สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

ชีวิตไม่ใช่หนังในแผ่นดีวีดี

"อย่าเดินตามฉัน
ฉันอาจไม่นำ
อย่าเดินนำฉัน
ฉันอาจไม่ตาม
แค่เดินเคียงข้างฉัน
และเป็นเพื่อนฉัน"


อัลแบร์ กามู

เท่...โคตร

ปีใหม่แล้วไงต่อดี ก่อนปีใหม่ ไม่ใช่ซิ ก่อนหยุดปีใหม่ ฉลองอำลาปีเก่าอย่างต่อเนื่องมาเกือบทุกวัน นับตั้งแต่ 24 ธ.ค.เป็นต้นมา

ฉลองหลังเสร็จงานในแต่ละวัน ฉลอง(เกือบ)ทุกค่ำคืน ไม่ได้ไปในไกลๆ 50 เมตรจากโต๊ะของตัวเอง (ฮา)

ไวน์แดง ไวน์ขาวอีกเล็กน้อย หลังไหลมาจากทุกทิศทาง (เวอร์จริงๆ ตู) เพราะแก๊งค์หลายช่า (เกิน3) ผู้ถือคติว่า ผู้หญิง (อย่างเรา)ดื่มในที่แจ้ง (เปิดเผยโคตร)

ผู้ชายอย่าง(คนในออฟฟิศเรา) คงดื่มในที่ไม่เปิดเผย (555) ได้แต่ปรายหางตา ส่งเสียงเอิ๊กอ๊ากไปกับเรา บ้างบางคนเดินถือขวดไวน์มาสมทบ

"เอ๊า ไม่รู้อร่อยไม๊" หนุ่มใหญ่ประจำออฟฟิศ ผู้มีผมม้าเป็นเอกลักษณ์เดินถือขวดน้ำผลไม้หมักสีแดงเข้มตรงดิ่งมาที่วงไวน์ ซึ่งตั้งอยู่หน้าประตูหนีไฟ

"เฮ้ ขอบคุณค๊า"เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นพร้อมกัน ใครไม่รู้เอ่ยขึ้นอีกว่า "ชนแก้วๆ ฉลองส่งท้ายปี ปีหน้าเราคงต้องทำงานกันหนักขึ้น"

เสียงแก้วดังกรุ๊งกริ๊งอย่างนี้ หลายคืน บางวันก็เริ่มหกโมงกว่าๆ บางวันเกือบสองทุ่ม บางวันห้าโมงก็มี (จริงดิ)

จำได้ว่า วันสุดท้ายก่อนวันหยุด ยังไม่หกโมงดี แม้สมาชิกจะน้อยลง เพราะหนีกลับบ้านตจว.ไปก่อนหนึ่งวัน แต่....แต่ วันนั้นน่ะ ถ้าจำไม่ผิด ไวน์หมดไปไม่น้อย ....4 มั้งงง

ไม่ธรรมดาจริงๆ

เอาเถอะ อำลาปีเก่าด้วยความเบิกบาน เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความเบิกบานกว่า ...

คืนวันที่ 30 ธ.ค. ถึงบ้านไม่ดึก แต่กรึ่มกรุ่น กรุ้มกริ้มใช้ได้ หลังอาบน้ำอาบท่ากลบเกลื่อนตัวเองแล้ว นึกว่าจะหลับตาลงได้ เจ้าน้องตัวดี หนีบดีวีดีมาวางแหมะไว้ให้ ...ดูดิ เขาว่าหนุก..

อืม ง่วงแล้วอ่ะ แต่นะสักนิด คืนนั้นกว่าจะนอนปาเข้าไปร่วมตีสอง ตาแดงกร่ำ ไม่ใช่จากอดนอน...

จำชื่อเรื่องไม่ได้ เป็นหนังญี่ปุ่น เรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์สาวจากโลกอนาคต
เธอมาหาชายหนุ่ม มาช่วยเหลือเยียวยา

แก้ไขวันเก่าๆ ความทรงจำที่ชอกช้ำของชายหนุ่ม เพื่อที่ว่า ในอนาคตเขาจะไม่รู้สึกหม่นหมอง เสียใจกับคืนวันที่ผ่านเลย

...ถ้าเรากลับมาแก้ไข หรือส่งใครสักคนมาแก้ไขอดีตได้จริงๆ จะดีไหมนะ...ดูไปก็คิดไป หัวยังมึนตึ้บมากกว่าที่จะหาคำตอบจริงๆ ได้ (มั้ง) ในใจพลางคิดว่า เปลี่ยนได้ก็ดีดิ (ฮา)

ตอนสติดีๆ อย่างนี้ ยังนึกไม่ออกว่า อยากเปลี่ยนอะไรบ้าง...

ในเรื่องก่อนตัดกลับไปยังโลกอนาคต เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น แม้จะรู้ล่วงหน้า หญิงสาวในคราบหุ่นยนต์ช่วยชีวิตชายหนุ่มไว้ได้ก็จริง

แต่ตัวเองก็แหลกเหลวแทบไม่มีชิ้นดี อีกหลายสิบปีต่อมา ชายหนุ่มซ่อมแซมสร้างเธอคนนั้นขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างเหมือนเดิม

อีก 50-60 ปีต่อมา หุ่นยนต์สาวยังเหมือนเดิม แต่ชายหนุ่มแก่ตัวลงมาก ที่สุดก็จากไป

ในงานประมูลหุ่นยนต์ในโลกอนาคต หุ่นยนต์สาวก็ยังเหมือนเดิม

ผู้หญิงในโลกอนาคตคนหนึ่งประมูลเธอไป นอกจากร่างกายที่เหมือนเดิม
เมมโมรี่การ์ในสมองยังบันทึกทุกอย่างไว้

เจ้าของคนใหม่ได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว "เธอ"ประทับใจในความรักของทั้งคู่ จึงตัดสินใจนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับมาในโลกใบเก่า

ใช้เวลาไม่กี่วันกับชายหนุ่ม ก่อนที่จะจากกลับไปในโลกอนาคตของตัวเอง

...นึกว่าจะจบแล้ว ยัง...ไม่จบ มีหลายตอนที่ดูแล้วรู้สึกงง แต่ไม่รู้สึกอยากทำความเข้าใจให้กระจ่าง ได้แต่คิดว่า สมองโปร่งๆ กว่านี้จะดูอีกสักรอบ

ที่สุดหญิงสาวในโลกอนาคตกลับมาอีกครั้ง และตัดสินใจที่จะทิ้งอนาคตไว้เบื้องหลังเพื่อมาใช้ชีวิตปัจจุบัน เพื่อสร้างความทรงจำใหม่ๆ ระหว่างเธอกับเขาในโลกใบเก่า...

จำได้ว่า ร้องไห้จนน้ำตาเปียกหมอน...เข้าใจตัวเองไม่ถนัดนักว่า ทำไม

"ชีวิตไม่ใช่หนังในแผ่นดีวีดี...จงทำทุกวันให้ดีที่สุด และยอมรับมัน"

ปีใหม่มา ปีเก่าไป เวลาเหลือน้อยลงอีกปี อยากทำอะไรรีบๆ ทำนะโว้ย (บอกตัวเองทุกปี)






 

Create Date : 06 มกราคม 2552    
Last Update : 6 มกราคม 2552 19:53:39 น.
Counter : 380 Pageviews.  

ครั้งหนึ่ง...ในชีวิต(1)

คิดมาตลอดว่า สักครั้งในชีวิต สักครั้งในชีวิตนี้ อยากเป็นหนึ่งในคนไทยที่ไปยืนรอรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา

ถ้ามีโอกาสได้เห็นพระพักต์ แม้สักเสี้ยวเดียว แม้จะไกลสักแค่ไหนก็ถือว่าเป็นบุญอย่างที่สุดแล้ว

แล้ววันนั้นก็มาถึง....



"เสาร์นี้ไปกันนะ"เพื่อนสาวขาประจำ ทักมาทางเอ็ม

"ไปไหนอ่ะ"ฉันถามกลับ

"ไปสนามหลวงไง ไปรับเสด็จกัน"

"ไปดิ" ฉันตอบโดยไม่ต้องคิดเลย เรื่องเหนื่อย เรื่องเบียดเสียด เรื่องหิว คิดว่าทนได้หมด

ขอสักครั้งในชีวิต

ช่วงนี้ไม่น่าห่วงเรื่องฝนตก หน้าฝนทำท่าว่าจะหมดไปแล้วจากกรุงเทพ มีแต่ข่าวฝนตกประปายบ้างแถบภาคใต้...

ฝนตกไม่น่าเป็นห่วง แต่แถวบ้านดันเจอน้ำท่วม

ปีนี้น้ำเยอะน้ำเหนือไหล่บ่าล้นตลิ่ง ท่วมอยุธยา นครสวรรค์ สุพรรณบุรี แล้วก็มาถึงนนทบุรีจนได้

บางกรวยบ้านฉันก็หนีไม่พ้น


เช้าวันหนึ่งน้ำก็ไหลทะลักมา

ปกติเวลาน้ำขึ้นสูงๆ ในซอยหน้าบ้านจะมีน้ำขึ้นมาจากท่อ ขึ้นมาตอนกี่โมงไม่รู้รู้แต่ตื่นมาจะเห็นน้ำผุดๆ แต่ไม่เยอะนะ

น้ำใสผุดขึ้นมาจากท่อระบายน้ำหน้าบ้าน พอทำให้ถนนแฉะๆ ก็แค่นั้น แต่เช้าวันนั้นอ่ะดิ (12พ.ย.)

"พี่ๆ น้ำท่วม เอารถออกไม่ได้แล้ว"เด็กที่บ้าน เดินมาบอกในครัวตอนที่กำลังทานข้าว

"จริงดิ"ฉันตอบรับไปแค่นั้น แต่ในใจไม่เชื่อมากกว่า

กินข้าวเสร็จก็เดินไปดู....เฮ้ยน้ำท่วมเต็มซอยลามขึ้นมาถึงที่จอดรถรถในบ้านเรียบร้อย...เห็นแค่นั้นบอกได้คำเดียวว่า งง

สองปีก่อนเจอน้ำท่วมซอยแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่เร็วอย่างนี้ และมีฝนตกมาซ้ำเติม นี่ฝนไม่ตกสักแหมะ เป็นน้ำจากไหนไม่รู้ล้นขึ้นมาจากท่อภายในชั่วโมงเดียวถึงหัวเข่า

รองเท้าบูทประจำบ้านก็เอาไม่อยู่

อึ้งกิมกี่ นี่ถ้าไม่ได้เป็นเวร และไม่ได้มีนัดสำคัญตอนค่ำวันนี้ ข้าพเจ้าคงขอลา นั่งทำงานที่บ้านดีกว่า

ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ยังดีที่จอดรถอีกคันไว้ในซอยใกล้ๆ บ้านซึ่งถนนแถบนั้นสูงกว่าในซอยบ้านจึงไม่ท่วม ว่าแล้วก็เปลี่ยนขาสั้นลุยน้ำไปขึ้นรถอีกคัน

แวะเปลี่ยนกางเกงที่บ้านใหม่ ในซอยถัดไป หนนี้น้ำไม่ได้ท่วมหนักเฉพาะซอยบ้าน แต่ซอยถัดไปและถัดไปก็ท่วมด้วย กว่าจะขับรถฝ่าน้ำท่วมไปถึงบ้านใหม่ได้ก็เอาใจตุ่มๆ ต่อมๆ เพราะน้ำลึกใช่เล่น กลัวเครื่องจะดับแทบแย่

บ้านใหม่ของฉันน้ำไม่เข้าก็จริง แต่ถนนในซอยท่วมหมด มองไปทางไหนมีแต่น้ำ...เซ็งจริงๆ

ตะปัดตุเป่ ตุเล็งๆ ออกจากซอยในหมู่บ้านโผล่มาถึงถนนใหญ่ได้ อุแม่เจ้า...

แห้งแก๋งราวกับอยู่คนละโลก...ได้ยินข่าววิทยุ และอ่านจากข่าวเอสเอ็มเอสรายงานว่า บ้านเรือนริมน้ำเจอน้ำเหนือไหลบ่าท่วมหนัก

แถบสามเสน บางกระบือ...น้ำท่วมรถติดเป็นแพ

เข้าอีหรอบนี้รู้ตัวเลยว่าอีกหลายวันกว่าน้ำจะลด จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมไม่รู้ที่ฝนไม่ตกลงมาซ้ำเติม

ไหนๆ ก็ท่วมแล้ว ฝนตกลงมาก็คงไม่เท่าไรหรอกมั้ง (ฉันคิดจะได้มาเจือน้ำที่ท่วมขังให้ใสขึ้นมั่ง)


วันเสาร์ (15พ.ย.)เป็นวันที่เรานัดกัน

"เจอกันสักทุ่มหนึ่งไปรับเสด็จรอบสี่ทุ่มนะ"เพื่อนฉันจัดแจงนัดหมายเวลาคร่าวๆ

"ที่ไหนอ่ะ"

"พาต้าปิ่นเกล้ามะ แล้วนั่งรถเมล์ฟรีไปกัน"เพื่อนคนเดิมตอบ

"ตั้งฮั่วเส็งละกัน แล้วนั่งแท็กซี่ไปลงแถวพาต้าแล้วเดินไป"ฉันบอก (อิอิ...หน้าบ้าน)

"อืมก็ได้ๆ งั้นเจอกันทุ่มนึงที่ตั้งฮั่วเส็ง"

เรานัดกันไว้คร่าวๆ

และถึงวันเสาร์น้ำก็ไม่ลดตามคาด

มีเวลาเหลือทั้งวันกว่าจะถึงเวลานัด ที่บ้านเปิดทีวีดูพระราชพิธีกันแต่เช้า และเปิดทั้งวันไปถึงบ่าย จนถึงเวลาที่เราจะออกไปวางดอกไม้จันทน์ที่วัดแถวบ้านโน่นล่ะ

วันนี้เสียน้ำตาเยอะมาก

ไม่ใช่อะไร ก็ดูถ่ายทอดสดสลับกับเทปรายการเก่าๆ เกี่ยวกับ "พระโสทรเชษฐภคินี"




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2551 18:58:40 น.
Counter : 368 Pageviews.  

ทำในสิ่งที่รัก

ไม่รู้อีกเหมือนกันว่า เกี่ยวอะไร
เห็นรูปพวกนี้แล้ว
นึกถึงคำว่า

"อย่าอยู่อย่าง...อยาก"
ทำในสิ่งที่รัก


คนที่ส่งมาให้ ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่า
ดูซะ...poster cool cool


ดูแล้ว...อึ้งมะ
น่าจะเป็นโปสต์เตอร์ของบริษัทรับสมัครงานของเมืองเบียร์


ว่าแล้วก็จัดให้อีกรูป




สุดท้ายละนะ




 

Create Date : 26 กันยายน 2551    
Last Update : 20 เมษายน 2552 14:48:24 น.
Counter : 344 Pageviews.  

เทคนิคการอัดรูป และจอร์จ อีสต์แมน

ได้ทิปเล็กๆ เรื่องการอัดรูปมาจาก"โกดัก"เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์เลยคิดว่าจะมาโพสต์บนบล็อก (คั่นเวลาจากที่ไม่ได้อัพเดทมาพักใหญ่)

ประสาคนฟุ้งๆ อ่านเทคนิคการสั่งอัดรูปด้วยกระดาษอัดของ"โกดัก"แต่ไพล่ไปนึกถึง "จอร์จ อีสต์แมน"ผู้ก่อกำเนิดฟิล์มยี่ห้อนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้

จำได้ว่าน่าทึ่งไม่แพ้ สตีฟ จ็อป, พี่น้องตระกูลไรท์, หรือแม้แต่บิลล์ เกตส์โน่นเลย...เวอร์มะ...

ขอคั่นด้วยรูปนี้ก่อน


โลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าการถ่ายรูปง่ายนิดเดียว "โกดัก"เกิดจากคำถามง่ายๆ ในสมัยที่กล้องถ่ายรูปในขณะนั้นใหญ่โต จนมิอาจเรียกได้ว่า พกพา หากต้องขนแบก บรรทุกกันไปเลยโน่นเลย

อาจไม่ใหญ่เท่าคอมพิวเตอร์ยุคแรก ๆ แต่ก็ใหญ่กว่ามือถือยุคแรกแน่ๆ

จอร์จไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวย ออกจากอัตคัดขัดสนด้วยซ้ำ ต้องเลิกเรียนกลางคันมาหางานทำ แต่เขากลับไม่เคยละทิ้งความฝันของตนเอง

กลางวันทำงาน กลางคืนประดิษฐ์คิดค้น

จากฟิล์ม มาถึงกล้องยี่ห้อเดียวกัน

ที่น่าสนใจ และยิ่งใหญ่กว่าความมหัศจรรย์ที่โกดักได้ให้ไว้แก่โลกใบนี้ สำหรับฉันไม่ใช่ฟิล์ม ไม่ใช่กล้องถ่ายรูป หรือวิวัฒนการใดๆ ที่ทำให้เราบันทึกความทรงจำเอาไว้ได้

แต่เป็น"ปรัชญาชีวิต" และ"หัวใจ"ที่มีแต่การให้ของ"จอร์จ อีสต์แมน"

หลายปีในช่วงมี่มีชีวิตอยู่ เขาบริจาคเงินมากมายให้กับองค์กรต่างๆ โดยไม่สนใจถึงชื่อเสียง ลาภยศ

หลายครั้งหลายหน ไม่เคยใช้ชื่อจริง แต่ใช้นิกเนมว่า "มิสเตอร์สมิธ"

มากกว่านั้นยังคิดเสมอว่า จะต้องไม่ทำตัวเป็นภาระให้กับใคร

แม้ฉันจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขาในบั้นปลายชีวิตสักเท่าไร แต่ก็เข้าใจได้

ช่วงปลายชีวิตจอร์จเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ความเจ็บป่วยทางร่างกายทำให้เขาทรมาน และไม่สามารถเดินเหิน ใช้ชีวิตอย่างปกติได้

"งานของฉันเสร็จแล้ว ทำไมต้องรอ"

จอร์จเขียนประโยคสั้นๆ นี้ไว้ในจดหมายลาตายของเขา


อารัมภบทมายืดยาว

เข้าเรื่องเทคนิคการสั่งอัดรูปดีกว่า

ขั้นแรกมาเข้าใจกันก่อนว่า ขนาดของรูปกันก่อน

4P คือ กระดาษ 4”X6” แบ่งเป็น 4 รูป
2P คือ กระดาษ 4”X6” แบ่งเป็น 2 รูป
3R คือ กระดาษขนาด 3½” X 5”
4R คือ กระดาษขนาด 4”X6” หรือเรียกว่าขนาดจัมโบ้ (JUMBO)
5R คือ กระดาษขนาด 5”X7

ถ้าไม่อยากเจอกับปัญหาภาพเบลอ ภาพแตก อย่าลืมทิปดังต่อไปนี้

"โกดัก"บอกว่า ภาพขนาด 3R, 2P หรือ 4P ควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 4 แสนพิกเซล

ภาพขนาด 4R, 5R หรือ 6R ควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 7 แสนพิกเซล
ขนาดพิเศษ 8”x10” หรือ 12”x15”ควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 2.2 ล้านพิกเซล


ภาพล้นขอบ ขอบหน้าขอบบาง เลือกยังไงดี (ไม่ใช่พิซซ่านะ)

ขนาดไฟล์ภาพดิจิทัลปัจจุบันมักจัดเก็บไว้ไม่ตรงกับกระดาษอัดภาพ ฉะนั้นถ้าไม่ต้องการให้ภาพที่ถ่ายไว้หลุดเฟรม ต้องบอกร้านว่า อัดเต็มรูป ขอบขาว

ถ้าไม่ชอบให้รูปมีขอบสีขาว ก็ให้บอกทางร้านด้วยว่า อัดเต็มกระดาษไม่เอาขอบขาว แต่รูปอาจหายไปบางส่วน ก็ต้องทำใจ...

แต่การอัดแบบมีขอบ หรือไม่มีขอบแล้วแต่ความชอบ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดให้ระบุกับร้านอัดรูปทุกครั้งดีกว่า

ต่อไปเป็นวิธีเลือกกระดาษอัด


ง่ายนิดเดียว...

ถ้าต้องการภาพที่มีสีสันสดใส มันวาว ต้องอัดรูปกับ"กระดาษมัน"เพราะเนื้อกระดาษละเอียดกว่า

แต่ข้อจำกัดของกระดาษชนิดนี้ คือ มีการสะทือนของแสงทำให้ดูรูปลำบากในบางมุม เวลาหยิบจับต้องจับที่ขอบกระดาษเท่านั้นเพื่อไม่ให้รูปเป็นรอย

แต่ถ้าไม่พิถีพิถันในการรักษารูปมากนัก แนะนำว่า ควรอัดภาพด้วยกระดาษด้านที่มีเนื้อกระดาษหยาบกว่า เมื่ออัดภาพสีสันจะดูอ่อนกว่าเล็กน้อย แต่จะไม่เกิดการสะท้อนแสงรบกวนสายตา ไม่ว่าจะมองจากมุมใด

สะดวกต่อการหยิบจับ และง่ายต่อการเก็บรักษาด้วย

สำหรับการอัดภาพขนาดใหญ่ และการอัดเพื่อใส่กรอบ ควรเลือกใช้กระดาษกึ่งมันกึ่งด้าน

เนื้อกระดาษเป็นลักษณะเนื้อทราย ข้อดี คือ สีสันสดใสคล้ายกระดาษมัน แต่เวลาใส่กรอบกระจก รูปจะไม่ติดกับกระจก ไม่ติดรอยนิ้วมือเมื่อหยิบจับ

รู้ไว้ใช่ว่าแค่นี้ ก็สบายหายห่วง อัดรูปบันทึกความทรงจำไว้ในกระดาษได้สวยสมใจ








 

Create Date : 24 กันยายน 2551    
Last Update : 24 กันยายน 2551 11:58:43 น.
Counter : 1731 Pageviews.  

ต้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่

ต้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่


"ทำไมตาบวมๆ" พี่ร่วมงานที่ออฟฟิศเอ่ยทัก

"สงสัยร้องไห้ก่อนนอนมากไปหน่อย" ฉันตอบโดยไม่คิดอะไร แต่คาดว่าคนฟังคงอึ้ง...เพราะเงียบไปอึดใจก่อนบอกว่า

"มีปัญหาอะไรก็เล่าให้ฟังได้นะ"

ฉันยิ้มแทนคำตอบก่อนรีบเดินหนีไปเข้าห้องน้ำสำรวจหน้าตาตัวเอง

คนค้นฅน เป็นรายการทีวีที่ทำให้ฉันเสียน้ำตาได้มากที่สุด ชะตากรรมของคนต้นเรื่อง คนธรรมดาๆ นี่ล่ะ

หลายชีวิตที่โลดแล่นในรายการนี้ บางครั้งระทดท้อ เศร้า ซึ้ง และกินใจมากกว่าละครเรื่องไหนๆ

เพื่อนหลายคนบอกว่า ไม่ชอบดูเพราะดูแล้วเครียด อาจจริงอยู่บ้างแต่ฉันพบว่า ท่ามกลางชีวิตบัดซบของคนต้นเรื่องบางคน (ในสายตาของเรา)

มีแง่มุมดีๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจ และทำให้สายตาคู่เดิมของฉันเปลี่ยนไป


(รูปนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน เห็นว่าสวยดีเลยหยิบมาแปะ อิอิ รับกระแสโอลิมปิก)

ปัญหาและความขัดข้องใจกับคนกับงาน และอื่นๆ เทียบกันแล้วมันก็แค่ฝุ่นผงที่ปลิดปลิวเข้าตา

มันเล็กน้อยกว่ามากจริงๆ

คืนก่อนใครมีโอกาสได้ดูเรื่องของ "เอก เพนกวิน-เอกชัย วรรณแก้ว" หนุ่มน้อยอายุ 20 ปลายๆ นักศึกษาปี 3 วิทยาลัยเพาะช่าง คงคิดไม่ต่างจากฉัน

ตั้งแต่ลืมตาดูโลก "เอก" มีร่างกายไม่ครบเหมือนคนอื่น แต่สิ่งที่ขาดหายไป และความไม่สมบูรณ์ทางร่างกาย ไม่ได้ทำให้ขนาดความฝันและขนาดของหัวใจเขาเล็กกว่าคนอื่นๆ

"เอก" ต้องตื่นแต่เช้าเพราะทำอะไรช้ากว่าคนทั่วไป กว่าจะอาบน้ำเสร็จต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ขณะที่คนอื่นอาจแค่ 5-10 นาที เรื่องเดินก็เหมือนกัน คนอื่นอาจต้องเดินก้าวเดียว แต่เขาใช้ถึง 3 ก้าว

ความไม่ครบเป็นแค่ความลำบากในการดำเนินชีวิตที่ทำให้เขาต้องพยายามและอดทนมากกว่าคนอื่นหลายเท่า

ใครได้เห็นภาพเขียนของเอกต้องแทบไม่เชื่อสายตาเลยว่า มาจากฝีเท้าคู่เล็กๆ

ดูแค่ร่างกายภายนอก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ

ครอบครัวของเอกไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเสียให้เขาเรียนได้สบายๆ เอกจึงต้องรับจ้างวาดรูปหาเงินส่งเสียตัวเอง ทั้งรับจ็อบในโรงเรียน และไปนั่งวาดรูปแถวสะพานพุทธ

สำหรับคนทั่วไป การเดินทางจากเพาะช่างไปสะพานพุทธช่างง่ายดาย แต่ไม่ใช่สำหรับเอก แม้จะยากลำบากแค่ไหน อุปสรรคทางร่างกายไม่เคยทำให้ความมุ่งมั่นของเขาลดลงเลย

สิ่งที่ทำให้ฉันทึ่งไปกับความพยายามของคนต้นเรื่อง ชื่อ "เอก" ไม่ใช่แค่การเดินตามความฝันอย่างอดทนเท่านั้น

เป็นหัวใจที่คิดถึงคนอื่นต่างหาก
"เอก" อยากเป็นครูสอนศิลปะ

อะไรทำให้คนที่ขาดตั้งแต่ลืมตาดูโลกคิดถึงการ "ให้" อะไรทำให้คนที่ครบสมบูรณ์กลับไม่เคยพอ คิดอยากได้อยากดี และนึกถึงแต่ตัวเอง

อะไรกัน ?

"ผมอยากเป็นครูที่บ้านเกิด เด็กบ้านนอกมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รู้จักศิลปะอย่างที่ผมรู้จัก เขาไม่มีทางรู้หรอกว่า ศิลปะที่ดีต้องมาจากการสื่อสาร มาจากความคิด" "เอาเรื่องง่ายๆ อย่างเทคนิคพื้นๆ ทางศิลปะ เช่น การเขียนสีน้ำ เขาก็คิดได้แค่เอาพู่กันจุ่มสี จุ่มน้ำแล้วเขียน แต่ไม่รู้ว่าถ้าโรยเกลือลงไปแล้วเวลาระบายสีมันจะไม่วิ่งซ้อนกัน เรื่องอะไรบางอย่างตรงนี้เด็กบ้านนอกไม่มีทางรู้"

"ฉะนั้น อยากกลับไปให้โอกาสเขา ตอนเป็นเด็กเราเคยถูกตัดโอกาสมาก่อน ถึงได้รู้ว่ามันสำคัญขนาดไหน" "โอกาสเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะกับมนุษย์ที่ไม่ค่อยได้รับมัน"

ถ้าคนส่วนใหญ่คิดได้เหมือน "เอก" โลกคงไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายถึงเพียงนี้

ขนาดของหัวใจคนเราไม่เท่ากันจริงๆ

ความฝันของเอกไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวเอง แต่เป็นความมุ่งมั่นทำฝันให้เป็นจริงเพื่อที่จะไปสร้างโอกาสให้คนอื่นๆ

"สังคมบ้านเราไม่ได้ดูคนที่มีความสามารถ ไม่ได้ดูที่สมอง พอเห็นว่าพิการก็ปฏิเสธลูกเดียว เขาไม่ได้นึกว่าคนพิการบางคนทำงานดีกว่าคนร่างกายครบถ้วน คนพิการส่วนใหญ่ไม่เรื่องมาก ตรงต่อเวลา ไม่มีปัญหาทะเลาะวิวาท"

"ผมว่าสังคมควรเปิดใจให้กว้างกว่าที่เป็นอยู่ ควรดูที่คุณค่าในตัวเขามากกว่าที่เห็นจากภายนอก"

ไม่ต้องคิดใคร่ครวญให้มาก เราต่างรู้ว่าคำพูดของเอกจริงยิ่งกว่าจริง

"เราก็เหมือนต้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นธรรมดาเมื่อคนเดินผ่านก็ต้องสะดุดต้นไม้ใหญ่ก่อน เขาไม่ได้มองหรอกว่าต้นหญ้าที่อยู่ข้างๆ ทำให้ดินชุ่ม ช่วยยึดเกาะหน้าดินตรงโคนต้นไม้ไม่ให้แตกกระจาย"

"พูดอย่างนี้ไม่ได้ต้องการเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ต้องการเป็นหญ้าอ่อนที่อยู่กับไม้ใหญ่ได้อย่างสมดุล เราเพียงแต่หวังว่าสักวันหนึ่งต้นไม้จะยอมเอนกิ่งของตัวเองสักเล็กน้อย ให้แสงแดดลอดผ่านมาหาเราบ้าง"

ฉันไม่คิดว่า "เอก" ขอมากเกินไป แต่สงสัยอยู่ว่าจะมีใครบ้างได้ยินคำพูดของคนตัวเล็กที่มีขนาดของหัวใจใหญ่โตกว่าร่างกายคนนี้

อยากรู้เรื่องของเอกมากกว่านี้ ไปที่แผงหนังสือหยิบเงิน 80 บาท ซื้อนิตยสาร ค.คนมาอ่านโดยพลัน

แต่ถ้าอยากได้ส่วนลด 10% แวะมาซื้อได้ที่ร้าน ?Matichon book club ใต้ถุนตึกมติชน (ฮา)

(จากประชาชาติธุรกิจคอลัมส์ชั้น5ฉ.11ส.ค.51)




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2551    
Last Update : 19 สิงหาคม 2551 14:38:54 น.
Counter : 578 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.