|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
28 พฤษภาคม 2555
|
|
|
|
The Cabin in the woods (2011)
สารบัญภาพยนตร์
The Cabin in the woods (2011)
การทลายกรอบสูตรสำเร็จหนังสยองขวัญ
**คำเตือนเปิดเผยบทสรุปสำคัญของภาพยนตร์**
ภาพยนตร์ The Cabin in the woods เป็นผลงานร่วมกันเขียนบทระหว่าง Joss Whedon (ผู้กำกับ The Avengers) และ Drew Goddard (มือเขียนบทจาก Cloverfield ,2008) โดย Goddard ยังรับหน้าที่กำกับเป็นเรื่องแรกในชีวิตอีกด้วย
The Cabin in The woods แม้จะใช้พล็อตเรื่องของการเดินตามสูตรหนังสยองขวัญทั่วไปทั้งหลาย ตั้งแต่การที่วัยรุ่นขับรถเที่ยวไปในวันหยุด ต้องแวะจอดน้ำมัน เจอตาแก่พูดจากแปลกๆ และเข้าไปอาศัยบ้านร้างๆ เก่าๆ เจอเหตุการณ์ลี้ลับในห้องลับ(ใต้ดิน) นี่คือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งหมด แต่กลับใช้มันด้วยการยั่วล้อขนบธรรมเนียมภาพยนตร์สยองขวัญทั้งตระกูล มิหนำซ้ำการใช้พล็อตเรื่องซ้อนหนังเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง โดยการใช้องค์กรศูนย์วิจัยที่จัดฉากให้กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้เข้าไปในป่า และสร้างเรื่องสร้างราวขึ้นมา ให้เดินไปตามแนวทางสยองขวัญ โดยกล่าวออกมาว่า นี่คือรายการเรียลลิตี้ ที่พวกเขาเหล่านั้นต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ผู้ชมทางบ้านพึงพอใจที่สุด
การตัดสลับระหว่างตัวละคร 5 คน กับ องค์กรศูนย์วิจัยนี่มันช่างแปลกแปร่ง ทีเล่นทีจริง จนผู้ชมไม่สามารถนั่งเกร็งเก้าอี้เหมือนหนังสยองขวัญทั่วๆ ไป และเมื่อเหลือผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย ซึ่งมีท่าทีว่าเกมกำลังจะจบลงอย่างที่พวกเขาต้องการ แต่ภาพยนตร์กลับไปไกลกว่านั้น ทั้งการให้ตัวละครตัวหนึ่งยังไม่ตายตามที่ถูกจัดฉากไว้ และยังนำพาไปสู่ระบบจัดการองค์กรอีกทอดหนึ่ง ซึ่งที่มาที่ไปก็คือ ตัวละครที่ถูกจัดฉากนั้น เริ่มรู้ตัวว่า เขาไม่ได้เป็นตัวของตนเอง แต่ถูกชักใยอยู่เบื้องหลัง จึงต้องการค้นหาคำตอบ
ดังนั้นนอกจากประเด็นการยั่วล้อหรือคารวะหนังสยองขวัญแบบทั้งรักทั้งเกลียดนั้น มันยังเสียดสีความเป็นมนุษย์ที่คอยเจ้ากี้เจ้าการเหมือนพระเจ้า ในที่นี้หมายถึงองค์กรลับนั่นเอง ที่คอยจะจัดฉากหรือทำอะไรก็ตามในสิ่งที่พวกเขาพึงพอใจ และเห็นความตายเป็นเรื่องสนุก ดั่งชีวิตไม่มีเจตจำนงเสรี และการลุกขึ้นมาต่อต้านของตัวละคร ก็เป็นการปลุกทำลายว่ากรอบระเบียบที่เราเดินตามสักวันมีแต่จะต้องถูกทำลาย มิหนำซ้ำสิ่งที่มนุษย์สร้างมามันยังย้อนรอยมาทำร้ายอย่างไม่รู้ตัว เหมือนสิ่งที่สร้างขึ้นมา ทั้งผีร้ายต่างๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้ ในใต้ดิน
คำพูดหนึ่งของตัวละครที่กล่าวตอนจบว่า “มนุษย์ครองโลก มานานแล้ว ควรปล่อยให้คนอื่นครองบ้าง” คำพูดนี้มันช่างเสียดแทงความเป็นมนุษย์ได้เจ็บแสบอย่างมาก แต่หนังไม่จบเพียงเท่านี้แต่กลับพาไปไกลอีกขั้นหนึ่งในเรื่องของการที่ว่า ผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริง กลับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ในตำนานอะไรสักอย่าง ที่มนุษย์ต้องบรรณาการด้วยการบูชายัญมนุษย์ถึง 5 คน ที่มีบุคลิกแตกต่างไป มนุษย์จึงสร้างเป็นเรื่องราวหนังสยองขวัญที่ต้องตายเรียงตัวขึ้นมา แต่หากมนุษย์ทำผิดพลาดไม่สำเร็จ สัตว์ในตำนานตัวนี้มันก็จะคิดครองโลกแทน
หากกล่าวมาถึงตรงนี้ ทั้งเรื่องของการยั่วล้อหนังสยองขวัญ เรื่องราวของมนุษย์ มันยังมีคนชักใยที่แท้จริงอีกทอดหนึ่งดั่งพระเจ้า ซึ่งเป็นคนคอยควบคุมให้มนุษย์ทำตามความต้องการของเขา จะว่าไปแล้ว ถ้าเราลองเทียบเคียงด้วยตรรกะบางอย่างทั้งการที่องค์กรนี้คอยสร้าง ภูตผีมาหลอกหลอน และกักเก็บไว้ใช้งาน ในห้องใต้ดิน เป็นดั่งไม่ต่างการองค์กรการผลิต ที่ต้องคอยทำให้ผู้ชมพึงพอใจ ซึ่งภาพยนตร์ไม่ได้บอกกล่าวว่าผู้ชมเหล่านี้เป็นใคร แต่เชื่อว่าหลายคงเดาไม่ยากว่า ผู้คนเหล่านั้นก็คือ ผู้ชมที่นั่งดูหนังอยู่นั่นเอง ดังนั้น คนที่เป็นคนคุมองค์กรลับ 2 คน ทั้ง Sitterson และ Hadley ต้องคอยทำให้ผู้ชมที่นั่งชมอยู่พึงพอใจ และยังต้องให้การดำเนินงานลุล่วงไปเพื่อบูชายัญ เจ้าเทพที่เป็นสัตว์ประหลาดอีกด้วย
Sitterson และ Hadley ผู้ซึ่งเป็นคนควบคุมองค์กรจึงไม่ต่างจาก Drew Goddard และ Joss Whedon ผู้ซึ่งต้องสร้างบทภาพยนตร์ให้ผู้ชมพึงพอใจ ดังนั้นองค์กรที่เขาสังกัดอยู่จึงไม่ต่างจากสตูดิโอการสร้าง(ภาพยนตร์) ที่กักเก็บจินตนาการหรือสิ่งต่างๆ นานา เอาไว้เพื่อการใช้งาน และการดำเนินไปจนถึงฉากสุดท้าย ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งอธิบายความเป็นมาว่าเพราะเหตุใด ถึงต้องใช้ตัวละคร 5 คน ในการสังเวย เหตุผลเพราะความต้องการของสัตว์เทพในตำนานนั่นเอง
ถ้าเทียงเคียงกับการผลิตภาพยนตร์ ผู้หญิงคนนี้จึไม่ต่างจาก Producer ที่มีหน้าที่ทำให้ได้อย่างที่ ใครบางคนต้องการ และใครบางคนในที่นี้ หมายถึงสัตว์ตำนานที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังอยู่นั้นเอง ดังนั้นจึงมีฐานะไม่ต่างอะไรกับเจ้าของสตูดิโอหรือเจ้าของแหล่งทุนในการสร้างภาพยนตร์ หากเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีใครทำได้อย่างที่ใจเขาต้องการ เขาก็พร้อมลุกขึ้นมาอาละวาดได้ทุกๆเมื่อ
หากสรุปตามตรรกะตีความของผู้เขียน The Cabin in the woods จึงมีประเด็นซ้อนทับอยู่ 3 ประเด็น 1.การยั่วล้อความเป็นหนังสยองขวัญที่มีสูตรสำเร็จตายตัว 2. ประเด็นมนุษย์ที่คิดค้นทางวิทยาศาสตร์จนเกือบแต่งตั้งตัวเองเป็นพระเจ้า 3. การที่เปรียบเปรย องค์กรลับนั่นไม่ต่างจาก สตูดิโอ ผลิตภาพยนตร์ที่ต้องทำให้ ผู้ชมพึงพอใจ และยังต้องตอบแทนเจ้าของเงินอีกด้วย (ในภาพยนตร์สื่อแทนด้วยเทพสัตว์ประหลาด)
ดังนั้นการที่ The Cabin in the woods นำออกมาตีแผ่แบบประชัดประชน นั่นมันทำให้ ภาพยนตร์สยองขวัญ อาจถึงวาระแห่งการคิดใหม่ (อย่างน้อยๆ ก็ต้องหนีสูตรสำเร็จ ของเรื่องนี้) ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นอาจถูกเยาะเย้ยได้ และภาพยนตร์เรื่องนี่จึงไม่ต่างจาก การทำขึ้นมาเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ ตระกูลหนังสยองขวัญที่ต้องเดินตามสูตรสำเร็จ เพื่อเชื่อมั่นว่าแบบนี้ ผู้ชมชอบ และเจ้าของเงินทุนพอใจ
แต่เมื่อมือเขียน บท Drew Goddard และ Joss Whedon ทำลายกรอบระเบียบทุกอย่างซะขนาดนี้แล้ว จึงเป็นเหมือนการเริ่มต้นยุคใหม่ของภาพยนตร์สยองขวัญ แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไปในเมื่อเจ้าของเงินยังครองโลกอยู่ เหมือนที่เทพประหลาดขึ้นครองโลกอย่างในภาพยนตร์
เราในฐานะผู้ชมก็คงได้แต่หวังว่า เส้นทางของภาพยนตร์สยองขวัญ จะตัดถนนเส้นสายใหม่ เพื่อการบรรเจิดของไอเดีย หรือไม่องค์กรผลิตยังคงต้องทำตามแต่เจ้าของเงิน ด้วยการทำแบบให้เสร็จๆไปสักที
คะแนน 8.5/10 เกรด A+
อ่านบทความเรื่องอื่นได้ที่:สารบัญภาพยนตร์
Create Date : 28 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 18 มิถุนายน 2555 17:05:53 น. |
|
5 comments
|
Counter : 4666 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:1:08:53 น. |
|
|
|
โดย: @NBC วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:7:52:40 น. |
|
|
|
โดย: watase วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:08:02 น. |
|
|
|
โดย: Fruit Cake วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:45:53 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:56:10 น. |
|
|
|
| |
|
|
A-Bellamy |
|
|
|
|
ป้าเชิญนางฟ้า...มาอวยพรวันเกิดค่ะ
ขอให้พบแต่สิ่งดีๆ คนที่ดีมีจิตใจดี
เหตุการณ์ดีๆสุขภาพที่แข็งแรง
รวมทั้งความรัก
ที่ดีที่สุดในชีวิตนะคะ