All Blog
ตอนที่ 29 +++ การต่อสู้และภาพวาดแห่งความทรงจำของมิว +++





“ไปห้องน้ำกันมั้ยโต้ง...” มิวแกล้งเอ่ยถาม



“ไม่รู้ป่านนี้ เด็กกลุ่มนั้นที่เคยมีเรื่องกับมิว เป็นไงบ้างไม่รู้เนอะ”



“ก็ ไม่รู้ดิ คงยังเรียนอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง ไม่เจอหน้ามาหลายปีแล้ว” มิวพูดจบก็ชวนโต้งไปห้องน้ำเพื่อล้างไม้ล้างมือ ระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ในห้องน้ำอยู่นั้น จู่ๆก็มีชายหนุ่มนักเรียนเซ้นต์นิโคลัส อายุราวๆเดียวกับมิวและโต้งสามคน เดินเข้ามาพอดี



“นี่มัน ... มิว... นักร้องดังนี่หว่า ว่าไงจ๊ะ พาแฟนมาเที่ยวเหรอ” เสียงของนักเรียนชายคนนึงเอ่ยขึ้น มิวและโต้งหันไปมองด้วยสีหน้าสงสัยและตกใจ



“อ้าว... จำเราไม่ได้หรอ รู้จักกันมาตั้งแต่ประถม ดันลืมกันซะแล้ว” มิวพยายามจ้องหน้า และคุ้นๆพอจะจำได้ว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กเกเรที่เคยรังแกตนเมื่อก่อนนั่นเอง




“พวกนายต้องการอะไร” โต้งเอ่ยถาม



“นายนี่มัน.... คุ้นหน้านะเนี่ย ไอ้เด็กที่มาช่วยมิวเมื่อตอนป.หกนี่หว่า ไงมรึง กลับมาเที่ยวโรงเรียนเก่ารึไง” หนึ่งในกลุ่มเด็กนักเรียนเกเรที่ติดกระดุมคอเม็ดบนเอ่ย



“เรื่องของเรา ไม่เกี่ยวกับพวกนาย” โต้งว่ากลับทันที



“สงสัยมารำลึกความหลังล่ะมั้งไอ้เต้ คงจะมาหาที่พลอดรักกันเหมือนเมื่อก่อนแน่ๆว่ะ ไงวะ จะมาเที่ยวสวีตกันที่ห้องน้ำนี่รึไงวะ” เด็กนักเรียนเกเรอีกคนที่กำลังคีบบุหรี่อยู่ เอ่ยกับคนที่ติดกระดุมคอเม็ดบนที่ชื่อเต้



“ไปกันเถอะโต้ง แถวนี้ไม่น่าเดินเที่ยวแล้ว” มิวเอ่ย แล้วจูงมือโต้งเดินออกไปจากห้องน้ำ แต่ถูกกลุ่มนักเรียนอันธพาลขวางทางเอาไว้



“เดี๋ยวก่อนสิมิว คราวก่อนยังไม่ได้ดูเลย ว่าน้องชายใหญ่แค่ไหน ผ่านมาหกปี ใหญ่ขึ้นรึเปล่าวะ” คนที่ชื่อเต้เอ่ยขึ้น ทำให้เพื่อนในกลุ่มอีกสองคนหัวเราะร่วน



“ไอ้สัดดดดด....” โต้งที่เกิดมีน้ำโหอยู่แล้ว เงื้อหมัดเข้าใส่คนที่ชื่อเต้ หมัดของโต้งกระทบเข้าที่ริมฝีปากแบบเต็มแรง จนคนถูกชกเซล้มลงไปชนกับคนที่คีบบุหรี่อยู่ที่นิ้ว ทำให้บุหรี่หล่นลงพื้นห้องน้ำ



“โต้งงงงง.... ระวังนะ” มิวอุทานเสียงดัง พร้อมกับพยายามกดหมายเลขโทรศัพท์เรียกเพื่อนๆมาช่วย



“พวกเรา เอาคืนมันเว้ยยยย” คนที่ทำบุหรี่ตก เข้าไปชกโต้ง แต่โต้งหลบได้ และใช้มือของตนจับข้อแขนของหมอนั่นเอาไว้ หนึ่งในเด็กเกเรอีกคนที่เหลือ เข้ามาล็อกแขนโต้งจากด้านหลัง ทำให้โต้งไม่สามารถขยับแขนได้ คนที่จะเข้ามาชกโต้งเมื่อครู่ได้โอกาสที่มือของตนหลุดจากการถูกโต้งจับ เห็นว่าได้โอกาส ก็เข้ามาชกโต้งอีกครั้ง หมัดขวาเข้าเต็มๆที่กลางลำตัว จนชายหนุ่มผมเกรียนที่เคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนี้รู้สึกจุกท้องไปหมด



“โต้งงงงงงงง” มิวร้องตกใจด้วยความเป็นห่วง



คนที่ชื่อเต้ ที่ถูกโต้งชกปากล้มลงไปเมื่อครู่ ลุกขึ้นยืน และพุ่งหมัดของตนเข้าใส่โต้งบ้าง แต่ครั้งนี้ โต้งเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว จึงใช้สองขาที่ว่างอยู่ กระโดดยกตัวขึ้นแล้วถีบใส่หน้าอกของหมอนั่นเต็มแรง เซไปกระแทกพื้นที่เดิมอีกครั้ง ก่อนจะใช้ศอกแทงข้างหลังใส่คนที่ล็อกแขนตนจากด้านหลัง



มิวกำลังโทรศัพท์หาปิงปองอยู่ คนเดียวที่มิวนึกออก เพราะเอ๊กซ์พาหญิงไปได้พักใหญ่แล้ว พวกเพื่อนๆร่วมสายชั้น ก็ไปกันก่อนแล้ว จึงเหลือแต่พวกปิงปองที่เก็บของอยู่ในห้องดนตรีและลงมาที่หลัง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังก็จริง แต่ไม่มีคนรับสาย เพราะปิงปองกำลังล็อกประตูอยู่ ส่วนโทรศัพท์ก็ยังดังอยู่ในกระเป๋า



“ใครโทรมาเนี่ย ... รอก่อนนะ ล็อกประตูก่อน” ปิงปองพูดกับเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ในกระเป๋า



“ทำไมไม่รับสายวะไอ้ปิง” มิวบ่นอยู่ด้านในของห้องน้ำ ใกล้ๆกับอ่างล้างหน้า ทำให้คนที่ถูกโต้งฟันศอกใส่เมื่อครู่ หันไปมอง และเริ่มคิดจะเปลี่ยนเป้าหมายจากชายหนุ่มร่างสูง มาที่ร่างโปร่งบอบบางของนักร้องหนุ่มแทน



“เฮ้ยย... จับไอ้นักร้องตุ๊ดนี่ก่อนเว้ย แล้วค่อยเล่นงานคู่ขามันที่หลัง” หนึ่งในกลุ่มเด็กเกเร เข้ามาที่มิว พยายามจับมิวไว้ นักร้องหนุ่มดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากการจับกุมของนายคนนั้น แต่ก็สู้แรงไม่ได้ โต้งเองก็ต้องรับมือนักเรียนเกเรถึงสองต่อหนึ่ง อยากเข้าไปช่วยมิวใจจะขาด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี



“มิว.... มิว....” โต้งสู้ไป ก็ร้องเรียกมิวไปด้วย ขณะกำลังเผลอๆอยู่นั้น หมัดของใครคนใดคนหนึ่งก็ชกเข้าใส่ใบหน้าใกล้ๆตาข้างซ้ายของโต้ง จนชายหนุ่มล้มหงายไปทับกับแท่งไม้ยาวๆ ที่มีปลายข้างหนึ่งเป็นพลาสติกทรงปากแตร ไม้ดูดสุญญากาศสำหรับดูดสิ่งปฏิกูลนั่นเอง



“โต้ง ......” มิวตะโกนเรียกเสียงดัง ด้วยความห่วงใยแฟนหนุ่ม และโกรธที่โดนรังแก นักร้องนำวงออกัส คว้ากระเป๋าของตนฟาดเข้าใส่เด็กเกเรคนที่จับตนอย่างเต็มแรง กระเป๋าหนักๆฟาดเข้าโดนศีรษะหมอนั่นอย่างจังจนทำให้มันล้มลงไปสลบอยู่กับพื้น



ทางด้านโต้งก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อได้อาวุธที่คุ้นมือแล้ว ชายหนุ่มก็ใช้ไม้ดูดฟาดเข้าใส่เด็กเกเรทั้งสอง จนพวกนั้นเสียจังหวะและหกล้มลงไปกับพื้นห้องน้ำ เมื่อได้โอกาส ชายหนุ่มก็รีบไปคว้าข้อมือแฟนหนุ่มนักร้องทันที



“มิว..... วิ่ง.....” โต้งจูงมือมิว แล้ววิ่งหนีออกจากห้องน้ำห้องนั้นไปด้วยกัน ชายหนุ่มร่างสูงพาคนรักร่างโปร่งเลี้ยวเข้าไปในตัวตึก และแอบหลบอยู่ตรงจุดพักที่ขั้นบันไดระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง



“เป็นไงบ้าง...โต้ง..” นักร้องหนุ่มเอ่ยถามแฟนอย่างเป็นห่วง



“ก็...นิดหน่อยอะ แล้วมิวล่ะ เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า..”



“เราไม่เป็นไร โต้งต่างหากล่ะ โดนไปตั้งหลายหมัด ยิ่งที่หน้าด้วย” มิวพูดจบก็จ้องมองรอยช้ำบนใบหน้าของโต้ง ตำแหน่งที่โดนชกนั้น ใกล้เคียงกับที่เดิมที่เคยโดนเมื่อหกปีก่อน



“มิวนี่เก่งเนอะ ฟาดกระเป๋าทีเดียว หมอนั่นสลบเลย”



“ก็...กระเป๋าหนักนิดหน่อยน่ะ” มิวพูดจบก็เปิดกระเป๋าให้โต้งดู กล่องเหล็กใบหนึ่งอยู่ข้างในท่าทางหนักเอาเรื่อง โต้งหันมามองด้วยสีหน้าสงสัยว่ามันคืออะไร



“กล่องใส่ออร์แกนขนาดพกพาน่ะโต้ง ไม่ใหญ่มาก แต่มันเป็นเหล็ก ก็เลยหนักเอาเรื่องอยู่”



“อือ....” โต้งรับรู้ พลางรู้สึกเจ็บที่แผลถูกชก เลยล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า ผ้าเช็ดหน้าผืนสีฟ้า ปักอักษรสีเขียวเป็นภาษาจีนที่แปลเป็นไทยว่า “รักมิว” ที่อาม่าปักให้มิว และมิวยกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้โต้งขึ้นมา



“เดี๋ยวเราซับเลือดให้โต้งนะ” มิวหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาจากมือโต้ง ผืนเดียวกับที่มิวเคยซับแผลให้โต้งเมื่อกว่าหกปีก่อน แผลที่เกิดจากเหตุการณ์ที่โต้งช่วยมิวจากกลุ่มเด็กเกเรกลุ่มเดิม ตำแหน่งของแผลก็ที่เดิม แถมยังที่ที่มิวซับแผลให้โต้งก็ยังเป็นจุดเดิมอีก โต้งมองบรรยากาศรอบๆตัวแล้วก็ยิ้มออกมา



“อะไรเหรอโต้ง” มิวถาม



“เหมือนเมื่อก่อนเลยเนอะ...มิวคิดว่าไง”



“อือ....” นักร้องหนุ่มตอบคนรักแล้ว ก็ได้ยินเสียงครืนๆดังขึ้นเบาๆจากท้องของโต้ง

“ไปหาอะไรทานกันก่อนดีมั้ย ดูท่าโต้งจะหิวมากแล้วนะเนี่ย” มิวยิ้มให้โต้ง แล้วชวนกันลุกเดินไปทางหน้าโรงเรียน ไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์ของมิวก็ดังขึ้น





“ว่าไง...ปิง ทำไมเมื่อกี๊ไม่รับสายวะ”



“ล็อกห้องอยู่น่ะพี่มิว รับสายไม่ทัน พี่มิวมีอะไรรึเปล่าครับ”



“ไม่มีอะไรแล้ว ปิงกลับบ้านเถอะ แค่นี้นะ” นักร้องนำวางสาย หยุดการโทรศัพท์กับนักเป่าแซกฯหนุ่ม แล้วก็เดินควงคนข้างๆไปเรียกแท็กซี่ด้วยกัน




...




...





เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในซอยบ้านละแวกบางกอกน้อยพร้อมกัน ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสลับขาว เดินจูงมือชายหนุ่มชุดนักเรียนร่างโปร่ง พร้อมกับสะพายกระเป๋าให้ด้วย



“ไม่หนักเหรอโต้ง ให้เราสะพายกระเป๋าเองก็ได้”



“ไม่เป็นไรมิว ไม่หนักหรอก มิวถือถุงลูกชิ้นกับขวดน้ำน่ะดีแล้ว”



“แล้วโต้งก็คอยให้เราป้อนให้เนี่ยนะ”



“ก็ใช่น่ะสิ เราสะพายกระเป๋าให้มิว แล้วมิวก็ค่อยป้อนลูกชิ้นกับน้ำให้เราไง พวกเพื่อนๆเรามันก็ทำกันแบบนี้แหละ เวลาที่มันจีบผู้หญิงอะ”



“จ้า..... งั้นก็ทนหนักหน่อยแล้วกัน” มิวพูดจบก็สอยลูกชิ้นเข้าปากตัวเองหนึ่งลูก พร้อมกับดูดน้ำตาม



“มิวป้อนเราอีกลูกดิ อ้า.....” โต้งอ้าปากรอให้มิวป้อนลูกชิ้นให้ ซึ่งนักร้องหนุ่มก็ป้อนให้โดยดี ตามด้วยน้ำขวดให้โต้งได้ดูด ก่อนจะดูดตามอีกอึกนึง



“หนังเมื่อกี้นี้ สนุกดีนะ ไม่ได้ดูหนังตลกมานานแล้ว” มิวบอกโต้ง



“ก็ใช่น่ะสิ ขืนเลือกดูหนังดราม่าล่ะก็ มิวได้ร้องไห้อีกแน่ๆ ช่วงหลังนี่ยิ่งร้องไห้เก่งอยู่ด้วย”



“ก็........ เร็วเถอะโต้ง ป้าอรรอเปิดประตูบ้านให้เราอยู่” มิวบ่ายเบี่ยงแล้วรีบเดินนำหน้าโต้งออกไป ร่างสูงจึงต้องเร่งฝีเท้าตามร่างโปร่งที่นำลิ่วไปแล้วให้ทัน



“เดี๋ยวมิว.... รอเราด้วย” โต้งตะโกนเรียก พร้อมกับยกกระเป๋าทั้งของตนและของมิวมากระชับที่ไหล่เพื่อกันไม่ให้หลุด จากนั้นก็เดินเร็วขึ้น เร่งจ้ำเท้าตามนักร้องหนุ่มไป




....




....





กลางดึกคืนนั้น โต้งเข้าไปห้องน้ำหลังจากที่มิวเสร็จธุระแล้ว แต่พอออกมาจากห้องน้ำ แล้วเดินเข้าไปในห้อง ปรากฏว่า ร่างโปร่งเจ้าของห้องไม่ได้อยู่ในนั้น ชายหนุ่มรีบออกเดินหาตามห้องต่างๆ จนไปหยุดอยู่ที่ ห้องๆหนึ่งซึ่งโต้งไม่เคยเข้าไปมาก่อน ห้องนั้นเปิดประตูแง้มไว้ และไฟในห้องก็ส่องสว่างด้วย โต้งคุ้นๆว่า ตอนเด็กๆ เวลาที่ตนมาค้างบ้านนี้ โต้งเคยเห็นอาม่าพักอยู่ในห้องนั้นมาก่อน



“หาอะไรอยู่เหรอมิว” โต้งเอ่ยถาม เมื่อเห็นคนที่ตนรักหยิบอะไรบางอย่างมาจากผนังข้างฝา



“รูปเก่าๆน่ะโต้ง เราเคยวาดไว้นานแล้ว และเอาให้อาม่าติดฝาผนัง” มิวโชว์รูปนั้นให้โต้งดู เป็นรูปท้องทะเลสีเขียวกว้างใหญ่ ที่ไปบรรจบกับท้องฟ้าสดใสที่เส้นขอบฟ้าสีทองยามอาทิตย์ย่ำอรุณ โต้งเห็นแล้วก็รู้สึกประทับใจและชอบรูปใบนี้เป็นพิเศษ



“มิววาดรูปนี้เองหรอ สวยจัง”



“อือ... ตอนไประยองกับอาม่าก่อนที่แกจะล้มป่วยน่ะ ตอนนั้นเรากับอาม่าไปบ้านป๊าที่ระยอง แล้วเพราะอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆอาม่าก็พาเราออกจากบ้านป๊า แล้วก็หนีไปที่เกาะเสม็ด เราติดพายุอยู่ที่โน่นกับอาม่าหลายวัน จะว่าไป ก็เป็นเดือนนี้เมื่อห้าปีก่อนพอดี ตอนที่เราจบม.หนึ่งใหม่ๆน่ะ จำได้ว่าอาม่าเช่าบ้านหลังเล็กๆอยู่ด้วยกัน เรานอนฟังอาม่าเล่านิทานให้ฟัง อาม่าชอบเล่าเรื่องอากงอยู่บ่อยๆด้วย บ่อยเป็นพิเศษเลยล่ะ เราก็เลยวาดรูปนี้ให้อาม่า เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความรักของอาม่ากับอากง” นักร้องหนุ่มเล่าเรื่องไปพร้อมกับน้ำตาที่รื้นอยู่บนดวงตาสีน้ำเงิน โต้งเข้ามานั่งใกล้ๆ พร้อมกับมองรูปนั้นอย่างสนใจ และหันไปมองตาของมิวที่กำลังจ้องรูปใบนั้นไม่วางตา



“มองอะไรอะโต้ง....”


“ก็มองหน้ามิวอยู่ไง...”


“จ้องอยู่ได้ ทำยังกับไม่เคยเห็น..” มิวยิ้ม พลางปาดรอยน้ำตาที่รื้นอยู่บนดวงตาสีน้ำเงินของตน


“รูปนี้น่ะ.... สวยดีเนอะ วาดได้ไงอะ” โต้งถามเจ้าของรูป ด้วยลักษณะคำถามที่คุ้นเคย


“ก็... ไม่รู้ดิ.. ดูแล้ว.. โต้งว่าไงล่ะ”


“ก็.... ไม่รู้เหมือนกัน...”


“โต้งงงงง......................”


“ก็ได้... คือ... ก็สวยดี แต่มิวจะไม่บอกเราหน่อยหรอ ว่ามีอยากจะบอกอะไรผ่านรูปใบนี้”


“แล้วโต้งคิดว่าเราอยากบอกอะไรผ่านรูปใบนี้ล่ะ” นักร้องหนุ่มหันไปถามชายคนรัก


“ก็.... มิวบอกว่า นี่คือรูปที่สื่อถึงอากงกับอาม่าใช่ปะ”


“อือ....”


“งั้นก็คง.... ความรักของท่านทั้งสองเป็นสิ่งที่งดงามล่ะมั้ง เป็นความสุข อะไรทำนองนี้ปะ”


“ก็ใช่นะโต้ง.... แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก มันละเอียดอ่อนกว่านั้นอีก”


“แล้วมันเป็นยังไงล่ะ ที่มิวว่าละเอียดอ่อนกว่าน่ะ”


“โต้งเห็นทะเลในรูปมั้ย...”


“เห็นดิ สวยมาก ท้องทะเลสีเขียว เหมือนสีโปรดของมิวเลย”


“แล้วท้องฟ้าล่ะ เป็นไงบ้าง”


“สีฟ้าคราม ดูสดใส แต่พอมองไปเรื่อยๆก็ดู... หม่นๆยังไงก็ไม่รู้”


“ทะเลกับท้องฟ้าไงโต้ง สองสิ่งที่ไม่อาจอยู่คู่กัน”


“มิว.....” โต้งเอ่ยชื่อคนรักพร้อมกับมองตาสวยคู่นั้น


“อากงน่ะ จากอาม่าไปหลายปีแล้ว ก็หมายความว่า อากงกับอาม่า ไม่สามารถอยู่เคียงคู่กันได้ ก็เหมือนกับทะเลกับท้องฟ้า ที่ไม่อาจอยู่เคียงคู่กัน นอกเสียจาก....” มิวทิ้งประโยคสุดท้ายไว้


“ทั้งคู่จะมาบรรจบกันบนเส้นขอบฟ้า ถึงแม้ว่าทะเลกับท้องฟ้าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ที่จริงแล้ว เรายังคงเห็นมันอยู่คู่กันได้ เห็นทุกวัน โดยไม่พรากจากกัน” โต้งต่อประโยคสุดท้ายที่มิวทิ้งไว้


“ท้องฟ้าและท้องทะเลยามที่พระอาทิตย์ขึ้นนี่ สวยดีนะโต้ง”


“รุ่งอรุณแห่งความหวัง ที่ส่องแสงสว่างให้ทะเลกับผืนฟ้าบรรจบกัน และอยู่เคียงคู่กันอย่างสวยงาม”


“ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีความหวัง” มิวเอ่ยขึ้นลอยๆ แววตาก็เหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่


“มิว...” โต้งเอ่ยเรียกเบาๆ แต่เหมือนนักร้องนำวงออกัสกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ชายหนุ่มจึงปล่อยให้คนรักอยู่กับความคิดของตนเองสักพัก ร่างสูงค่อยๆมองรูปภาพฝีมือของเจ้าของบ้านอีกครั้ง แล้วพิจารณาอย่างละเอียดอ่อน ปล่อยความรู้สึกให้ไหลไปตามกระแสคลื่นที่กระทบฝั่งตามอารมณ์ของรูปภาพ โต้งเข้าใจความหมายที่มิวต้องการบอกเล่าจากรูปวาดของมิวเอง



รูปนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนความรักของอากงและอาม่า แต่ยังสะท้อนภาพความรักของตัวผู้วาดกับคนรักด้วย โต้งมองน้ำทะเลสีเขียวในรูปนั้นสลับกับภาพนักร้องหนุ่มที่กำลังยืนเหม่อ สีเขียว สัญลักษณ์แทนมิว สีของมิว ทะเลที่มีคลื่นกระเพื่อมตลอดเวลา ยากจะสงบนิ่ง แต่ก็นิ่งสงบได้ ในบ้างในบางเวลา จากนั้นก็มองท้องฟ้าสีฟ้าครามที่เห็นเด่นอยู่มนรูปนั้น สีฟ้า สีที่ตนชอบ สัญลักษณ์แทนตนเอง กับสีฟ้าหม่นและหมู่เมฆที่สะท้อนความอ่อนไหวและหวั่นไหวในใจของตนตอนนี้



ทะเลกับท้องฟ้าที่อยู่ไกลกัน แต่ก็มาบรรจบกันบนเส้นขอบฟ้าในยามรุ่งอรุณแห่งความหวัง เหมือนความรักของมิวกับโต้งไม่ผิดเพี้ยน มิวคงต้องไปอยู่ระยองตามสัญญาที่ให้ไว้กับป๊า ขณะที่โต้งเอง ก็อยู่กรุงเทพฯ โอกาสที่จะได้เจอกันและคบกันคงแทบจะไม่มีอีกแล้ว นอกจากต้องรอความหวัง ความหวังหนึ่งเดียวที่เป็นแรงยึดเหนี่ยวให้ทั้งคู่เข้มแข็ง


ตราบใดมีรัก.... ก็ย่อมมีความหวัง....


“แล้วเรายังควรจะหวังอยู่รึเปล่าโต้ง” จู่ๆมิวก็โพล่งคำถามขึ้นมา ชายหนุ่มผู้ถูกถาม เข้าใจทันทีว่าคนรักหมายถึงอะไร โดยยังไม่ทันได้ตอบ โต้งจับมือของมิวขึ้นมาระดับอก มือของมิวที่เริ่มสั่นเทาไปตามความรู้สึกที่หวั่นกลัว อ่อนไหว และหวาดเกรงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในวันมะรืน วันที่มิว ออกัส หญิง และโต้ง จะไประยองด้วยกันทุกคน


มือของโต้งกระชับพื้นที่มือของมิวให้แน่นขึ้น นักร้องหนุ่มหันหน้ามาจ้องมองแววตาของคนรัก แววตาสีน้ำตาลและสีน้ำเงินของทั้งสองคนต่างสะท้อนความรู้สึกของกันและกันอย่างอบอุ่น ในที่สุดมือของมิวก็เลิกสั่น นักร้องหนุ่มยังคงจ้องตาคนรักเพื่อรอคำตอบ


“มิวเป็นคนรักคนเดียวของโต้งนะ...”


“โต้งงงง”


“ถึงแม้ว่ามันจะเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็อยู่คู่กันเสมอไม่ใช่เหรอมิว ทะเลกับท้องฟ้าไม่เคยพรากจากกัน ถึงจะไกลกัน แต่หัวใจย่อมอยู่กับกันและกันเสมอ และเมื่อรุ่งอรุณขึ้นมาใหม่พร้อมความหวัง เมื่อนั้น ทะเลและท้องฟ้าก็จะสร้างความงดงามให้ได้เห็นอีกครั้ง อีกครั้ง ทุกๆครั้ง...”


“โต้งงงงงง”


“อย่ายอมแพ้นะมิว มิวเคยชนะใจพ่อกับแม่ของเราได้ เราก็จะต้องชนะใจป๊าของมิวให้ได้ มิวเชื่อใจเรารึเปล่า” โต้งใช้น้ำเสียงมุ่งมั่นเอ่ยถามมิว


“อือ....” มิวพยักหน้าตอบ จากนั้นก็ให้โต้งช่วยยกภาพไปแขวนในห้องนอนของตน



นักร้องหนุ่มนอนมองคนรักนั่งสวดมนต์สรรเสริญพระแม่มารีก่อนนอนอย่างที่เคยเป็น โต้งล้มตัวลงนอนข้างๆเจ้าของห้อง สองตาสีน้ำตาลและสองตาสีน้ำเงินต่างจ้องมองภาพวาดของนักร้องนำวงออกัสด้วยกัน ไม่มีคำพูดให้ได้ยินอีก ร่างสูงยกแขนกางให้คนรักเข้ามานอนอิงข้างๆอย่างที่เคยทำเมื่อก่อนนี้



...



...




เช้าวันรุ่งขึ้น นักร้องหนุ่มตื่นขึ้นมาตามลำพัง หันไปมองที่ด้านขวากลับพบแต่ความว่างเปล่า ด้วยความเคยชิน มิวจึงเหลือบไปดูกระดาษโพสต์อิตที่แปะไว้ตุ๊กตาบนหัวเตียง กระดาษสีฟ้า เขียนด้วยปากกาเมจิกสีเขียวลายมือของคนคุ้นเคย “เห็นนอนอยู่...ก็เลยไม่ปลุกนะ” เจ้าของเตียงหยิบขึ้นมาอ่าน แล้วคว้าหมอนหนุนที่โต้งใช้เมื่อคืนมานอนกอดแทนหมอนข้าง



“ไปพรุ่งนี้เลยเหรอโต้ง...” สุนีย์เอ่ยถามลูกชาย หลังจากชายหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟัง


“ครับ... โต้งจะไปกับมิว และก็พวกออกัสที่อยู่รุ่นเดียวกับมิวก่อน แล้วก็ปิงปองอีกคนด้วย รุ่นน้องที่เคยมาบ้านเราน่ะแม่ คนที่เป่าแซ็กแล้วลุงหมอบอกว่าชอบมากน่ะ จำได้ปะ ตอนปาร์ตี้ฉลองสอบติดของโต้งก็มา”


“อือ.. นึกออกแล้ว แล้วคนอื่นๆล่ะ ไหนว่ามีสมาชิกในวงตุ้งสิบเอ็ดคนไม่ใช่เหรอ” สุนีย์ยังถามต่อ


“คนอื่นๆจะตามไปวันมะรืนนี้ พวกโต้งจะไปหยั่งเชิงดูสถานการณ์ก่อน เผื่อว่า......”


“แม่เข้าใจ เอาเหอะ ไหนๆก็สอบเสร็จแล้ว โต้งไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้างก็ดีเหมือนกัน แล้วไม่ชวนเพื่อนที่โรงเรียนไปด้วยเหรอโต้ง”


“ชวนแล้วแม่... พวกนั้นบอกว่าจะไปเที่ยวเกาะเสม็ด โต้งก็เลยกะจะไปเจอกันที่เกาะเลย”


“นี่จะขึ้นเกาะด้วยหรอ”


“เผื่อไว้ก่อนน่ะแม่ ถ้าป๊ามิวเค้า.....”


“ตามใจเราแล้วกัน โต้งโตแล้ว ตัดสินใจเองได้ แล้วนี่มีเงินแล้วหรอ”


“มีแล้วแม่ เพิ่งได้ค่าตัวเล่นเอ็มวีเพลงของมิวมาเมื่ออาทิตย์ก่อน มีพอเที่ยวเหลือเฟือเลย”


“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ แล้วคืนนี้จะไปนอนค้างบ้านมิวอีกรึเปล่า”


“ไปครับ แต่โต้งจะชวนมิวกับเพื่อนบางคนมาทานข้าวเย็นที่นี่ก่อน ว่าจะชวนพี่จูนมาด้วยนะ”


“จริงหรอ ดีเหมือนกัน พ่อเราก็แอบบ่นถึงเหมือนกัน ให้พี่จูนเค้ามาคุยกับพ่อบ้าง จะได้หายเหงา”


“แล้วถ้าโต้งไม่อยู่.. ใครจะช่วยแม่ดูแลพ่อล่ะ”


“ไม่ต้องห่วงน่า พ่อเค้าหายดีแล้ว แต่ยังคงมีอาการซึมเศร้าอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ”


“ครับ... งั้นโต้งไปอาบน้ำก่อนนะแม่ แล้วจะลงมาทานข้าวเช้าด้วย” ชายหนุ่มพูดจบก็วิ่งขึ้นบนบ้าน ทิ้งให้ผู้เป็นแม่เตรียมอาหารเช้าต่อไป หญิงสูงวัยดูมีความสุขมากขึ้นและมีเวลามากขึ้นด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อน สุนีย์ต้องรีบเตรียมอาหารเช้าให้ลูกชายและเร่งขับรถไปส่งโต้งที่โรงเรียน ก่อนจะกลับมาเตรียมอาหารเช้าให้สามีแล้วค่อยไปมหาวิทยาลัย ตอนพักเที่ยงก็ต้องกลับมาเตรียมอาหารกลางวันให้กรอีก เป็นแบบนี้มาหลายปี



จนกระทั่งคนรักของลูกชายมาให้ชีวิตใหม่กับครอบครัว มิวมาเติมความหวังให้กับครอบครัวนี้ สุนีย์จึงไม่ต้องลำบากเหมือนเมื่อก่อน แต่สามารถอยู่รับประทานอาหารเช้าพร้อมหน้าได้ก่อนไปทำงาน ความสุขแบบที่สุนีย์ไม่ได้สัมผัสมาหกปี เหลียวมองที่บันไดขึ้นชั้นบนแล้วแอบคิดในใจ



“นี่ถ้าโต้งต้องผิดหวังจากมิวจริงๆ แล้วจะเป็นแบบ.......” สุนีย์แอบกลัวว่าลูกชายจะเอาอย่างพ่อ

“เด็กสองคนนี่.......เค้ารักกันาก และโต้งก็คงจะเสียใจมาก ถ้าต้องพรากจากมิวไปอีก” สุนีย์คิดอย่างเชื่อมั่นว่าลูกของตนและมิวจริงใจต่อกันและกัน และตนจะต้องช่วยเด็กทั้งสองให้ได้ จึงแอบเดินไปคุยกับสามีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่และปรึกษากันเล็กน้อย




...



...




เช้าวันศุกร์ ชายหนุ่มสองคนนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ด้วยกันที่โต๊ะกลมตัวประจำ เจ้าของบ้านสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน สวมทับด้วยแจ๊กเก็ตสีเดียวกันแต่เข้มกว่า ขณะที่หนุ่มร่างสูงผมเกรียน สวมเชิ้ตสีน้ำเงิน สวมทับด้วยแจ๊กเก็ตสีฟ้า ทั้งคู่สวมกางเกงยีนส์สีเบสิคสีเดียวกันและทรงเดียวกัน หญิงชรายังคงทำงานง่วนอยู่ในครัว นักร้องนำวงออกัสนั่งกินโจ๊กหมูชามเดียวกันกับชายหนุ่มผมเกรียน ช้อนสองคันที่ต่างคนต่างถือแต่ไม่ได้ป้อนเข้าปากตนเอง หากแต่ผลัดกันป้อนให้แก่กันและกัน



“ป้าอรไม่ไปกับมิวเหรอ” โต้งถาม


“อือ.... ป้าอรบอกว่าจะตามไปทีหลังตอนเช็งเม้งต้นเดือนหน้าน่ะ” มิวตอบพลางมองหน้าโต้งไม่วางตา


“มองหน้าเราทำไมเหรอมิว” โต้งถามอย่างสงสัย


“ก็.... โต้งมีเคราขึ้นแล้วนะ เท่ดี แต่ไม่รู้ว่าป๊าจะชอบรึเปล่า”


“คงไม่มั้ง... ไม่งั้นคง.... แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่ชอบ อีกหน่อยก็ต้องชอบ ว่าแต่.. มิวเองก็มีหนวดขึ้นเหมือนกันนะ ให้เราช่วยโกนให้มั้ย”


“จะดีเหรอโต้ง....” มิวถาม พลางมองนาฬิกาข้อมือสีเขียวของตน


“น่านะ ให้เราโกนหนวดให้มิว แล้วเดี๋ยวมิวโกนเคราให้เราบ้าง” โต้งมองมิวยิ้มๆ ในใจก็รู้ว่าเวลาที่รถจะมารับยังห่างออกไปเพียงพอที่จะทำธุระเรื่องหนวดเคราได้






ขณะเดียวกันที่ออฟฟิศของบริษัทจัดรายการวิทยุชื่อดัง ดีเจกระเทยนายหนึ่งกำลังนั่งรอจัดรายการ แต่โทรศัพท์มือถือพลันดังขึ้นพอดี จึงต้องคว้ามาคุยเสียก่อน


“มดแดงเหรอยะ นี่พี่เอง เจ๊หกไง” เสียงปลายสายดังขึ้น


“ค่ะเจ๊... ว่าไงคะ” มดแดงถาม


“แกเคยสัมภาษณ์นักร้องนำวงออกัสใช่มั้ยยะ เมื่อตอนงานเปิดอัลบั้มน่ะ”


“ค่ะเจ๊... ทำไมเหรอคะ”


“แล้วนักร้องนำล่ะ ที่ชื่อมิวน่ะ เค้าเป็นไงบ้าง”


“เจ๊โทรมาถามเรื่องน้องมิว ไปได้ข่าวอะไรมาเหรอคะเจ๊”


“ก็ไม่มีอะไร พอดีเจ๊ไปได้ยินเรื่องบางอย่างมา อยากจะเม้าท์ให้ฟัง”


“มีอะไรงั้นหรือเจ๊” มดแดงเริ่มสนใจ


“ก็รุ่นน้องเจ๊น่ะสิ เป็นเพื่อนกับญาติของพระเอกเอ็มวีของวงออกัสน่ะ แกรู้จักปะล่ะ”


“อ๋อ...น้องโต้ง เค้าเป็นเพื่อสนิทน้องมิวตั้งแต่เด็กไงคะ”


“แล้วแกรู้รึเปล่า ว่าพ่อน้องโต้งน่ะ ตับเสื่อมเพราะกินเหล้ามาก เพิ่งจะปลูกถ่ายไปไม่นานนี้เอง”


“ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้องมิวด้วยล่ะเจ๊”


“เอียงหูตั้งใจฟังให้ดีเลยนะยะ ชั้นมีข่าวเด็ดจะเล่าให้ฟัง ข่าววงในคอนเฟิร์มได้...” และการสนทนาก็ดำเนินต่อไป



...



...




Create Date : 22 กรกฎาคม 2553
Last Update : 22 กรกฎาคม 2553 1:40:21 น.
Counter : 486 Pageviews.

4 comments
  
ยังรออ่าน ตอนต่อไปอย่างจดจ่อ จ้ะ
โดย: Inn IP: 125.24.208.223 วันที่: 28 กรกฎาคม 2553 เวลา:11:54:03 น.
  
มาเพิ่มเติม ค่ะ
ว่า อย่าเขียนค้างๆ ไว้เหมือน ตามะเดี่ยวที่สร้างค้างๆคาๆไว้ให้คาดให้คิดกันเอง (เหนือ จินตนาการไปมั้ง)
อยากให้เขียนให้จบ
และขอให้เขียนให้จบค่ะ
ทุกตัวละครเป็นจินตนาการที่มีแรงบันดาลใจจริง

ด้วยความนับถือ ถึงผู้เขียนค่ะ
โดย: Inn IP: 125.24.247.97 วันที่: 1 สิงหาคม 2553 เวลา:10:48:16 น.
  


ที่จริงก็ไม่อยากเขียนค้างๆหรอกครับ คิดตอนจบไว้แล้วด้วย..


แต่ไม่ค่อยมีเวลามานั่งพิมพ์ แถมโน้ตบุ๊คก็ส่ออาการใกล้เจ๊ง


ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาตลอดนะครับ ก่อนครบรอบสามปี"รักแห่งสยาม" คงจะจบพอดีมั้ง...

โดย: นิรมิตร (Niramitr ) วันที่: 2 สิงหาคม 2553 เวลา:0:11:20 น.
  
ค่ะ คงจะมีงานอื่นๆที่ต้องรับผิดชอบ เนาะ
ไม่ว่ากันค่ะ แค่แอบหวังๆ ว่าจะได้อ่านเรื่องราวตอนต่อไปในเร็ววัน
ขอให้Notebook หายป่วยในเร็ววันนะคะ


รอต่อไป อย่างต่อเนื่อง

ขอบคุณค่ะ
โดย: Inn IP: 125.24.221.211 วันที่: 2 สิงหาคม 2553 เวลา:18:30:33 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments