สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

หญิงชรากับเสื้อหนาวสีดำ



เมื่อคืนอากาศหนาวเย็นผิดปกติ นกกาบินออกจากรังไปหากินไปนานแล้ว
ตะวันยามรุ่งยังขมุกขมัว แต่เถ้าแก่เฮงคนขยันยังตื่น
มาเปิดประตูร้านขายของชำเหมือนเคย
กระถางต้นโป๊ยเซียนและม้านั่งหินหน้าร้านเป็นที่ที่
แกชอบออกมานั่งเล่นรับลมยามเย็นยังอยู่ที่เดิม

แต่ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิอีก 2 คน
ก้มเงยๆ เหนือร่างเล็กในชุดเสื้อผ้าสีดำมอซอที่นอนคุดคู้ใต้ม้าหินไม่ใช่เรื่องปกติ
เถ้าแก่เฮงกระชับเสื้อหนาวให้เข้าที่ กระย่องกระแย่ง
เข้าไปมุงดูบ้าง ชายชราขยับร่างอุ้ยอ้ายเบียดคนที่มุงดูอยู่เข้าไปใกล้ๆ
จนเห็นร่างหญิงชราผอมแห้งแก้มตอบ ผมหงอกขาวโพลนเกรียนติดหนังศรีษะ ผิวตกกระซีดจนคล้ำสวมเพียง
เสื้อบางๆ กับผ้าถุงปอนๆ ร่างคู้งอเข้าหากัน
มือเกร็งกำธนบัตร 10 บาทแน่นราวกับมันเป็นสมบัติ
ชิ้นสุดท้าย

"ไอ๋หย๋า" เถ้าแก่เฮงอุทานเบาๆ
"เถ้าแก่รู้จักผู้ตายเหรอครับ"นายร้อยเวรถาม
''ม่ายน่อ แต่อั๊วจำได้เมื่อคืนยังเห็นอีเป็นๆ อยู่เลย''
''แกเป็นใครมาจากไหนรู้มั้ยครับ"ผู้หมวดซัก
"อั๊วก็ม่ายรู้ ม่ายช่ายคนแถวนี้เมื่อคืนตอนดึกๆ อั๊ว
กำลังปิดร้านอยู่อีมาเคาะประตูขอซื้อเสื้อหนาวสีลำๆ
แต่มีตังค์แค่ 10 บาท อั๊วเลยม่ายขายให้ เช้ามาก็เห็ง
อีซี้เลี้ยว…"

เถ้าแก่เฮงร่ายยาว ก่อนจะอึ้งไป ผู้หมวดพยักหน้าหงึกๆ แล้วบอกให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิยกศพขึ้นรถกะบะ ที่
ฝากะบะข้างท้ายติดสติ๊กเกอร์สวยเก๋ว่า "รถนอน VIP"

ไม่มีร่องรอยฆาตกรรมใดๆ ผู้ที่พบเห็นลงความเห็นอย่างไร้ข้อกังขานได้ทีว่าหญิงชราคงหนาวจนแข็งตาย
ไปเอง
ตลอดทั้งวัน เถ้าแก่เฮงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ภาพหญิงชราผมขาวที่มาอ้อนวอนขอซื้อเสื้อหนาวถูกๆ ที่แกโก่งราคาขายและถูกไล่ตะเพิดออกไปกับภาพใบหน้าคล้ำเขียวของร่างที่สิ้นลมเพราะความหนาวยังติดตาอยู่ไม่วาย
แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ใช่ความผิดอะไรของแกซักหน่อย
แต่ก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนขับไสไล่ส่งหญิงชราไปพบความตายอย่างเลือดเย็น

ขณะกำลังงุ่นง่านอยู่นั้น เถ้าแก่เฮงเหลือบไปเห็นเสื้อกันหนาวสีดำที่หญิงชรามาร้องขอซื้อแขวนอยู่
...ผ้าเนื้อหยาบๆ ไม่น่าสบายแต่คงให้ความอบอุ่นแก่
หญิงอนาถาคนนี้ได้
อย่างน้อยแกอาจไม่ต้องมานอนแข็งตายหน้าร้านเมื่อเช้าวันนี้...

เถ้าแก่เฮงตัดสินใจปิดร้านแต่วัน เอ่ยปากฝากบ้านให้ซิ้มร้านกาแฟข้างๆ ช่วยดู แล้วคว้าเสื้อกันหนาวสีดำใส่ถุงโชคดีควบมอเตอร์ไซด์คู่ชีพไปยังโรงพยาบาล

พยาบาลเวรทำหน้าแปลกๆ เอื้อมมือไปรับถุงกระดาษที่เถ้าแก่เฮงยื่นมาเพื่อบริจาคให้ศพหญิงชรา
.......

เกือบห้าทุ่มแล้วเสียงเคาะประตูถี่ๆ ทำให้เถ้าแก่เฮง
ที่นั่งกระวนกระวายใจรออยู่ยิ้มออกมาได้
ลูกสาวที่เรียนอยู่กรุงเทพฯโทรมาตอนบ่ายๆ บอกว่า
จะกลับรถไฟขบวนดึก นี่คงเสียเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง
ถ้ามาถึงดึกกว่านี้อีกหน่อยคงไม่มีรถสองแถวเข้าอำเภอ

"นึกว่าไม่ทันรถสองแถวแล้วนะเตี่ย”ลูกสาวเถ้าแก่ว่าพลางยกขวดเป๊ปซี่ซดแก้กระหาย
"กลับมาทันก็ดีแล้ว นี่กินข้าวกินปลามารึยังล่ะ"
"เรียบร้อยมาแล้ว รถเสียเวลาตั้งนานแน่ะ"
"มาเหนื่อยๆ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนพรุ่งนี้ค่อย
คุยกันก็ได้"เถ้าแก่เฮงลุกขึ้น
"จ้ะ" ลูกสาวขยับตาม แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า
"เออเตี่ยหนูคงทำกระเป๋าสตางค์หล่นบนรถไฟมา
รู้ตัวตอนกระเป๋ารถสองแถวมาเก็บค่าโดยสาร โชค
ดีเจอยายคนหนึ่งแกช่วยออกค่ารถให้ยังทักหนูเลย
ว่าเป็นลูกสาวเถ้าแก่เฮงใช่มั้ย เตี่ยจำแกได้รึเปล่า
ยายคนนั้นแกผอมๆ ผมหงอกขาวเกรียนๆน่ะ"

"อะไรนะ ผมขาวเกรียนๆ เหรอ"เถ้าแก่เฮงสะดุ้ง
"ใช่จ้ะเตี่ย หนูก็ลืมถามชื่อ แกว่ามีเงินเหลือ10 บาท
พอดี เลยออกค่ารถให้หนูก่อนยังไงถ้าเจอแกเตี่ยช่วยคืนเงินให้ยายแกด้วยนะ ดูท่าทางแกจนออก"

ลูกสาวเถ้าแก่คว้ากระเป๋าเตรียมขึ้นบนบ้าน
"อ้อ แกยังฝากมาขอบคุณที่เตี่ยบริจาคเสื้อกันหนาว
ให้ด้วยค่ะ เมื่อกี้ยังเห็นแกใส่อยู่เลยสีดำๆ ค่ะเตี่ย"
........




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2550 15:30:19 น.
Counter : 824 Pageviews.  

ใบหูที่หายไป



เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...

"ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อย..ได้มั๊ยคะ"คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น..
เมื่อห่อผ้า น้อยๆ อยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ห่อออกเพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ
กรี๊ดดดด.....เธอกรีดร้อง
หมอต้องอุ้มเด็ก..ออกไปอย่างรวดเร็ว
เด็กทารกที่เกิดมา...ไม่มีใบหู

และแล้วกาลเวลาพิสูจน์ว่า การได้ยินของเจ้าหนูไม่มีปัญหา
ปัญหามีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอก คือใบหูที่หายไป
หลายครั้งที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียน แล้ววิ่งมาบอกแม่
เธอรู้ว่า..หัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน...
เจ้าหนูพูดโพล่งออกมา..อย่างน่าเศร้า
"พวกเด็กตัวโต ล้อผมว่าไอ้ตัวประหลาด--"

จนกระทั่งเจ้าหนูเติบโตขึ้น หล่อเหลาเป็นที่รักของเพื่อนๆ
เขามีพรสวรรค์ในด้านอักษรศาสตร์ วรรณคดีและดนตรี
เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้นทำให้เขาไม่อยากเจอใคร
"ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก" แม่กล่าวด้วยความสงสารลูก
พ่อของเด็กชายปรึกษากับหมอประจำครอบครัว
และได้รับข่าวดีจากหมอว่า
"ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาคแต่ใครล่ะ..จะเสียสละใบหูเพื่อเด็กน้อยคนนี้" คุณหมอกล่าว
จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย..
"ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ พ่อกับแม่หาคนบริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้วแต่นี่เป็นความลับ"
การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี และแล้วคนคนใหม่ก็เกิดขึ้น เขากลายเป็นผู้มีพรสวรรค์
เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย
จนเป็นที่กล่าวขานกัน..รุ่นต่อรุ่น
ต่อมาได้แต่งงานและทำงานเป็นข้าราชการในสถานทูต
วันหนึ่งชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า
"พ่อครับใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมาใครช่างให้ผมได้มากมาย แต่ผมไม่เคยทำอะไรเพื่อเขาเลยสักนิด"
"พ่อไม่เชื่อว่าลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอก
เรื่องนี้เป็นความลับเราตกลงกันแล้ว" พ่อตอบ
หลายปีผ่านไป....มันยังคงเป็นความลับ
และแล้ววันหนึ่ง วันที่มืดมิดที่สุด...ผ่านเข้ามาในชีวิตของลูกชาย
แม่เขาเสียชีวิตลง
เขายืนข้างๆ พ่อ...ใกล้หีบศพของแม่
พ่อเรียกเขา"มานี่สิลูกมานั่งใกล้ ๆ นี่"
พ่อลูบผมแม่อย่างช้า ๆ..และนุ่มนวล
ผมสีน้ำตาลแดง..ถูกเสยขึ้น จนมองเห็นใบหน้า
ที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ
และแล้วสิ่งที่ทำให้ลูกชายถึงกับต้องตะลึง
...ใบหูของแม่...หายไป!
แม่ไม่มีใบหู...
"นี่เป็นคำตอบที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต"พ่อกระซิบผ่านลูกชาย
"แม่บอกพ่อว่าเธอดีใจที่ได้ทำอย่างนี้ตั้งแต่วันผ่าตัด แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย ไม่มีใครมองเห็นว่าเธอไม่สวยจริงมั๊ย?
จงจำไว้...
สิ่งมีค่าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรา..มองไม่เห็น
ความรัก..ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้..
หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรากระทำ แล้วไม่มีใครรับรู้
ความรักบางครั้ง ไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำเพรื่อ
หากแต่อยู่ที่การกระทำซึ่งเราอาจรับรู้ เพียงแค่ฝ่ายเดียว
ถ้าพรุ่งนี้..เราตายไป..
บริษัทสามารถหาคนมาแทนเราได้ ภายในไม่กี่วัน..
แต่ครอบครัวเราต้องสูญเสียและคิดถึงเราไปตลอด
เราได้ใช้ชีวิตกับการทำงานมากกว่าครอบครัวหรือเปล่า?
ถ้ามากกว่าก็เป็นการลงทุนที่ไม่ฉลาดเลยจริงๆ




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2550 16:12:07 น.
Counter : 470 Pageviews.  

อาม่า



ครั้งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆ คนหนึ่ง
อาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลาทำให้ถือของลำบาก โดยเฉพาะเวลาที่อาม่าทานข้าวร่วมกับครอบครัว
อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบนโต๊ะตลอดเวลา
ลูกสะใภ้อาม่ารำคาญกับเรื่องนี้มากจึงปรึกษากับสามีว่าเวลาอาม่าทานข้าวเขาจะทำข้าวหกเกลื่อนโต๊ะ
นางทนไม่ได้เพราะทำให้รู้สึกกินข้าวไม่ลง สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เพราะเขาไม่สามารถทำให้อาม่าหายมือสั่นได้
อีกไม่กี่วันลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเรื่องนี้อีกว่าจะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือนางทนไม่ได้แล้ว

หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก สามีก็ยอมตามภรรยา
โดยเมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาจะจัดให้แม่นั่งแยกโต๊ะต่างหากเพียงคนเดียว และใช้ถ้วยข้าวถูกๆบิ่นๆ
เพราะอาม่าทำถ้วยแตกบ่อยๆ เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก
เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้
นางนึกถึงอดีต ที่นางเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา
นางไม่เคยบ่นต่อความเหนื่อยยาก
เวลาที่ลูกชายเจ็บไข้นางก็ดูแลอย่างดี เวลาลูกชายมีปัญหาก็ช่วยแก้ไขทุกครั้ง
แต่ตอนนี้อาม่ารู้สึกว่าถูกทิ้ง อาม่าเสียใจมาก หลายวันผ่านไป
อาม่ายังเศร้าใจ
.....
รอยยิ้มเริ่มจางหายไปจากใบหน้าของเขาหลานชายน้อยๆ ของอาม่าซึ่งเฝ้าดูทุกอย่างมาตลอดก็เข้ามาปลอบใจ
และบอกคุณย่าว่าเขารู้ว่าคุณย่าเสียใจมากที่พ่อแม่ของเขาทำแบบนี้
แต่หลานชายมีวิธีที่จะให้อาม่ากลับไปทานข้าวรวมกับทุกคนได้
ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในหัวใจของหญิงชรา
จึงถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร
หลานก็ตอบว่าเย็นนี้ให้คุณย่าแกล้งทำชามของคุณย่าตกแตกเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ
อาม่าได้ฟังก็แปลกใจ แต่เด็กน้อยยืนยันว่าให้คุณย่าทำตามที่บอก
ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของหลานเอง
และแล้วเมื่อได้เวลาอาหารเย็นหญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูดเพื่อจะดูว่าหลานมีแผนอะไร

หญิงชรายกถ้วยข้าวเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้นแล้วแกล้งปล่อยลงบนพื้นเหมือนกับหลุดมือ
ถ้วยข้าวเก่าๆแตกกระจายยับเยิน
ลูกสะใภ้เห็นถ้วยแตกเสียหายก็ลุกขึ้นเตรียมจะด่าว่าอาม่า แต่ลูกชายตัวน้อยของนางกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
"คุณย่าทำไมทำชามแตกหมดเลยล่ะครับ
หนูกะว่าจะเก็บไว้ให้คุณแม่ใช้ตอนแก่นะแล้วคุณแม่จะได้ใช้ชามเก่าที่ไหนกันล่ะเนี่ย..."

ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็หน้าซีดและด่าอาม่าไม่ออกอีก
ต่อไปนางรู้ทันทีว่าสิ่งที่นางทำจะเป็นตัวอย่างให้ลูกชายของนางปฏิบัติเมื่อนางแก่ตัวลง
นางรู้สึกอับอายและสำนึกกับการกระทำของตัวเอง

ตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็ทานข้าวรวมกันมาตลอด ตรงกับคำยอดฮิตตอนนี้พอดี "ทำดีให้เด็กดู "





 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2550 15:57:58 น.
Counter : 815 Pageviews.  

everything's ok.



หลวงพ่อเล่าให้ ฟังว่า..
ที่วัดป่าชิคาโก มีพระพุทธรูปอยู่องค์นึง.. ปางปฐมเทศนาหรือปางแสดง ธรรมจักร(ปางนี้แม่บอกว่าเป็นปางที่ท่านทำมือจีบๆ)

หลวงพ่อท่านเล่า ว่า..
มีเด็กฝรั่งคนนึงมาที่วัดกับแม่ ตอนเดินผ่านพระพุทธรูปองค์นี้..
เขาก็สะกิดๆ แม่แล้วก็บอกว่า..

"Look mom, Buddha says everything is okay.."
เราฟังแล้วขำกลิ้ง เลย..
เด็กอะไร เข้าใจคิดจริงๆ :

หลวงพ่อบอกว่า เออ หลวงพ่อก็เห็นพระพุทธรูปองค์นี้มาตั้งนานแล้ว เดินผ่านอยู่ทุกวัน ไม่ เห็นเคยมองมุมนั้นมาก่อนเลย
ท่านบอกว่า หลังจากนั้น เดินผ่านพระพุทธรูปองค์นี้ทีไร ก็จะนึกขึ้นมาทุกทีว่า
พระพุทธรูปท่านว่า Everything is okay




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2550 15:49:58 น.
Counter : 405 Pageviews.  

ความสุขของพ่อ



ความสุขของพระมหากษัตริย์

หนึ่งปีที่ผ่านมา......

เราใส่เสื้อเหลือง

เราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง

คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาที

วันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เราได้แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศ เล็ก ๆ ประเทศ หนึ่ง ที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย

.....สิบสองปีที่ผ่านมา......

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไป

ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน
เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วัน
หลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้าง หนึ่ง กุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้าง หนึ่ง ทรงถือม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่

ยังจำกันได้ไหม?

..... 34 ปีที่ผ่านมา.....

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด

วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง

คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า
“คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน”

และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน

หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคน หนึ่ง มาถามผมว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?”

ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น "SOUL OF THE NATION" หรือ “จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ”

ยังจำกันได้ไหม?

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?

เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด

เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส

เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “หน้าที่”

เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้

เราสร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย”

เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย

เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน

และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่

เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา

จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?

80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจแต่อย่างใด

แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์

พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ

ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อมด้วยข้าราชบริพาร
หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน รู้จักความพอเพียง และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง





 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2550 16:16:47 น.
Counter : 456 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.