ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
ความดับความโศก

ฆตบัณฑิตชาดก
ว่าด้วยความดับความโศก
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ กุฎุมพีลูกตาย ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เนื้อเรื่องเหมือนกับเรื่อง มัฏฐกุณฑลี นั่นแหละ ส่วนในชาดกนี้ มีความย่อดังต่อไปนี้:
พระศาสดาเสด็จเข้าไปหาอุบาสกนั้นแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนอุบาสก ท่านเศร้าโศกถึงลูกตายหรือ ? เมื่ออุบาสกกราบทูลว่า ถูกแล้วพระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก บัณฑิตในครั้งโบราณฟังถ้อยคำของบัณฑิตแล้ว ไม่เศร้าโศกถึงลูกที่ตายไปแล้ว พระศาสดาผู้อันอุบาสกนั้นกราบทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อ ไปนี้:
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่ามหาวังสะ ครองราชสมบัติอยู่ในอสิตัญชนคร แคว้นกังสโคตรใกล้อุตราปถประเทศ พระองค์มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่ากังสะ องค์หนึ่งพระนามว่าอุปกังสะ มีพระราชธิดาองค์หนึ่งพระนามว่า เทวคัพภา ในวันที่พระราชธิดานั้นประสูติ พราหมณ์ผู้ทายลักษณะพยากรณ์ไว้ว่า พระโอรสที่เกิดในพระครรภ์ของพระนางเทวคัพภานั้น จักทำกังสโคตร กังสวงศ์ให้พินาศ พระราชาไม่อาจให้สำเร็จโทษพระราชธิดาได้ เพราะทรงสิเนหามาก แม้พระเชษฐาทั้งสองก็ทรงทราบเหมือนกัน พระราชาดำรงราชสมบัติอยู่ตลอดพระชนมายุแล้ว เสด็จสวรรคตด้วยประการฉะนี้
เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว กังสราชโอรสได้เป็นพระราชา อุปกังสราชโอรสได้เป็นอุปราช ทั้ง ๒ พระองค์ทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักให้สำเร็จโทษภคินี เราก็จักถูกครหา เราจักไม่ให้ภคินีนี้แก่ใครๆ จักเลี้ยงดูโดยไม่ให้มีสามี ดังนี้ทั้ง ๒ พระองค์จึงให้สร้างปราสาทเสาเดียวให้ราชธิดาอยู่ ณ ปราสาทนั้น นางทาสีนามว่านันทโคปาได้เป็นปริจาริกา ของพระนาง ทาสนามว่าอันธกเวณฑุ ผู้เป็นสามีของนางนันทโคปา เป็นผู้พิทักษ์รักษาพระนาง.
ครั้งนั้น พระเจ้ามหาสาครราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอุตตรปถประเทศ พระองค์มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่าสาคร องค์หนึ่งพระนามว่าอุปสาคร ก็ในบรรดาพระราชโอรส ๒ พระองค์นั้น เมื่อพระชนกเสด็จสวรรคต สาครราชโอรสได้เป็นพระราชา อุปสาครราชโอรสได้เป็นอุปราช อุปสาครอุปราชนั้นเป็นสหายของอุปกังสอุปราช สำเร็จการศึกษาคราวเดียวกัน ในตระกูลอาจารย์คนเดียวกัน.
อุปสาครอุปราชได้ทำมิดีมิงามกับนางสนมกำนัลในของพระเจ้าพี่สาครราช อุปราชกลัวพระราชอาชญาหนีไปสำนักอุปกังสอุปราช ในแคว้นกังสโคตร อุปกังสอุปราชพาเข้าเฝ้าพระเจ้ากังสราช พระเจ้ากังสราชทรงประทานยศใหญ่แก่อุปสาครอุปราช อุปสาครอุปราชเมื่อไปเฝ้าพระราชา เห็นปราสาทเสาเดียว ซึ่งเป็นที่ประทับของพระนางเทวคัพภา จึงถามว่านี่ที่อยู่ของใคร ครั้นทราบความนั้นแล้ว ก็มีจิตปฏิพัทธ์ในพระนางเทวคัพภา.
วันหนึ่ง พระนางเทวคัพภาทอดพระเนตรเห็นอุปสาครอุปราช ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอุปกังสอุปราช จึงตรัสถามว่า นั่นใคร ทรงทราบจากนางนันทโคปาว่า โอรสพระเจ้ามหาสาครราชพระนามว่า อุปสาคร ก็มีจิตปฏิพัทธ์ในอุปสาครอุปราชนั้น
อุปสาครอุปราชให้สินบนนางนันทโคปา แล้วกล่าวว่า น้องหญิง ท่านอาจที่จักพาพระนางเทวคัพภามาให้เราไหม ?
นางนันทโคปากล่าวว่า ข้อนั้นไม่ยากดอก นาย แล้วก็บอกเรื่องนั้นแก่พระนางเทวคัพภา ตามปกติพระนางก็มีจิตปฏิพัทธ์ในอุปสาครอุปราชอยู่แล้ว พอได้ฟังดังนั้นก็รับว่าดีแล้ว นางนันทโคปาให้สัญญาแก่อุปสาครอุปราชให้ขึ้นปราสาทในเวลาราตรี อุปสาครอุปราชได้ร่วมสังวาสกับพระนางเทวคัพภา โดยทำนองนั้นบ่อยๆ เข้าพระนางได้ตั้งครรภ์
ต่อมาข่าวพระนางทรงครรภ์ก็ได้ปรากฏขึ้น พระเชษฐาทั้งสองจึงถามนางนันทโคปา นางนันทโคปาทูลขออภัยแล้ว กราบทูลความลับนั้นให้ทรงทราบ พระเชษฐาทั้ง ๒ พระองค์ทรงทราบแล้ว จึงปรึกษากันว่า เราไม่อาจที่จะสำเร็จโทษน้องหญิงได้ ถ้าเธอคลอดพระธิดา เราจักไม่สำเร็จโทษ แต่ถ้าเป็นพระโอรส เราจักสำเร็จโทษเสีย แล้วประทานพระนางเทวคัพภาแก่อุปสาครอุปราช พระนางเทวคัพภาทรงครรภ์ครบกำหนดแล้วก็ประสูติพระธิดา พระเชษฐาทั้งสองทรงทราบแล้วดีพระทัย ตั้งพระนามให้พระธิดานั้นว่า อัญชนเทวี ได้พระราชทานบ้านส่วยชื่อโภควัฒมานะแก่กษัตริย์ทั้ง ๒
อุปสาครอุปราช จึงพาพระนางเทวคัพภาไปประทับ ณ โภควัฒมานคาม พระนางเทวคัพภาก็ทรงครรภ์อีก แม้นางนันทโคปาก็ตั้งครรภ์ในวันนั้นเหมือนกัน เมื่อหญิงทั้งสองมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระนางเทวคัพภาประสูติพระโอรส แม้นางนันทโคปาก็คลอดธิดาในวันเดียวกันนั่นเอง พระนางเทวคัพภากลัวพระโอรสจะพินาศด้วยราชภัย จึงส่งพระโอรสไปให้นางนันทโคปา และให้นางนันทโคปานำธิดามาให้เปลี่ยนกันเลี้ยง
อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลความที่พระนางเทวคัพภาประสูติแล้ว ให้พระเชษฐาทั้ง ๒ ทรงทราบ พระเชษฐาทั้ง ๒ พระองค์นั้นตรัสถามว่า ประสูติโอรสหรือธิดา เมื่อได้รับตอบว่า ธิดา จึงรับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงเลี้ยงไว้เถิด พระนางเทวคัพภาประสูติพระโอรสรวม ๑๐ องค์ นางนันทโคปาก็คลอดลูกหญิงรวม ๑๐ คน ได้เปลี่ยนให้กันเลี้ยงด้วยอุบายนี้ โอรสของพระนางเทวคัพภาเจริญอยู่ในสำนักนางนันทโคปา ลูกหญิงของนางนันทโคปาเจริญอยู่ในสำนักของพระนางเทวคัพ ภา ใครๆ มิได้รู้ความลับเรื่องนั้น.
โอรสองค์ใหญ่ของพระนางเทวคัพภา นามว่าวาสุเทพ องค์ที่ ๒ นามว่าพลเทพ องค์ที่ ๓ นามว่าจันทเทพ องค์ที่ ๔ นามว่าสุริยเทพ องค์ที่ ๕ นามว่าอัคคิเทพ องค์ที่ ๖ นามว่าวรุณเทพ องค์ที่ ๗ นามว่า อัชชุนะ องค์ที่ ๘ นามว่าปัชชุนะ องค์ที่ ๙ นามว่าฆตบัณฑิต องค์ ที่ ๑๐ นามว่าอังกุระ โอรสเหล่านั้นได้ปรากฏว่าพี่น้อง ๑๐ คนเป็นบุตรของอันธกเวณฑุทาส.
ต่อมาโอรสเหล่านั้น ครั้นเจริญวัยแล้วมีกำลังเรี่ยวแรงมาก เป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็ง พากันเที่ยวปล้นประชาชน แม้คนนำบรรณาการไปถวายพระราชา ก็พากันปล้นเอาหมด ประชาชนประชุมกันร้องทุกข์ที่พระลานหลวงว่า พี่น้อง ๑๐ คน ซึ่งเป็นบุตรของอันธกเวณฑุทาส ปล้นแว่นแคว้น พระราชารับสั่งให้เรียกตัวอันธกเวณฑุทาสมาตรัสคุกคามว่า เหตุไร ? เจ้าจึงปล่อยให้ลูกทำการปล้น ดังนี้
เมื่อประชาชนร้องทุกข์ถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้งอย่างนี้ พระราชาก็ทรงคุกคามอันธกเวณฑุ เขากลัวต่อมรณภัย ทูลขออภัยโทษกะพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้สมมติเทพ กุมารเหล่านั้นมิใช่บุตรของข้าพระองค์ เป็นโอรสของอุปสาครอุปราช แล้วกราบทูลความลับเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
พระราชาทรงตกพระทัย ตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า เราจะใช้อุบายอย่างไร จึงจักจับกุมารเหล่านั้นได้ ?
เมื่อพวกอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ กุมารเหล่านั้นลำพองจิตด้วยมวยปล้ำ ข้าพระองค์จักให้ทำการต่อสู้ขึ้นในพระนคร แล้วให้จับกุมารเหล่านั้นผู้มาสู่สนามยุทธฆ่าเสีย ณ ที่นั้น
ดังนี้ จึงรับสั่งให้เรียกนักมวยปล้ำมา ๒ คน คนหนึ่ง ชื่อวานุระ อีกคนหนึ่งชื่อมุฏฐิกะ แล้วให้ตีกลองประกาศทั่วพระนครว่า จากวันนี้ไป ๗ วัน จักมีการต่อสู้ ดังนี้แล้วให้ตระเตรียมสนามต่อสู้ที่พระลานหลวง ให้ทำสังเวียนกั้นสนามต่อสู้แล้วให้ผูกธงและแผ่นผ้า.
เสียงเล่าลือกันแซ่ไปทั่วนคร ประชาชนพากันผูกล้อเลื่อนและเตียงน้อยใหญ่ วานุระแลมุฏฐิกะก็มายังสนามต่อสู้ โห่ร้องคำราม ตบมือเดินไปมาอยู่ แม้กุมารพี่น้องทั้ง ๑๐ ก็มาแล้วยื้อแย่งตามถนนขายอาหาร ของหอมและเครื่องย้อม แล้วนุ่งห่มผ้าสี แย่งเอาของหอมตามร้านขายของหอม แลดอกไม้ตามร้านขายดอกไม้มาประดับตัวทัดดอกไม้ ๒ หู โห่ร้องคำรามตบมือเข้าสนามต่อสู้
ขณะนั้นวานุระเดินตบมืออยู่ พลเทพเห็นดังนั้น จึงคิดว่า เราจะไม่ถูกต้องวานุระด้วยมือ แล้วไปนำเชือกผูกช้างเส้นใหญ่มาแต่โรงช้าง โห่ร้องคำรามแล้วโยนเชือกไป พันท้องวานุระ รวบปลายเชือกทั้ง ๒ เข้ากัน โห่ร้องยกขึ้นหมุนเหนือศีรษะแล้วฟาดลงแผ่นดิน โยนไปนอกสังเวียน
เมื่อวานุระตายแล้ว พระราชารับสั่งให้มุฏฐิกะคนปล้ำทำการต่อสู้ต่อไป มุฏฐิกะลุกออกไปโห่ ร้องคำรามตบมืออยู่ พลเทพทุบมุฏฐิกะจนกระดูกละเอียด เมื่อมุฏฐิกะกล่าวว่า ท่านเป็นนักมวยปล้ำ ฉันไม่ใช่นักมวยปล้ำ จึงตอบว่า เราไม่เข้าใจว่าท่านเป็นนักมวยปล้ำหรือไม่ใช่นักมวยปล้ำ แล้วจับมือทั้ง ๒ ของมุฏฐิกะเหวี่ยงตัวมุฏฐิกะฟาดลงบนแผ่นดินให้ตายแล้วโยนไปนอกสังเวียน มุฏฐิกะเมื่อจะตายได้ ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอให้เราเป็นยักษ์ได้กินพลเทพ ครั้นเขาตายไป แล้วจึงเกิดเป็นยักษ์อยู่ในดงชื่อกาฬมัตติกะ.
พระราชาเสด็จลุกขึ้นตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงจับพี่น้องทั้ง ๑๐ คนเหล่านี้ให้ได้ ขณะนั้น วาสุเทพขว้างจักรไปตกถูกพระเศียรกษัตริย์สองพี่น้องสิ้นพระชนม์ มหาชนพากันสะดุ้งหวาดกลัว หมอบลงแทบบาทของกุมารเหล่านั้นด้วยกล่าวว่า ขอพระองค์ได้เป็นที่พึ่งของพวกข้าพระองค์เถิด
กุมารเหล่านั้นครั้นปลงพระชนม์พระเจ้าลุงทั้ง ๒ ก็ยึดราชสมบัติอสิตัญชนคร ยกมารดาบิดาขึ้นครองราชสมบัติแล้วปรึกษากันว่า เรา ๑๐ คนจักชิงราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งหมด แล้วชวนกันยกออกไปโดยลำดับ ถึงอยุชฌนครซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้ากาลโยนกราชล้อมเมืองไว้ ทำลายค่ายพังกำแพงเข้าไปจับพระราชา ยึดราชสมบัติอยู่ในเงื้อมมือของตน แล้วพากันไปถึงกรุงทวาราวดี.
ก็กรุงทวาราวดีนั้นมีสมุทรตั้งอยู่ข้างหนึ่ง มีภูเขาตั้งอยู่ข้างหนึ่ง ได้ยินว่านครนั้นมีอมนุษย์รักษา ยักษ์ผู้ยืนรักษานครนั้น เห็นปัจจามิตรแล้วแปลงเพศเป็นลาร้องเสียงเหมือนลา ขณะนั้นนครทั้งสิ้นก็เลื่อนลอยไปอยู่บนเกาะเกาะหนึ่งกลางสมุทร ด้วยอานุภาพยักษ์ เมื่อพวกปัจจามิตรไปแล้ว นครก็กลับมาประดิษฐานตามเดิมอีก
คราวนั้น ยักษ์เพศลานั้นรู้ว่ากุมาร ๑๐ คนพี่น้องมา ก็ร้องเป็นเสียงลาขึ้น นครก็เลื่อนลอยไปประดิษฐานอยู่บนเกาะ กุมารเหล่านั้นไม่เห็นนครก็พากันกลับ นครก็มาประดิษฐานอยู่ตามเดิมอีก
กุมารเหล่านั้นกลับมาอีก ยักษ์เพศลาก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นอีก กุมารเหล่านั้นเมื่อไม่อาจชิงราชสมบัติในกรุงทวาราวดีได้ ก็พากันไปหากัณหทีปายนดาบส นมัสการแล้ว ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่อาจชิงราชสมบัติทวาราวดี ขอท่านได้บอกอุบายแก่พวกข้าพเจ้าสักอย่างหนึ่ง เมื่อพระดาบสบอกว่า มีลาตัวหนึ่งเที่ยวอยู่ที่หลังคูแห่งโน้น ลานั้นเห็นพวกอมิตรแล้วร้องขึ้น ขณะนั้นนครก็เลื่อนลอยไปเสีย ท่านทั้งหลายจงจับเท้าของลานั้น นี้เป็นอุบายที่จะให้ท่านถึงความสำเร็จดังนี้
กุมารทั้ง ๑๐ นมัสการพระดาบส แล้วไปหมอบจับเท้าของลาวิงวอนว่า ข้าแต่นาย คนอื่นนอกจาก ท่านเสียแล้วไม่เป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้าได้ กาลเมื่อพวกข้าพเจ้ายึดนคร ขอท่านอย่าได้ร้องขึ้นเลย ยักษ์เพศลากล่าวว่า เราไม่อาจที่จะไม่ร้อง แต่ว่าท่าน ๔ คนจงมาก่อน จงถือเอาไถเหล็กใหญ่ๆ แล้วตอกหลักเหล็กใหญ่ๆ ลงกับพื้นแผ่นดิน ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ด้าน กาลเมื่อนครจะเขยื้อนขึ้นจงจับไถแล้วช่วยกันเอาโซ่เหล็กที่ผูกกับไถล่ามไว้กับหลักเหล็ก นครจักไม่อาจลอยไปได้.
กุมารเหล่านั้นรับว่า ดีแล้ว ครั้นเวลาเที่ยงคืนนั้น ก็พากันถือเอาไถแล้วตอกหลักลงบนแผ่นดินที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ด้านยืนอยู่ ขณะนั้น ยักษ์เพศลาก็ร้องขึ้น นครเริ่มจะเลื่อนลอย กุมารเหล่านั้นยืนอยู่ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ด้าน จับไถเหล็ก ๔ คัน เอาโซ่เหล็กผูกกับไถล่ามไว้กับหลักเหล็ก นครก็ไม่อาจเขยื้อนขึ้นได้
ลำดับนั้น กุมาร ๑๐ พี่น้อง ก็เข้านครปลงพระชนม์พระราชาแล้วยึดราชสมบัติได้ กุมารเหล่านั้น ได้ใช้จักรปลงพระชนม์พระราชาทั้งหมดในนคร ๖ หมื่น ๓ พันนคร แล้วมารวมกันอยู่ที่กรุงทวาราวดี แบ่งราชสมบัติเป็น ๑๐ ส่วน แต่หาทันนึกถึงอัญชนเทวีเชษฐภคินีไม่ ต่อมานึกขึ้นได้จึงปรึกษากันใหม่ว่า จะแบ่งเป็น ๑๑ ส่วน อังกุรกุมารพูดขึ้นว่า ท่านทั้งหลายจงให้ส่วนของเราแก่อัญชนเทวีเชษฐภคินีเถิด เราจะทำการค้าขายเลี้ยงชีพ แต่ท่าน ทั้งหลายต้องแบ่งส่วยในชนบทของตนให้แก่เราทุกๆ คน พี่น้อง ๙ องค์ รับว่า ดีแล้ว ดังนี้แล้วมอบราชสมบัติส่วนของอังกุรกุมารให้แก่อัญชนเทวีเชษฐภคินี ได้เป็นพระราชา ๙ องค์กับเชษฐภคินี อยู่ด้วยกันใน กรุงทวาราวดี ส่วนน้องกุรกุมารได้ทำการค้าขาย.
เมื่อพระราชาพี่น้องเหล่านั้นเจริญด้วยบุตรธิดาต่อๆ มาอีกอย่างนี้ ครั้นกาลล่วงไปนาน พระราชมารดาบิดาก็สิ้นพระชนม์ลง ได้ยินว่าอายุกาลของมนุษย์ในครั้งนั้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ครั้งนั้น พระปิโยรสองค์หนึ่ง ของวาสุเทพมหาราชสิ้นพระชนม์ พระราชาทรงแต่เศร้าโศกละสรรพกิจเสีย นอนกอดแคร่พระแท่นบ่นเพ้ออยู่ กาลนั้น ฆตบัณฑิตคิดว่า เว้นเราเสียแล้ว คนอื่นใครเล่าชื่อว่าสามารถกำจัดความโศกของพี่ชายเราย่อมไม่มี เราจักใช้อุบายกำจัดความโศกของพี่ชาย คิดดังนี้แล้ว จึงทำเป็นคนบ้าแหงนดูอากาศเดินบ่นไปทั่วเมืองว่า ท่านจงให้กระต่ายแก่เรา ท่านจงให้กระต่ายแก่เรา ดังนี้ ข่าวเล่าลือกันไปทั่วเมืองว่า ฆตบัณฑิตเป็นบ้าเสียแล้ว
เวลานั้น อำมาตย์ชื่อโรหิเณยยะไปเฝ้าพระเจ้าวาสุเทพ เมื่อจะเริ่มสนทนากับพระองค์ ได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:
[๑๔๘๓] ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ เชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้นเถิด จะมัวทรง
บรรทมอยู่ทำไม ความเจริญอะไรจะมีแก่พระองค์ด้วยพระสุบินเล่า
พระภาดาของพระองค์แม้ใด เสมอด้วยพระหทัย และเสมอด้วย
พระเนตรข้างขวา ลมกระทบดวงหทัยของพระภาดานั้น ข้าแต่พระเจ้า
เกสวะ ฆตบัณฑิตทรงเพ้อไป.
เมื่ออำมาตย์ทูลอย่างนี้แล้ว พระศาสดาผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงทราบ ความที่ฆตบัณฑิตมีจิตมั่นคง จึงตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า:
[๑๔๘๔] พระเจ้าเกสวะทรงสดับคำของโรหิเณยยอำมาตย์ นั้นแล้ว อัดอั้น
พระหฤทัยด้วยความเศร้าโศก ถึงพระภาดา มีพระวรกายกระสับกระส่าย
เสด็จลุกขึ้น.
พระราชาเสด็จลุกขึ้น รีบเสด็จลงจากปราสาทไปหาฆตบัณฑิต จับหัตถ์ทั้ง ๒ ไว้แน่น เมื่อจะเจรจากับฆตบัณฑิต ได้กล่าวคาถา ที่ ๓ ว่า:
[๑๔๘๕] เหตุไรหนอ เจ้าจึงเป็นเหมือนคนบ้า เที่ยวบ่นเพ้ออยู่ทั่วนครทาวราวดี
นี้ว่า กระต่าย กระต่าย ใครมาลักเอากระต่ายของเจ้าไปหรือ?
เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว ฆตบัณฑิตก็ยังตรัสคำนั้นแหละ อยู่บ่อยๆ พระราชาจึงตรัส ๒ คาถาอีกว่า:
[๑๔๘๖] เจ้าปรารถนากระต่ายทอง กระต่ายเงิน กระต่ายแก้วมณี กระต่าย
สังขสิลา หรือกระต่ายแก้วประพาฬประการใด จงบอกแก่เรา เรา
จะให้เขาทำให้เจ้า ถ้าแม้เจ้าไม่ชอบกระต่ายเหล่านี้ แม้กระต่ายอื่นๆ
มีอยู่ในป่า เราจะให้เขานำเอากระต่ายเหล่านั้นมาให้ เจ้าต้องการ
กระต่ายชนิดใดเล่า?
ฆตบัณฑิตฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:
[๑๔๘๗] ข้าแต่พระเจ้าเกสวะ กระต่ายเหล่าใดที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน หม่อมฉัน
ไม่ปรารถนากระต่ายเหล่านั้น หม่อมฉันปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์
ขอพระองค์ได้ทรงโปรดสอยกระต่ายนั้นมาให้หม่อมฉันเถิด.
พระราชาทรงสดับถ้อยคำของฆตบัณฑิตแล้ว ทรงโทมนัสว่า น้องชายของเราเป็นบ้าเสียแล้วโดยไม่ต้องสงสัย จึงกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า:
[๑๔๘๘] น้องรัก เจ้าปรารถนาสิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนากัน อยากได้กระต่ายจาก
ดวงจันทร์ จะละชีวิตไปเสียเป็นแน่.
ฆตบัณฑิตฟังพระราชดำรัสแล้ว ยืนนิ่งอยู่กล่าวว่า ข้าแต่ พระเจ้าพี่ เจ้าพี่ทรงทราบว่าข้าพระองค์ปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ ไม่ได้แล้วจะตาย ก็เหตุไร เจ้าพี่จึงเศร้าโศกถึงโอรสที่สิ้นพระชนม์ไป แล้วเล่า ? แล้วกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:
[๑๔๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ ถ้าพระองค์ทรงทราบและตรัสสอนผู้อื่น
อย่างนี้ เหตุไรพระองค์จึงทรงเศร้าโศกถึงพระราชโอรส ผู้สิ้นพระชนม์
ไปแล้ว ในกาลก่อน จนกระทั่งถึงวันนี้เล่า?
ฆตบัณฑิตยืนอยู่ระหว่างวิถีกราบทูลดังนี้ว่า ข้าแต่พระเจ้าพี่ หม่อมฉันปรารถนาสิ่งที่เห็นปรากฏอยู่แท้ๆ แต่เจ้าพี่ทรงเศร้าโศกเพื่อ ทรงประสงค์สิ่งที่มิได้ปรากฏอยู่ เมื่อจะแสดงธรรมถวายพระราชา ได้ กล่าวคาถา ๒ คาถาอีกว่า:
[๑๔๙๐] มนุษย์ หรือเทวดาไม่พึงได้ฐานะอันใด คือความมุ่งหวังว่า บุตรของเรา
ที่เกิดมาแล้วอย่าตายเลย พระองค์ทรงปรารถนาข้า ฐานะนั้นอยู่ จะพึง
ทรงได้ฐานะที่ไม่ควรได้แต่ที่ไหน ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ พระองค์
ทรงเศร้าโศกถึงพระโอรสองค์ใด ผู้ไปรโลกแล้ว พระองค์ก็ไม่สามารถ
จะนำพระโอรสนั้นมาได้ด้วยมนต์ ยารากไม้ โอสถ หรือ พระราชทรัพย์
เลย.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า แน่ะพ่อฆตบัณฑิตคำที่ กล่าวนี้ควรกำหนดไว้ ท่านได้ทำให้เราหายโศกแล้ว เมื่อจะสรรเสริญฆตบัณฑิต จึงตรัสพระคาถา ๔ พระคาถาว่า:
[๑๔๙๑] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเช่นนี้ เป็นอำมาตย์ ของพระราชาพระองค์ใด พระ
ราชาพระองค์นั้น จะมีความโศกมาแต่ไหน เหมือนฆตบัณฑิต ดับความ
โศกของเราในวันนี้ ฆตบัณฑิตได้รดเรา ผู้เร่าร้อนให้สงบระงับ
ดับความกระวนกระวายทั้งปวงได้ เหมือนบุคคลดับไฟที่ติดเปรียง
ด้วยน้ำ ฉะนั้น ฆตบัณฑิตได้ถอนลูกศรที่เสียบแทงหทัยของเราออกแล้ว
ได้บันเทาความโศก ถึงบุตรของเราผู้ถูกความเศร้าโศกครอบงำแล้วหนอ.
เราเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจากความโศก ไม่ขุ่นมัว
จะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังคำของเจ้า นะน้องชาย.
ในอวสาน มีอภิสัมพุทธคาถา ซึ่งมีเนื้อความง่ายดังนี้ว่า:
[๑๔๙๒] ผู้มีปัญญา มีใจกรุณา ย่อมทำผู้ที่เศร้าโศก ให้หลุดพ้นจากความเศร้าโศก
ได้ เหมือนฆตบัณฑิตทำพระเชฏฐาผู้เศร้าโศก ให้หลุดพ้นจากความ
เศร้าโศก ฉะนั้น.
เมื่อพระเจ้าวาสุเทพ ผู้อันฆตบัณฑิตทำให้หมดความโศกแล้วอย่างนี้ครองราชสมบัติอยู่ โดยล่วงไปแห่งกาลยืดยาวนาน พระกุมารโอรสของกษัตริย์พี่น้องทั้ง ๑๐ ปรึกษากันว่า เขากล่าวกันว่า กัณหทีปายนดาบสผู้มีตาดังทิพย์ พวกเราจักทดลองท่านดูก่อน จึงประดับกุมารเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แสดงอาการเหมือนหญิงมีครรภ์ เอาลูกแก้วมรกตผูกไว้ที่ท้อง แล้วนำไปหาพระดาบสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เด็กหญิงนี้จักคลอดหรือไม่ ?
พระดาบสพิจารณาดูรู้ว่า กาลวิบัติของกษัตริย์พี่น้อง ๑๐ องค์มาถึงแล้ว อายุสังขารของพวกเราเป็นเช่นไรหนอ ? ก็รู้ว่า จักตายวันนี้แน่ จึงกล่าวว่า กุมารทั้งหลาย พวกท่านต้องการอะไรด้วยเรื่องนี้ ครั้นเมื่อถูกพวกกุมารเซ้าซี้ว่า ขอท่านจงบอกแก่พวกกระผมเถิด พระเจ้าข้า จึงกล่าวว่า ต่อนี้ไป ๗ วัน กุมาริกาผู้นี้จักคลอดปุ่มไม้ตะเคียนออกมา ด้วยเหตุนั้นตระกูลของวาสุเทพจักพินาศ อนึ่ง ท่านทั้งหลาย จงเอาปุ่มไม้ตะเคียนนั้นไปเผาแล้วเอาเถ้าไปทิ้งในแม่น้ำ ลำดับนั้น พระกุมารเหล่านั้นกล่าวกะพระดาบสว่า ดูก่อนชฎิลโกง ธรรมดาผู้ชาย ออกลูกได้ไม่มีเลย แล้วทำฑัณฑ์ชื่อตันตรัชชุกะให้ดาบสสิ้นชีวิต ในที่นั้นเอง.
กษัตริย์พี่น้องทั้งหลาย เรียกพระกุมารมาตรัสถามว่า พวกเจ้า ฆ่าพระดาบสเพราะเหตุไร ? ครั้นได้สดับเรื่องทั้งหมดแล้วทรงหวาดกลัว จึงรักษาเด็กนั้นไว้ ครั้นถึงวันที่ ๗ ให้เผาปุ่มตะเคียนที่ออกจากท้องเด็กนั้น แล้วเอาเถ้าไปทิ้งในแม่น้ำ เถ้านั้นถูกน้ำพัดไปติดอยู่ที่ปากอ่าวข้างหนึ่ง เกิดเป็นตะไคร่น้ำขึ้นที่นั้น.
อยู่มาวันหนึ่ง กษัตริย์เหล่านั้นชวนกันทรงสมุทรกีฬา เสด็จไปถึงปากอ่าวแล้วให้ปลูกมหามณฑปทรงเสวยทรงดื่ม ทรงหยอกเย้ากันที่มหามณฑปซึ่งตกแต่งงดงาม ใช้พระหัตถ์และพระบาทถูกต้องกันแต่เป็นไปด้วยอำนาจความเย้ยหยัน จึงทะเลาะกันยกใหญ่ แตกกันเป็นสองพวก
ลำดับนั้น กษัตริย์พระองค์หนึ่ง เมื่อไม่ได้ไม้ตะบองอย่างอื่น ก็ถือใบตะไคร้น้ำแต่กอตะไคร้น้ำใบหนึ่ง ใบตะไคร้น้ำนั้น พอถูกจับเข้าเท่านั้น ก็กลายเป็นสากไม้ตะเคียน พระองค์ทรงตีมหาชนด้วยสากนั้น แล้วสิ่งที่คนทั้งหมดจับด้วยเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่น ก็กลายเป็นสากไปหมด เขาจึงประหารกันและกันถึงความพินาศสิ้น เมื่อเขาเหล่านั้นกำลังพินาศอยู่ กษัตริย์ ๔ องค์คือ วาสุเทพ พลเทพ อัญชนเทวีภคินี และ ปุโรหิต พากันขึ้นรถหนีไป พวกที่เหลือพากันพินาศหมด
กษัตริย์ ๔ องค์เหล่านั้นขึ้นรถหนีไปถึงดงกาฬมัตติกะ ก็มุฏฐิกะคนปล้ำนั้นซึ่งตั้งความปรารถนาไว้ได้เกิดเป็นยักษ์อยู่ในดงนั้น รู้ว่าพลเทพมาก็เนรมิตบ้านขึ้นที่นั่น แปลงเพศเป็นคนปล้ำเที่ยวโห่ร้องคำรามตบมือท้าทายว่า ใครต้องการสู้ พลเทพพอเห็นเขาเหล่านั้นก็กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าพี่ หม่อมฉันจักสู้กับบุรุษนี้เอง เมื่อวาสุเทพห้ามอยู่นั่นแหละ ลงจากรถ ตบมือเข้าไปหายักษ์นั้น ลำดับนั้น ยักษ์จึงจับมือที่เหยียดออกแล้วกิน พลเทพเสียดุจเหง้าบัว.
วาสุเทพรู้ว่าพลเทพสิ้นชีวิต จึงพาภคินีและปุโรหิตเดินทางไปตลอดคืน พอรุ่งสว่างก็ถึงปัจจันตคามตำบลหนึ่ง สั่งภคินีและปุโรหิตไปยังบ้านสั่งว่า จงหุงอาหารแล้วนำมา ตัวเองเข้าไปนอนซ่อนอยู่ที่กอไม้กอหนึ่ง ครั้งนั้น นายพรานคนหนึ่งชื่อชรา เห็นกอไม้ไหวๆ เข้าใจว่า สุกรจักมีที่นั่น จึงพุ่งหอกไปถูกพระบาทวาสุเทพ เมื่อวาสุเทพตรัสว่า ใครแทงเรา นายพรานรู้ว่าตนแทงมนุษย์ ก็ตกใจกลัวปรารภจะหนีไป พระราชาดำรงพระสติไว้เสด็จลุกขึ้น ตรัสเรียกว่า ดูก่อนลุง อย่ากลัวเลยจงมาเถิด
ครั้นนายพรานมาแล้ว จึงตรัสถามว่า ท่านชื่ออะไร ? เมื่อนายพรานตอบว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าชื่อชรา ก็ทรงทราบว่า นัยว่า คนรุ่นก่อนพยากรณ์เราไว้ว่า จักถูกนายชราแทงตาย วันนี้เราคงตายโดยไม่ต้องสงสัย แล้วตรัสกะนายชราว่า ดูก่อนลุง ท่านอย่ากลัวเลย จงมาช่วยพันแผลที่เท้าให้เรา ให้นายพรานชราพันปากแผลแล้วก็ส่งนายพรานนั้นไป เวทนามีกำลังได้เป็นไปอย่างแรงกล้า พระราชาไม่อาจจะเสวยพระกระยาหารที่ภคินีและปุโรหิตนำมาได้ ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสเรียกชนทั้งสองมาตรัสว่า เราจักตายวันนี้ ก็ท่านทั้งสองเป็นสุขุมาลชาติ ไม่อาจจะทำการงานอย่างอื่นเลี้ยงชีพได้ จงเรียนวิชานี้ไว้ แล้วให้ศึกษาวิชาอย่างหนึ่ง แล้วส่งเขากลับไป พระองค์สิ้นพระชนม์อยู่ ณ ที่นั้นเอง กษัตริย์พี่น้องทั้งหมด นอกจากอัญชนเทวีแล้ว ถึงความพินาศสิ้น.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก บัณฑิตในครั้งโบราณฟังด้วยคำของบัณฑิตแล้ว กำจัดความโศกถึงบุตรของตนออกได้ ท่านอย่าคิดถึงเขาเลย ดังนี้แล้วทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจจะ อุบาสกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า โรหิเณยยอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ วาสุเทพในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ พวกที่เหลือนอกนี้ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนฆตบัณฑิต ในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราผู้สัมมาสัมพุทธะเปิดหลังคาคือกิเลสในโลกได้ แล้ว ฉะนี้แล.
จบ ฆตบัณฑิตชาดก

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 12:12:32 น. 1 comments
Counter : 427 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:11:19:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.