ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
น้ำใจของพญาเนื้อรุรุ

รุรุมิคชาดก
ว่าด้วยน้ำใจของพญาเนื้อรุรุ
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
เล่ากันมาว่า พระเทวทัตนั้น เมื่อพวกภิกษุพากันพูดว่า เทวทัตผู้มีอายุ พระศาสดาทรงมีอุปการะเป็นอันมากแก่ท่าน ทั้งท่านได้บวชได้เรียนพระไตรปิฎก ร่ำรวยลาภสักการะ เพราะอาศัยพระตถาคตเจ้า กลับกล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดามิได้ทรงทำอุปการะแก่ผมแม้เท่าปลายเส้นหญ้า ผมบวชเองทีเดียว เรียนพระไตรปิฎกก็ด้วยตนเอง แหละร่ำรวยลาภสักการะก็ตนเอง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภากล่าวโทษของพระเทวทัตนั้นทีเดียวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญูอกตเวที
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคน อกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน แล้วตรัสว่า
แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตนี้ แม้เมื่อเราให้ชีวิตแล้ว ก็ยังไม่รู้ แม้เพียงคุณของเราดังนี้แล้ว จึงได้นำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี เศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ได้บุตรขนานนามเธอว่า มหาชนกะ คิดว่าเมื่อบุตรเราเรียนศิลปะจักต้องลำบาก จึงไม่ยอมให้เรียนศิลปะอะไร ๆ เลย เธอจึงไม่มีความรู้อะไร ๆ นอกจากหากินอันได้มาจากการขับร้องฟ้อนรำและประโคม เมื่อเธอเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็จัดแจงตบแต่งให้มีภรรยาตามสมควร แล้วก็ล่วงลับไป พอท่านทั้งสองล่วงลับไป เขาก็แวดล้อมไปด้วยพวกนักเลงหญิงและนักเลงเล่นการพนันเป็นต้น ทำลายทรัพย์ทั้งหมดเสียด้วยทางฉิบหายต่าง ๆ ต้องกู้หนี้ยืมสิน เมื่อไม่อาจใช้หนี้ทั้งหมดนั้นได้ ก็ถูกเจ้าหนี้รุมกันทวง ดำริว่า เราจะอยู่ไปไยเล่า เราก็เกิดมาด้วยร่างกายอันหนึ่ง เหมือนคนอื่นๆ ตายเสียดีกว่า เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวงถาม ก็กล่าวว่า ทรัพย์ของตระกูลของเราที่ฝังที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ยังมีอยู่ ผมจักใช้ทรัพย์นั้นให้พวกท่าน เจ้าหนี้เหล่านั้นก็ไปกับเขา เขาทำเป็นเหมือนบอกที่คุมทรัพย์ว่า ทรัพย์มีที่นี้ แล้วหนีไปด้วยคิดว่าเราจักโดดลงคงคาตายเสีย แล้วก็โดดลงแม่น้ำคงคาไป เขาถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดลอยไป ก็ร้องคร่ำครวญ ชวนให้สงสาร.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์บังเกิดในกำเนิดรุรุมฤค ทิ้งบริวารเสีย เพื่อประสงค์จะกระทำการรักษาอุโบสถ มาพำนักอยู่ที่ป่ามะม่วงอันมีช่องดงาม ผสมกับดงรังอันน่ารื่นรมย์ตรงวังวนแห่งแม่น้ำคงคาเพียงลำพังตัวเดียวเท่านั้น ผิวแห่งสรีระของ พญารุรุมฤคนั้น มีสีเหมือนแผ่นกระดาษทองที่ขัดมัน เท้ทั้งสี่มีสีประดุจดังย้อมด้วยน้ำครั่ง หางก็ประหนึ่งหางแห่งจามรี เขาทั้งหลายเช่นเดียวกับช่อเงิน นัยน์ตาทั้งคู่ประหนึ่งเม็ดทับทิมที่เจียระไนแล้ว ปากเปรียบดังลูกข่างที่หุ้มด้วยผ้ากัมพลแดง รูปร่างของพญารุรุมฤคนั้นมีรูปงามปานนี้ที่ดียว
เวลากลางคืน พญารุรุมฤคนั้นได้ยินเสียงน่าสงสารของเขา ดำริว่า เราได้ยินเสียงมนุษย์ เมื่อเรายังดำรงอยู่ จงอย่าให้เขาตายเสียเลย เราต้องช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วลุกจากที่นอนเดินไป ณ ฝั่งแม่น้ำ ปลอบว่าบุรุษผู้เจริญ อย่ากลัวเลย ข้าจักช่วยชีวิตท่าน พลางว่ายตัดกระแสน้ำไป รับเขาขึ้นหลัง พาถึงฝั่งนำไปที่อยู่ของตน ทำให้เขาโปร่งใจ ล่วงมาได้สองสามวันก็กล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ ข้าจักพาท่านออกจากป่านี้ ส่งให้ถึงทางไปพาราณสี ท่านจักไปโดยสวัสดี ก็แต่ขอสักอย่างหนึ่ง ท่านจงอย่าบอกเราแก่พระราชาหรือ มหาอำมาตย์ของพระราชา เพราะเหตุมุ่งทรัพย์ว่า ณ ที่ตรงโน้น กวางทองพำนักอยู่ ดังนี้เลยนะ เขารับคำว่าดีละ พระมหาสัตว์รับสัญญาของเขาแล้ว ก็ให้เขาขึ้นหลังตนพาไปส่งถึงทางไปกรุงพาราณสีแล้วจึงกลับ
ในวันที่เขาเข้าไปถึงกรุงพาราณสีนั่นเอง พระอัครมเหสีของพระราชาพระนามว่า เขมาเทวี ทรงฝันเห็นกวางทองแสดงธรรมกถาถวายพระนางในพระสุบินเมื่อใกล้รุ่ง ทรงพระดำริว่า ถ้ามฤคเห็นปานนี้ไม่พึงมีจริงไซร้ เราก็ไม่น่าฝันเห็นเขาได้เลย คงจักมีอยู่จริงเป็นแน่ ต้องกราบทูลแด่พระราชา
พระนางเข้าเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันปรารถนาจะเห็นกวางทอง ประสงค์จะฟังธรรมกถาของกวางทอง ถ้าได้อย่างนั้น หม่อมฉันจักคงมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ชีวิตของหม่อมฉันจักไม่มีเสียเป็นแน่
พระราชาทรงปลอบพระนางพลางตรัสว่า ขอให้มีกวางเช่นนั้นอยู่จริงในมนุษยโลกเถอะน่ะ เธอต้องได้แน่
ดังนี้แล้วรับสั่งให้หาพวกพราหมณ์มาเฝ้า ตรัสถามว่า ธรรมดามฤคที่มีสีเหมือนสีทองยังจะมีอยู่หรือ
ทรงสดับว่า ข้าแต่สมมติเทพ มีอยู่พระเจ้าข้า
พระราชาก็รับสั่งให้บรรจุถุงเงิน ๑,๐๐๐ กระษาปณ์ ลงในผอบทองวางไว้ ณ คอช้างที่ประดับเสร็จแล้ว มีพระประสงค์จะประทานช้างนั้นกับผอบทองที่ใส่ถุงเงิน ๑,๐๐๐ กระษาปณ์ และสิ่งของที่ยิ่งกว่านี้แก่ผู้ที่บอกเรื่องกวางทองได้ แล้วรับสั่งให้เขียนเรื่องผูกเป็นพระคาถาลงในแผ่นทอง ให้หาอำมาตย์ผู้หนึ่งมาเฝ้า มีดำรัสตรัสว่า มาเถิด เจ้าจงแจ้งคาถานี้ตามคำของเราแก่ชาวพระนครนะพ่อ แล้วตรัสพระคาถาที่ ๑ ในชาดกนี้ว่า
[๑๘๓๙] ใครบอกมฤค ผู้สูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายนั้นแก่เราได้ เราจะให้บ้านส่วย
และหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่ผู้นั้น.
อำมาตย์ ถือแผ่นทองเที่ยวป่าวร้องไปในพระนครทั่วทุกแห่ง ลำดับนั้นแลเศรษฐีบุตรก็เข้าไปสู่กรุงพาราณสี ฟังถ้อยคำนั้นแล้วไปสู่สำนักอำมาตย์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าจักทูลเรื่องมฤคนั้นแด่พระราชา เชิญนำข้าพเจ้าไปเข้าเฝ้าพระราชาเถิด
อำมาตย์ลงจากช้างพาเขาไปสู่สำนักของพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ได้ยินว่า ผู้นี้จักกราบทูลถึงมฤคนั้นได้พระเจ้าข้า
พระราชาตรัส ถามว่า จริงหรือบุรุษผู้เจริญ
เมื่อเขากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เป็นความจริงพระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดประทานยศนั้นแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
[๑๘๔๐] ขอได้โปรดพระราชทานบ้านส่วย และหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่
ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ จะกราบทูลมฤคผู้สูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายแก่
พระองค์.
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว โปรดปรานแก่ผู้ประทุษร้ายมิตรนั้น จึงตรัสถามว่า พ่อเฮ้ย มฤคนั้นพำนักอยู่ที่ไหน
เมื่อเขากราบทูลว่า ณ ที่โน้น พระเจ้าข้า ก็ทรงกระทำเขาให้เป็นมัคคุเทศก์ เสด็จไปสู่สถานนั้นด้วยราชบริพารขบวนใหญ่ ลำดับนั้น คนประทุษร้ายมิตรกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์โปรดสั่งให้เสนาหยุดได้พระเจ้าข้า เมื่อเสนาหยุดเรียบร้อยแล้ว ก็กราบทูลเชิญเสด็จ เมื่อจะยกมือชี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ สุวรรณมฤคนั้นพำนักอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
[๑๘๔๑] ณ ไพรสณฑ์นั้น มีต้นมะม่วง และต้นรังทั้งหลาย ดอกบานสะพรั่ง
พื้นที่แห่งไพรสณฑ์นั้น ดารดาษไปด้วยติณชาติ มีสีเหมือนแมลงค่อม
ทอง มฤคตัวนั้นอยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น.
พระราชาทรงสดับคำของเขาแล้ว ตรัสสั่งหมู่อำมาตย์ว่า เธอทั้งหลายกับคนที่ถืออาวุธ จงพากันล้อมไพรสณฑ์ไว้โดยเร็ว มิให้มฤคนั้นหนีไปได้ พวกเหล่านั้นได้กระทำตามพระดำรัสนั้น แล้วพากันร้องขึ้น พระราชาประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งกับคนสองสามคน บุรุษนั้นก็ยืนอยู่ไม่ห่าง พระมหาสัตว์ฟังเสียงนั้นแล้วดำริว่า เสียงของหมู่พลกองหลวง ภัยของเราต้องเกิดจากบุรุษนั้นเป็นแน่ พระมหาสัตว์นั้นลุกขึ้นมองทั่วก็เห็นพระราชาประทับยืนอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้นจึงคิดว่า ความสวัสดียังอาจมีแก่เราได้ ควรที่เราจะไป ณ ที่นั้นทีเดียว แล้วเดินมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นมฤคนั้นกำลังเดินมา ทรงพระดำริว่า มฤคมีกำลังดังพญาช้าง น่าจะถาโถมมาได้ ต้องสอดลูกศรไว้คอยขู่ให้มฤคนี้สะดุ้ง ถ้ามันหนีไป จักยิงทำให้ทรพลแล้ว ค่อยจับเอา ทรงยกธนูขึ้นเล็งตรงพระโพธิสัตว์.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสองคาถาว่า
[๑๘๔๒] พระเจ้าพาราณสี ทรงโก่งธนูสอดใส่ลูกศรไว้ เสด็จเข้าไปแล้ว ส่วน
มฤคเห็นพระราชาแล้ว ได้ร้องกราบทูลไปแต่ไกลว่า ข้าแต่พระ
มหาราชาผู้ประเสริฐ โปรดทรงรอก่อน อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระบาทเสีย
เลย ใครหนอได้กราบทูลความเรื่องแก่พระองค์ว่า มฤคตัวนี้อยู่
ณ ไพรสณฑ์นี้.
พระราชาทรงติดพระหฤทัยในมธุรกถาของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงลดธนูลงประทับยืนด้วยพระอาการอันน่าเคารพ พระมหาสัตว์ก็เข้าไปใกล้พระราชา ทรงกระทำมธุรปฏิสันถาร แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายมหาชนก็พากันวางอาวุธทั้งปวงเสีย ต่างมาแวดล้อมพระราชา ขณะนั้นพระมหาสัตว์กราบทูลถามพระราชาด้วยเสียงอันไพเราะ ประหนึ่งคนสั่นกระดิ่งทองว่า ใครหนอกราบทูลแด่พระองค์ว่า พญามฤคนั้นพำนักอยู่ที่นี้.
ขณะนั้นคนใจบาปถอยไปหน่อยหนึ่ง แล้วยืนอยู่ตรงนั้นเอง พระราชา เมื่อจะตรัสบอกว่า ผู้นี้แสดงแก่เรา จึงตรัสพระคาถาที่ ๖ ว่า
[๑๘๔๓] ดูกรสหาย บุรุษผู้มีมารยาทอันเลวทราม ยืนอยู่ห่างๆ นั่น บุรุษคนนั้น
แหละ ได้บอกความเรื่องนี้แก่เราว่า มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.
พระมหาสัตว์ ครั้นติเตียนคนประทุษร้ายมิตรแล้ว เมื่อจะเจรจา ปราศรัยกับพระราชา จึงกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า
[๑๘๔๔] ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า ไม้ลอยน้ำยัง
ดีกว่า คนบางคนไม่ดีเลย.*
* ความว่า บุคคลบางคนสันดานบาป มักประทุษร้ายมิตร แม้กำลังจะตายในน้ำ ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาได้ ก็ยังหาประเสริฐไม่ เพราะท่อนไม้ยังเป็นไปเพื่ออุปการะโดยประการต่าง ๆ ส่วนคนประทุษร้ายมิตร มีแต่จะล้างผลาญ เพราะเหตุนั้น ท่อนไม้ประเสริฐกว่าคนนั้นหนักหนา
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
[๑๘๔๕] ดูกรพญามฤค เธอติเตียนพวกไหนแน่ ติเตียนพวกมฤค พวกนก
หรือพวกมนุษย์ เรามีความกลัวไม่น้อย เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษา
มนุษย์ได้.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะแสดงว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระบาทมิได้ติเตียนมฤคเป็นต้น แต่ติเตียนพวกมนุษย์ จึงกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า
[๑๘๔๖] ข้าพระองค์ช่วยยกขึ้นซึ่งบุรุษคนใด ผู้ลอยไปในห้วงน้ำคงคา มีน้ำมาก
ไหลเชี่ยว ภัยมาถึงข้าพระองค์แล้ว เพราะบุรุษผู้นั้นเป็นเหตุ ข้าแต่
พระมหาราชา การสมาคมกับอสัตบุรุษทั้งหลาย นำทุกข์มาให้โดยแท้.*
* ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า บุคคลที่พระองค์ทรงชี้ให้ข้าพระบาทพูดนั้น กำลังลอยล่องไปในแม่น้ำคงคา ร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสารอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ข้าพระบาทช่วยเขาขึ้นไว้ได้ วันนี้ภัยมาถึงข้าพระบาท ก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่า การสมาคมกับคนเลว ๆ ลำบาก พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงกริ้วเขา ทรงพระดำริว่า มันช่างไม่รู้คุณของมหาสัตว์นี้ ชื่อว่ามีอุปการะมากเช่นนี้ ต้องยิงมันเสียให้ตาย แล้ว ตรัสพระคาถาที่ ๑๐ ว่า
[๑๘๔๗] เรานั้นจะปล่อยลูกศร ๔ ปีกนี้แหวกไปในอากาศ ให้ไปตัดตรงหัวใจ
เราจักฆ่ามันผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ไม่ทำกิจที่ควรทำ ไม่รู้จักผู้กระทำคุณ
ให้เช่นท่าน.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า ผู้นี้จงอย่าวอดวายเสียเพราะเราเลย จึงกล่าวคาถาที่ ๑๑ ว่า
[๑๘๔๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน สัตบุรุษทั้งหลายไม่สรรเสริญ
การฆ่าบัณฑิต และคนพาลเลย คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่
เรือนของเขาตามปรารถนาเถิด อนึ่ง ขอได้โปรดพระราชทานค่าจ้าง ตาม
ที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาด้วยเถิด อนึ่ง ข้าพระองค์ ขอทำความปรารถนา
ของพระองค์.*
* ความว่า ข้าพระองค์ขอเป็นผู้ทำตามประสงค์ คือพระองค์ทรงปรารถนาสิ่งใด ก็จงกระทำสิ่งนั้นเถิด หมายความว่า จะเสวยเนื้อข้าพระองค์ก็ได้ จะกระทำข้าพระองค์ให้เป็นมฤคสำหรับกีฬาก็ได้ ข้าพระองค์จะปฏิบัติตามประสงค์ของพระองค์ทุกประการ.
พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงพอพระหฤทัย เมื่อจะทรงชมเชยพระมหาสัตว์ จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
[๑๘๔๙] ดูกรพญามฤค ท่านผู้ไม่ประทุษร้ายต่อมนุษย์ผู้ประทุษร้าย นับเป็นผู้หนึ่ง
ในจำนวนสัตบุรุษทั้งหลายเป็นแน่ คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่
เรือนของตนตามความปรารถนา อนึ่ง เราจะให้ค่าจ้างที่เราพูดไว้แก่เขา
และเราขอให้บ้านส่วยแก่ท่าน.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะลองหยั่งท้าวเธอดูว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดามนุษย์ ปากพูดไปอย่างหนึ่ง กระทำไปอย่างหนึ่ง ได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า
[๑๘๕๐] ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียง
ของมนุษย์รู้ได้ยาก ยิ่งกว่านั้น อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อน เป็นคนใจดี คน
ทั้งหลายนับถือว่า เป็นญาติเป็นมิตร หรือเป็นสหาย ภายหลัง ผู้นั้น
กลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยากอย่างนี้.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า พญามฤคอย่าได้หมิ่นฉันอย่างนี้ ฉันน่ะแม้จะละทิ้งราชสมบัติ ก็จักไม่ขอละทิ้งพรที่ให้แก่เธอเลย เชื่อเถิด จงรับพรของฉันเถิด พระมหาสัตว์เมื่อรับพรจากสำนักของท้าวเธอ ขอรับพร คืออภัยทานแก่สรรพสัตว์ตั้งต้นแต่ตนไป ฝ่ายพระราชาก็โปรดประทานพร แล้วพาพระมหาสัตว์สู่พระนคร ตรัสสั่งให้ประดับพระนครและพระมหาสัตว์ เชิญให้แสดงธรรมแก่พระเทวี พระมหาสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาและราชบริษัทตั้งต้นแต่พระเทวี ด้วยภาษามนุษย์อย่างไพเราะ ตักเตือนพระราชา ด้วยทศพิธราชธรรมสั่งสอนมหาชนแล้วเข้าป่า แวดล้อมไปด้วยหมู่มฤค พำนักอาศัยอยู่ พระราชาทรงสั่งคนให้เที่ยวตีกลองร้องประกาศไปในพระนครว่า เราให้อภัยแก่สรรพสัตว์
ดังนั้นเมื่อฝูงเนื้อมาลงกินข้าวกล้าของหมู่คน ใครๆ ก็ไม่อาจห้ามได้ มหาชนพากันไปสู่ท้องพระลานหลวงร้องทุกข์ขึ้น.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
[๑๘๕๑] ชาวชนบท และชาวนิคมทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันร้องทุกข์ว่า ฝูง
เนื้อพากันมากินข้าว ขอพระองค์จงตรัสห้ามฝูงเนื้อนั้นเสียบ้าง พระ
เจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสสองพระคาถาว่า
[๑๘๕๒] ชนบทอย่าได้มี แม้แว่นแคว้นจะพินาศไป ก็ตามทีเถิด เราให้อภัย
แก่ฝูงเนื้อและนกยูงแล้ว ไม่ขอประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุเป็นอันขาด.
[๑๘๕๓] ชาวชนบทของเราจะไม่มีก็ตาม ชาวชนบทจะไม่พูดกะเราก็ตาม เราได้
ให้พรแก่พญาเนื้อไว้แล้ว จะไม่พูดเท็จเป็นอันขาด.
มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว เมื่อไม่อาจจะกล่าวคำอะไร ๆ ได้จึงพากันหลีกไป ถ้อยคำนั้นได้แพร่กระจายไปแล้ว พระมหาสัตว์ได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงเรียกให้ฝูงเนื้อมาประชุมกัน กล่าวสอนว่า ตั้งแต่นั้นไปเจ้าทั้งหลายอย่าพากันกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์เลย แล้วบอกแก่พวกมนุษย์ว่า จงพากันผูกหุ่นหญ้าไว้ในไร่นาของตน ๆ เถิด มนุษย์เหล่านั้นพากันทำตามนั้น ด้วยเครื่องหมายนั้น ฝูงเนื้อไม่กินข้าวกล้า จนถึงทุกวันนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนเทวทัตก็อกตัญญูเหมือนกัน ทรงประชุมชาดกว่า เศรษฐีบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต พระราชา ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนเนื้อรุรุคือเราตถาคตแล.

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 12:54:49 น. 1 comments
Counter : 425 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:15:52:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.