|
*** เทวดาทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสตอบ ( 2 ) ***
|
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
นันทิสูตรที่ ๒
[๒๖] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
คนมีบุตรย่อมยินดีเพราะบุตรทั้งหลาย
คนมีโค ย่อมยินดี เพราะโคทั้งหลายเหมือนกันฉะนั้น
เพราะอุปธิเป็นความดีของ คน บุคคลใดไม่มีอุปธิ
บุคคลนั้นไม่มียินดีเลย ฯ
[๒๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
บุคคลมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตรทั้งหลาย
บุคคลมีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโคทั้งหลายเหมือนกันฉะนั้น
เพราะอุปธิเป็นความเศร้าโศกของคน
บุคคลใดไม่มีอุปธิ บุคคลนั้นไม่เศร้าโศกเลย ฯ
นัตถิปุตตสมสูตรที่ ๓
[๒๘] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ความรักเสมอด้วยความรักบุตรไม่มี
ทรัพย์เสมอด้วยโคย่อมไม่มี
แสงสว่างเสมอด้วยดวงอาทิตย์ย่อมไม่มี
สระทั้งหลายมีทะเลเป็นอย่างยิ่ง ฯ
[๒๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี
ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกย่อมไม่มี
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี
ฝนต่างหากเป็นสระยอดเยี่ยม ฯ
ขัตติยสูตรที่ ๔
[๓๐] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
กษัตริย์ประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า
โคประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๔ เท้า
ภรรยาที่เป็นนางกุมารีประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย
บุตรใดเป็นผู้เกิดก่อน บุตรนั้นประเสริฐสุดกว่าบุตรทั้งหลาย ฯ
[๓๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
พระสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า
สัตว์อาชาไนยประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๔ เท้า
ภรรยาที่ปรนนิบัติดี ประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย
บุตรใดเป็นผู้เชื่อฟัง บุตรนั้นประเสริฐสุดกว่าบุตรทั้งหลาย ฯ
สกมานสูตรที่ ๕
[๓๒] เทวดากล่าวว่า
เมื่อนกทั้งหลายพักร้อน ในเวลาตะวันเที่ยง ป่าใหญ่
ประหนึ่งว่าครวญคราง ความครวญครางของป่านั้น
เป็นภัยปรากฏแก่ข้าพเจ้า ฯ
[๓๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เมื่อนกทั้งหลายพักร้อน ในเวลาตะวันเที่ยง ป่าใหญ่
ประหนึ่งว่าครวญคราง นั้นเป็นความยินดีปรากฏแก่เรา ฯ
นิททาตันทิสูตรที่ ๖
[๓๔] เทวดากล่าวว่า
อริยมรรคไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ เพราะความหลับ
ความเกียจคร้าน ความบิดกาย ความไม่ยินดี
และความมึนเมาเพราะภัต ฯ
[๓๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เพราะขับไล่ความหลับ ความเกียจคร้าน ความบิดกายความไม่ยินดี
และความมึนเมาเพราะภัต ด้วยความเพียรอริยมรรคย่อมบริสุทธิ์ได้ ฯ
ทุกกรสูตรที่ ๗
[๓๖] เทวดากล่าวว่า
ธรรมของสมณะ คนไม่ฉลาด ทำได้ยาก ทนได้ยาก
เพราะธรรมของสมณะนั้นมีความลำบากมาก เป็นที่ติดขัดของ คนพาล ฯ
[๓๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
คนพาล ประพฤติธรรมของสมณะสิ้นวันเท่าใด หากไม่ห้ามจิต
เขาตกอยู่ในอำนาจของความดำริทั้งหลาย พึงติดขัดอยู่ทุกๆ อารมณ์
ภิกษุยั้งวิตกในใจไว้ได้ เหมือนเต่าหดอวัยวะทั้งหลายไว้ในกระดองของตน
อันตัณหานิสัยและ ทิฐินิสัยไม่พัวพันแล้ว ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ปรินิพพาน แล้ว ไม่พึงติเตียนใคร ฯ
หิริสูตรที่ ๘
เทวดากล่าวว่า
[๓๘] บุรุษที่เกียดกันอกุศลธรรมด้วยหิริ ได้มีอยู่น้อยคนในโลก
ภิกษุใดบรรเทาความหลับเหมือนม้าดีหลบแซ่ ภิกษุนั้นมีอยู่น้อยรูปในโลก ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
[๓๙] ขีณาสวภิกษุพวกใด เป็นผู้เกียดกันอกุศลธรรมด้วยหิริ
มีสติประพฤติอยู่ในกาลทั้งปวง ขีณาสวภิกษุพวกนั้นมีน้อย
ขีณาสวภิกษุทั้งหลายบรรลุนิพพานเป็นส่วนสุดแห่งทุกข์แล้ว
เมื่อสัตตนิกายประพฤติไม่เรียบร้อย ย่อมประพฤติเรียบร้อย ฯ
กุฏิกาสูตรที่ ๙
[๔๐] เทวดากล่าวว่า
กระท่อมของท่านไม่มีหรือ รังของท่านไม่มีหรือ
เครื่องสืบต่อของท่านไม่มีหรือ ท่านเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกหรือ ฯ
[๔๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
แน่ละ กระท่อมของเราไม่มี แน่ละ รังของเราไม่มี
แน่ละเครื่องสืบต่อของเราไม่มี
แน่ละ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูก ฯ
[๔๒] เทวดากล่าวว่า
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่า อะไรเป็นกระท่อม
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าอะไรเป็นรัง
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าอะไรเป็นเครื่องสืบต่อ
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าอะไรเป็นเครื่องผูก ฯ
[๔๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ท่านกล่าวมารดาว่าเป็นกระท่อม
ท่านกล่าวภรรยาว่าเป็นรัง ท่านกล่าวบุตรว่าเป็นเครื่องสืบต่อ
ท่านกล่าวตัณหาว่าเป็น เครื่องผูกแก่เรา ฯ
เทวดาฟังพระดำรัสแล้วชื่นชมอนุโมทนา
ดีจริง กระท่อมของท่านไม่มี ดีจริง รังของท่านไม่มี ดีจริง
เครื่องสืบต่อของท่านไม่มี ดีจริง ท่านเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูก ฯ
***************************************************
สัตติวรรคที่ ๓
สัตติสูตรที่ ๑
[๕๖] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ภิกษุพึงมีสติ เว้นรอบเพื่อละกามราคะ
เหมือนบุรุษที่ถูกประหารด้วยหอกมุ่งถอนเสีย
และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะ มุ่งดับไฟ ฉะนั้น ฯ
[๕๗] พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาว่า
ภิกษุพึงมีสติ เว้นรอบเพื่ออันละสักกายทิฏฐิ
เหมือนบุรุษถูกประหารด้วยหอก
และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะ ฯ
ผุสติสูตรที่ ๒
[๕๘] เทวดาทูลว่า
วิบากย่อมไม่ถูกบุคคลผู้ไม่ถูกกรรม
วิบากพึงถูก บุคคลผู้ถูกกรรมโดยแท้ เพราะฉะนั้น
วิบากย่อมถูกบุคคลผู้ถูกกรรม ผู้ประทุษร้าย
นรชนผู้ไม่ประทุษร้าย ฯ
[๕๙] พระพุทธเจ้าตรัสว่า
บุคคลใดย่อมประทุษร้ายแก่นรชน
ผู้ไม่ประทุษร้ายเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส
บาปย่อมกลับมาถึงบุคคลนั้น ผู้เป็นพาลแท้ ประดุจธุลี
อันละเอียดที่ซัดไปทวนลม ฉะนั้น ฯ
ชฏาสูตรที่ ๓
[๖๐] เทวดากราบทูลว่า
หมู่สัตว์รกทั้งภายใน รกทั้งภายนอก
ถูกรกชัฏหุ้มห่อแล้ว ข้าแต่พระโคดม เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์ขอถามพระองค์ว่า ใครพึงถางรกชัฏนี้ได้ ฯ
[๖๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล
อบรมจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เป็นผู้มีความเพียร
มีปัญญารักษาตนรอดภิกษุนั้นพึงถางรกชัฏนี้ได้ ราคะก็ดี โทสะก็ดี
อวิชชาก็ดีบุคคลทั้งหลายใด กำจัดเสียแล้ว
บุคคลทั้งหลายนั้น เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส
ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งอันบุคคลทั้งหลายนั้นสางเสียแล้ว
นามก็ดี รูปก็ดีปฏิฆสัญญาและรูปสัญญาก็ดี
ย่อมดับหมดในที่ใด ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาดไปในที่นั้น ฯ
มโนนิวารณสูตรที่ ๔
[๖๒] เทวดากราบทูลว่า
บุคคลพึงห้ามใจแต่อารมณ์ใดๆ
ทุกข์ย่อมไม่มาถึงบุคคลนั้นเพราะอารมณ์นั้นๆ
บุคคลนั้นพึงห้ามใจแต่อารมณ์ทั้งปวง
บุคคลนั้นย่อมพ้นจากทุกข์เพราะอารมณ์ทั้งปวง ฯ
[๖๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
บุคคลไม่ควรห้ามใจแต่อารมณ์ทั้งปวง
ที่เป็นเหตุให้ใจมาถึงความสำรวม
บาปย่อมเกิดขึ้นแต่อารมณ์ใดๆ บุคคลพึงห้ามใจแต่อารมณ์นั้นๆ ฯ
อรหันตสูตรที่ ๕
[๖๔] เทวดากราบทูลว่า
ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส มีกิจทำเสร็จแล้ว
มีอาสวะสิ้นแล้วเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด
ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง
บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง ฯ
[๖๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส มีกิจทำเสร็จแล้ว
มีอาสวะสิ้นแล้วเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด
ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง
บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง ภิกษุนั้นฉลาด
ทราบคำพูดในโลกพึงกล่าวตามสมมติที่พูดกัน ฯ
[๖๖] เทวดากราบทูลว่า
ภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด
ภิกษุนั้นยังติดมานะหรือหนอ จึงกล่าวว่าเราพูดดังนี้บ้าง
บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเรา ดังนี้บ้าง ฯ
[๖๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
กิเลสเป็นเครื่องผูกทั้งหลาย มิได้มีแก่ภิกษุที่ละมานะเสียแล้ว
มานะและคันถะทั้งปวง อันภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้ว
ภิกษุเป็นผู้มีปัญญาดีล่วงเสียแล้วซึ่งความสำคัญ
ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง
ภิกษุนั้นฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึงกล่าวตามสมมติที่พูดกัน ฯ
ปัชโชตสูตรที่ ๖
[๖๘] เทวดาทูลถามว่า
โลกย่อมรุ่งเรืองเพราะแสงสว่างทั้งหลายใด
แสงสว่างทั้งหลายนั้นย่อมมีอยู่เท่าไรในโลก
ข้าพระองค์ทั้งหลายมาเพื่อจะทูลถามพระผู้มีพระภาค
ไฉนจะรู้จักแสงสว่างที่ทูลถามนั้น ฯ
[๖๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
แสงสว่างทั้งหลายมีอยู่ ๔ อย่างในโลก
แสงสว่างที่๕ มิได้มีในโลกนี้ ดวงอาทิตย์สว่างในกลางวัน
ดวงจันทร์สว่างในกลางคืน อนึ่งไฟย่อมรุ่งเรืองในกลางวันและกลางคืน
ทุกหนแห่ง พระสัมพุทธเจ้าประเสริฐกว่าแสงสว่างทั้งหลาย
แสงสว่างของพระสัมพุทธเจ้า เป็นแสงสว่างอย่างเยี่ยม ฯ
|
Create Date : 04 เมษายน 2556 |
Last Update : 4 เมษายน 2556 9:51:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 748 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
นามแฝง ชื่อ รักดี ชอบดอกไม้ รักหมา
ไม่รังเกียจแมว
ไม่อาลัยในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
อยู่กับปัจจุบัน
และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ไม่กังวลหรือเป็นทุกข์
กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
|
|
|
|
|
|
|