Group Blog
 
All Blogs
 
rome day 7 Vatican City วาติกันและปราสาท Saint Angelo Castle

นครวาติกัน (Vatican City) เป็นรัฐที่เล็กที่สุด มีพื้นที่เพียง 500,000 ตารางเมตร เป็นรัฐอิสระปกครองตนเองโดยมีพระสันตปาปาเป็นองค์ประมุข พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ซึ่งทรงปกครองประชากรประมาณ 900 คนเท่านั้น แต่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก

พื้นที่ของวาติกัน ซึ่งรวมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน และทีประทับขององค์สันตะปาปาด้วย ภายในบริเวณดังกล่าวยังมีอุทยานวาติกันอันงดงาม มีสถานีวิทยุของวาติกัน มีที่ทำการไปรษณีย์วาติกัน สถานีรถไฟวาติกัน ธนาคารวาติกัน และร้านค้าของวาติกัน (ซึ่งปลอดภาษีทุกชนิด) แม้นครรัฐวาติกันจะมีการติดต่อทางการทูตกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้ง ประเทศไทยด้วย แต่ในนครรัฐวาติกันหามีที่ตั้งสถานทูตไม่ เพราะทูตประจำวาติกันมักจะได้แก่ ทูตประจำประเทศหนึ่งในยุโรป ทูตประจำนครรัฐวาติกันจึงมีที่พำนักอยู่นอกเขตวาติกันทั้งสิ้น



ศาสนจักรวาติกันมีรายได้หลักจากการสนับสนุนทางการเงินขององค์กรคริสต์ศาสนานิกายโรมันแคธอลิคทั่วโลก เงินรายได้นี้เรียกว่า "Peter's Pence" นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการลงทุนต่างๆ ภายใต้การบริหารของหน่วยงาน The Patrimony of the Holy See ค่าธรรมเนียมการเข้าชมพิพิธภัณฑ์รายได้จากการจำหน่ายหนังสือ สิ่งพิมพ์ ดวงตราไปรษณียากร ของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว



ปกติแล้วจะไม่มีคนเชื้อชาติวาติกันในโลก มีแต่พลเมืองสัญชาติวาติกันเท่านั้น นครรัฐวาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน ประมาณ 200 คนเป็นสตรี และมีคนทำงานในนครวาติกัน 1,300 คน พลเมืองอันประกอบด้วยองค์สันตะปาปา คาร์ดินัล ผู้ปกครองนครรัฐ วาติกัน เจ้าหน้าที่ประจำวาติกัน รวมไปถึงทหารสวิส (Swiss Guard) ซึ่งเป็นองครักษ์ของสันตะปาปาประมาณ 100 คน พลเมืองวาติกันเหล่านี้จะมีสัญชาติวาติกันเฉพาะในขณะดำรงตำแหน่งหรือเป็นภรรยาของพลเมืองวาติกัน หรือเป็นบุตรที่มีอายุไม่เกิน 25 ของพลเมืองวาติกัน บุตรคนใดอายุถึง 25 ปี ต้องกลับคืนสัญชาติเดิม ผู้ถือสัญชาติวาติกัน หากพ้นตำแหน่งเมื่อใดก็ต้องคืนสู่สัญชาติเดิมของตน พร้อมด้วยบุคคลทุกคนในครอบครัวที่ถือสัญชาติวาติกัน หากชาติเดิมของตนไม่ยอมรับให้ขอสัญชาติอิตาลีซึ่งรัฐบาลอิตาลีมีข้อผูกมัดต้องรับเสมอ



การเที่ยวชมวาติกัน จะแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนคือ 1.)พิพิธภัณฑ์วาติกัน 2.)โบสถ์ซิสติน(Sistine Chapel) และ 3.)วิหารและจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Basilica & St.Peter Square) นอกจากนี้ในวาติกันยังมีสวนและโบสถ์อีกหลายแห่ง รวมไปถึงสำนักงานต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวอาจจะไม่สามารถเข้าไปได้ครับ

การเดินทางมาวาติกัน สามารถใช้รถไฟใต้ดิน metro สาย A โดยลงได้ 2 สถานี สำหรับสถานี Cipro Musei Vaticani จะลงใกล้กับพิพิธภัณฑ์วาติกันมากกว่า สถานี Ottaviano San Pietro ที่จะลงใกล้จตุรัสเซนต์ปีเตอร์มากกว่า (การเข้ามาด้านหน้าจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ไม่ต้องเสียเงินเข้ามาแต่อย่างใด การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ที่จะเสียค่าเข้าชมครับ)


สำหรับพิพิธภัณฑ์วาติกัน เปิดให้บริการในวันจันทร์-เสาร์ ระหว่าง 9.00-18.00 (ตั๋วจำหน่ายถึง 16.00)
สำหรับวันอาทิตย์ เปิด 9.00-14.00 (ตั๋วจำหน่ายถึง 12.30)

ค่าเข้าชม 15 ยูโร (ฟรีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) สำหรับในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนจะเข้าฟรีครับ

สามารถซื้อตั๋วลวงหน้า และตรวจสอบวันหยุดได้ที่ //mv.vatican.va/ ครับ


ผมตัดสินใจที่จะเข้าวาติกันโดยเริ่มจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ ที่อยู่ทางด้านหลังก่อน แล้วเดินออกมาทางจัตุรัสเซนต์ปิเตอร์ครับ อย่างที่ร่ำลือ เรื่องการต่อแถวเข้าคิว Vatican Museum เนี่ย ว่ารอนานถึง 2-3 ชม.ได้ ก็เป็นเรื่องจริงครับ ผมไปสายหน่อย ใช้เวลาต่อคิวตั้งแต่กำแพงวาติกันที่ติดถนน Via Leone IV มาจนถึงฝั่งถนน Viale Vaticano ที่เป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ก็เกือบ2 ชม.ครับ ในขณะที่ยืนจะมีไกด์มาคอยขายทัวร์เที่ยวชมวาติกัน รวมไปถึงขายน้ำดื่ม โปสเตอร์ต่างๆ พอให้เป็นสีสันครับ



แถวจะยาวตามแนวกำแพงวาติกันไปเรื่อยๆ





มาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กันแล้วครับ





ส่วนหนึ่งที่แถวยาว ก็เพราะต้องเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะ เพื่อตรวจอาวุธนั่นเองครับ หลังจากผ่านจุดตรวจ คนที่ยังไม่มีตั๋ว สามารถหาซื้อได้ที่เคาเตอร์จำหน่ายครับ



เมื่อผ่านเข้ามาด้านใน จะเห็นโดมของมหาวิหารเซนต์ปิเตอร์ (Saint Peter's Basilica) โดดเด่นอยู่ด้านหน้าครับ



สวน





ผลจากการรอคิวอันยาวนาน ทำให้ได้ทานมื้อกลางวันด้านข้างตึกของพิพิธภัณฑ์นี้เอง ทานเอาแรงอย่างเดียวครับ หารสชาติไม่ได้เลย



ตอนแรกเดินหลงมาในชั้นใต้ดิน ที่เป็นโรงเก็บพระราชรถของพระสันตปาปาแต่ละพระองค์ด้วย



มาตั้งต้น เดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์วาติกันกันครับ





ลูกโลกโลหะด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ทีถือว่าเป็นลัญลักษณ์ของที่นี่



บริเวณรอบๆสวนด้านหน้า จะแสดงชาร์ตและตารางภาพเขียนสำคัญต่างๆในแต่ละส่วนด้วยครับ ว่าอยู่ที่ส่วนใด เพราะในบางส่วน จะงดถ่ายภาพซะด้วยซ้ำไป



ส่วนใหญ่จะเป็นภาพบนผนัง



ผมขอออกตัวก่อนนะครับว่า ไม่สันทัดกับการเดินชมพิพิธภัณฑ์แบบนี้เท่าไหร่ แถมคนที่เข้าชมยังมาก บางครั้งการเดินเลยเหมือนไหลตามคนหมู่มากเข้าไปเรื่อยๆ แถมบางจุด บางห้องก็มีการงดถ่ายรูปซะอีก





ทางเดินด้านในของพิพิธภัณฑ์

สำหรับพิพิธภัณฑ์วาติกัน จะจัดให้เราเดินไปตามลูกศร (ห้ามเดินย้อนศร) เพื่อชมการแสดงสมบัติต่างๆที่พระสันตปาปาทรงได้รับมา สำหรับในส่วนนี้ จะเป็นรูปปั้นในยุคสมัยโรมัน ที่นิยมปั้นให้เทพเจ้ามีเรือนร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุด รูปปั้นหลายๆรูปจะมาจากตำนานกรีก หรือไม่ก็เป็นรูปปั้นของกษัตริย์จักรพรรดิท่านต่างๆ ช่วงปลายทางก็จะเป็นห้องเก็บสมบัติจากอียิปต์ และห้องพรมตามลำดับ นอกจากความสวยงามของรูปปั้นเหล่านี้แล้ว การมองดูจิตรกรรมฝาผนัง อีกทั้งเพดาน ที่มีจิตรกรชื่อดังมาวาดประกอบไว้ ก็ทำให้การชมพิพิธภัณฑ์วาติกันเพลิดเพลินได้ไม่น้อยครับ





ออกมาในส่วน



รูปปั้นของเพอซีอุส บุตรของซูส ผู้ฆ่าเมดูซ่า



ออกมาทางนี้ก่อนจะเดินต่อไปยัง ห้องเก็บสมบัติจากอิยิปต์และห้องพรม



ห้องพรม ที่แสดงเรื่องราวในคริสตศาสนา



ห้องพรมอีกเช่นกันครับ แต่พรมในห้องนี้จะแสดงเป็นแผนที่ของแคว้นต่างๆในอิตาลี ที่ศาสนจักรเป็นใหญ่



สุดปลายทางจะมีจุดจำหน่ายโปสการ์ด ภาพบางภาพที่ไม่สามารถถ่ายรูปได้ เพราะหลายๆสว่นก็ไม่ให้ถ่ายรูป สามารถหาซื้อโปสการ์ดที่ระลึกแทนได้ที่นี่ครับ



สำหรับในส่วนโบสถ์ซิสทิน (Sistine Chapel) จะมีภาพวาดบนฝาผนังที่เป็นผลงานของไมเคิลแองเจโล่และศิลปินอื่นๆอีกนับสิบท่าน ภาพที่สำคัญๆบนเพดานได้แก่ Adam and Eve, Last Judement เป็นต้น หอสวนซิสทินนอกจากมีศิลปะอันงดงามแล้ว ยังใช้เป็นสถานที่เลือกพระสันตปาปาองค์ใหม่อีกด้วยครับ

เนื่องจากหอสวนซิสทิน จะเป็นห้องเพดานสูงที่มีผนังหินขนาบทั้งสองด้าน ดังนั้นการเข้าไปด้านในจึงค่อนข้างอึดอัด เพราะอากาศถ่ายเทไม่ค่อยดี (สำหรับการให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากๆเข้าไปชม) ที่สำคัญจุดนี้ยังเป็นจุดหนึ่งที่เข้มงวดเรื่องการใช้เสียง และถ่ายรูปครับ ในขณะที่คนมากับไกด์ทัวร์จะคอยอธิบายรูปบนฝาผนัง ก็จะมีผู้คุมคอยเตือนและเอ็ดตลอดเลยล่ะครับ ว่าให้เงียบ





ทางเข้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ คนที่ต่อคิวเยอะมากครับ

สำหรับในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ก็มีผลงานศิลปะมากมายให้ได้ชมกันครับ ที่สำคัญก็คงจะเป็นรูปปั้นหินอ่อน Pieta ของไมเคิลแองเจโล่ ที่เป็นรูปพระแม่มารีอุ้มร่างของพระเยซูหลังจากที่ท่านถูกตรึงไม่กางเขน



ออกมาทางด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์






ทหารสวิส (SwissGuard) จะมีหอกโบราณเป็นอาวุธประดับเกียรติ ซึ่งเป็นองครักษ์ของสันตะปาปาประมาณ 100 คน มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1506 การแต่งกายของทหารสวิส กล่าวกันว่าเครื่องแบบออกแบบโดย “มีเกลันเจโล” (ไมเคิลแองเจโล่ที่คนไทยรู้จัก) แต่แท้จริงแล้ว "ราฟาเอล" คือบุคคลที่พัฒนาชุดตามอิทธิพลทางศิลปะยุคเรเนซองและภาพเขียนของเขา ทหารสวิสทุกคนเป็นชาวสวิส และเป็นคาทอลิกที่ดีทหารสวิสแต่ละคนจะประจำการชั่วระยะหนึ่ง



ด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Basilica)





บริเวณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Square) มีการจัดวางเก้าอี้ ไม่ทราบเหมือนกันครับว่า มีงานอะไร





ด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Basilica)



ตรงกลางของ Saint Peter's Square จะมีเสาโอบิลิสตั้งหระหง่าน ปลายยอดตกแต่งด้วยไม้กางเขน สัญลักษณ์ของคริสตจักร





เดินออกมาทางถนน Via Della Conciliazione พร้อมกับมุมสวยๆของ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์



ถนนด้านหน้าของจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ Via Della Conciliazione จะทอดยาวมาจนถึง Saint Angelo Castle ที่เป็นปราสาททรงกลมสูงริมแม่น้ำ Tiber สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ Hadrian เพื่อใช้เป็นที่เก็บพระศพของพระองค์เองและสมาชิกในครอบครัว ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นที่ตั้งกองทหารรวมไปถึงที่คุมขังนักโทษ

จนถึงในสมัยสมเด็จพระสันตปาปานิโคลัสที่ 3 (Nicholas III)ได้มีการสร้างทางเชื่อมระหวางปราสาทนี้กับวิหารเซนต์ปิเตอร์ เพื่อใช้เป็นทางหนีหากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับพระสันตปาปา ทำให้เราสามารถมองเห็นกำแพงทอดยาวไปถึงตัววิหารเซนต์ปีเตอร์ ปัจจุบันปราสาทนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (Museo Nazionale di Castel Sant' Angelo)

ด้านข้างของปราสาท (ทางไปวาติกัน) บนถนน Via Della Conciliazione ก็จะมีตู้ Tourist Information ที่สามารถหาซื้อ Roma Pass ได้ครับ





เนื่องจากผมเพิ่งใช้ Roma Pass ไปเพียงครั้งเดียว (ที่โคลอสเซียม) เลยได้ใช้ประโยชน์เข้าที่นี่ได้ฟรีครับ

ค่าเข้าชมปราสาท 8 ยูโร

(คิดแล้ว เหมือนว่าจะคุ้มมั้งครับ ซื้อ Roma Pass มา 25 ยูโร ใช้รถไฟใต้ดินและขนส่งอื่นฟรี 3 วัน + ค่าเข้าโคลอสเซียม 12 ยูโร +เข้าที่นี่อีก 8 ยูโร)





การเดินในปราสาท ตอนแรกจะเดินผ่านเส้นทางมืดๆของตัวอาคาร ก่อนที่จะออกมาถึงชั้นบนอย่างนี้ครับ หลายๆจุดก็จะมีอาวุธ (ที่ใช้มนอดีตจริงๆ) ตั้งเอาไว้



ด้านนอกของปราสาทก็จะเป็นสะพาน Ponte St.Angelo ที่ข้ามผ่านแม่น้ำไทเบอร์ จุดนี้ ถือเป็นแหล่งซื้อสินค้าของที่ระลึกราคาถูกได้ดีอีกจุดหนึ่งเลยครับ



สะพานสำหรับหลบภัย ที่ทอดยาวจากตัวปราสาท ไปยังมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์



ด้านบนของปราสาท ยังมีร้านค้าให้บริการอาหาร กาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ ที่บรรยากาศร่มรื่นใต้เถาองุ่น และสามารถชมวิวของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในมุมสูงจากตรงนี้ได้ด้วย



อีกมุมสวยของปราสาท จากในสวนรอบๆ



หลังจากนั้นก็เดินชมเมือง



หลังจากยังไม่ได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในมื้อกลางวัน ก็หาอะไรรองท้องตอนบ่ายแก่มากๆ ในร้าน Borgo Nouvo



เป็นเนื้อย่าง (ผมจำชื่อภาษาอิตาเลี่ยนไม่ได้ซะแล้ว) มาพร้อมกับผีกและซีสขูด แน่นอนครับ ต้องทานคู่กับไวน์ 55



อีกจานเป็นหอยแมลงภู่





ของหวานเป็นขนมที่มาจากสรวงสวรรค์อย่าง



และแล้วก็เดินกลับที่พักกันก่อนครับ



หลังจากกลับไปห้องพัก พร้อมกับเผลองีบไปพักใหญ่ (ผมมีอาการเหมือนจะเป็นหวัดตั้งแต่ไปลุยฝนใน disneyland ไหนจะเจออากาศเย็นของปารีสอีก) ก็ออกมาเดินเล่นรอบๆที่พัก เดินเลยไปจนใกล้ๆสถานี Cipro Musei Vatacani ซึ่งเลยไปก็จะเป็นแถบที่อยู่อาศัยของชาวเมือง ในรูปแบบห้องแบบอพารต์เมนต์และยังมีโรงเรียน โบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆกัน

มื้อค่ำ จึงกลายเป็นแซนวิชเบาๆ (เพราะยังอิ่มจากการนอนและมื้อบ่ายแก่ๆอยู่) ที่ร้านแซนวิชไอเดียเก๋ที่ชื่อ Le Scalette

ที่ว่าไอเดียเก๋ก็เพราะ แซนด์วิชแต่ละอัน จะมีชื่อเรียกตามดาราภาพยนตร์มากมายครับ ทั้งสมัยเก่า และปัจจุบัน ตามลักษณะของแซนด์วิชในแต่ละแบบ



เมนูที่ว่าเก๋



บรรยากาศของร้านอยู่ใกล้ชุมชน ทำให้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ได้ไม่น้อยเลย



มื้อนี้จึงเป็นการร่ำสุรา (ไวน์) ไปซะ 2 ขวด อีกหนึ่งมื้อครับ




Create Date : 07 ธันวาคม 2553
Last Update : 7 ธันวาคม 2553 9:39:42 น. 6 comments
Counter : 6859 Pageviews.

 
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ

ตอนเราไป เป็นการไปแบบรีบๆ เสียดายมากๆ เลยค่ะ

แต่ตั้งใจว่า จะพาคุณสามีไปเที่ยวอีกสักรอบให้ได้ค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 7 ธันวาคม 2553 เวลา:13:53:29 น.  

 
ตามไปเที่ยวด้วยครับ


โดย: auraball วันที่: 7 ธันวาคม 2553 เวลา:21:33:42 น.  

 
ท่าทางอากาศกำลังดีไม่ร้อนไม่หนาว เหมาะกับการเดินเที่ยวจังค่ะ


โดย: apple.007 วันที่: 7 ธันวาคม 2553 เวลา:21:33:59 น.  

 
จะเดินทางไปโรมพรุ่งนี้แล้ว ขออนุญาติแวะมาเก็บข้อมูลน่ะค่ะ...อิอิ


โดย: enjoy IP: 90.229.251.40 วันที่: 21 ธันวาคม 2553 เวลา:20:53:11 น.  

 
ผมเพิ่งไปมาเมื่อวันที่7-9มกราคม2554 สวยมากแต่เวลาสั้นเลยเที่ยวไม่ทั่ว


โดย: tom IP: 87.53.16.97 วันที่: 18 มกราคม 2554 เวลา:3:45:28 น.  

 
ว่าแต่ไปกะใครหน้อ.. อิอิ


โดย: Grid IP: 206.53.148.48 วันที่: 20 กรกฎาคม 2555 เวลา:2:56:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.