|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
นกจักรพราก
จักกวากชาดก ว่าด้วยความเป็นอยู่ของนกจักรพราก พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ภิกษุเหลาะแหละรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเป็นผู้เหลาะแหละโลภปัจจัย ทิ้งอาจริยวัตรและอุปัชฌายวัตรเป็นต้นเสีย เข้าพระนครสาวัตถีแต่เช้าทีเดียว ดื่มข้าวยาคูที่มีของเคี้ยวหลายอย่างเป็นบริวารแล้วฉันข้าวสาลี เนื้อและข้าวสุกที่มีรสเลิศต่างๆ ที่เรือนนางวิสาขา เท่านั้นก็ยังไม่อิ่ม ออกจากที่นั้นมุ่งหน้าไปยังนิเวศน์ของคนนั้นๆ คือ จูลอนาถปิณฑิกเศรษฐี มหาอนาถปิณฑิกเศรษฐี และพระเจ้าโกศล. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภา ปรารภความเหลาะแหละของภิกษุนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว รับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้เหลาะแหละจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้น กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ดังนี้ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เหตุไรเธอจึงเป็นผู้เหลาะแหละ แม้ในกาลก่อน เธอก็ไม่อิ่มด้วยซากศพช้างเป็นต้น ในพระนครพาราณสี เพราะความเป็นผู้เหลาะแหละ ออกจากที่นั้นแล้วเที่ยวไปตามฝั่งแม่น้ำคงคาเข้าหิมวันตประเทศดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้: ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีกาเหลาะแหละตัวหนึ่งเที่ยวเคี้ยวกินซากศพช้างเป็นต้น ในพระนครพาราณสี ไม่อิ่มด้วยซากศพเหล่านั้น คิดว่า เราจักเคี้ยวกินปลาที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ไปหากินปลาตายที่ฝั่งแม่น้ำคงคานั้นอยู่ ๒ - ๓ วัน เข้าถิ่นหิมพานต์ เคี้ยวกินผลไม้น้อยใหญ่นานาชนิด ไปยังสระปทุมใหญ่ ซึ่งมีปลาและเต่ามาก เห็นนกจักรพราก ๒ ตัวมีสีดังทอง กำลังเคี้ยวกินสาหร่ายอยู่ในสระนั้น คิดว่า นกจักรพราก ๒ ตัวนี้มีสีสวยงามเลิศเหลือเกิน นกเหล่านี้คงจักมีโภชนาหารเป็นที่พอใจ เราจักถามถึง โภชนาหารของนกเหล่านี้ แล้วกินเช่นนั้นบ้างก็จักมีสีเหมือนทอง แล้วจึงไปยังสำนักของนกเหล่านั้น กระทำปฏิสันถาร แล้วจับอยู่ที่ปลายกิ่งไม้ แห่งหนึ่ง กล่าวคาถาที่ ๑ ซึ่งประกอบด้วยการสรรเสริญนกเหล่านั้นว่า: [๑๒๗๔] ข้าพเจ้าขอถามนกทั้งหลาย ผู้มีสีดังคลุมด้วยผ้าย้อมน้ำฝาด มีใจเพลิด เพลินเที่ยวอยู่ นกทั้งหลายย่อมสรรเสริญชาติของนกอะไรในหมู่มนุษย์ ทั้งหลาย ขอเชิญท่านทั้งสองบอกนกนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด? นกจักรพรากได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า: [๑๒๗๕] ดูกรท่านผู้เบียดเบียนมนุษย์ ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย นกทั้งหลายย่อมกล่าว ถึงข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่านกจักรพราก ติดต่อกันมาว่า ในบรรดานกทั้งหลาย เขายกย่องกันว่า เราเป็นนกที่มีความงดงาม (เราเป็นนกมีรูปร่างงดงาม เที่ยวอยู่ที่สระ) เรามิได้ทำบาปแม้เพราะเหตุแห่งอาหาร ๑ ๑ เพราะพวกข้าพเจ้าไม่ทำบาป เพราะเห็นแก่กิน เพราะเหตุนั้น เขาจึงยกย่องพวกข้าพเจ้าทั้งในหมู่ มนุษย์และในหมู่นกว่าเป็นผู้มีภาวะน่านับถือ. กาได้ยินดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า: [๑๒๗๖] ดูกรนกจักรพราก ท่านทั้งหลายกินผลไม้อะไรที่สระนี้ หรือว่าท่านกินเนื้อ ที่ไหน หรือว่าท่านกินโภชนาหารอะไร กำลังและวรรณะของท่านจึงไม่ เสื่อมทรามผิดรูปไป? ต่อจากนั้น นกจักรพรากกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า: [๑๒๗๗] ดูกรกา ที่สระนี้จะมีผลไม้ก็หาไม่ เนื้อที่นกจักรพรากจะกิน ก็มิได้มีที่ ไหน เราจะกินแต่สาหร่ายกับน้ำ (เรามิได้ทำบาปแม้เพราะเหตุแห่งอาหาร) เราเป็นนกมีรูปร่างงดงามเที่ยวอยู่ที่สระนี้. ต่อจากนั้น กาได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า: [๑๒๗๘] ดูกรนกจักรพราก อาหารที่ท่านกินนี้เราไม่ชอบใจ อาหารที่ท่านกินใน ภพนี้อย่างไร ท่านก็คล้ายกันกับอาหารนั้น ครั้งก่อนเราเคยเป็นอย่างนี้มา แล้ว แต่บัดนี้เรากลายเป็นอย่างอื่นไป ด้วยเหตุนี้แหละ เราจึงเกิด ความสงสัยในสีกายของท่าน. [๑๒๗๙] แม้เราได้กินเนื้อ ผลไม้ และข้าวคลุกด้วยเกลือเจือด้วยน้ำมัน เรา ได้กินอาหารมีรสที่เขากินกันในหมู่มนุษย์ จึงได้กล้าหาญเข้าต่อสู่สงคราม ได้ ดูกรนกจักรพราก แต่สีสันวรรณะของเราหาได้เหมือนของท่านไม่ ๒ ๒ เมื่อก่อนความเข้าใจดังนี้ ได้มีแก่ข้าพเจ้าว่า อาหารที่ผู้ใดกินในภพนี้อย่างไร ผู้นั้นก็เป็นผู้ละม้ายคล้ายกันกับอาหารนั้น ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่า นกจักรพรากเหล่านี้เคี้ยวกินผลไม้นานาชนิด และเคี้ยวกินปลาและเนื้อในสระนี้ เพราะเหตุนั้น จึงมีรูปร่างสวยเลิศอย่างนี้ แต่เมื่อเราทราบว่าท่านกินอาหารเช่นนั้นเราจึงเกิดความสงสัยในสีกายของท่านนี้ว่า เหตุไฉนหนอ นกจักรพรากเหล่านี้กินอาหารที่เศร้าหมองเช่นนี้ จึงมีสีดุจทอง กาชี้แจงว่า นักรบได้กินอาหารมีรสประณีตเหล่านั้น จึงกล้าหาญ มีความเพียร เข้าผจญต่อสู้สงครามได้ฉันใด เราก็ฉันนั้น ได้กินอาหารมีรส ที่เขากินกันในหมู่มนุษย์ จึงได้กล้าหาญเข้าต่อสู้สงครามได้.สีของเราแม้ผู้บริโภคอาหารอันประณีตอย่างนี้ หาได้เหมือนกับของท่านไม่ เราจึงไม่เชื่อคำของท่าน. ลำดับนั้น นกจักรพรากเมื่อจะกล่าวถึงเหตุที่ไม่เจริญแห่งวรรณสมบัติของกา และเหตุที่เจริญแห่งวรรณสมบัติของตน ได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า: [๑๒๘๐] ดูกรกา ท่านเป็นผู้กินอาหารไม่บริสุทธิ์ มักจะโฉบลงในขณะที่เขา พลั้งเผลอ จะได้กินข้าวน้ำก็โดยยาก ผลไม้ทั้งหลายท่านก็ไม่ชอบใจกิน หรือเนื้อในกลางป่าช้าท่านก็ไม่ชอบใจกิน. [๑๒๘๑] ดูกรกา ผู้ใดอาศัยบริโภคโภคสมบัติด้วยกรรมอันสาหัส มักจะโฉบ ลงในขณะที่เขาพลั้งเผลอ ภายหลังสภาวธรรมก็ย่อมติเตียนผู้นั้น ผู้นั้น ถูกสภาวธรรมติเตียนแล้ว ก็ย่อมละทิ้งสีและกำลังเสีย. [๑๒๘๒] ถ้าผู้ใดได้บริโภคอาหารแม้สักนิดหน่อย ซึ่งเป็นของเย็นไม่เบียดเบียน ผู้อื่นด้วยกรรมอันผลุนผลัน กำลังกายและวรรณะก็ย่อมมีแก่ผู้นั้น วรรณะทั้งปวงจะได้มีแก่ผู้นั้นด้วยอาหารมีประการต่างๆ เท่านั้นก็หาไม่. นกจักรพรากติเตียนกาโดยปริยายไม่น้อยอย่างนี้ กาเกิดความเกลียดชังนกจักรพราก คิดว่าเราไม่ต้องการสีของท่าน แล้วก็ร้องขึ้นว่า กา กา บินหนีไป. พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจจะ ภิกษุเหลาะแหละดำรงอยู่ในอนาคามิผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า กาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุเหลาะแหละในบัดนี้ นางนกจักรพรากในครั้งนั้น ได้มาเป็นมารดาพระราหุล ในบัดนี้ ส่วนนกจักรพราก ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
Create Date : 26 สิงหาคม 2554 |
Last Update : 26 มีนาคม 2564 13:22:06 น. |
|
1 comments
|
Counter : 535 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|
A giver is always be love. _/|\_