|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
24 กุมภาพันธ์ 2555
|
|
|
|
A Dangerous Method (2011)
สารบัญภาพยนตร์
A Dangerous Method (2011)
สัญชาตญาณดิบอันตราย
สิ่งพิเศษสำหรับภาพยนตร์ประการหนึ่งคือการนำเอาประวัติศาสตร์ในหนังสือถ่ายทอดออกมาให้เห็นเป็นภาพ แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงซะทั้งหมด แต่มันได้เติมเต็มจินตนาการของผู้ชม ให้ความฝัน ความคิด ได้เขยิบเข้าใกล้กับความจริงขึ้นเข้ามาทุกทีๆ เหมือนที่ David Cronenberg กำลังบรรจงสร้างสองบุคคลสำคัญในแวดวงจิตวิเคราะห์ นั่นคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ และ คาร์ล จุง ให้มีตัวตนและเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่ต่างจากคนสามัญชนธรรมดา พาผู้ชมไปพบวิธีการคิด วิธีการทดสอบรักษา และบุคคลิกลักษณะท่าทาง ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในความเป็นจริง แต่สำหรับภาพยนตร์แล้วมันสามารถทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เรื่องราวของ A Dangerous Method เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่20 ซึ่งเป็นช่วงที่วงการจิตวิทยากำลังรุ่งเรืองจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Viggo Mortensen) แม้อาจจะไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างก็ตาม แต่มันก็เป็นพื้นฐานที่ปลุกกระตุ้นให้นักจิตวิทยาต้องหันมาสนใจกับเรื่องสัญชาตญาณทางเพศของมนุษย์
คาร์ล จุง (Michael Fassbender) นักจิตวิทยาคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่แม้นจะไม่ได้รู้จัก ซิกมันด์ ฟรอยด์ เป็นการส่วนตัว แต่เขาก็ได้นำเอาทฤษฎีของฟรอยด์มาทดสอบใช้กับคนไข้ล่าสุดของเขาที่ชื่อ ซาบีน่า (Keira Knightley) สาวรัสเซีย-ยิวชนชั้นสูงที่มีอาการปกติ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีอาการปากเบี้ยวปากบูด โดยเธอมักแสดงอาการเช่นนี้เมื่อเธอต้องเอ่ยเอื้อนถึงการถูกทำโทษของพ่อที่ตีเธอด้วยไม้
นั่นเป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้ จุง เข้าใจถึงภาวะเก็บกดซ่อนเร้นถึงอารมณ์ทางเพศที่เธอเก็บกดไว้ตลอดมา และ จุง ได้รู้ถึงความสามารถของซาบีน่า ว่าเธอเองก็เป็นมีความสามารถทางด้านจิตวิเคราะห์เหมือนกัน ทำให้เขาให้เธอเป็นผู้ช่วยวิจัยและนั่นทำให้เธอมีความสุขและเป็นผลให้อาการเธอทุเลาลง
ด้วยการรักษา ซาบีน่า ทำให้เขาได้เดินทางไปหา ฟรอยด์ เพื่อติดต่อพูดคุย สิ่งหนึ่งที่ฟรอยด์ดูห่างชั้นและเย่อหยิ่งก็คือเขาทำตัวเหมือนนักจิตวิเคราะห์ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ จุง เองก็ตาม โดยจุงเองเห็น ฟรอยด์เป็นเพื่อนจึงได้บอกเล่าความฝันของตัวเองทุกอย่าง และทันใดที่ฟรอยด์ตีความความฝันของ จุง นั้นก็เท่ากับว่า จุงเป็นเพียงไม่ต่างจากคนไข้ของฟรอยด์เพียงเท่านั้นเอง ฟรอยด์เฝ้าย้ำว่า สิ่งสำคัญของการเป็นนักจิตวิเคราะห์คือการ ต้องห้ามมีอะไรกับคนไข้
ความซับซ้อนของ A Dangerous Method คือการที่ผู้ชมที่ไม่มีความรู้ในคำศัพท์ในจิตวิเคราะห์อาจจะเกิดอาการไม่เข้าใจในสิ่งที่ ฟรอยด์ และ จุง คุยกันได้เสียซะทั้งหมด มิหนำซ้ำบทสนทนาในเรื่องค่อนข้างเยอะและมากมาย จนดูรวดเร็วเกินไปที่ผู้ชมจะคิดตามทัน แต่มันก็สมเหตุสมผลในแง่ของความยิ่งใหญ่และลึกล้ำของ 2 นักจิตวิเคราะห์
องค์ประกอบโดยรวมนั้นถือว่า A Dangerous Method มีคุณสมบัติโดยรวมที่เป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพเลยทีเดียว ทั้งองค์ประกอบศิลป์ เครื่องแต่งกาย และคุณสมบัติปลีกย่อยๆ และเรื่องเล็กน้อยหลายประการ แต่สิ่งที่ยังขาดคือ ด้วยการที่เน้นบทสนทนามากเป็นพิเศษ ทำให้แอคชั่นการกระทำน้อยไปพอสมควร จนทำให้เป็นหนังที่เนิบช้า ไม่มีจุดสูงสุดของอารมณ์ ให้ผู้ชมตื่นเต้น ลุ้นระทึก หรือเอาใจช่วยตามตัวละคร จึงดูเหมือนเป็นสภาวะแห้งแล้งของอารมณ์
ตามหลักประวัติศาสตร์นั้นมีคนมากมายที่ขัดแย้งและแตกคอกับ ฟรอยด์ รวมทั้งจุง ที่ไม่เห็นด้วยที่บอกว่า โรคประสาทนั้นเกิดมากจากสัญชาตญาณที่ถูกเก็บกดเรื่องเพศ ทุกคนกล่าวหาว่าฟรอยด์ หมกหมุ่นแต่เรื่องเพศแต่เพียงอย่างเดียว ไม่เปิดกว้างในเรื่องอื่นๆ ยังเป็นข้อครหาสำคัญว่าสุดท้ายสิ่งที่สัญชาตญานของมนุษย์นั้นเรื่องเพศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจริงหรือไม่ และถ้าเป็นจริงเราควรจะปกปิดปิดกั้นไว้หรือไม่
แต่ด้วยการนำเสนอของภาพยนตร์จะเล็งเห็นว่า บางครั้งสิ่งที่ถูกเก็บกดที่อยู่ภายในจิตใจถ้ามันได้รับการกระตุ้น มันก็พร้อมที่จะถูกปลดปล่อย และถ้าเราไปกั้นมันไว้ มันก็จะเก็บกดและถูกฝังไว้ในจิตใจส่วนลึก พร้อมรอสักวันที่จะเป็นอิสระ สิ่งสำคัญคือการบริหารจิตใจให้มีความสมดุล รู้จักปลดปล่อยในสิ่งที่ควร และเก็บกั้นไว้บ้าง ชีวิตเราก็คงมีความสุข
ตามทฤษฎีของฟรอยด์ เรื่องเพศ คือสิ่งที่มนุษย์ถูกปิดกั้นเอาไว้ ไม่ให้ออกมาเผชิญสู่โลกภายนอก จนบางครั้งอาจจะเก็บกดและป่วยทางจิต แต่มีคนหลายต่อหลายคน พยายามจะหนีความจริงว่าเรื่องเพศ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญในการดำรงชีวิต
คนพวกนั้น ฟรอยด์ อาจกำลังบอกว่า คนพวกนี้เป็นพวกที่ไม่ยอมรับความจริง และยอมรับไม่ได้ว่าเขากำลังป่วยทางจิต หรือโหยหามากแต่ไม่ได้รับการตอบสนองที่พึงพอใจ จึงเก็บกดไว้จิตใจส่วนลึกๆ คนจำพวกนี้นั้นน่ากลัว เพราะสิ่งเก็บกดเหล่านี้มันพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ และเชื่อเหลือเกินว่า ถ้ามันระเบิดออกมาเมื่อไหร่ คนพวกนั้นอาจจะเอ่ยว่า “อะไรก็เอาทั้งนั้น” ช่างน่ากลัวจริงๆ
คะแนน 7.75/10 เกรด B+
ปล.ผู้เขียนเก็บกดอยากวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างมาก แต่ต้องกั้นไว้ให้หนังออกจากโรงก่อน เพือไม่ให้เกิดการสปอยด์
ภาพยนตร์ยอดเยี่มประจำปี 2011 พร้อมรีวิว
HUGO (2011) The Tree of Life (2011) 50/50 (2011) Midnight in Paris (2011) The Girl with Dragon Tattoo (2011) A Separation (2011) We Need to Talk About Kevin (2011) The Help(2011)
อ่านบทความเรื่องอื่นได้ที่:สารบัญภาพยนตร์
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 5 มีนาคม 2555 16:00:15 น. |
|
1 comments
|
Counter : 3728 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: นักเรียนเก่า IP: 204.124.83.131 วันที่: 4 ตุลาคม 2555 เวลา:9:24:22 น. |
|
|
|
| |
|
|
A-Bellamy |
|
|
|
|