อนหินถมเหว ช่วยพระองค์ขึ้นจากเหวลึกยาก
ที่จะขึ้น ปลดเปลื้องพระองค์ ผู้เข้าถึงกองทุกข์เสียจากปากมฤตยู
พระองค์กำลังตรัสถึงละมั่งตัวนั้น ผู้มีจิตไม่ท้อแท้.
พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า พราหมณ์นี้มิได้ไปล่าเนื้อกับเรา รู้เรื่องทั้งหมดเลย รู้ได้อย่างไรเล่าหนอ ต้องถามท่านดู จึงตรัส พระคาถาที่ ๙ ว่า
[๑๘๖๒] ดูกรพราหมณ์ เมื่อคราวนั้น ท่านได้อยู่ในที่นั้นด้วยหรือ หรือว่าใครได้
บอกเรื่องนี้แก่ท่าน ท่านเป็นผู้เปิดเผยข้อที่เคลือบคลุม เห็นเรื่องได้ทั้ง
ปวงละสิหนอ ความรู้ของท่านมีกำลัง เห็นปรุโปร่งหรืออย่างไร?
พราหมณ์เมื่อจะแสดงว่า ข้าพระองค์มิใช่พระสัพพัญญูพุทธเจ้า แต่เรื่องราวของพระคาถาที่พระองค์ไม่ทรงยังพยัญชนะให้เลอะเลือนตรัสไว้ปรากฏ แก่ข้าพระองค์ได้ พระเจ้าข้า จึงกล่าวคาถาที่ ๑๐ ว่า
[๑๘๖๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน เมื่อคราวนั้น ข้าพระองค์หาได้อยู่
ในที่นั้นไม่ และใครก็มิได้บอกเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์เลย แต่ว่านัก
ปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมนำเนื้อความแห่งบทคาถาที่พระองค์ทรงภาษิตแล้ว
มาใคร่ครวญดู.
พระราชาทรงโปรดท่าน พระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก ตั้งแต่นั้น ก็ได้ทรงอภิรมย์แต่การบุญ มีทานเป็นต้น ฝูงชนเล่าก็พากันอภิรมย์แต่การบุญ ที่ตายไปแล้ว ๆแน่นเมืองสวรรค์ทีเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงพระดำริว่า จักทรงยิงเป้า ตรัสชวนปุโรหิตเสด็จสู่พระอุทยาน ครั้งนั้นท้าวสักกเทวราช ทอดพระเนตรเห็นเทวดาและเทพกัญญาใหม่ ๆ มากมาย ทรงนึกว่า เหตุอะไรเล่าหนอ ก็ทรงทราบเรื่องที่พระราชาขึ้นจากเหวได้เพราะละมั่ง แล้วทรงชักชวนให้ประชาชนดำรงอยู่ในศีล ทรงพระดำริว่า มหาชนพากันทำบุญ ด้วยอานุภาพของพระราชา เหตุนั้นแหละเทวโลกจึงบริบูรณ์ ก็บัดนี้พระราชา เสด็จสู่พระอุทยานเพื่อจะทรงยิงเป้า เราจักต้องทดลองท้าวเธอดูบ้าง ให้ท้าวเธอเปล่งพระสุรสีหนาทประกาศคุณละมั่ง แล้วให้ทรงทราบความที่เราเป็นท้าวสักกะ จักยืนในอากาศแสดงธรรม กล่าวถึงคุณของเมตตา และเบญจศีลแล้วกลับมา จึงได้เสด็จไปสู่พระอุทยาน
ฝ่ายพระราชา ทรงพระดำริว่า จักยิงเป้า ก็ทรงโก่งธนูสอดลูกศร ทันใดนั้นท้าวสักกะก็แสดงรูปละมั่งให้ปรากฏระหว่างพระราชาและเป้าด้วยอานุภาพของท้าวเธอ พระราชาทรงเห็นแล้วมิได้ปล่อยลูกศร ที่นั้นท้าวสักกะก็เข้าทรงในสรีระของปุโรหิต ได้กล่าวคาถาว่า
[๑๘๖๔] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระปรีชาอันประเสริฐ พระองค์ทรงสอดลูกศรอันมี
ปีก อันจะกำจัดความแกล้วกล้าของปรปักษ์ได้เข้าในแล่งแล้ว จะทรง
ลังเลอะไรอยู่อีกเล่า ลูกศรที่ทรงยิงไปแล้วต้องฆ่าละมั่งได้ทันที ละมั่งนี้
คงเป็นพระกระยาหารของพระราชาได้โดยแท้.
ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
[๑๘๖๕] ดูกรพราหมณ์ แม้เราจะรู้แจ้งชัดความข้อนี้ว่า เนื้อเป็นอาหารของ
กษัตริย์ ก็แต่ว่า เราจะบูชาคุณที่ละมั่งนี้ได้ทำไว้แก่เรา ในครั้งก่อน
เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่ฆ่าละมั่งนี้.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะตรัสคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๘๖๖] ข้าแต่พระมหาราชาผู้เป็นใหญ่แห่งทิศ นั่นมิใช่เนื้อ นั่นคือท้าวสักกะ
ผู้เป็นใหญ่กว่าอสูร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมมนุษย์ พระองค์จงทรงฆ่า
ท้าวสักกะเทวราชนั้นเสีย แล้วจะได้เป็นใหญ่ในหมู่อมรเทพ.
[๑๘๖๗] ข้าแต่พระราชาผู้องอาจ ประเสริฐกว่านรชน ถ้าว่าพระองค์ยังทรงลังเล
ที่จะฆ่าละมั่งผู้เป็นพระสหาย พระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรส และ
พระราชชายา จักต้องไปยังเวตรณีนรกของพญายม.
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๘๖๘] เรา ชาวชนบททั้งหมด ลูก เมียและหมู่สหาย จะพากันไปยังเวตรณีนรก
ของพญายมนั้นก็ตาม ถึงกระนั้น เราจะไม่ฆ่าผู้ที่ให้ชีวิตเรา เป็น
อันขาด.
[๑๘๖๙] ดูกรมหาพราหมณ์ ละมั่งตัวนี้ ทำคุณแก่เราเมื่อคราวถึงความยาก ตัว
คนเดียวในป่าเปลี่ยวแสนร้าย เราระลึกได้อยู่ถึงบุรพกิจเช่นนั้น ที่
ละมั่งตัวนี้กระทำแก่เรา รู้คุณอยู่จะพึงฆ่าอย่างไรได้เล่า.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะออกจากสรีระท่านปุโรหิตนิรมิตอัตภาพ เป็น ท้าวสักกะ สถิตบนอากาศ เมื่อจะทรงแสดงพระคุณของพระราชา จึงตรัส ๒ พระคาถาว่า
[๑๘๗๐] ขอพระองค์ผู้ทรงโปรดปรานมิตรยิ่งนัก จงทรงพระชนม์ชีพอยู่ยืนนาน
เถิด พระองค์จงทรงปกครองราชสมบัติในคุณธรรมเถิด จงทรงมีหมู่
นารีบำรุงบำเรอ จงทรงบันเทิงพระหฤทัยในแว่นแคว้น เหมือนท้าว
วาสวะบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ ฉะนั้น.
[๑๘๗๑] ขอพระองค์ไม่ทรงพระพิโรธ จงมีพระหฤทัยผ่องใสอยู่เป็นนิตย์ ทรง
กระทำสมณพราหมณ์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมทั้งปวง ให้เป็นแขกควรต้อนรับ
ครั้นทรงบำเพ็ญทาน และเสวยบ้างตามอานุภาพแล้ว ชาวโลกไม่
ติเตียนพระองค์ได้ จงเสด็จเข้าถึงสัคคสถาน (สวรรค์) เถิด.
ท้าวสักกเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงเตือนท้าวเธอว่า มหาราช ข้าพเจ้ามาเพื่อลองใจท่าน จงไม่ประมาทเถิด แล้วเสด็จคืนสู่สถานแห่งตนแล.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน สารีบุตรก็ย่อมรู้ความแห่งภาษิตโดยย่ออย่างพิสดารเหมือนกัน ดังนี้ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาใน ครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ ปุโรหิตได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนเนื้อละมั่ง คือเราผู้สัมมาสัมพุทธเจ้าแล

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 12:56:13 น. 1 comments
Counter : 638 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:15:51:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.