|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทานที่มีอานิสงส์มาก
ทานที่อานิสงส์มาก "การให้ทาน" ที่มีอานิสงส์มาก ในทานสูตร อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้ทานที่ให้แล้ว "มีผลมาก" แต่ "ไม่มีอานิสงส์มาก" และเหตุปัจจัยที่ทำให้ทานที่ให้แล้ว "มีผลมาก" และ "มีอานิสงส์มาก" ไว้ดังต่อไปนี้
๑. บุคคลบางคน... ให้ทานด้วยความหวังว่า เมื่อตายไปแล้ว จักได้เสวยผลของทานนี้ เมื่อตายไป ได้เกิดในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา
สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้วก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก
"ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก"
๒. บุคคลบางคน... ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน แต่ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี เป็นบุญ เป็นกุศลจึงให้ เมื่อตายไปได้เกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์
สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้วก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก
"ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก"
๓. บุคคลบางคน... ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี แต่ให้ทานเพราะละอายใจที่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษเคยทำมา ถ้าไม่ทำก็ไม่สมควร ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นยามา
สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้วก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือ กลับมาเกิดในโลกนี้อีก
"ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก"
๔. บุคคลบางคน... ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ แต่ให้ทานเพราะเห็นสมณพราหมณ์เหล่านั้นหุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ ถ้าไม่ให้ก็ไม่สมควร ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นดุสิต
สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้วก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก
"ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก"
๕. บุคคลบางคน... ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่าสมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้ แต่ให้ทานเพราะต้องการจำแนกแจกทาน เหมือนกับฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทานมาแล้ว เขาตายไป ได้เกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี
สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้วก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก
"ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก"
๖. บุคคลบางคน... ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะว่าทานเป็นของดี ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่าสมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้ ไม่ได้ให้ทานเพราะต้องการจำแนกแจกทานเหมือนฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทาน แต่ให้ทานเพราะคิดว่าเมื่อให้แล้ว จิตจะเลื่อมใสโสมนัสจึงให้ ครั้นตายไปย่อมเกิดในเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้วก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก
"ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก"
๗. บุคคลบางคน... ไม่ได้ให้ทานเพราะเหตุที่กล่าวแล้วทั้ง ๖ อย่างข้างต้นนั้น แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต คือให้ทานนั้นเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจ หมดจดจากกิเลสด้วยอำนาจของสมถะและวิปัสสนา จนได้ฌานและบรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคล ตายแล้วได้ไปเกิดใน พรหมโลก
เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในพรหมโลกแล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกนี้อีก คือ "ปรินิพพาน" ในพรหมโลกนั้นเอง
"ทานชนิดนี้มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก"
(#^_^#)
เมื่อได้พิจารณาพระสูตรบทนี้แล้ว จะวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจนว่าการทำบุญให้ทานนั้น แม้จะมีมูลค่าเท่ากัน ปริมาณจำนวนเท่ากัน แต่สิ่งที่จะเป็นตัวตัดสิน "อานิสงส์" ที่แตกต่างกันนั้น ขึ้นอยู่ที่ "เจตนา"
"เจตนา" อธิบายเพิ่มเติมได้ว่า "ขึ้นอยู่กับจิตของผู้ทำบุญให้ทานในขณะนั้น" ว่าทำบุญเพื่อ "หวังผล" หรือ "ไม่หวังผลอะไร"
วัตถุประสงค์ของการทำทานนั้น ทำเพื่อให้ เพื่อสละออก โดยไม่ยึดติดตัวกูของกูว่านี่ของกู นั่นของกู กูเป็นคนทำ กูทำแล้วต้องได้ผลประโยชน์อย่างนี้อย่างนั้น ต้องได้ชื่อเสียง ต้องได้อำนาจวาสนาบารมี ใครจะมายุ่งมาวิจารณ์ของๆกูไม่ได้
"หลวงพ่อจรัญ" ท่านจะสอนเสมอว่า "จะทำอะไรก็ให้ตั้งสติก่อน จะทำบุญทำทานก็ให้ตั้งสติก่อน ให้ตั้งจิตตั้งใจ (เจตนา) ให้ดี ทำด้วยเมตตา ทำด้วยความเคารพ ทำด้วยความตั้งใจ ทำด้วยความเสียสละ ทำด้วยความบริสุทธิ์ (ใจ)"
ดังนั้น... การทำบุญของผมในแต่ละครั้ง จะไม่ได้ทำเล่นๆ ทำผ่านๆ ทำบุญสักแต่ว่าจะทำ หรือทำแล้วคิดว่าต้องได้โน่น ได้นั่น ได้นี่ แต่จะทำเพื่อการสละออกจากการยึดติดในตัวกู ของกู ทำด้วยเมตตา ทำด้วยสติ ทำด้วยความตั้งใจทุกครั้งครับ
วิธีการของผมคือ ให้ตั้งสติกำหนดรู้หนอๆๆไว้ที่ลิ้นปี่ก่อน แล้วหมั่นอธิษฐานจิต เพื่อเป็นการสะสมพลังงานความคิดทางบวก คือ "เมตตา" และปรารถนาต่อผู้รับอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ
เช่น ถวายของให้พระก็ตั้งใจ เพื่อเป็นปัจจัยให้ท่านได้เจริญในธรรมสัมมาปฏิบัติต่อไป อย่างนี้เป็นต้น
ที่มา : น.สุภาการ ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ; My blogs link 👆 https://sites.google.com/site/dhammatharn/ https://abhinop.blogspot.com https://abhinop.bloggang.com ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.
Create Date : 05 กันยายน 2563 |
|
2 comments |
Last Update : 8 มีนาคม 2564 16:00:18 น. |
Counter : 752 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|
A giver is always be love. _/|\_