บันทึกธรรม - หน้า 20
- ธรรมะ ถ้าอยากแล้วจะไม่เห็น - ดูไป มันดีใจของมันเอง มันเสียใจของมันเอง ไม่มีเราตรงไหน - รูปเกิดดับ 1 ครั้ง จิตเกิดดับ 17 ครั้ง - ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในจิต - ดูจิต ไม่ใช่ดูจิต แต่ 1. ดูความปรุงแต่ง ดูความรู้สึก ดูความเปลี่ยนแปลง ดูสภาวะ เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิต 2. ดูขบวนการทำงาน ดูปฏิจสมุปบาท เห็นความไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา - กลัวช้าอยากได้เร็ว ยิ่งช้า - จิตมีความสุขกับอารมณ์อันได้ จะมีความสงบกับอารมณ์อันนั้น - เห็นจิตเกิดดับที่จิต เป็นสุข เห็นที่อื่น เป็นทุกข์ - พระอรหันต์เห็นขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์ เวลาจะตายท่านเบิกบาน - ถ้าไม่แยกธาตุแยกขันธ์ ไม่ต้องพูดเรื่องเจริญปัญญา - ถ้าแยกขันธ์ได้ มันจะล้างความเป็นตัวตนได้ - จิตที่ตั้งมั่นจริงๆ จะไม่ตั้งไว้แข็งๆ - จิตที่เคยเดินปัญญา มันจะไม่ยอมพัก มักจะขี้เกียจทำสมถะ - ฝึกให้มีตัวรู้ เพราะอริยมรรคเกิดที่ตัวรู้นี่แหละ - จิตหนีไปคิดแล้วรู้ ๆ จะได้จิตผู้รู้ - เวลาเกิดอริยมรรค เกิดหนึ่ง แต่มีองค์ประกอบแปด - เวลาจิตติดภพ ไม่ต้องแก้ โยนมันทิ้งไปแล้วเอาใหม่(ว่ากันใหม่) - อย่าให้จิตมีความสุขแล้วกระจายกว้าง ๆ ออกไป ให้ย้อนกลับมาดูข้างใน - ใจที่ยังมีความหวังอยู่ มันยังหลอกอยู่ - จิตนิ่งเฉย ๆ จิตขี้คร้าน, จิตเป็นกลาง มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จิตไม่ฟุ้งไม่แฟบ เป็นกลาง - ทำงานบ้าน เจริญสติ(ได้)ดีมาก, กวาดบ้านไปกวาดใจไปด้วย ทำแล้วมีความสุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ - จิตเป็นกลาง ไม่ใช่กลางด้วย Location แต่กลางที่ไม่ยินดีไม่ยินร้าย - ทำอะไรก็ผิด แต่ไม่ทำผิดมากกว่า (ไม่ต้องทำให้ถูก) - เวลาทำความสงบ จิตจะสงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง - ถ้าจิตรวมกับความโกรธ จะเป็นเราโกรธ, ถ้าจิตรวมกับขันธ์ ขันธ์ก็เป็นเรา - รู้กายอย่าไปรู้ที่เปลือกของกาย - นั่งสมาธิ ลงก็รู้ ไม่ลงก็รู้ - ไปเกาะว่างๆข้างหน้า เป็นการยึดความว่าง - ไม่ยึดอะไร เป็นการยึดความไม่มีอะไร ไม่ใช่นิพพานจริง - วิปัสสนา เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ไม่ใช่เห็นรูปนาม, ต้องเป็นการเห็นไม่ใช่คิด - สมถะ จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง, จิตสงบ อารมณ์สงบ - วิปัสนา จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์มีได้มาก, จิตสงบ อารมณ์ไม่สงบ
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2554 | | |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2554 8:59:15 น. |
Counter : 684 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 19
- ความหมายรู้ เป็นคนละส่วนกับ ใจ ความหมายรู้ ยังเป็นอาการ ออกไปจาก ใจ ไม่ใช่ ใจ เหลือเพียงการมนสิการถึง ใจ อันอัศจรรย์เหลือเกิน แล้วเกิดความรู้ความเข้าใจทางดำเนินต่อไปอย่างแจ่มชัดว่า มีแต่การ ใจขยันจับใจที่ไม่ปน ดังที่ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวไว้นั่นเอง - แต่เดิมนั้น เราสร้างจิตผู้รู้ เรามีจิตผู้รู้ บัดนี้เห็นชัดแล้วว่า จิตผู้รู้ ยังเป็นส่วนประกอบของ ขันธ์ กับ ใจ เป็นเครื่องมือให้เราเดินปัญญาพิจารณาเข้าสู่ ใจ การปฏิบัติทั้งปวง มีการทำความสงบและการจำแนกรูปนามขันธ์ห้า ล้วนเป็นบันได เป็นมรรคา เพื่อเข้าถึง ใจ ดวงวิเศษนี้เอง คือใจ ดวงที่แยกเอาความหมายรู้อารมณ์หรือสัญญาออกไปได้ ไม่หลงเอาสัญญาหรือความหมายรู้ ว่าเป็นใจ และการจำแนกสัญญา ออกจาก ใจ ก็คือการทำลายจิตผู้รู้นั่นเอง - เมื่อเข้าถึง ใจ ก็จะเห็นจริงว่า สิ่งที่เกิดออกไป หรืออาการของใจทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุกข์ ตรงนี้ไม่ใช่โวหาร แต่เป็นการเห็นขันธ์ทั้งปวง เป็นทุกข์ล้วนๆ และทุกข์นั้นก็เป็นความจริงของมันเองอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับ ใจ ที่เป็นความจริงอีกอันหนึ่ง - สิ่งที่ปิดบังธรรมไว้จนมิดชิด ทำให้เรามองไม่เห็น ก็คือขันธ์นั่นเอง - มี - ไม่มี ก็คือสังขารธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง อันเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามเหตุปัจจัย แต่ไม่มีอัตตาตัวตน - ไม่มี - มี คือวิสังขารธรรม คือได้แก่ ธรรม ที่ไม่มีสังขาร หรือนิพพานนั่นเอง - ถ้าจิตทรงธรรม ก็เป็นเครื่องกีดกันสมุทัยไม่ให้เกิดขึ้น ทุกข์กับธรรม เป็นของประจำจิตใจ ถ้าจิตทรงธรรม รู้ชัดในทุกข์ ก็เป็นอันตัดสมุทัยได้ ขันธ์ก็เป็นทุกข์ไปตามธรรมชาติของขันธ์ ส่วนใจที่ทรงธรรม ก็ปราศจากทุกข์ ต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างทำหน้าที่ของตนไป - จิตตั้งมั่น โดยไม่ต้องรักษา สติเกิดเอง โดยไม่เจตนา - ถ้าใจไม่ตั้งมั่น ไม่เป็นคนดู จะไม่เกิดปัญญา - ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ไม่ต้องกลัวว่าไม่เดินปัญญา - สภาวะจำนวนมากเกิดร่วมกันอยู่ ปัญหาคือจะดูตัวไหน รูปก็เกิดเป็นกลุ่มๆอย่างน้อย 7 ตัว ให้ดูตัวที่มีบทบาทเด่นตัวเดียว ถ้าเราไม่แทรกแซงจิต ไม่จงใจจ้อง จิตจะดูตัวที่มีบทบาทเด่น ตัวนั้นจะเป็นตัวที่บงการพฤติกรรมทางใจ - เวลาตาเห็นรูป อาจผิด 4 อย่าง คือไปกำหนดที่ - รูป ที่จักขุประสาท ที่ผัสสะ (ที่กระทบของ 3 สิ่ง อายตนะภายใน ภายนอก และจิต) ที่จิตที่เห็นรูป - ทาน เป็นเรื่องสำคัญ ขั้นสุดท้ายถ้าไม่กล้าสละชีวิตเพื่อธรรมะ จะไม่ผ่าน จะป้อแป้ถดถอยไป นิพพานอยู่ฝากตาย - ขันธ์ พอรวมตัวกัน ก็เกิดเราขึ้นมา - เราสนใจข่าวสารภายนอก แต่ไม่สนใจข่าวสารภายใน - สุขจากราคะ สุขแต่ลืมตัว - จิตอยู่นอกๆ เพราะไหลไปแล้วไม่รู้ - จุดสำคัญของการปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการจำแนกจำนวนจิต แต่อยู่ที่ความรู้เท่าทัน ว่าขณะนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับจิต เช่นเมื่อมีราคะก็รู้ว่ามีราคะ เมื่อมีโทสะก็รู้ว่ามีโทสะ และรู้เท่าทันการทำงานของจิต เช่นมันรู้อารมณ์โดยไม่หลงตาม หรือมันรู้อารมณ์แล้วหลงตามไปอยาก ไปยึด ไปก่อทุกข์ เป็นต้น - เห็น คนแก่คนเจ็บคนตาย แล้วใจสลด แสดงว่ามีบารมี
Create Date : 25 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 25 กันยายน 2554 19:36:50 น. |
Counter : 359 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 18
- ตอนเช้าหรือค่ำทำตามรูปแบบ ระหว่างวันเก็บเล็กเก็บน้อย - จิตไม่มีเจริญ ไม่มีเสื่อม มีแต่เราไปเปรียบเทียบมัน - การดูจิตผิด หลงตามสภาวะออกนอก หลงเข้าในตามดูกิเลส ประคองรักษาจิต หลงแก้อาการ คอยปัดสภาวะ หลบตรงโน้นหลบตรงนี้ - ลมหายใจเป็น กายสังขาร (สิ่งปรุงแต่งร่างกาย) - วิตก วิจาร (ความตรึกความตรอง) เป็น วจีสังขาร (ทำให้เกิดการพูด) - สัญญา และ เวทนา เป็นจิตสังขาร (ทำให้จิตทำงาน) - ตอนตื่นนอน จิตจะตื่นก่อนร่างกาย - จิตตั้งมั่น มี 2 แบบ ตั้งมั่นเอง จะเบาสบาย บังคับให้ตั้งมั่น จะหนัก - คำว่า ลองผิดลองถูก ใช้ไม่ได้กับรู้ตัว มีแต่ ลองผิด ลองผิด แล้วก็ลองผิด - ทำตามรูปแบบตามเวลา นอกเวลามีสติในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปนึกถึงมรรคผลนิพพาน - เวลาแจ้ง มันแจ้งในมุมที่มันเลือก ไม่ต้องไปเลือกให้มัน - ช่วงไหนเจริญสติรวด ขาดสมถะ จะดูไม่ถึงจิตจริง - ภาวนา อย่ากลัวติดข้อง ให้สังเกตเอา - ไม่ได้ดูให้หาย ดูให้เห็น - ติดเพ่ง ใช้กายกระตุ้นให้หลุดออกมา - อะไรเกิดขึ้นในใจเรา สดๆร้อนๆ รู้อันนั้นแหละ - ภาวนาแล้วเหมือนไม้แห้งน้ำ ดี ไม้แห้งติดไฟง่าย - ตัวมายาจอมหลอกลวง ไม่มีอะไรจะเสมอด้วยสัญญา - จะข้ามภพข้ามชาติให้ได้ ก็ต้องทำลายวิญญาณให้ได้ จะดับวิญญาณได้ ก็ต้องละอภิสังขารซึ่งรวมถึงเจตนาให้ได้ จะละอภิสังขาร ก็ต้องมีสติปัญญารู้ทันตอนที่สัญญาผุดขึ้นให้ได้ - ลงท้ายแล้วก็สรุปได้ว่า ความไม่รู้มีอยู่ตราบใด ความปรุงแต่งไปตามการหลอกลวงของสัญญาก็มีอยู่ตราบนั้น - เปรียบสัญญานี้เหมือนเงา ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แต่หลอกให้คนหลงได้ว่ามีตัวตน - ถ้าเข้าใจสัญญาว่าเป็นดังเงาที่ไม่มีแก่นสารสาระ จิตก็จะไม่มัวเมาไปกับสังขารหรือความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ เพราะสังขารนั้น มีสัญญาเป็นปัจจัยส่งต่อให้เกิดขึ้น - ผู้ปฏิบัติที่สามารถจำแนกสัญญากับใจออกจากกันแล้ว ท่าน(หลวงปู่มั่น-สุกิจ)ให้ขยันจับใจ ที่ไม่ปนด้วยสัญญา - ใจจะหยุด นิ่ง สงัด สิ่งใดแปลกปลอมออกจากใจก็รู้ชัด และสิ่งที่แปลกปลอม หรือเป็นอาการของใจ หรือเป็นความไหวออกไปจากใจ ก็คือขันธ์ 5 นั่นเอง - แต่ก่อน เคยหลงสัญญาว่าเป็นใจ จึงเกิดความสำคัญมั่นหมายในสิ่งภายในภายนอกขึ้น ต่อเมื่อ ใจ ถึง ใจ แล้ว ใจก็เป็นใหญ่ในตัวของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาสัญญา สิ่งต่างๆ ก็เกิดดับไปตามธรรมชาติของมันเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ ใจ กระทั่งการปฏิบัติที่ผ่านมาแล้ว ก็เหมือนบันไดเท่านั้น เมื่อขึ้นถึงจุดสุดท้ายคือ ใจ ก็ไม่มีอะไรจะต้องดำเนินต่อไปอีก
Create Date : 04 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 4 กันยายน 2554 10:32:52 น. |
Counter : 410 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 17
- เวลาที่จะได้ธรรมะ เป็นช่วงที่ไม่คิดว่าจะได้ - ขยันนั้นผิด แต่ไม่ขยันนั้นผิดมากกว่า - สติ ไร้น้ำหนัก บางเฉียบ เงียบกริบ - ฟุ้งซ่าน กับ ปัญญา ใกล้กันมาก - มีโมหะ รู้ว่ามีโมหะ รู้อย่างที่เค้าเป็น อย่าไปเกลียดเค้า - จิตมี น.น. เป็นผล เป็นวิบาก ต้องรับผล - เวลาเดินจงกรม เมื่อสุดทางอย่าเพิ่งหันกลับให้รู้สึกตัวก่อน พอหันกลับอย่าพึ่งรีบเดิน ถ้ารีบจิตจะเดินก่อนขา - ไม่ว่าจะประคองอะไร จะเกิด น.น. - การที่จิตเพ่งมี 3 steps เรียก ไตรวัฏฏะ กิเลส กรรม วิบาก (มีกิเลสอยากปฏิบัติ ไม่รู้เลยก่อกรรมเพ่ง แล้วเกิดวิบากหนักๆ ) - พระอรหันต์ คือผู้ที่วางภาระไปแล้ว ไม่หยิบภาระอะไรขึ้นมาอีก ส่วนเราวางแล้วหยิบอีกอันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว - เราจะสั่งจิต ไม่ให้รู้ ไม่ได้ - ใจที่เป็นทุกข์ เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งแวดล้อม - ดูจิต 2 ขั้นตอน 1 รู้ทันความปรุงแต่งทั้งหลาย เช่น โลภ ดีใจ เสียใจ 2 หลังจากสภาวะเกิดแล้ว จิตยินดี ยินร้าย ก็รู้ทัน - หายใจแล้วรู้ทันจิต แล้วจะเกิดปัญญา - ใจมันฟุ้ง แล้วเราไปเบื่อแทนมันทำไม - ถ้าใครเข้าถึงความเป็นกลาง จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง - ดูกายถูกต้องก็เกิดสติ ดูจิตถูกต้องก็เกิดสติ สติชนิดเดียวกัน - จิตปรุงกิเลส จิตไม่รู้เท่าทัน จึงถูกกิเลสครอบงำ กิเลสจึงกลับมาปรุงแต่งจิต วนเวียนอยู่อย่างนี้ สะสมเป็นอนุสัย ความเคยชินฝ่ายชั่ว พอกระทบอารมณ์ ความเคยชินฝ่ายชั่ว ปรุงเป็นกิเลสขึ้นมาอีก กิเลสก็หล่อเลี้ยงอนุสัยไว้ อนุสัยก็หล่อเลี้ยงกิเลสไว้ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ พอมีสติรู้ทัน ก็ตัดวงจร ก็ไม่เกิดอนุสัยใหม่ เกิดเป็นบารมีแทน ต่อไปบุญบารมีจะทำงานแทนความชั่ว - จิตที่ถลำเข้าไป หลวงปู่ดูลย์เรียก จิตส่งออกนอก ให้รู้ไว้แต่อย่าดึง จะแน่น - การที่จิตปรุงความฟุ้งซ่าน มันเปิดจุดอ่อนให้เรา แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรา - เคลื่อนไหว เพื่อให้รู้ทันจิต ใจหนีไปแล้วรู้ - เวลาที่จิตตั้งมั่น มันจะเห็นกิเลสไหลมาไหลไป ใจเป็นคนดู - จิตที่มีแรงมากๆ ถ้าไม่ระวังมันจะกลายเป็นบังคับ - ไม่ต้องตั้งใจให้เห็นจิตอีกตัวหนึ่ง บางคนก็มี บางคนก็ไม่มี - สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นทนอยู่ไม่ได้ สิ่งใดทนอยู่ไม่ได้ สิ่งนั้นไม่เป็นตัวตนถาวร - ดู น.น. เห็นมันไม่เที่ยง เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา - จิตเป็นกุศล เบา, โมหะ โลภะ ก็เบา - ถ้าจิตไม่เดินปัญญา ช่วยคิดนำหน่อย - อุทธัจจะ ฟุ้งซ่านในธรรม - กุกกุจจะ เร่าร้อนที่จะปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม เราต้องใจเย็น เหมือนถูกมัดด้วยเชือกยิ่งดิ้นยิ่งแน่น - จิตไม่มีขนาดแบบ size X,M,L
Create Date : 21 สิงหาคม 2554 | | |
Last Update : 21 สิงหาคม 2554 8:45:32 น. |
Counter : 458 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 16
- เพราะไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ คือ อวิชชา ทำให้ไม่วางจิต - ถ้าเห็นกิเลส ไม่หลงทาง, ถ้านิ่งๆว่างๆ หลงทาง - สัญญา เป็นตัวปิดกั้นไม่ให้เห็นการเกิดดับ (คือมันจำสภาวะเดิมไว้ เราจึงไม่เห็นมันดับ-ผู้บันทึก) - คนไม่มีศีล จิตว้าวุ่น - จิตเกิดที่อายตนะ เกิดร่วมกับเจตสิก - ทำสมาธิ ให้ทำด้วยความรู้สึกตัว - เมื่อไหร่ดูจิตคนอื่น เมื่อนั้นจะดูจิตตัวเองไม่ได้ มันกลับบ้านไม่เป็น - ความรู้สึกว่า ในนี้มีเราอยู่คนหนึ่งตั้งแต่เด็กๆจนเดี่ยวนี้ นั่นคือ อัตตา ถ้าเห็นสันตติขาด จะลดอัตตาลง - ตรงที่จิตสักว่ารู้ว่าเห็น จิตจะเป็นนักวิจัยที่แท้จริง - การรู้แจ้งเป็นการเกิดปัญญาที่ฉับพลัน - นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา เดินชนทั้งวัน ไม่เคยเห็น - ถ้ารู้สึกคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ตรงข้ามกับไตรลักษณ์ แปลว่าผิดแล้ว ต้องติดอะไรสักอย่าง - จิตที่ตั้งมั่น มีลักษณะ เบา นุ่มนวล คล่องแคล่วว่องไว เป็นสัมมาสมาธิ รู้ตื่นเบิกบาน รู้อารมณ์แบบซื่อๆ - จิตที่รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น ไม่ดึงคืน จะตั้งมั่นขึ้นมา ทีละแว๊ป - ความรู้สึกตัว = หลง 1 - เราตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาโดยไม่รู้ตัว - ดูกาย แค่รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย แค่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของกาย - เบาได้ ว่างได้ สบายได้ แต่ให้รู้ทัน เกิดความยินดี ก็รู้ทัน - จิตมีกิเลส ไม่ใช่เรามีกิเลส - อย่าปล่อยจิตให้ อ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง จะทำให้จิตอ่อนแอ - จิตวิ่งไปวิ่งมา มันทิ้งสภาวะแล้วมันจะทวนเข้าหาธาตุรู้ พอมันทวนเข้าถึงธาตุรู้ เนี่ย ตรงนี้แหละอริยมรรคจะรวมพลังกันแล้วตัดสังโยชน์ขาดเลย - ลองผิดลองถูกก็คือ หัดเจริญสติไปเรื่อยเลยเดี๋ยวมันก็มากไป เดี๋ยวมันก็น้อยไป เดี๋ยวก็หนักไป เดี๋ยวก็เบาไป เดี๋ยวก็ขยันเกินไป เดี๋ยวก็ขี้เกียจเกินไป เนี่ยคอยสังเกตใจเราไปเรื่อย จนมันพอดีๆ มันพอดีตรงไหน เหมือนเราคลำๆไปเจอลูกบิด หรือเจอกลอนประตูเข้าแล้ว ไขแกร๊กเดียวเอง ก็เปิดออกมาสู่ความสว่างได้แล้ว - อย่าประคองผู้ดู จะกลายเป็นเพ่งตัวผู้รู้ ไม่ดี - ถ้าทำสมาธิมามาก ไปดูจิตจะไม่เห็นการเคลื่อนไหว ให้ไปดูกาย - ติดเพ่ง ถ้ารู้ต้นทางคือความอยาก จะไม่ติด - เห็นอย่างนี้ จิตเป็นอย่างนี้ รู้ทัน - จิตออกนอก จะเพลินๆเบาๆ สบาย อย่างนี้จะติดสุข - บางครั้งพอเวลาเวทนารุนแรงเนี่ยะ สติเราตามไม่ทัน โทสะมันขึ้น พอโทสะเกิดขึ้นมาเนี่ยะ อย่าไปตกใจกลัวมัน พยายามเจริญเมตตากับร่างกายมันนะ เป็นกลางกับมันนะ ดูไปเรื่อย ตัวสำคัญอยู่ที่ความเป็นกลางหล่ะนะ แล้วอย่าไปกังวลกับมัน - แท้จริงการดูจิตไม่มีอะไรมาก. เพียงแต่รู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลางจริงๆ ก็พอแล้ว. รู้อยู่ตรงที่รู้นั่นแหละ
Create Date : 03 สิงหาคม 2554 | | |
Last Update : 3 สิงหาคม 2554 10:09:46 น. |
Counter : 370 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|