สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

คนข้างม็อบ

"นี่มันที่ไหนกัน"เพื่อนพ้องน้องหรือพี่ไม่แน่ใจนัก เพราะดูจากหน้าค่าตาแล้ว มิสามารถบ่งบอกอายุได้ชัดเจน รำพึงรำพันขึ้นเบาๆ

หลังจากเราทั้งหมด"ปีน"เข้าไปในที่ทำงานประจำของกระจิบอย่างพวกเรา

ที่เดียวกับที่ทำงานรัฐบาลในประเทศสารขัณฑ์ ซึ่งเวลานี้ไม่ต่างอะไรนักกับตลาดนัด

กลิ่นน้ำฝนบ่ายกับแดดช่วงค่ำๆ ผสมกันในฝูงชน เวลาเดินเบียดกันใกล้ๆ

....ได้กลิ่นเหมือนเดินอยู่ในตลาด

กลิ่น “ปลาแดดเดียว” ลอยมาจากไหนกัน

ใครไม่กินเนื้อสัตว์ มีอาหารเจบริการ ไม่น่าเชื่อ ผัดเห็ดใส่พริกไทยเยอะๆ คลุกกับน้ำพริกแห้งๆ อร่อยล้ำเหลือ

พวกนิยม “กินเลือด กินเนื้อ”มีเนื้อวัวชั้นดีแดดเดียวทอดแห้ง ใส่ถุงแจกคู่กับข้าวเหนียว

ทางเข้าอีกด้านมีเสียงเรียกเชิญชวนให้ชิม ไข่พะโล้ ราดข้าวจากเยาวราช แถมบ๊ะจ่างใส้แน่นๆ อีกคนละห่อ

ตบท้ายด้วยขนมหวาน เจ้าอร่อย เฉาก๊วย จากราชบุรี บริการด้านหน้าเวที

ที่ทำงานที่ร้างไร้ ผู้นำ และคณะ กลับแออัดไปด้วยฝูงชนจากทั่วประเทศ ต่างที่มา ต่างฐานะ แต่มีหัวใจดวงเดียวกัน

เป้าหมายเดียวกัน...


วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้วซินะ

...เมื่อคืนฝนตกหนักมาก ฟ้าหลังฝนจึงสว่างใสเจิดจ้าจนร้อน

เช้านี้แดดช่างร้อนแรงนัก เดินกลางแจ้งไม่กี่นาที ผิวเนื้อผิวตัวร้อนวูบวาบ

ยามดึกกายเปียกโชกสายฝนเย็นฉ่ำจนหนาว กลางวันกลางแดดแจ๋ กายชุ่มด้วยเหงื่อ

ถึงอย่างนั้น "ลุง ป้า ย่ายาย และเด็กตัวน้อยๆ "ยังนั่งรวมกลุ่มกันอย่างอดทน ไม่มีใครแสดงอาการอยากถอย หรือหันหลังกลับ

แม้ต้องตื่นเต้น หัวใจแทบทะลุออกมาข้างนอก ตอนรออนุมัติหมายจับแกนนำ

แม้ต้องเศร้า สลด กับคำพิพากษาของศาลแพ่ง ที่สั่งให้ย้ายออกจากที่นี่กลางดึก

แม้ต้องสับสนกับข่าวการล้อมปราบที่แกนนำประกาศรุกเร้าทุกชั่วโมง

หันไปมอง “บ้านนรสิงห์” ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ด้วยสถาปัตยกรรม Gothic ประกอบด้วยหมู่ตึกไทยคู่ฟ้า ตึกนารีสโมสร และตึกสันติไมตรี ช่างดูหมองหม่น

ใช่หรือไม่ว่า เพราะตั้งหง่านอยู่ใต้เงาแดดยามบ่าย

"เหมือนจะชนะ แต่แพ้...เหมือนจะแพ้แต่ชนะ"ประโยคนี้ลอยลมมาจากไหน

ลอยมา หลังเสียงประกาศชัยชนะสิ้นสุดลง...

ใครชนะ?... ใครแพ้?

คำตอบไม่มีในสายลม...


ปล.เรื่องเล่านี้คนข้างม็อบตัวจริง ที่ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ยืนอยู่ข้างไหน
สู้อุตส่าห์ เขียนส่งมาให้อ่านเล่นๆ เป็นการฆ่าเวลาระหว่างยืนเข้าคิวรอเข้าห้องน้ำ (ฮา)




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2551    
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 17:08:36 น.
Counter : 551 Pageviews.  

ความ..."รัก"...

โดนบังคับขู่เข็ญจากเจ้าของเรื่องช่วยหยิบเรื่องนี้มาโพสต์หน่อย
ประมาณ อยากได้ความเห็น555


เอาเถอะลองดูละกัน




เคยนั่งคิดเล่นๆลำพังว่า.. ถ้ารักใครสักคนแล้ว มันจะเป็นยังไง

เราจะอ้วนขึ้นหรือเปล่า.. หรือเราจะผอมลง

เราจะคิดถึงเค้าทุกนาทีมั๊ย.. เราจะอยากได้ยินเสียงเค้าจนทนไม่ได้ที่ต้องโทรหามั๊ย

เราจะอยากเจอเค้าบ่อยๆมั๊ย.. เราจะเริ่มเรียกร้องความสนใจจากเค้ามั๊ย..

เราจะทำอะไรที่คิดว่าน่าจะ โรแมนติกเป็นมั๊ย

เราจะเป็นห่วงเค้ามากๆๆ จนไม่เป็นอันกินอันนอนเลยมั๊ย...

เราจะไร้เหตุไร้ผลมั๊ย

เราจะมีความสุขมากแค่ไหน..

เราจะเสียใจมากมั๊ย หากเราต้องเผชิญกับความผิดหวัง

เราจะแย่แค่ไหน...แล้วเราจะรับได้มั๊ย...

ถามใครต่อใคร ก็ไม่มีคำตอบตายตัว..

ได้รับคำแนะนำว่า.. ต้องมีประสบการณ์เองถึงจะรู้

จนมาวันหนึ่ง...

(ฮ่าๆ..ลุ้นแล้วสิ..ว่าบรรทัดต่อไปจะเป็นอะไร อย่าพึ่งหยุดหายใจ เพราะจะกวนตีน..เฉยๆ ไม่มีอะไรเชื่อมกับข้อความข้างบน)

เปลี่ยนหัวข้อใหม่!!
การรักใครสักคนสำหรับฉันแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน..ก็แค่...ไม่ได้รัก...
แล้วก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ก็แค่...รัก

มีคำถามเล่นๆ (อีกแล้ว) ว่า ถ้าเลือกคำตอบไม่ได้ว่า..รักกันทั้งคู่

ระหว่างคำตอบ เลือกรักคนที่เรารัก..กับเลือกรักคนที่เค้ารักเรา..เราจะเลือกใคร???

หลายคนบอก เลือกคนที่เค้ารักเราดีกว่า.. มันดีกว่า..จริงเหรอ??

คงดีกว่าตรงที่.. เราจะได้ความเอาใจใส่อย่างเต็มเปี่ยม โดยไม่ต้องแสวงหาอะไรเพิ่มเติม เราคงจะมีความสุขมากกว่า..

มีความสุขมากกว่า..จริงเหรอ?

อาจจะดีกว่าที่.. เราไม่ต้องคาดหวังอะไรมากมายนัก ไม่ต้องร้อนใจ ไม่ต้องผิดหวัง เราก็จะคงมีความสุขมากกว่า

หรือ เราจะถูกเห็นคุณค่า อย่างมหาศาล ประหนึ่งนางฟ้าในนิยาย เราคงมีความสุขกว่า

หรือคงจะดีกว่าที่..เราไม่ต้องเรียกร้องความสนใจใดๆ จนสร้างความรำคาญในใจตัวเองมากนัก มันคงทำให้เรามีความสุขมากกว่า..

จริงเหรอ???

การรักใคร แม้ไม่ง่าย..แต่การบังคับใจให้ต้องรักใคร นี่ยากกว่า.. ถึงขั้นมนุษย์อาจจะทำด้วยกำลังตัวเองไม่ได้เลยทีเดียว

ดังนั้น สำหรับฉัน...ความสุข มันอยู่ที่การแค่ได้รัก คนที่เรารัก แค่นั้น..

แล้วไม่ได้ปรารถนาแสวงหาใครอื่น

แต่ก็คงจะดีไม่น้อยเลย..หากได้รับความรัก จากคนที่เรารักด้วย..

อยากรู้จัง...เค้า..จะรู้มั๊ยน๊า!! (55555)





 

Create Date : 10 กันยายน 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 10:03:30 น.
Counter : 374 Pageviews.  

อย่างไรถึงเรียกว่า PR In House

เคล็ดลับ Pr.innn House


รูปไม่เกี่ยวกับเรื่องแต่อย่างใด ชอบเลยหามาแปะไว้ ให้ดูเพลินๆ

อย่างไรถึงจะเรียกว่า PR In House

อาชีพ PR – Public Relation แปลตรงตัวเลยก็คือ ไปสร้างความสัมพันธ์กับสาธารณะนั่นแหละ

แต่ปัจจุบันอาชีพนี้กลับกลายเป็นว่ามี Job Description ที่หลากหลายไปได้เหมือนกัน (ไม่น่าเชื่อ)

อย่างไรก็ตาม เอาเป็นว่า แม้จะมี JD ที่หลากหลาย หรือ สถานที่หลายแห่งที่ใช้งาน PR อย่างแตกต่างกัน แต่ดูรวมๆแล้ว ก็คงต้องเป็นอะไรที่เข้ากับคนง่าย บอกเล่าเรื่องราว ให้ข้อมูลได้ ประมาณๆนี้ทั้งนั้น

คราวนี้ถ้ามาว่ากันลึกลงไปถึงการเป็น PR แบบจริงๆจัง ก็คงจะเป็นผู้ที่สามารถให้ข้อมูลขององค์กร หรือ ของเรื่องราว กิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่

Key สำคัญที่สุดหลังจากที่ได้ทำอาชีพนี้มากว่า 10 ปี (นานไม่น่าเชื่ออีกแล้ว) ก็คือ การให้ข้อมูลนั้นต้องให้แบบ Convince ได้ด้วย เพราะไม่อย่างนั้นคุณเอา Brochure ให้เค้าอ่านจะไม่ดีกว่ารึ

ดังนั้น PR ที่จะประสบความสำเร็จและสามารถ Deliver ให้เกิดผลในเชิงบวกได้นั้น ต้องสามารถ convince ให้ผู้รับสารเห็นประโยชน์ของข้อมูลที่เกี่ยวกับความต้องการของตน ต้องสามารถสะท้อนให้เชื่อมโยงกลับมาเกิดภาพพจน์ที่ดีกับเจ้าของข้อมูลหรือโครงการนั้นๆด้วย จึงจะถือว่าทำ PR แล้วได้!

นั่นคือ เนื้องาน PR และเป็นที่มาของการที่วันนี้หากองค์กรใดต้องการสร้าง Image

หรือถ้าเอาง่ายๆต้องการลด cost เรื่อง Communication ก็มักจะบอกว่า ใช้ PR ซิ เพราะประหยัดดี ยิ่งถ้าใช้เป็นก็ยิ่งเกิดประโยชน์ใหญ่ เพราะไม่ Hard Sale (แต่ถ้าหวังเรื่องขายของ คงยากนะคะ!)

แถมดูดีในระยะยาว ซึ่งพอความต้องการเริ่มมากขึ้นอย่างที่กล่าวมา ก็ทำให้บรรดาเหล่า PR ผู้เก่งกล้าทั้งหลายออกมาเปิดบริษัท PR กันเป็นแถว หรือที่เรารู้จักกันในนาม PR Agency หรือ PR Outsource อะไรประมาณนี้

ซึ่งมองว่าแต่ละแห่งก็อาจจะมีจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป เช่น PR บริษัทนี้ชนะเลิศกับการทำประชาสัมพันธ์สายสังคม สตรี แต่หากให้ไปทำประชาสัมพันธ์ข่าวไอที อาจจะเดี้ยงได้ เพราะ build ประเด็นไม่ออก ประมาณนั้น

เอาเป็นว่าปัจจุบันมี PR 2 แบบคือ In House และ Agency หรือ Outsource ในฐานะที่ตัวเองเป็น PR In House มาแต่อ้อนแต่ออก คงไม่บอกว่า แบบไหนดีกว่ากัน

เพราะเชื่อมั่นอย่างมากว่า งานไหนก็ตามถ้าได้ลงมือทำอย่างจริงจัง ทุ่มเท เกิดประโยชน์หมด แม้งานจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ท้ายที่สุด ต้องได้ความรู้แน่ๆ จริงมั้ย

ดังนั้นที่จะ Share กันในครั้งนี้ก็คือ หากวันนี้คุณเป็น PR In House คุณควรทำ และ เป็นอย่างไร จึงจะเป็น PR In House ที่ประสบความสำเร็จ

1.ต้องมีความรู้ทู้ก ทุกเรื่องเกี่ยวกับองค์กรของเรา ไม่ได้หมายความว่ารู้เรื่อง Inside หรืออะไรอย่างนั้นนะคะ แต่หมายความว่า ต้องรู้ที่มาที่ไป รู้ Culture รู้แนวคิด รู้ความต้องการ รู้จัก Product และรู้ไปหมดว่า องค์กรมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจอย่างไรด้วย

2.รู้แล้วต้องเชื่อมโยงกลับมาที่สิ่งที่เราจะเผยแพร่ได้เป็น ไม่ใช่ว่ารู้เฉยๆ แต่เชื่อมโยงให้เป็นภาพเดียวกันไม่ได้ อย่างนี้อย่ารู้เลย เสียเวลา

3.รู้แล้วต้องลองกับมือ อย่างบริษัท ที่ขาย Products หรือ บริการต่างๆ เหล่า PR แสนสวย นอกจากรู้ว่ามันคืออะไร เล่าได้เป็นช่องเป็นฉากแล้ว คุณก็ต้องรู้วิธีใช้และสุดท้ายรู้ด้วยว่า เมื่อใช้แล้วมันรู้สึกพิเศษ สุดยอด เป็นประโยชน์อย่างไร (ไม่งั้นจะไปบอกชาวบ้านได้อย่างไรว่า ของเราดี)

4.ต้องไม่โกหก หรือ Fake ว่าของเราดีแบบไม่ลืมหูลืมตา อะไรที่มีข้อบกพร่องก็ต้องบอกเค้าไปตรงๆ เพราะทุกอย่างในโลกไม่มีอะไร Perfect แต่อย่างน้อยเราก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดเพื่อคุณๆนั่นแหละ

5.สุดท้าย อันนี้นางงามจักรวาลหน่อยนึง คุณต้องคิดแง่บวก ตลอดเวลา หรือ ต้องพยายามหาแง่มุมบวกให้ได้ เพราะจุดนี้แหละ จะทำให้คุณสามารถ Deliver ข้อมูล เรื่องราวที่ต้องการสื่อออกไปได้อย่างบรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการ

ก็ถือว่าเป็นเทคนิคที่เรียนรู้จากประสบการณ์ทำงานของตัวเองนะคะ (ไม่อิงทฤษฎีใครทั้งสิ้น) หวังว่า น่าจะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆในการทำ PR บ้างไม่มาก ก็น้อย

แต่สุดท้าย เอาเป็นว่า เหนือสิ่งอื่นใด การเป็ นPR เป็นสิ่งที่นำความภาคภูมิใจมาให้ตัวเองอย่างมากถึงมากที่สุด เพราะการได้ถ่ายทอดและทำให้ผู้ที่เค้ารู้เรื่องราวของเรา เข้าใจและเกิดความรู้สึกที่ดี มันสุขสุดๆจริงค่ะ

- - - เป็นผลงานชิ้นที่2 ของพีอาร์สาววว ติดใจอ่านผลงานชิ้นแรกได้ในบล็อกนี่ล่ะ เรื่องหุ่นๆๆๆ เล็กไง




 

Create Date : 07 กันยายน 2550    
Last Update : 7 กันยายน 2550 20:08:47 น.
Counter : 1829 Pageviews.  

อนุสาวรีย์ที่ไม่มีใครรู้จัก

อนุสาวรีย์ที่ไม่มีใครรู้จัก



หลายครั้งที่ต้องพาเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องท่องเที่ยวในมหานครนิวยอร์ค แล้วผ่าน 1st Avenue กับ 47th Street ตรงหน้าสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาติ (United Nations) แล้วเห็นอนุสาวรีย์หน้าตาแบบนี้ (ภาพข้างบนจ้า)

ก็ถามกันอยู่เสมอว่า มันคืออนุสาวรีย์อะไร ทำไมมีกระเป๋าทำงาน แล้วกระเป๋าทำงานเป็นของใคร พอได้ไปเดินด้อมๆ มองๆ ดูใกล้ๆ ก็เห็นว่ามีชื่อ Raoul Wallenburg

แต่ก็ยังไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเขาเป็นใคร ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วก็ลืมที่จะค้นหาข้อมูลต่อว่า เขาเป็นใคร ทำไมถึงมีอนุสาวรีย์อยู่กลางถนนแบบนี้

จนกระทั่งได้ไป United States Holocaust Memorial Museum

หรืออาจจะเรียกว่าพิพิธภัณฑ์อนุสรสถานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตอนที่ไปกรุงวอชิงตัน ดีซี ครั้งล่าสุด

แล้วไปเห็นชื่อพร้อมภาพถ่ายของ Raoul Wallenburg แล้วรู้สึกว่าคุ้นๆ ทำให้เราได้รู้จักที่มาของอนุสาวรีย์ห้าเสากับกระเป๋าทำงานนี่เสียที



Raoul Wallenberg เป็นนักการทูตชาวสวีเดนที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานช่วยเหลือชาวยิวในฮังการีช่วงที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในยุโรป ด้วยการออกหนังสือเดินทางสวีเดนให้เพื่อรอการย้ายถิ่นฐานต่อไป

ว่ากันว่าชาวยิวที่รอดชีวิตจากการช่วยเหลือของ Wallenberg อาจมีจำนวนถึง 15,000 คน




มีคนเห็น Wallenberg เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1945 ก่อนที่เขาจะถูกกองทัพโซเวียตจับกุม

และมีการประกาศออกมาในปี 1947 ว่าเขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวในคุก Lubyanka ที่กรุงมอสโก
ทว่าก็ยังเป็นที่กังขามาจนถึงทุกวันนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่


อนุสาวรีย์นี้มีชื่อว่า Hope หรือความหวัง

อุทิศให้ Raoul Wallenberg เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1998

Gustav Graitz ชาวสวีเดนเป็นผู้ออกแบบ โดยมีแบบจำลองกระเป๋าทำงานของ Wallenberg

เสาหินแกรนิตสีดำห้าต้น และหินซึ่งมาจากถนนในค่ายกักกันชาวยิวในกรุงบูดาเปส เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของ Wallenberg ที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา

---รู้อย่างนี้แล้วถ้ามีใครถามว่าอนุสาวรีย์นี้คืออะไร คงมีเรื่องให้ต้องเล่ากันอีกยาวทีเดียว---



ปล.ทั้งเรื่อง และภาพนี้(เสริชหาจากเน็ตเอง 555) เป็นฝีมือของ "น้องเชอรี่"สาวสวย อดีตนักข่าวประชาชาติธุรกิจ ที่ติดตามฝาละมีไปอยู่นิวยอร์ก ในฐานะภรรยานักการทูต

ยอมใช้เวลาว่างจากเดินช้อปปิ้ง ต้อนรับเพื่อนฝูงที่แวะเวียนไปเที่ยวแถวนั้น (บ่อยมาก) และมักไปให้เธอพาเที่ยวอยู่เนืองๆ มาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมือง นิวโยก

น้องเชอรี่ อิอิ ชื่อเหมือนกัน เรียกแล้วรู้สึกแปลกๆ แฮะ

เอาใหม่...น้องเชอรี่...เป็นแขกรับเชิญคนที่ 3 ในห้องรับแขกนี้ แต่น่ารักมาก เขียนส่งมาก่อนเป็นคนที่ 2

เชื่อว่าหลังจากหลวมตัวเขียนให้เรื่องนึงแล้ว เชื่อว่าเร็วๆ นี้คงมีตามมาอีกแน่ๆ โปรดติดตาม




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2550    
Last Update : 6 สิงหาคม 2550 10:16:06 น.
Counter : 1048 Pageviews.  

จิตวิญญาณใน"หุ่น"

หุ่นละครเล็ก
เรื่องโดย "น้องฝอยทอง"

วันเสาร์ที่ 28 ก.ค.2550 ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาพิเศษที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

เป็นงานรำลึกถึงอาจารย์โจ หลุยส์ ศิลปินแห่งชาติผู้สร้างสรรค์หุ่นละครเล็กที่หลายคนน่าจะเคยเห็นกันมาบ้าง

ตั้งแต่เราเห็นข่าวว่าจะมีงานนี้ก็หมายมั่นปั้นมือว่าต้องไปให้ได้ เพราะบรรดาเพื่อนๆ ที่รู้จักร่วมแสดงในงานนี้ด้วย

ที่สำคัญ หุ่นละครเล็ก จะอยู่ต่อไปยังไง เราเองก็ยังนึกไม่ออก เพราะที่ผ่านๆมาไม่ง่ายเลยที่ศิลปินและศิลปะที่เป็น Classical Art แบบนี้จะไม่เหนื่อยกับการอยู่ให้ได้

ตอนไปถึงระหว่างเดินเข้าไปก็เตรียมใจว่าคนคงไม่เยอะเท่าไหร่ ตอนได้บัตรมาเค้ายังถามกันเลยว่าคนคงไม่เยอะ เพราะก็อย่างว่าล่ะนะ การแสดงไทยแท้แบบนี้ แถมเป็นวันหยุดยาวด้วย

ที่ไหนได้ คนเต็มเลย เราว่าน่าจะเป็นเพราะมีแฟนประจำ แล้วก็ทีมงานก็คงคุ้นเคยกับการทำเรื่องแบบนี้ให้เป็น Marketing event ด้วย

ตรงโถงหน้าทางเข้า เค้าเอาวงดนตรีประยุกต์มาเล่นด้วย ก็เลยคึกคัก ตื่นตาตื่นใจดี แถมเพิ่มความขลังด้วยการเอาหุ่นขี้ผึ้งของพ่อโจ หลุยส์ ตั้ง รวมถึงหุ่นพระ นาง ยักษ์ เทพ ต่างๆ

การแสดงในวันนั้นมีประมาณ 3 อย่าง เริ่มจากเดี่ยวระนาดของขุนอินทร์ และคณะ, การขับเสภาของลูกชายพ่อโจ หลุยส์ และการแสดงหุ่นละครเล็ก ผสมโขน ตอนไมยราพสะกดทัพ ซึ่งไม่ค่อยเคยเล่นที่ไหนมาก่อน

แค่โปรแกรมก็เร้าใจสำหรับคอที่ชอบการแสดงแบบนี้ งานนี้ศิลปินแต่ละท่านเป็นระดับสุดยอดทั้งนั้น ต่างมาช่วยกันมอบความทรงจำที่สวยงามเพื่อพ่อจริงๆ

เช่น อ.สมศักดิ์ ทัดติ ที่ว่ากันว่า เป็นทศกัณฐ์ที่สง่าที่สุดในประเทศ,อ.ญาณี ตราโมท, คุณเภตรา ศรีวรานนท์ อดีตศิลปินเอก กรมศิลป์ มาเล่นเป็น "ไมยราพ"

สิ่งที่จับใจที่สุดในวันนั้นคือ VDO ที่ประมวลประวัติของพ่อโจ หลุยส์ สลับกับบทสัมภาษณ์ท่าน พ่อโจ เล่าถึงที่มาของการฟื้นฟูหุ่นละครเล็กที่เดิมสมัยโบราณมีข้อห้ามว่า หากไม่ใช่เป็นคนในตระกูล ก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับการถ่ายทอดศิลปะแขนงนี้

ซึ่งพ่อก็คือ คนที่ไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะได้รับสืบทอดนั่นเอง แต่ด้วยความเสียดายของพ่อ (ก็ขนาดเกิดยังเกิดในเรือที่แสดงหุ่นเล้ย) เลยจุดธูปขอท่านเจ้าของซะเลยว่าจะฟื้นฟูให้หุ่นละครเล็กเป็นสมบัติของแผ่นดินต่อไป

แล้วพ่อก็สู้มาเรื่อยๆ ดูแล้วลำบากเชียว กว่าจะมาได้ขนาดนี้ แถมเจอไฟไหม้ เหลือหุ่นยายเก่าๆ ตัวเดียว ตอนนั้นประชาชนก็ช่วยกันบริจาค

พ่อเล่าว่า นักเรียนตัวเล็กๆก็เอาเงินมาให้ 20 บาท เพราะอยากดูหุ่น พ่อก็เลยยิ่งมีกำลังใจและบอกว่า

“ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนนึง วันนี้มีโอกาสได้ทำหุ่นที่เป็นสมบัติของชาติ ก็ถือเป็นบุญแล้ว ก็จะทำต่อไปจนตัวตาย เพราะหุ่นทุกตัว จิตวิญญาณทั้งหมดล้วนเป็นของทุกคน”

กับตอนที่บอกว่า

“ศิลปินน่ะเวลาแสดงมีความสุขทุกคน แต่พอจบบทบาทตรงนั้นกลบมาเป็นตัวตนจริง ก็ต้องใช้ชีวิตยากลำบากกันไป” น้ำตาร่วงเลย คุณปู่แก่ๆ คนนึงนั่งบนเก้าอี้เก่าๆ เล่าเรื่องนี้ด้วยหน้าตามีความสุขเหลือเกิน ทั้งที่ชีวิตพ่อคงผ่านมาทุกข์สุขมามากมาย

และวันนี้คุณปู่คนนี้ไม่อยู่กับเราแล้ว จะไม่เศร้าได้ไง



พอเข้าสู่ช่วงการแสดง

ชุดแรก เป็นการเดี่ยวเพลงแสนคำนึง เพลงโปรดของพ่อโจ หลุยส์

พ่อชอบให้เล่นเพลงนี้ก่อนการแสดงหุ่นทุกครั้ง ที่ประทับใจมากของช่วงนี้นอกจากตัวขุนอินทร์และระนาดอีก 4-5 รางที่เล่นพร้อมกันแบบออร์เคสตร้าแล้ว ยังมีนักร้องวัยรุ่นหญิง-ชาย ออกมานั่งตัวตรง หน้าตาเฉ้ย เฉย ด้วย

แต่เจ้าประคุณเอ๋ย พอเอื้อนเอ่ยเสียงร้องออกมาเท่านั้นแหละอุแม่เจ้า ! เพราะและหวานโคตรๆ

เป็นเนื้อเพลงที่เอามาจากขุนช้าง ขุนแผน ตอนจะหนีตามกันไปด้วยม้าสีหมอก น่ารัก

ต่อด้วยการขับเสภาของลูกชายพ่อ ที่สุดยอดเหมือนกัน (ถ้าเป็นเราคงร้องไป ขับไปแน่)

แล้วก็มาที่ไฮไลท์คือ การแสดงหุ่นละครเล็กผสมโขน แค่เริ่มก็ขนลุก เพราะมันรู้สึกได้ถึงความตั้งใจ

พลังของการแสดงที่ศิลปินทุกคนต่างถ่ายทอดเพื่อพ่อ ความกลมกลืนระหว่างโขนกับหุ่นเนียนระดับนึง แต่ตรงนั้นไม่เป็นประเด็นสำหรับเราหรอก เพราะยังไงก็เอาใจช่วยอยู่แล้ว ความรู้สึกมันเต็มตื้นทุกครั้งที่เห็นผู้แสดงทุกคนเคลื่อนไหวบนเวที

น้องๆที่เชิดหุ่นเก่งมากๆๆๆๆๆๆ ผสมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุกจังหวะก้าว ถ้าบทของหุ่นดุ หน้าคนเชิดก็ดุ หวานก็หวานด้วย ทะลึ่งก็ทะลึ่งด้วย น้ำตาคลอเลย

น้องๆที่เชิดอายุยังน้อยกันอยู่เลย แต่ตั้งอกตั้งใจกันทุกฝีก้าว ทุกลมหายใจ ดูแล้วมีความสุข

สุดท้าย ทั้งหลายทั้งปวง เราว่าศิลปะแบบนี้จะอยู่ได้ คุณต้องทำให้คนดูเข้าใจด้วย รู้ด้วยว่า คุณกำลังทำท่าแบบนี้หมายความว่ายังไง

รหัสภาษาท่า ภาษาเพลง ต้องสื่อแล้วให้เค้าเข้าใจได้ รวมถึงรูปแบบก็ต้องกระชับ สอดคล้องกับ Lifestyle เด็กรุ่นใหม่

เราเชื่อว่าถ้าเค้าเข้าใจ เค้าจะค่อยๆ เห็นค่า และเมื่อเค้าเข้ามาเริ่มสัมผัสแล้ว ก็ค่อยๆเพิ่มดีกรีความลึกให้มากขึ้นแล้วมันก็จะเข้าไปถึงศิลปะที่ยากขึ้นเรื่อยๆไปเอง เอาเป็นว่าช่วยกันนะ

เพราะหุ่นละครเล็กจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นสมบัติชาติต่อไปได้ก็ต้องมีคนเชิดเท่านั้น และคนเชิดเหล่านั้นไม่ใช่แค่น้องๆนักแสดง แต่เป็นพวกเราค่ะ

ปล.อยากรู้เรื่องหุ่นละครเล็กเพิ่มเติม ทั้งตำนานหุ่น ประวัติพ่อโจ หลุยส์ คลิกได้ที่เว็บ//www.thaipuppet.com
หรือที่เว็บของนิตยสารสารคดี ที่
//www.sarakadee.com/feature/2000/03/15year4.htm
และอีกหลายที่ ตามล่าหาได้โดยใช้เสิร์ช เอ็นจิ้นละกันเด้อ






ภาพจากเว็บของนิตยสารสารคดีจ้า

ปล.ตบท้าย

น้องฝอยทองเป็นนิกเนมของพีอาร์สาว (เล็ก-ใหญ่ไม่บอก) ผู้มีใจรักในศิลปะทุกแขนง โดยเฉพาะนาฎศิลป์ไทย ไม่เสียแรงที่จบวิทยาลัยนาฏศิลป์ ถ้าไม่จับพลัดจับผลูมาเป็นพีอาร์ในบริษัทยักษ์ใหญ่เสียก่อน ป่านนี้อาจไปเป็นคุณครูสอนรำชะเอิงเอย ไม่ก็ศิลปินหญ่ายยไปซะแล้น






 

Create Date : 01 สิงหาคม 2550    
Last Update : 1 สิงหาคม 2550 14:16:44 น.
Counter : 589 Pageviews.  

1  2  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.