All Blog
ตอนที่ 02 +++ บทเพลงแห่งความรู้สึก +++
ที่บ้านมิว



รถตู้สีเทาคันนึงวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านมิว หลังจากที่รถจอดสนิท ชายหนุ่มคิ้วหนาในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเข้มคนหนึ่งก็ส่งเสียงตะโกนเรียกเจ้าของบ้านจากหน้าประตูเหล็ก



“ มิวโว้ย....เชี่ยมิว ....เสร็จรึยังวะ ขืนชักช้าเดี๋ยวรถติดนะเว้ย ...เชี่ยมิว ...ตอบด้วย ...วู้ ”

“ หยุดแหกปากได้มั้ยนายชินจัง ตะโกนซะลั่นทุ่ง ยังกับบ้านทำโรงสีงั้นแหละ “ เสียงหญิงสาวเสื้อยืดสีชมพูอ่อนคนหนึ่งว่ากลับมาจากหน้าบ้านหลังตรงข้าม

“ โทษที ..ว่าแต่เธอเห็นมิวรึเปล่า เรานัดมันไว้ห้าโมง ไอ้เชี่ยนี่สายทุกที ต้องให้ด่าประจำ แล้วนี่เธอใช่เด็กผู้หญิงแก่นๆที่เคยแอบถ่ายรูปเรากับเพื่อนๆใช่ปะ โตเป็นสาวแล้วน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย แล้วมีแฟนรึยังล่ะ เราเป็นแฟนให้เอาปะ “

“ บอกแล้วว่าไอ้เอ๊กซ์มันปากปีจอ ทีนี้เชื่อรึยังอะหญิง “ เสียงของมิวดังขึ้นก่อนประตูเหล็กจะถูกเปิดออกซะอีก “ มรึงเลิกบ่นเป็นหมีกินผึ้งได้แล้วเชี่ยเอ๊กซ์ กรูเสร็จตั้งนานแล้วเนี่ย แล้วเลิกทำปากเสียกับเพื่อนกรูด้วย เราไปก่อนนะหญิง แล้วไว้ค่อยคุยกันต่อพรุ่งนี้นะ คืนนี้คงกลับดึก “ มิวพูดกับหญิงจบก็ปิดประตูเหล็กแล้วเดินขึ้นรถไป

“ ไปแล้วนะครับคุณผู้หญิง “ เอ๊กซ์แกล้งทำตาหวานใส่หญิงแล้วก็ขึ้นรถไปอีกคน

“ เพื่อนบ้านมรึงหน้าตาน่ารักดีนะเว้ย...ไอ้มิว ขอเบอร์ให้กรูได้เปล่าวะ เพื่อนกันอย่ามาหวงก้างนะโว้ย “ เอ๊กซ์ขอเบอร์โทรศัพท์ของหญิงจากมิว

“ ไอ้เชี่ยนี่ ริจะให้กรูเป็นพ่อสื่อ ฝันไปเถอะมรึง หญิงเค้าไม่เอาชินจังหน้าหม้อหูดำไปทำแฟนหรอก “ มิวปฏิเสธเอ๊กซ์ไปตรงๆ ทำเอาเอ๊กซ์หน้าบึ้งขึ้นมาบ้าง

“ ต้องเป็นตี๋หน้าลิงพาวเวอร์เกย์อย่างมรึงงั้นสิ “ เอ๊กซ์ว่ากลับไปบ้าง



เสียงมิวเงียบไปทันที ไม่ต่อล้อเถียงกับเพื่อนสนิทคิ้วหนาอีก ทำให้เพื่อนคนอื่นๆในวงหันมาให้ความสนใจทันที เพราะปรกติมิวกับเอ๊กซ์ก็เถียงกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่การที่มิวเงียบไปเฉยๆแบบนี้ แสดงว่าคำพูดของเอ๊กซ์ต้องไปสะกิดแผลในใจของมิวซักอย่างแน่นอน สายตาหลายคู่จึงหันไปหาเอ๊กซ์ แสดงอาการตำหนิความปากหมาของเพื่อน ทำให้เอ๊กซ์ต้องหันไปมองมิวด้วยแววตาเสียใจ สำนึกผิด



“ มิว กรูขอโทษนะโว้ย กรูทำให้มรึงโกรธอีกแล้วใช่ปะ “

“ กรูไม่ได้โกรธมรึงหรอก แต่เมื่อก่อนหญิงเค้าเคยแอบชอบกรูจริงๆ จนเค้ารู้เรื่องกรูกับโต้งนั่นแหละ พวกมรึงว่าความรักมันคืออะไรกันแน่วะ ใครช่วยบอกกรูหน่อยดิ กรูเคยคิดนะเว้ยว่ากรูเริ่มจะเข้าใจความรักแล้ว แต่ตอนที่กรูกับโต้งเกิดเรื่อง แล้วมาเรื่องหญิงอีก ทำให้กรูคิดว่าจริงๆแล้วเรื่องความรักเนี่ยกรูคงโง่มั้ง กรูเคยคิดว่าความรักทำให้กรูมีความสุขนะเว้ย แต่แล้วเพราะความรักนั่นแหละที่เอาความสุขคืนไปจากกรู กรูยังคิดไม่ตกเลยว่าจะลืมมันดีมั้ย กรูจะผ่านมันไปได้มั้ย “ มิวพรั่งพรูความรู้สึกออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าเพื่อนๆหลังจากเหตุการณ์ที่สุนีย์มาหาครั้งนั้น

“ อย่าคิดมากสิวะ ความรักก็มักเป็นอย่างเงี้ย ยิ่งใฝ่ฝันมาก ยิ่งอยากครอบครองมาก สุดท้ายก็มักหลุดลอย บางทีความรักก็ทำให้เราเป็นคนโง่ หรือกรณีมรึง ความรักกลับทำให้มรึงกลายเป็นคนขี้เหงายิ่งขึ้น มรึงดูกรูนี่ อกหักมากี่หนแล้ว ไม่เห็นจะตายเลย อย่าไปสนใจเลยวุ้ย พวกเรามันก็แค่คนธรรมดา มีรัก มีสมหวังผิดหวังเป็นธรรมดา “



มิวได้ฟังคำพูดของเอ๊กซ์แล้วก็คิดตาม นักร้องหนุ่มร่างบางค่อยๆไตร่ตรองคำพูดของเพื่อนสนิทคนนี้ ถึงแม้ว่าเพื่อนคิ้วหนาหน้าทะเล้นอย่างเอ๊กซ์จะปากปีจอเป็นกิจวัตร แต่คำพูดของเอ๊กซ์ในครั้งนี้ก็ได้ช่วยจุดประกายบางอย่างให้กับมิว



“ เฮ้ยแวน ... มรึงช่วยหยิบกระดาษให้กรูหน่อยสิวะ “

“ มรึงอย่าบอกนะ ว่ามรึงซึ้งกับคำพูดไอ้เอ๊กซ์จนจะร้องไห้ อย่ามาทำเสี่ยวแ_กแถวนี้นะโว้ย ขนาดกรูยังจะเลี่ยนเลย “

“ ไอ้ห่าแวน มรึงไม่ซาบซึ้งก็เรื่องของมรึงซิวะ มาแขวะกรูทำไมเนี่ย “

“ หยุดเถียงกันแป๊บได้เปล่าวะ กรูไม่ได้คิดจะเอาทิชชู่ กรูจะเอากระดาษปากกามาจดอะไรหน่อย “ มิวห้ามทัพ ก่อนที่สงครามครั้งใหม่จะเริ่มขึ้น

......................................

............................

.................

ที่บ้านโต้ง



“ เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต ..... อาเมน

พระสวามีเจ้าข้า โปรดอวยพรแก่ข้าพเจ้า และอาหารที่จะรับประทานนี้

เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต ..... อาเมน “



“ เมื่อคืนโต้งไปนอนค้างที่ไหนมาลูก “ กรเอ่ยปากถามลูกชาย

“ พอดีเมื่อคืนโต้งแวะไปบ้านเพื่อนมาครับ โต้งคิดว่าแม่พาพ่อไปนอนโรงพยาบาลก็เลยคิดว่านอนบ้านมันก็ได้ เมื่อคืนไปกันหลายคน นอนที่นั่นกันหมดเลย “ โต้งจำใจต้องโกหกผู้เป็นพ่อ เพราะไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจ กรซึ่งไม่ค่อยได้สนใจอะไรมากเพราะเห็นว่าลูกโตแล้ว ซ้ำยังเป็นเด็กผู้ชายด้วย จึงได้ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป ต่างจากสุนีย์ที่มองมาที่โต้งด้วยกิริยาจับผิด โต้งสังเกตสีหน้าของมารดาก็รู้โดยทันทีว่าตนไม่สามารถจะโกหกแม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าทานข้าวโดยไม่กล้าสบตากับสุนีย์แม้แต่น้อย



หลังจากอาหารมื้อเย็นที่ค่อนข้างอึดอัดในความรู้สึกของโต้งผ่านพ้นไป สุนีย์ก็จัดยาให้กร แล้วพาไปนอนพัก จากนั้นจึงเดินไปช่วยโต้งล้างจานด้านหลังครัว



“ บอกแม่ได้รึยังว่าเมื่อคืนไปนอนที่ไหนมา ฮึ... แม่หวังว่าโต้งจะไม่โกหกแม่นะ” สุนีย์ที่กำลังล้างน้ำเปล่าอยู่ เอ่ยปากถามลูกชายถึงสิ่งที่ค้างคาใจของเธอมาตั้งแต่ช่วงสาย

“ หน้าบ้านมิวฮะแม่ “ โต้งก้มหน้าตอบแม่ โดยที่ไม่กล้าสบตาเหมือนเดิม

“ หมายความว่าไง นอนหน้าบ้านมิว”

“ ก็มิวไม่ยอมให้โต้งเข้าบ้าน ตะโกนเรียกก็แล้ว ตั้งแต่หลังงานปาร์ตี้ที่จัดให้พี่จูน มิวเค้าก็หลบหน้าโต้งตลอดเลย ตอนแรกโต้งว่าจะไปค้างบ้านเพื่อน แต่ตอนกลางวันก็พึ่งจะมีปัญหากัน โต้งก็เลยไม่รู้จะไปไหน สุดท้ายก็หลับอยู่หน้าบ้านมิว”

“ แล้วเรื่องหอมแก้มผู้หญิงที่งานเมื่อคืนนี้ล่ะ อธิบายมาซิ “

“ แม่รู้ได้ไงเนี่ย “

“ ก็เราคิดจะทำอะไรไม่รู้จักเกรงใจสายตาคนอื่นเค้าซะบ้าง เห็นกันตั้งหลายคน น้าเอ๋เค้าโทรบอกแม่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว “

“ เปล่าแม่ ไม่มีอะไร ก็แค่หอมแก้มอำลากันเท่านั้นเอง “

“ คราวหน้าจะทำอะไรก็หัดระมัดระวังหน่อยก็แล้วกัน แล้วเรื่องของเรากับมิวล่ะเป็นไงบ้าง “

“ ก็ไม่รู้เหมือนกัน โต้งยังไม่ได้คุยกับมิวเลย มิวไม่รับโทรศัพท์โต้งนานแล้ว “ สุนีย์สังเกตได้ว่าน้ำเสียงของลูกชายดูเศร้าสร้อย เบาบาง ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน

“ ตอนนี้โต้งคิดยังไงกับมิว “

“ แม่อยากให้โต้งพูดสิ่งที่โต้งคิดจริงๆ หรือสิ่งที่แม่อยากได้ยินกันแน่ล่ะ “

“ ก็ต้องอยากรู้น่ะสิ ว่าหัวใจของโต้งบอกอะไรโต้ง “

“ โต้งบอกมิวไปเมื่อคืนคริสต์มาสว่า โต้งคงคบกับมิวเป็นแฟนไม่ได้ “ คำพูดของโต้งทำให้สุนีย์ใจชื้น แม้ว่าเธอจะไม่อยากเชื่อหูตัวเองก็ตาม

“ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าโต้งไม่ได้รักมิวนะ “ และแล้วคำพูดที่โต้งกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจแม่ของเค้าก็หลุดออกมา โต้งมองหน้าแม่เพื่อรอคำตอบ แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับจากสุนีย์ โต้งกลับเห็นสีหน้าที่มีรอยยิ้มเจื่อนๆของแม่ เหมือนกับตอนที่เค้าช่วยแม่ประดับต้นคริสต์มาสไม่มีผิด

“ โต้งคิดว่าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้วใช่มั้ย “ สุนีย์ถามกลับมาที่โต้งอีกครั้ง

“ โต้งรู้แต่ว่าโต้งรักมิวคนเดียวจริงๆ แล้วก็ไม่มีทางรักคนอื่นได้อีกแล้ว “

“ แต่โต้งก็รู้ว่าเรื่องอย่างนี้จะมีคนยอมรับได้ซะกี่คนกัน มันไม่ถูกต้อง แล้วชีวิตในวันข้างหน้าล่ะ จะเป็นไปได้เหรอโต้ง แล้วถ้าพ่อเค้ารู้ .... แม่คิดไม่ออกจริงๆนะ ว่ามันจะเป็นยังไง “ สุนีย์พยายามอธิบายให้โต้งฟังถึงเหตุผลที่ถูกต้องตามความคิดของเธอ

“ ถ้ามิวไม่ได้เป็นอย่างที่เป็น แม่จะรักมิวหรือเปล่าครับ มิวเค้าผอมไปมากเลย สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า โต้งสงสารมิวครับแม่ โต้งทำร้ายมิวไว้มากเหลือเกิน“

“ แม่น่ะทั้งรักและก็สงสารมิวมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว คิดเสมอว่ามิวก็เหมือนลูกชายคนนึง แต่เรื่องของโต้งกับมิวมันเหนือความคาดหมายของแม่จริงๆ “

“ โต้งขอโทษนะครับแม่ โต้งทำให้แม่ต้องทุกข์ใจ แต่โต้งพยายามแล้วนะ “

สุนีย์สวมกอดลูกชาย ทั้งๆที่มือยังเปียกน้ำอยู่ ไม่มีคำพูดใดๆเกิดขึ้นอีก มีแต่ความรัก ความสงสารที่เธอมีต่อลูกชาย ‘ มันจะเป็นยังไงต่อไปนะ ‘ สุนีย์ได้แต่คิดกับตัวเอง

.........................................

...............................

...................

........



ที่บ้านปิงปอง



งานเลี้ยงวันเกิดของปิงปองดำเนินไปพร้อมรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของทุกๆคน ความสุขความหรรษาอบอวลไปตลอดงาน จะมีก็แต่มิวที่ง่วนอยู่กับกระดาษตรงหน้า ในขณะที่วงออกัสต์ขึ้นไปเล่นมินิคอนเสิร์ตโดยไม่มีค่าตัวบนเวทีขนาดย่อมเพื่อขับกล่อมบรรดาแขกเหรื่อในงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนเซ้นต์นิโคลัสเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเพื่อนร่วมห้องของปิงปอง แล้วก็มีเพื่อนข้างบ้านบ้างนิดหน่อย และยังมีนักเรียนสาวๆเด็กโรงเรียนคอนแวนต์ข้างๆกันที่เคยถูกปิงปองขายขนมจีบ มิวจำได้ว่าปิงปองเคยเอา CD ซิงเกิ้ลแรกให้กับสาวๆเหล่านั้น



“ ทำไมพี่มิวไม่ขึ้นไปร้องเพลงล่ะคะ อยากฟังเสียงพี่มิวจัง “ น้องผู้หญิงคนหนึ่งมาคุยกับมิวที่นั่งอยู่คนเดียวปล่อยให้คนอื่นสนุกสนานกัน

“ พี่ไม่ค่อยสบายน่ะครับ อีกอย่างก็อยากให้น้องแม็ก น้องอ๋องได้โชว์บ้าง น้องเค้าก็เสียงดีไม่แพ้พี่หรอก แต่ยังขาดโอกาสอยู่น่ะ “ มิวตอบเสร็จก้กลับมาสนใจกระดาษแผ่นเดิม

“ อ้าว ... เกด มากวนพี่มิวอยู่นี่เอง ไปเต้นกันต่อเหอะ ท่านอ๋องเปลี่ยนไปร้องเพลงเร็วแล้ว นานๆมันจะได้ร้องเพลงเร็วซักที พลาดรอบนี้รออีกนานเลยนะกว่าจะได้ฟังเพลงเร็วจากท่านอ๋องเนี่ย เร็วเข้า พี่มิวไม่ไปเต้นด้วยกันเหรอครับ “

“ ตามสบายเหอะเรา เจ้าของวันเกิดอะไรกันวิ่งไปนู่นไปนี่ทั้งงานเลย “

“งั้นปิงปองไปแด๊นซ์ต่อแล้วนะครับ พี่มิวกินให้อิ่มนะไม่ต้องเกรงใจ “



ปิงปองเดินกลับไปเต้นกับเพื่อนสาวแล้ว มิวก็ก้มหน้าทบทวนสิ่งที่พึ่งจะเขียนเสร็จ ‘คนธรรมดา’ บทเพลงใหม่ของมิว เพลงรักที่เรียกน้ำตาของคนแต่งไปไม่น้อยทีเดียว



“ นั่งทำเชี่ยอะไรคนเดียววะ ปาร์ตี้วันเกิดไอ้ปิงนะโว้ย หรรษาหน่อยดิวะ แล้วนี่มรึงถืออะไรในมือเนี่ย “ เอ๊กซ์ไม่รอให้มิวอนุญาตก็คว้ากระดาษแผ่นนั้นไปจากมือของมิทันที

“ คนธรรมดา เพลงใหม่หรอวะ ไหงรอบนี้แต่งเพลงเศร้าวะมรึง เอ้า..เอาคืนไปขี้เกียจอ่าน เดี๋ยวกรูพาลจะเศร้าซะฉิบ มรึงไม่ไปเต้นเหรอวะ มันส์ดีนะเว้ย”

“ แล้วไหงมรึงไม่เป็นเล่นกีตาร์ล่ะวะ มานั่งเฝ้ากรูอยู่ได้ “

“ ขี้เกียจบ้างสิวะ ก็เลยเปิดแทร็กเอา มรึงแหกตาดูซิ ไม่เหลือนักดนตรีแล้ว โน่นแดนซ์กระจาย บางคนก็กินกระจุย เหลือท่านอ๋องร้องสดอยู่คนเดียว แล้วก็มรึงที่นั่งกระจุมปุ๊ก

อยู่คนเดียวนี่แหละ “ เอ๊กซ์ตอบมิวด้วยสีหน้ากวนๆแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยในตัวเพื่อนสนิทคนนี้ ซึ่งมิวก็สามารถรับรู้ได้ถึงความหวังดีที่เพื่อนคิ้วหนาคนนี้มีให้



หลังจากสนุกสนานกันมาพอสมควรแล้วก็ถึงเวลาเป่าเค้กวันเกิดซักที เทียนทั้ง 18 เล่มถูกจุดขึ้น บอกให้รู้ว่าเจ้าของวันเกิดมีอายุครบ 17 ปีเต็ม



“ Happy birthday to you , Happy birthday to you , Happy birthday Happy birthday

Happy birthday to you . ปู้ด........ เสียงเป่าเทียนของปิงปองที่คล้ายเสียงผายลมดังขึ้น เป็นที่ขำขันของผองเพื่อน



หลังจากที่แขกเหรื่อกลับไปหมดแล้ว มิวก็ไปนั่งหน้าคีย์บอร์ดของแวนแล้วเริ่มบรรเลงเพลงใหม่ที่พึ่งจะแต่งเสร็จทันที ทำให้เพื่อนสมาชิกที่เหลือพร้อมด้วยพี่อ๊อดหันมามอง



วันเวลาที่แสนสวยงามของเรา อาจจบเท่านั้น
เป็นเพียงเพราะเราใช้มันทำให้กันและกัน ต้องเสียใจ
เมื่อความเป็นจริงวันวานเมื่อวานนั้นผ่านไป
แต่เรายังหวัง ให้รักที่เหลือเจือจางเป็นดั่งเดิมทุกอย่าง

เราใฝ่ไปเกินฝัน จนเป็นความไม่เข้าใจ
เวลาจะแปรอะไรจากที่เป็น ไม่เว้นแม้รัก
ที่ผูกพันและเสียดาย
จนวันหนึ่งมันเปลี่ยนเราไปคล้ายใคร ไม่รู้จัก

บางทีเราเป็นเพียงคนโง่ บางทีเราเป็นเพียงคนเหงา
บางทีเราอาจเพียงต้องการแค่เรา ที่หายไป
บางทีเราเป็นเพียงคนหนึ่งธรรมดา ที่ไม่เข้าใจ


ในความหมายรักลึกซึ้ง และแสนยิ่งใหญ่ .....กว่าใครครอบครอง

เราเคยคิดว่า เราสองเราก็ต่าง เข้าใจในรัก
และพยายามทำเหมือนว่าเรารู้จัก ความไว้ใจ
ก็เคยสัญญาว่าไม่ครอบครอง เราแค่ ประคองกันไว้
แต่ความรักนั้นทำให้ทุกอย่างมันไม่ง่าย ( โอ้ )



เราใฝ่ไปเกินฝัน จนเป็นความไม่เข้าใจ
เวลาจะแปรอะไรจากที่เป็น ไม่เว้นแม้รัก
ที่ผูกพันและเสียดาย
จนวันหนึ่งมันเปลี่ยนเราไปคล้ายใคร ไม่รู้จัก



บางทีเราเป็นเพียงคนโง่ บางทีเราเป็นเพียงคนเหงา
บางทีเราอาจเพียงต้องการแค่เรา ที่หายไป
บางทีเราเป็นเพียงคนหนึ่งธรรมดา ที่ไม่เข้าใจ

ในความหมายรักลึกซึ้ง และแสนยิ่งใหญ่ ......กว่าใครรู้

แล้วมันจะผ่านพ้นไปหรือเปล่า แล้วเราจะลืมได้เมื่อไร
แล้วใจที่พังยับเยินใครจะเอาไว้ ......

รัก คือที่มาของความสุข แต่รักก็เอามันคืนไป
ไม่รู้ ใครบอกฉันซักทีว่า ความรัก...มันคืออะไร ...มันคืออะไร...ใครบอก.....ฉัน.....




Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 15:08:23 น.
Counter : 625 Pageviews.

10 comments
  

เพลงของมิวจบลง เรียกความเศร้าเสียใจ และประทับใจให้กับทุกคน สักพักเสียงปรบมือก็ดังขึ้น รอยยิ้มของมิวเปื้อนอยู่บนคราบน้ำตาของตนเอง เพลงที่กลั่นจากความรู้สึกเศร้าที่หลงอยู่ในใจของตน แต่ก็ซ่อนความรักไว้ในนั้นด้วย

“ เพราะ ... เพราะมาก เพลงนี้แหละจะเป็นเพลงโปรโมตของพวกเราในซิงเกิ้ลต่อไป “

เสียงพี่อ๊อดผู้ดูแลวงดังขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนกำลังซาบซึ้งกับบทเพลงใหม่ที่มิวเขียนขึ้น

“ แต่พี่ว่าเพลงเดียวไม่พอนะมิว ตอนนี้วงออกัสต์กำลังเป็นที่สนอกสนใจของผู้คน ตั้งแต่เมื่อคืนคริสต์มาสที่ลานสยามดิสพี่ก็รับโทรศัพท์ชื่นชมแทบไม่ทัน ทั้งค่ายเทป คลื่นวิทยุต่างๆ ซ้ำยังเริ่มมีกลุ่มแฟนคลับแล้วด้วย ยังไงพี่ขอเพิ่มอีกซักสองเพลงนะมิว ถ้าได้เพลงกันและกันไปรีมิกซ์ใหม่จะดีมากเลย เพราะตอนนี้เพลงกันและกันเริ่มติดชาร์ตท็อปเท็นในหลายๆคลื่นแล้ว มีหลายเสียงชื่นชมเนื้อหาของเพลง ต่างสนใจอยากรู้ความเป็นมาของเพลง ถามกันใหญ่ว่าใครเป็นคนแต่ง พี่ก็บอกพวกนั้นไปว่านักร้องนำแต่งเพลงกันและกันด้วยตัวเอง พวกนั้นก็ยิ่งประทับใจในฝีมือของพวกเรากันยกใหญ่ ท่าทางอนาคตของพวกเราน่าจะไปได้ไกลกว่านี้นะเนี่ย “

“ ครับพี่ ผมจะพยายามครับ “ สีหน้าและน้ำเสียงของมิวแสดงออกถึงความไม่มั่นใจ มันไม่ง่ายเลยนะที่จะเขียนเพลงขึ้นมาใหม่ ในเมื่อหัวใจยังคงปวดร้าวอยู่อย่างนี้



รถตู้แล่นออกจากบ้านของปิงปองสู่ถนนใหญ่ สมาชิกออกัสต์หลายคนหลับผล็อยไปด้วยความเพลีย คงเหลือแต่มิว เอ๊กซ์ และต่อ ที่ยังนอนไม่หลับ มีแต่เพียงอาการง่วงซึมเล็กน้อยเท่านั้น ยกเว้นมิวที่ไม่มีอาการง่วงให้เห็นเพราะไม่ได้ไปร่วมแจมเต้นกับเพื่อนๆ จึงไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด ได้แต่นั่งนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาของตนกับโต้งอีกครั้ง เผื่อจะมีไอเดียในการเขียนเพลงบ้าง



“ มรึงเอาคำพูดกรูมาเขียนเป็นเพลงเลยนะมรึง อย่างนี้ต้องแบ่งค่าลิขสิทธิ์ให้กรูบ้างนะเว้ย นี่ถ้าไม่ได้กรูมรึงเขียนเพลงนี้ไม่เสร็จหรอก “ เอ๊กซ์พูดทีเล่นทีจริงทวงค่าลิขสิทธิ์เพลงจากมิว เพียงเพื่อหวังจะกวนอารมณ์ให้เพื่อนรักหัวเราะได้บ้าง

“ ไอ้เวรนี่ ยังไม่รู้ว่าเพลงจะขายได้รึเปล่าเลย ทำทวงซะแล้ว ไปเอานิสัยหน้าเลือดมาจากไหนวะ “

“ ก็จากไอ้ต่อไง ไอ้นี่มันงกทั้งบ้าน รวยซะเปล่าขี้ตืดชะมัด ขนาดนั่งแท็กซี่ตังค์ทอนบาทเดียวมันยังทวงคนขับเลย “ เอ๊กซ็ตอบมิวกลับไป ไม่วายแขวะต่อ มือเบสของวงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ

“ ไอ้ห่านี่ลามมาถึงกรูนะมรึง กรูอุตส่าห์นั่งฟังเฉยๆ ปากปีจออย่างไอ้มิวมันพูดนั่นแหละ มิน่าอกหักซ้ำซาก “ ต่อ ซึ่งปกติแทบจะไม่พูดเลย ชอบที่จะรับฟังเพื่อนคุยกันมากกว่ากลับด่าใส่มือกีตาร์คิ้วหนาได้เป็นชุด



ในที่สุดก็กลายเป็นศึกน้ำลายของมือกีตาร์กับมือเบส นักร้องนำที่นั่งฟังอยู่อดขำเพื่อนสนิททั้งสองที่หยอกล้อกันด้วยคำพูดแรงๆไม่ได้ พลางนึกถึงเมื่อครั้งที่ได้รู้จักกับเอ๊กซ์และต่อใหม่ๆตั้งแต่ตอนอยู่ ม. 2 คนหนึ่งสะพายกีตาร์ อีกคนสะพายเบสเดินเข้าห้องชมรมดนตรี เสียงกัดกันของเพื่อนทั้งสองที่เป็นอย่างนี้มานานต่อเนื่องมาตลอด 4 ปีทำให้มิวมีรอยยิ้มขอบคุณความสุขที่ตนได้รับจากการมีเพื่อน อย่างน้อยตอนนี้ ความเหงาที่เคยเชี่ยใส่มิวเป็นเวลานานถึง 5 ปี ได้จางลงไปบ้างแล้ว



เมื่อเห็นรอยยิ้มของนักร้องนำ มือกีตาร์กับมือเบสของวงออกัสต์ก็สงบศึกทันที

“ ยิ้มได้แล้วเหรอมรึง เห็นนั่งซึมมาตั้งแต่ขึ้นรถออกมาจากบ้านไอ้ปิงปองแล้ว อย่าเศร้านานนักนะเว้ย กรูไม่อยากทนเห็นวงลุ่มๆดอนๆอีกแล้ว มรึง กรู ไอ้ต่อ ไอ้แวน ไอ้เอ็ม พวกเราห้าคนสร้างวงมาด้วยกัน ถ้าขาดใครไปซักคน วงออกัสต์คงมาไม่ถึงวันนี้ กรูรู้ว่ามรึงมีเรื่องไม่สบายใจ พวกกรูอาจจะไม่เข้าใจมรึง แต่พวกเราก็เป็นเพื่อนกันนะเว้ย “

ต่อที่กลับไปเป็นคนพูดน้อยเหมือนเดิมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเอ๊กซ์

“ ขอบใจว่ะ ขอบใจพวกมรึงนะโว้ย ที่คอยให้กำลังใจกรู กรูสัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายหน้า กรูจะไม่กลับไปซึมเศร้าเหมือนเมื่อตอนนั้นอีก “ มิวยิ้มรับมิตรภาพจากเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าต่อเริ่มหลับไปแล้ว ส่วนไอ้เอีกซ์ก็กรนออกมาซะดังอย่างกับเรือกลไฟ

“ ไอ้พวกนี้นี่หลอกให้กรูพูดพร่ำคนเดียวซะตั้งนาน แต่กรูก็ขอบใจพวกมรึงมากนะ“ มิวพูดจบก็หันหน้ากลับไปพร้อมหลับตาลง โดยไม่รู้เลยว่าทั้งต่อและเอ๊กซ์แอบอมยิ้มทั้งๆที่ตายังคงปิดอยู่

.....................................

............................

...................

..........
โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:51:33 น.
  

สว่างแล้วจ้า



จมูกไม้ที่บ้านโต้ง



โต้งตื่นขึ้นมาอย่างสดใสเพราะได้นอนมาแล้วเต็มอิ่ม ด้วยสองเท้าเรียวยาว ร่างสูงเดินไปหลังบ้าน เขาเดินไปหาเศษไม้ขนาดพอประมาณมาได้ชิ้นหนึ่ง หยิบมืดมาจากในครัวแล้วจ้วงลงไปเหลาไม้ชิ้นนั้นเป็นรูปทรงกระบอกตรงปลายเป็นทรงกลมขนาดใหญ่กว่าทรงกระบอกท่อนยาวเล็กน้อย จากนั้นโต้งก็ไปหาสีทาไม้ที่มีเหลือยู่ในห้องเก็บของ แล้วทาตรงปลายไม้ทรงกลมให้เป็นสีแดง



ผ่านไปเกือบชั่วโมงนับตั้งแต่ที่โต้งเดินหาเศษชิ้นไม้ ในที่สุดจมูกตัวต่อไม้อีกอันก็สำเร็จได้รูป ลักษณะเหมือนกับอันที่โต้งให้มิวเป็นของขวัญวันคริสต์มาสไม่มีผิดเพี้ยน โต้งรีบเดินกลับขึ้นไปยังห้องนอน สองมือประคองค่อยๆดันจมูกไม้เข้าไปในรูที่อยู่ตรงกลางของส่วนหัวของตัวต่อไม้ มันเข้าไปได้จนมิดด้าม แต่ทว่า มันยังไม่ถึงสุดด้านของรูจมูก

“ อ้าว ... สั้นไปหรือเนี่ย โห...เสียดาย อุตส่าห์ทำตั้งนานแน่ะ “ โต้งบ่นกับตัวเอง เสียดายนิดๆที่ทำจมูกมาไม่พอดี



หลังจากรับประทานอาหารเช้ากับครอบครัวเรียบร้อยแล้ว โต้งก็ขออนุญาตแม่ออกไปเที่ยวข้างนอก

“ แล้วจะไปที่ไหนล่ะเรา จะกลับกี่โมง ให้แม่ไปรับมั้ย “ สุนีย์ถามลูกชายด้วยประโยคคำถามที่โต้งคุ้นเคยมาตลอดหลายปี

“ พอดีเมื่อเย็นวานเพื่อนโทรมาชวนไปดูหนังสือเตรียมสอบน่ะแม่ ก็เลยกะว่าจะไปกินข้าวด้วยกันซะเลย คงไม่กลับดึกหรอกแม่ แล้วเดี๋ยวโต้งกลับเองนะ “

“ มีอะไรก็โทรมานะ จะไปนอนที่ไหนก็โทรมาบอกก่อนล่ะ จะได้ไม่ต้องห่วง”

“ ครับแม่ “

“ ไม่ต้องห่วงหรอกน่าคุณ ไอ้โต้งมันเด็กผู้ชายนะ แล้วมันก็โตแล้วด้วย ใช่มั้ย “ กรพูดบอกสุนีย์ไม่ต้องห่วงลูกมากจนเกินไป

“ ครับพ่อ งั้นโต้งไปก่อนนะ “ โต้งตอบพ่อเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากบ้าน



ระหว่างที่เดินออกมาหน้าปากซอย โต้งก็คิดไปเรื่อยว่าจะไปที่ไหนดี เขาแค่ไม่อยากอยู่บ้านเลยวันนี้ ไม่อยากเห็นสีหน้ากังวลใจของแม่ ขณะที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งก็ดังขึ้น

“ ตื๊ด ๆ ๆ ตื๊ด ๆ ๆ “

“ ว่าไงเอิร์ธ “

“ ตกลงวันนี้มรึงออกมาได้เปล่าวะ “

“ อือ..กรูออกมาแล้วเนี่ย แล้วจะนัดเจอกันที่ไหนล่ะ “

“ ที่ร้านเดิมแล้วกัน”

“ อืม ... ได้ แล้วเดี๋ยวเจอกัน “

เมื่อวางสายแล้วโต้งก็เดินออกไปปากซอยเพื่อขึ้นรถเมล์มุ่งหน้าสู่สยามต่อไป

..........................

....................

..............

มื้อเช้าที่บ้านมิว



ป้าอรกลับมาถึงตอนเช้าพร้อมของฝากเพียบเลย ทั้งผลไม้สารพัดชนิด แถมยังมีกุ้งของโปรดของมิวมาด้วย ตอนที่มิวตื่นมาตอนเช้าก็กำลังคิดว่าต้องไปฝาท้องกับร้านข้าวต้มอีกแล้ว แต่ปรากฏว่าพออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พบสลัดกุ้งเทมปุระจานใหญ่วางรออยู่บนโต๊ะกลมข้างเปียโน มิวรู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือป้าอรแน่นอน เพราะกินข้าวกับป้าอรสองคนมานานถึงห้าปีแล้ว ป้าอรรู้ใจมิวเสมอ รู้ว่ามิวชอบกินอะไร ไม่ชอบอะไร ถึงจะไม่ใช่ญาติโดยตรงทางสายเลือด แต่มิวก็รักและสนิทกับป้าอรมากกว่าญาติคนอื่น อย่างไรก็ตาม ป้าอรก็คงไม่สามารถแทนที่อาม่าในใจมิวได้เลย



“ สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังจ้ะมิว หวังว่าจะชอบของขวัญปีใหม่ที่ป้าตั้งใจทำให้มิวนะ “ ป้าอรเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้านพร้อมซาลาเปาในมือจานใหญ่

“ สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังเช่นกันครับป้าอร แล้วนั่นป้าอรถืออะไรครับนั่นน่ะ “ มิวถามบ้างเมื่อสังเกตเห็นจานซาลาเปา คุ้นๆว่าน่าจะเป็นซาลาเปาฝีมืออาม้าของหญิง เพราะเคยมีโอกาสได้ลองลิ้มชิมรสหลายหนแล้ว

“ พอดีป้าพึ่งจะเอาสลัดไปแบ่งให้บ้านนั้นมาน่ะ เถ้าแก่เนี้ยก็เลยให้ซาลาเปามาเป็นของตอบแทนไง มีไส้กุ้งของชอบของมิวด้วยนะลูก “

“ ขอบคุณสำหรับสลัดกุ้งเทมปุระนะครับป้า ผมก็มีของขวัญปีใหม่ให้ป้าเหมือนกันครับ “ มิววิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของตนแล้วหยิบกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองลงมา

“ ของขวัญปีใหม่สำหรับป้าอรครับ “ มิวยื่นกล่องใบนั้นให้ป้าอร “ ขอบคุณป้าอรที่ดูแลมาตลอดหลายปีนะครับ “ มิวไหว้ป้าอรเพื่อแสดงความรัก เคารพ และกตัญญูที่ตนเองมีต่อป้าอร



ป้าอรที่รับไหว้มิวแล้วก็ค่อยๆแกะห่อของขวัญออกซึ่งแกะได้ไม่ยาดเลย มิวห่อให้แกะง่ายเพราะรู้อุปนิสัยป้าอรว่าแกคงเสียดายกระดาษห่อของขวัญสวยๆแน่ๆ

และแล้วเสื้อถักไหมพรมสีครีมมีกระดุมหน้าสีเขียวอ่อนก็ถูกดึงออกมา

“ ขอบใจมากนะลูก หนูเลือกเสื้อเก่งจริงๆเชียว กำลังคิดอยู่เลยว่าจะซื้อใหม่ดีมั้ย เพราะว่าป้าดันลืมตัวที่ใส่ประจำไว้ที่บ้านโน้นน่ะสิ กระดุมสีเขียวนี่ฝีมือมิวรึเปล่าลูก “ ป้าอรถามถึงกระดุมหลังจากสังเกตเห็นว่ามีรอยสอยใหม่อยู่เลย อีกทั้งยังเป็นสีเขียวสีโปรดของมิว

“ ครับป้า แต่มิวฝีมือไม่เอาไหนนะครับ สงสัยว่าป้าอาจจะต้องไปสอยแก้แล้วแหละ ฝีมือเย็บผ้าขั้นเทพอย่างป้าอรคงเมินฝีมือมิวแน่เลย “

“ แค่มิวตั้งใจทำให้ป้า ป้าก็ดีใจมากแล้วแหละลูก แล้ววันนี้ไปไหนรึเปล่าฮึ “

“ วันนี้มิวคงอยู่บ้านพักผ่อนน่ะครับ เมื่อคืนกลับดึก นี่ก็ว่าจะนัดให้หญิงมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันน่ะครับ เห็นหญิงว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง “

“ ถ้างั้นหนูก็รีบทานสลัดแล้วก็ต่อด้วยซาลาเปาดีกว่าลูก เดี๋ยวจะเย็นซะหมด “

มิวทานสลัดต่อด้วยความที่เป็นของโปรด แล้วก็จัดการซาลาเปาไส้กุ้งตรงหน้าราบเรียบไปอีกสามลูก

...................................

............................

....................

............



ที่สยามร้านเดิมอีกเช่นเคย



โต้งเดินเข้าไปในร้านส้มตำเจ้าประจำโดยยังนึกไม่ออกว่าเอิร์ธมีธุระอะไรกันแน่ เพราะปรกติแล้วเพื่อนคนนี้มักจะชวนไปดื่มน้ำชาที่บ้านมากกว่า สงสัยคงจะนัดมาเคลียร์เรื่องเมื่อวันซืน ด้วยกะว่าจะต้องเจอเพื่อนนั่งคอยอยู่ทั้งกลุ่มแต่ปรากฏมีเอิร์ธนั่งคอยเค้าอยู่ตามลำพัง

“ แล้วคนอื่นๆไปไหนซะล่ะ “

“ ไม่มีใครหรอก กรูมีเรื่องที่อยากจะเคลียร์กับมรึงคนเดียว “

“ แล้วมรึงมีเรื่องอะไรต้องเคลียร์กับกรูวะ ถ้าเป็นเรื่องของกรูกับมิวกรูขอบาย “

“ มรึงฟังก่อน กรูอยากเคลียร์จริงๆ “

“ งั้นมรึงก็ว่ามา “

“ มรึงรู้เรื่องที่หญิงเคยแอบชอบไอ้นักร้องตุ๊ดนั่นรึเปล่า “

“ ถ้ามรึงจะหมายถึงมิวล่ะก็ ช่วยเรียกเค้าให้ดีๆได้มั้ย “

“ เออ .... กรูรู้แล้ว ตกลงมรึงรู้เรื่องี่หญิงเคยแอบชอบไอ้...มิวรึเปล่า “

“ อือ..ก็รู้นะ หญิงเคยเล่าให้ฟัง “

“ แล้วไงต่อ กรูขอร้อง มรึงรู้อะไรช่วยเล่ามาให้หมดเลย “

“ ดูเหมือนมรึงจะสนใจหญิงเป็นพิเศษนะหรือว่ามรึง .... “

“ อย่าพึ่งเสไปเรื่องอื่น มรึงบอกกรูมาก่อน ว่าเรื่องมันเป็นไง “

“ กรูรู้แค่ว่าเมื่อก่อนนี้ หญิงชอบมิวมาก จนตอนหลัง เค้ารู้ว่ามิวกับกรู... เอ่อ ไอ้เอิร์ธ ก่อนที่กรูจะเล่าต่อ มรึงต้องให้คำมั่นก่อนว่ากรูไว้ใจมรึงได้ กรูคบกับพวกมรึงมาตั้งแต่ ม.หนึ่ง กรูไม่รู้ว่ากรูจะทำให้พวกมรึงรังเกียจกรูรึเปล่า แต่กรูจะไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง ว่าไงมรึงสัญญาได้มั้ยว่ามรึงจะไม่ทำให้มิวเดือดร้อน “

“ ห่วงใยกันซะจริงนะ เออ กรูรับปาก ทีนี้เล่าต่อได้รึยัง “

“ จากนั้นเค้าก็ห่างกับมิวซักพัก หญิงเคยพยายามช่วยให้กรูคืนดีกับมิว ตอนนี้หญิงกับมิวก็กลับไปเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม “

“ งั้นหญิงกับไอ้มิวของมรึงก็ไม่ได้มีอะไรกัน “

“ อือ..มรึงแอบชอบหญิงเหรอ “

“ มรึงอย่าพึ่งไปบอกเค้านะเว้ย กรูขอ แล้วสรุปว่ามรึงกับนักร้องนั่นคบกันเป็นแฟนรึยัง แล้วพวกมรึงสองคน ....เอ่อ...เคย...อย่างว่ารึเปล่าวะ “

“ กรูไม่ได้คบกับเค้าเป็นแฟน แต่กรูยอมรับกับมรึงในฐานะที่มรึงเป็นเพื่อนกรู ว่ากรูรักเค้า แล้วก้ไม่เคยทำอะไรกันอย่างที่มรึงคิดด้วย “

“ แล้วเรื่องโดนัทล่ะ มรึงทำเค้าเสียใจมาก รู้ตัวรึเปล่า “

“ คงไม่นานหรอกมั้ง กรูรู้ว่ากรูผิดต่อเค้าที่กรูบอกเลิกเค้า แต่โดนัทเค้าสวยเลือกได้ ป่านนี้มีกิ๊กใหม่หลายคนแล้ว คืนก่อนกรูกับเค้าก็จากกันด้วยดีแล้ว “

“ เพื่อนเค้าบอกว่ามรึงหอมแก้มเค้าด้วย จริงป่ะ “

“ ทำไมเรื่องที่กรูหอมแก้มอำลาเค้าถึงได้แพร่ไปทั่วเลยวะเนี่ย “

“ ช่างเหอะ แล้วโดนัทรู้เรื่องมรึงกับนายนั่นรึเปล่าล่ะ “

“ คงยังไม่รู้หรอก กรูหวังว่ามรึงจะเหยียบเรื่องนี้ไว้ ไม่ไปเที่ยวประกาศให้มิวเสียหายนะ สัญญาลูกผู้ชาย “ โต้งพูดจบก็ยื่นมือไปเพื่อจะตบมือสัญญากับเอิร์ธ

“ กรูสัญญา “ เอิร์ธยื่นมือมาตบฝ่ามือให้สัญญากับโต้ง จากนั้นทั้งคู่ก็ทานอาหารที่เอิร์ธสั่งมารอตั้งนานแล้ว จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

.............................................

.................................

.....................

..........
โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:52:37 น.
  

บทเพลงแห่งความทรงจำของโต้ง





หลังจากที่แยกทางกับเอิร์ธแล้ว ร่างสูงของชายหนุ่มในเสื้อยืดสีเทาอมฟ้าก็เดินออกไปตามตรอกซอกซอยในสยามสแควร์ ด้วยความที่เที่ยวเดินในสยามมาหลายปี โต้งจึงเดินเหม่อไปเรื่อยๆพร้อมกับความคิดสับสนวุ่นวายในสมอง ‘ มิวคงจะโกรธเรา เรื่องที่ไปหอมแก้มโดนัทแน่ๆ แต่ถ้าอย่างงั้น ทำไมเมื่อเช้าวานมิวถึงยอมพาเราเข้าไปในบ้านล่ะ มิวยังคงรักและห่วงใยเราอยู่ใช่มั้ยนะ ‘ มิว ...โต้งคิดถึงมิวนะ ‘ ระหว่างที่เดินเล่นอยู่นั้น สองเท้าของชายหนุ่มก็ให้บังเอิญไปหยุดอยู่หน้าร้านขายของเล่นร้านเดิมที่เคยมีตัวต่อไม้วางอยู่ แต่วันนี้ ที่ตรงนั้นกลับถูกวางด้วยตัวต่อแบบอื่น โต้งนึกถึงวันที่หญิงยอมร้องขอจมูกจากพี่คนขาย ใจนึงก็อดนับถือหญิงไม่ได้และก็นึกขอบคุณหญิงขึ้นมา แล้วก็พลันให้นึกถึงอะไรบางอย่างที่นอนนิ่งอยู่ในก้นเป้สะพายหลังสีน้ำเงินเข้มของตัวเอง นี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่โต้งสะพายเป้มาเดินสยาม ก็บอกพ่อกับแม่ว่ามาจะมาดูหนังสือกับเพื่อน ถ้าไม่สะพายเป้มาด้วยคงถูกสงสัยเป็นแน่ แต่นอกจากหนังสือเรียนไม่กี่เล่มแล้ว ยังมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นด้วยนะสิ สองเท้าของโต้งไม่ยอมหยุดเวลาให้นิ่ง ด้วยจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้แล้ว จึงก้าวเดินต่อไป



“ ถ้าบอกว่าเพลงนี้ แต่งให้เธอ ... เธอจะเชื่อไหม ........... มันอาจไม่เพราะ ไม่ซึ้ง ไม่สวยงาม ... เหมือนเพลงทั่วไป ............ อยากให้รู้....... “

เพลงที่คุ้นเคยดังออกมาจากร้านขายซีดีที่มีชื่อเสียงที่สุดในสยาม วันนี้พี่เปี๊ยกเปิดเพลงที่ถูกถามถึงอย่างมากมายนับจากคืนคริสต์มาส ‘ กันและกัน ‘ ซิงเกิ้ลใหม่ของวงออกัสต์ เพลง’กันและกัน’ถูกวางแผงอย่างทันท่วงทีในช่วงเย็นของวันต่อมาหลังจากที่คอนเสิร์ตจบลง เสียงร้องของมิว ที่แม้จะเป็นเพียงเสียงที่ดังออกมาจากลำโพง แต่มันก็ได้แล่นเข้าไปสู่หัวใจของโต้ง หัวใจที่โหยหา และคิดถึงเจ้าของเสียงเพลงนี้เหลือเกิน โต้งไม่ได้ซื้อซีดีของเพลงนี้ เพราะหญิงขอไร้ท์จากมิวเอาไปให้โต้งตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว อันที่จริง มิวก็ยังไม่รู้ว่าหรอกหญิงแอบไร้ท์ต่อแล้วส่งให้โต้ง

“ อ่ะโต้ง มิวฝากมาให้ “ เสียงของหญิงที่ได้คุยกับโต้งเมื่อช่วงบ่ายวันแรกของการวางแผงดังขึ้น

“ อะไรอ่ะหญิง “ โต้งถามหญิงที่กำลังยื่นกล่องบางๆมาใส่มือโต้ง

“ ก็ของขวัญวันคริสต์มาสไงโต้ง “ หญิงตอบโต้งพร้อมกับยัดกล่องบางใบนั้นใส่มือโต้งทันที

“ ขอบคุณนะหญิง “

ห้วงคำนึงแห่งความทรงจำที่ย้อนไปถึงบ่ายวันนั้น ทำให้โต้งอดเปรยออกมาเบาๆไม่ได้ “ มิว “ ในขณะที่ห้วงคำนึงของโต้งยังคงโบยบินย้อนกลับไปสู่ม้าหินหน้าบ้านตัวเอง คืนที่จัดงานปาร์ตี้ให้พี่จูน

“ เพลงนั้นน่ะ เพราะดีเนาะ แต่งได้ไงอ่ะ “

“ ก็...ถ้าไม่มีโต้ง ก็คงไม่มีเพลงนี้หรอก ฟังแล้ว..โต้งว่าไง “

มือหนาของชายหนุ่มในเสื้อยืดสีฟ้าค่อยๆลูบเรือนผมของหนุ่มร่างบางในเสื้อยืดลายขาวสลับเขียว แล้วดึงศีรษะของคนข้างๆมาแนบกับศีรษะของตนเอง

“ ก็..ไม่รู้เหมือนกัน “ แววตาสองคู่ที่ประสานกันชักนำให้ ศีรษะของชายหนุ่มที่สูงกว่าค่อยๆโน้มลงไป เรือนโอษฐ์ทั้งสองกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว



โต้งก้าวเท้าขึ้นรถประจำทางปรับอากาศด้วยความมุ่งมั่น เป้าหมายที่ชายหนุ่มต้องการคือบ้านของใครคนนึงที่เขาคิดถึง บ้านที่แม้ว่าหนุ่มน้อยจะไม่ใช่เจ้าของ แต่ก็เต็มไปด้วยความทรงจำที่อบอุ่น ปลอดภัย ทุกครั้งที่มีปัญหาในใจ บ้านหลังนั้น เตียงหลังนั้น คนๆนั้น ทำให้เขารู้สึกว่ามีคนเคียงข้างเสมอ มีกำลังใจเสมอ พื้นที่เล็กๆที่ไม่เคยทำให้โต้งต้องรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว หรือแม้แต่เหงา แต่ตลอดสัปดาห์เศษที่ผ่านมา ตัวเค้าเอง กลับเป็นฝ่ายที่ทำให้เจ้าของบ้านหลังนั้นต้องรู้สึกโดดเดี่ยว ต้องถูกความเหงาทำร้าย

‘ ความเหงามันคงเชี่ยใส่มิวอีกครั้งแล้วสินะ เราผิดเองมิว เราขอโทษ ‘ โต้งบ่นกับตัวเองในใจ แต่ก็คิดไปด้วยว่า ยังไงวันนี้ก็ต้องปรับความเข้าใจกับมิวให้ได้

โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:54:27 น.
  


มื้อเที่ยงที่บ้านมิว



มิวกับหญิงทานอาหารเที่ยงฝีมือป้าอรด้วยกัน จะว่าไปก็ไม่เที่ยงแล้ว เพราะนาฬิกาลูกตุ้มโบราณของบ้านมิวก็ตีสัญญาณบอกเวลาว่าบ่ายโมงเข้าไปแล้ว แต่ที่มิวกับหญิงมาทานมื้อเที่ยงช้า ก็เพราะยังอิ่มกับสลัดและซาลาเปาอยู่ มื้อนี้เป็นลาดหน้ากุ้ง และคงได้กินกุ้งอีกหลายวัน เพราะป้าอรแกหอบมาจากบ้านเยอะเหลือเกิน ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเอร็ดอร่อยปากมันแผลบกับอาหารตรงหน้าอยู่นั้น มิวก็ทำลายความเงียบด้วยการเริ่มต้นประโยคคำถามกับหญิง

“ ตกลงเพื่อนหญิงคนนั้นเค้ามีอะไรกับเรารึเปล่าหญิง เราสังเกตสายตาเค้าที่มองเราเมื่อวานแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย “

“ มิวหมายถึงเอิร์ธเหรอ หญิงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเอิร์ธเค้าจะไม่พอใจมิวที่มาเที่ยวกับหญิง เค้าบอกว่า....ว่า “ หญิงเงียบไปซะเฉยๆ ไม่กล้าพูดต่อ

“ ว่าอะไรหรอหญิง นายคนนั้นเค้าว่าอะไร “ มิวพยายามคาดคั้นให้หญิงพูดต่อ

“ เค้าว่า...เค้าว่าหญิงจะคบเป็นแฟนกับ...กับไอ้ตุ๊ดนี่เหรอ มิว มิวอย่าไปคิดมากเลยนะ พวกนั้นก็ปากเสียอย่างนี้เองแหละ ไม่มีอะไรหรอก “

มิวที่เงียบลงทันทีมีสีหน้าสลดลง “ นายคนนั้นเป็นเพื่อนโต้งใช่มั้ย อย่างนี้ก็แสดงว่าคนพวกนั้นเค้ายอมรับเรื่องของเรากับโต้งไม่ได้ล่ะสิ อย่างที่น้านีย์บอกจริงๆนั่นแหละ เรื่องของเรากับโต้งมันไม่ถูกต้อง ถ้าเพื่อนๆของโต้งยอมรับโต้งไม่ได้ แล้วโต้งจะมีความสุขได้ยังไง หญิง .. เราไม่อยากเป็นต้นเหตุให้โต้งต้องเสียเพื่อนๆไปเลยนะ เราชักกลัวซะแล้วสิหญิง ทั้งเรื่องที่เรากำลังจะเป็นนักร้อง ถ้าเราคบกับโต้งเป็นแฟนกันจริงๆ จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อจะต้องมีแฟนคลับที่คอยวิ่งตามทุกวัน แล้วโต้งจะมีชีวิตปกติสุขได้ยังไงกัน เรื่องน้ากรอีกล่ะ ถ้าน้ากรรู้เรื่องอาการไม่ยิ่งทรุดเหรอ โต้งก็ต้องถูกมองด้วสายตาเดียดฉันท์จากคนอื่น ไม่มีเพื่อน หญิงรู้มั้ยเวลาที่ถูกคนอื่นมองด้วยสายตารังเกียจหรือมองว่าเราเป็นตัวประหลาดเนี่ย มันทรมานใจมากนะ นี่แหละสาเหตุที่เมื่อก่อนเราไม่เคยเปิดใจเราให้ใคร หญิงเราควรทำยังไงดี “ มิวพรั่งพรูความกังวลออกมา น้ำตารื้นอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง

“ ใจเย็นน่ามิว อย่าพึ่งนอยด์สิ เรื่องมันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่มิวคิดก็ได้ พวดเพื่อนๆของโต้งน่ะคุยง่ายจะตาย เพื่อนรักกันมาหลายปีไม่มาตัดขาดกันด้วยเรื่องแบบนี้หรอกนะ ส่วนเรื่องอื่นๆน่ะมันยังไม่เกิดซะหน่อย ถ้ามิวมัวแต่วิตกกังวลแบบนี้ แล้วเพื่อนๆในวงออกัสต์ไม่ห่วงแย่หรอ ไหนมิวเคยบอกว่าจะไม่กลับไปเก็บตัวเองอีกแล้วไง เชื่อหญิงนะ ทำใจให้สบายๆอย่าพึ่งคิดเลยเถิดไปถึงไหน ยังไงตอนนี้มิวก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกับโต้งเลยนะ “ หญิงที่พยายามปลอบใจมิว ทำให้มิวสงบลง

“ เราคิดออกแล้วหญิง เรารักโต้ง แต่จะยังไม่เป็นแฟนกับโต้ง เราจะรอ รอจนกว่าวันที่ทุกอย่างพร้อมจะมาถึง เราเชื่อนะหญิงว่าวันนั้นจะต้องมาถึง เราจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจแบบนี้ โลกมันไม่เหมือนที่คิดเลยนะ เราจะปล่อยให้ความรักของเรากับโต้งโตไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วมั้ง แต่เราจะทำได้แค่ไหนล่ะ เราคิดถึงโต้งเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้เราคงอยากให้เวลาหยุดอยู่เหมือนเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เราก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำไมนะหญิง ทำไมนะ ทำไมเราต้องรักโต้งด้วยนะ หัวใจของเรามันอยากจะโบยบินกลับไปหาโต้งเสียจริง “ มิวปล่อยให้ความคิดไหลไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะสุขหรือทุกข์ดี สุขที่ได้มีความรัก ได้รักโต้ง ได้รู้ว่าโต้งรัก แต่ก็ทุกข์ ทุกข์ที่รู้ว่าความรักของตนเป็นเรื่องที่ห่างไกลความจริงเสียเหลือเกิน หญิงไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนสนิทที่เคยเป็นคนที่เธอแอบรักได้ยังไง นอกจากโอบไหล่ของมิวไว้







“ มิว “ เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อสีฟ้ากำลังยืนมองมาจากหน้าประตูเหล็ก

.............................

โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:58:39 น.
  



รถประจำทางคันที่โต้งนั่งมาจอดลงที่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านมิว หลังจากก้าวเท้าลงจากรถ ร่างสูงในเสื้อยืดสีเทาอมฟ้าก็เหลือบมองนาฬิกาสีดำที่ข้อมือซ้าย

“ บ่ายโมงแล้วเหรอเนี่ย ป่านนี้ มิวคงจะทานข้าวเที่ยงแล้วมั้ง “ พูดกับตัวเองจบลง โต้งก็เดินเข้าไปในซอย

สองเท้าของโต้งเดินไปด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่าวันนี้คงได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกับมิวซักที ก่อนที่โต้งจะบรรลุถึงบ้านของมิว ด้วยความที่กลัวว่ามิวจะวิ่งหนีไปอีก โต้งจึงแอบยืนสังเกตการณ์อยู่นอกประตูเหล็ก ไม่ให้มิวหรือคนในบ้านได้เห็นตน แต่ก็ไม่มีเสียงพูดคุยใดจะหลุดรอดจากหูของโต้งไปได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่มิวและหญิงเริ่มคุยกันเรื่องเอิร์ธพอดี

“ ตกลงเพื่อนหญิงคนนั้นเค้ามีอะไรกับเรารึเปล่าหญิง เราสังเกตสายตาเค้าที่มองเราเมื่อวานแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย “

“ มิวหมายถึงเอิร์ธเหรอ หญิงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเอิร์ธเค้าจะไม่พอใจมิวที่มาเที่ยวกับหญิง เค้าบอกว่า....ว่า “

“ ว่าอะไรหรอหญิง นายคนนั้นเค้าว่าอะไร “

“ เค้าว่า...เค้าว่าหญิงจะคบเป็นแฟนกับ...กับไอ้ตุ๊ดนี่เหรอ มิว มิวอย่าไปคิดมากเลยนะ พวกนั้นก็ปากเสียอย่างนี้เองแหละ ไม่มีอะไรหรอก “

“ นายคนนั้นเป็นเพื่อนโต้งใช่มั้ย อย่างนี้ก็แสดงว่าคนพวกนั้นเค้ายอมรับเรื่องของเรากับโต้งไม่ได้ล่ะสิ อย่างที่น้านีย์บอกจริงๆนั่นแหละ เรื่องของเรากับโต้งมันไม่ถูกต้อง ถ้าเพื่อนๆของโต้งยอมรับโต้งไม่ได้ แล้วโต้งจะมีความสุขได้ยังไง หญิง .. เราไม่อยากเป็นต้นเหตุให้โต้งต้องเสียเพื่อนๆไปเลยนะ เราชักกลัวซะแล้วสิหญิง ทั้งเรื่องที่เรากำลังจะเป็นนักร้อง ถ้าเราคบกับโต้งเป็นแฟนกันจริงๆ จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อจะต้องมีแฟนคลับที่คอยวิ่งตามทุกวัน แล้วโต้งจะมีชีวิตปกติสุขได้ยังไงกัน เรื่องน้ากรอีกล่ะ ถ้าน้ากรรู้เรื่องอาการไม่ยิ่งทรุดเหรอ โต้งก็ต้องถูกมองด้วยสายตาเดียดฉันท์จากคนอื่น ไม่มีเพื่อน หญิงรู้มั้ยเวลาที่ถูกคนอื่นมองด้วยสายตารังเกียจหรือมองว่าเราเป็นตัวประหลาดเนี่ย มันทรมานใจมากนะ นี่แหละสาเหตุที่เมื่อก่อนเราไม่เคยเปิดใจเราให้ใคร หญิงเราควรทำยังไงดี “

“ ใจเย็นน่ามิว อย่าพึ่งนอยด์สิ เรื่องมันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่มิวคิดก็ได้ พวกเพื่อนๆของโต้งน่ะคุยง่ายจะตาย เพื่อนรักกันมาหลายปีไม่มาตัดขาดกันด้วยเรื่องแบบนี้หรอกนะ ส่วนเรื่องอื่นๆน่ะมันยังไม่เกิดซะหน่อย ถ้ามิวมัวแต่วิตกกังวลแบบนี้ แล้วเพื่อนๆในวงออกัสต์ไม่ห่วงแย่หรอ ไหนมิวเคยบอกว่าจะไม่กลับไปเก็บตัวเองอีกแล้วไง เชื่อหญิงนะ ทำใจให้สบายๆอย่าพึ่งคิดเลยเถิดไปถึงไหน ยังไงตอนนี้มิวก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกับโต้งเลยนะ “

“ เราคิดออกแล้วหญิง เรารักโต้ง แต่จะยังไม่เป็นแฟนกับโต้ง เราจะรอ รอจนกว่าวันที่ทุกอย่างพร้อมจะมาถึง เราเชื่อนะหญิงว่าวันนั้นจะต้องมาถึง เราจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจแบบนี้ โลกมันไม่เหมือนที่คิดเลยนะ เราจะปล่อยให้ความรักของเรากับโต้งโตไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วมั้ง แต่เราจะทำได้แค่ไหนล่ะ เราคิดถึงโต้งเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้เราคงอยากให้เวลาหยุดอยู่เหมือนเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เราก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำไมนะหญิง ทำไมนะ ทำไมเราต้องรักโต้งด้วยนะ หัวใจของเรามันอยากจะโบยบินกลับไปหาโต้งเสียจริง “

โต้งที่แอบยืนฟังอยู่เงียบๆ คิดตามทุกคำพูดของมิว คำพูดที่ออกมาจากหัวใจของมิว ถึงแม้ว่าฟังตอนแรกอาจจะรู้สึกเจ็บปวด แต่นี่ก็ดูเหมือนจะเป็นหนทางที่ทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข ยกเว้นแค่ตัวของมิวกับโต้งเอง ‘ เก็บไว้ในใจอย่างนั้นเหรอ ‘ “ โต้งเข้าใจนะมิว ยังไงโต้งก็รักมิวนะ “ โต้งเปรยออกมาเบาๆ

จังหวะเดียวกันนั้นเอง โต้งก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งในเสื้อยืดสีฟ้าหลวมๆเดินเข้ามาทางหน้าบ้านมิว ใกล้จะถึงเต็มทีแล้ว ชายที่โต้งไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้ “ พ่อ มาได้ไงเนี่ย “ โต้งอุทานเบาๆแล้วแอบหลบไปไม่ให้กรเห็น










....


....



....




. . .

"มิว เป็นไงมั้งลูก" ชายคนนั้นไม่ใช้ใคร เขาคือ กร พ่อของโต้งเอง

มิวมองที่กร อย่างตกตะลึง

"อ อ อากร สวัสดีคับ มาได้ไงเนี่ย.. เชิญนั้งก่อนคับๆ"

"ก้อพ่อดี สุนีย์ไม่อยู่บ้านอะ อาเหงา เรยออกมาเที่ยวมั้ง แล้วมิวละ ไม่ไปไหนเรยรึ"

"ก้อไม่ค่อยได้ไปไหนนะคับ แล้วอาการของอาดีขึ้นเเล้วหรอคับ"

"ก๊ดีขึ้นเยอะแล้วหล่ะ"

ในขณะที่ทั้งสองคุยกัน หญิงก้อได้แต่ยืน แอ๊บแบ๊วด้วยความสงสัย

"อาว เราขอโทดหญิงนี้พ่อของโต้ง อากรครับนี้หญิง เพื่อนมิวเอง อันที่จริง เพื่อนโต้งด้วยนั้นแหละ"

"สวัสดีค่ะ" หญิงทักทายพ่อของโต้งด้วยรอยยิ้ม

"เออ... มิว แล้วโต้งละ ช่วงนี้เห็นไม่ค่อยมาหาเลย... มีปัญหาขัดคอไรกันเปบ่าเนี่ย??"

. . .

. .

.

"คือ.. ผมไม่ค่อยว่างนะครับ เลยไม่ได้ติดต่อไปเลย"

"หรอ เห็นดึกๆโต้งออกมานบ่นประจำเลยว่า ทำไมมิวไม่ยอมรับสาย"

มิวเงียบไปสักพัก ในขณะที่หญิงได้นำน้ำมาให้ กร

"เออ มิว ลูกก็โตขึ้นเยอะแล้วนิ มีแฟนกับเขายัง"

อึกก!!! มันสำลักน้ำ

"อะ ยังเรยคับ" มิวรีบตอบออกมาก...

"อืมๆ เหอะๆ โต้งเขามีแฟนแล้วน้า เห็นว่าไปหอมแก้มกันที่งานเลี้ยงด้วย เหอะๆ ไวจริงๆลูกเรา"

"อ่าครับ.."

"มิว งับพ่อขออกลับก่อนน่ะ เด๋วแม่นีย์กลับไปบ้านไม่เจอพ่อเด๋วจาซวยเอา"

"เด๋วผมเดินไปส่งนะครับ"

มิวได้เดินพา กร ออกไปส่งขึ้นรถแท๊กซี่

แล้วรีบเดินกลับเขาบ้าน พร้อมกับ น้ำตาที่เริ่มจะไหล

"อ้ายยมิวว ร้องอีกแระ ไหนบอกกรูว่าจะไม่ร้องแล้วไง" เสียงเอ๊กซ์ดังขึ้น

"อ่าวว เอ๊กซ์มาทำไรฟร่ะ.."

"มาหา..."

"หาใครว่ะ"

"ผู้หญิงคนที่กรูเจอเมื่อวันนั้นไง ที่หน้าตาน่ารักๆอะ ชื่อไรว่ะ??"

"อ่า หญิง เออ อยากเจอเขารอ??"

เอ๊กซ์ได้แต่ยืนเขิน..

"อ่าวว มิว เอะ..."

หญิงเดินออกมาหน้าบ้าน และได้พบเจอกับเอ๊กซ์

"เออ ไอมิว งั้น กรูกลับก่อนน่ะ ไปละ..."

เอ๊กซ์รีบวิ่งออกไปพร้อมรอยยิ้ม...

"เฮ้ย!! อะไรของมันหว่า???"

"มิว เขาชื่อไรอะ... เพื่อนมิวนี้น่ารักทุกคนเรยเนอะ.."

"อ่า ชื่อเอ๊กซ์อะ "

"อืมๆ งั้นหยิงขอตัวไปหาม๊าก่อนน้า"

. . .

. .

.

มิวได้เดินขึ้นห้องไป แล้วนั้งลงบนเตียง พร้อมน้ำตาที่ไหลรินอีกครั้ง

"ทำไมน่ะ ทำไม เรื่องระหว่างเรากับโต้งมันถึงเป็นไปได้ยากแบบนี้ ถ้าเป็นเหมือนคู่ชายหญิงทั่วไปได้ก้อคงดีสิ ทำไมหัวใจเราต้องเป็นแบบนี้ด้วยน่ะ"


โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:15:04 น.
  


โต้งแอบฟังกรสนทนากับมิวอย่างสงบโดยไม่มีใครรู้ พลางคิดในใจว่า

‘ พ่อออกมาได้ยังไงกันเนี่ย แล้วแม่ไปไหนซะล่ะ ทำไมจู่ๆพ่อก็มาถามหาเราที่บ้านมิวได้นะ จะทำไงดีเนี่ย ‘ ยังไม่ทันที่โต้งจะคิดเสร็จ กรกับมิวก็เดินออกมาจากบ้านพร้อมกัน โต้งแอบหลบทันที ยังทันสังเกตเห็นมิวไปส่งกรขึ้นรถแท็กซี่ด้วย แถมยังทันเหลือบไปเห็นเพื่อนมิวที่เป็นมือกีตาร์เดินมาช้าๆอีกคน โต้งจำเพื่อนร่วมวงออกัสต์ของมิวได้ทุกคน แต่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ จึงไม่แน่ใจว่านายคิ้วหนาคนนั้นชื่ออะไรกันแน่ แต่ความที่ยังไม่อยากให้มิวรู้ว่าตนมาแอบฟังอยู่ได้พักนึงแล้ว ชายหนุ่มจึงแอบเดินหลบออกไปทางทิศที่มุ่งสู่ริมแม่น้ำ ที่เที่ยวประจำของโต้งกับมิวในวัยเด็ก




...



...



...




น้ำตาและบทเพลงแห่งความเข้มแข็ง



การนั่งร้องไห้ลำพังในห้อง ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับยิ่งตอกย้ำให้มิวยอมรับความจริงว่าเรื่องของตัวเองกับโต้งคงเป็นได้เพียงความฝัน ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความทรงจำแห่งความสุขก็ไม่เคยลบเลือนไปจากใจของมิว สองมือเรียวงามค่อยๆปาดน้ำตาออกไปจากเรือนหน้าที่จัดว่าหล่อไม่น้อย อาจจะดูเหมือนไม่เข้มแข็งเหมือนชายชาตรีทั่วไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นที่น่าทะนุถนอมของใครต่อใครหลายๆคน มิวใช้สองมือนั้นหยิบตัวต่อไม้ที่ได้รับจากโต้งขึ้นมานั่งดู

“ ตัวต่อไม้เอ๋ย เจ้ารู้มั้ย ว่าตัวเจ้าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความทรงจำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่เราได้รับจากคนๆนั้น คนที่มอบเจ้าให้กับเรา เราจะเลิกร้องไห้แล้วนะ เราจะเก็บความสุขเหล่านั้นไว้ในนี้ “

มิวยกมือซ้ายของตนเองมาสัมผัสบริเวณหน้าอก จากนั้นก็ใช้มือข้างเดียวกันดึงส่วนจมูกของตัวต่อไม้ที่ยาวกว่าที่ควรออกมา

“ หัวใจของเรา ลมหายใจของเจ้า มันจะไม่สมบูรณ์อีกต่อไป แต่มันคือความทรงจำที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด เราจะไม่กลับไปเป็นอย่างเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็คงจะกลับไปร่าเริงแบบเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนไม่ได้อีกแล้ว แต่เราจะเข้มแข็ง และยืนหยัดให้ได้ ถึงจะไม่มีใครคนนั้นแล้วก็ตาม เจ้าเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ “

มิวหยิบตัวต่อไม้ที่ปราศจากจมูกอีกครั้งไปวางไว้บนลำโพงข้างคอมพิวเตอร์เหมือนที่เคยวางมาตลอดหลายปี แล้วเอาจมูกไม้อันนั้นใส่ลงในลิ้นชักใกล้กับหัวเตียง ด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ นักร้องหนุ่มร่างโปร่งยกตัวเองขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หน้าอิเล็กโทนที่ต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ หนึ่งสมองเริ่มทบทวนถึงคำพูดที่พูดกับหญิงเมื่อตอนมื้อเที่ยง รวมทั้งคำพูดที่พูดกับตัวต่อไม้ สองมือค่อยๆกดบนแป้นคีย์บอร์ด พร้อมกับจดสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากห้วงคำนึงใส่สมุดโน้ต








ร่างสูงมานั่งอยู่คนเดียวที่ตลิ่งริมแม่น้ำ ชายหนุ่มกำลังคิดถึงเด็กน้อยสองคนที่เคยมาเล่นเกมหาของบริเวณนี้เมื่อหกปีก่อน เวลาผ่านไปเรื่อยๆนับแต่เค้ามานั่งคนเดียวอยู่ริมน้ำ ชั่วโมงเศษผ่านไปแล้ว ป่านนี้หญิงคงกลับเข้าบ้านแล้วมั้ง มือขวาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหาเบอร์ของหญิงสาวที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังเดิมของตนเอง

“ ตี๊ดๆๆ”

“ว่าไงโต้ง’

“ หญิงว่างป่ะ ออกมาหาเราที่ริมน้ำท้ายซอยบ้านหญิงหน่อยสิ “

“ อือ ... แล้วโต้งมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย “

“ ซักพักแล้วแหละ เรามีอะไรจะให้หญิงช่วยหน่อยน่ะ “

หญิงวางสายโทรศัพท์มือถือ เปิดผ้าม่านมองดูห้องนอนที่อยู่ในบ้านฝั่งตรงข้ามว่านักร้องเจ้าของห้องยังอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเสื้อโปโลสีเขียวอ่อนขอบปกลายสก๊อตต์กำลังง่วนอยู่กับการแต่งเพลง หญิงก็เดินลงมาจากบ้านของตัวเอง แล้วมุ่งหน้าไปทางริมน้ำตามที่ได้นัดกับโต้งไว้

......................................

...........................

................

โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:16:59 น.
  


เกือบจะบ่ายสามโมงแล้วกว่าที่หญิงจะแยกจากโต้งที่ริมน้ำ โดยปล่อยให้โต้งอยู่คนเดียวที่ริมน้ำพร้อมกระดาษหลายแผ่นและปากกาในมือ เธอเดินมาตามลำพังบน ถนนที่มุ่งสู่บ้าน ความเงียบเหงามันเกาะหัวใจของหญิง ความรักที่เธอมีต่อมิวนั้นบริสุทธิ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ เพราะทราบดีว่าไม่มีทางได้ความรักตอบแทนในแบบฉบับที่ต้องการจากมิว หญิงจึงเลือกที่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อเพื่อนรักคนนี้ กระดาษในมือที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆของโต้งว่า ‘ ตาลน้อยในสวน ‘ แล้วก็รูปวาดของต้นตาลเล็กๆต้นหนึ่ง ยังคงถูกหญิงพับเก็บไว้อย่างดี

เสียงเครื่องสายดังมาจากบ้านที่หญิงคุ้นเคย ไม่เ ชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินเสียงเล่นดนตรีในบ้านของตน ก็ในเมื่อตลอดหกปีที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ อาม้าแทบจะไม่เคยฟังอะไรนอกจากเพลงจีนเก่าๆ ‘ ประหลาดพิลึก เสียงไวโอลินนี่มาจากไหนเนี่ย ‘ หญิงคิดอยู่คนเดียวในใจ

“ เสียงอะไรอ่ะอาม้า นี่เฮียเค้าเล่นไวโอลินเป็นด้วยเหรอ ไหงหญิงไม่รู้มาก่อนเลยล่ะ “

“ เฮียลื้อ อีเล่นเป็นมาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนอีเก่งมากเลยนะ นี่ถ้าอีไม่เลิกเล่นไปซะก่อน อีหนูวาเนซซ่า เมย์ อะไรนั่นก็เหอะ ไม่ได้เกิดแหงมๆ “

“ ไม่ค่อยเลยนะม้า แล้วทำไมอาเฮียถึงได้เลิกเล่นล่ะ “

“ ลื้อไปถามอีเอาเองล่ะกัน มันเป็นปัญหาหัวใจของชายหนุ่ม ถ้าอั๊วะจำไม่ผิด ดูเหมือนมันจะเกี่ยวกับแฟนเก่าอี ที่ชื่อ....ชื่อ.....อ๋อ นึกออกละ ชื่ออาหลิวหรือไงนี่ล่ะมั้ง อาหนูหลิวอีเล่นดนตรีเก่งพอๆกับเฮียลื้อเลย จู่ๆอีก็เลิกกัน แล้วตั้งแต่นั้นมา เฮียลื้ออีก็เลิกจับไวโอลินไปเลย “

“ เฮียนี่นะ เคยมีแฟน ชื่อหลิวด้วย อย่างนี้มีเฮแน่ “

“ ลื่ออย่าไปรื้อฟื้นให้อีมีน้ำโหอีกล่ะ อ๊วะเบื่อฟังพวกลื้อกัดกันอย่างกับหมา “

“ ก็ได้ งั้นเราไปฟังอีเล่นไวโอลินดีกว่า “

อาเฮียของหญิงเล่นไวโอลินเพราะมาก ลีลาอย่างกับมืออาชีพจริงๆ หญิงไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง แต่ก็ต้องเชื่อ ชักจะเริ่มนับถือเฮียของตัวเองขึ้นมา ว่าฝีไม้ลายมือในการสีไวโอลินดุเด็ดเผ็ดร้อนไม่แพ้ฝีปากปีจอเลยทีเดียว

“ เพราะมากเลยเฮีย ไม่อยากเชื่อนะเนี่ย ว่าเฮียเราจะสีไวโอลินให้ฟังได้ด้วย “

“ กับอาม้าน่ะ อั๊วะเรียกว่าสีไวโอลินให้ฟัง แต่กับลื้อ อั๊วะเรียกว่าสีซอให้ควายฟัง “

“ เฮียบ้า...ปากเสียจริงๆเลย “

หญิงว่าติดตลกไปอย่างนั้นเอง ทุกคนในบ้านพากันหัวเราะ รวมทั้งเฮียด้วย หลังจากที่ได้กัดกันพอหอมปากหอมคอแล้ว อาเฮียก็เล่นไวโอลินต่อไป







ผ่านไปนานพอสมควร ในที่สุดร่างโปร่งของนักร้องนำวงออกัสต์ก็ก้าวออกมาจากห้องนอน สองเท้าพาร่างอันบอบบางของตนเองเดินลงมาชั้นล่าง

“ ทานอาหารว่างมั้ยลูก บ่ายสามแล้วนะ ป้าขนผลไม้มาจากบ้านเพียบเลย “ เสียงป้าอรที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหนุ่มน้อยที่ตนเองเฝ้าเลี้ยงดูมาหลายปีเดินลงมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าอิดโรย

“ ขอบคุณครับป้าอร กำลังอยากทานอะไรอยู่เหมือนกัน ไม่ได้ทานแบบเต็มคราบมาหลายวันแล้วครับ ขอแบบแช่เย็นนะครับป้า จะได้สดชื่น “

หลังจากอ้อนป้าอรให้เตรียมผลไม้ให้แล้ว มิวก็เดินมานั่งหน้าเปียโนของอากง ขณะที่นิ้วมือเรียวงามกำลังจะบรรเลงเพลงโปรดอยู่นั้น เสียงไวโอลินอันแสนเพราะก็ดังมาจากบ้านตรงข้ามของสาวน้อยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต นักร้องหนุ่มชะโงกหน้าออกไปนอกประตูเหล็ก สิ่งที่ทำให้มิวไม่เชื่อสายตาตัวเองก็ปรากฏให้เห็น หนุ่มใหญ่ร่างท้วมที่มิวคุ้นเคยดีกำลังสีไวโอลินอยู่ในบ้านที่เปิดเป็นร้านค้า สตรีวัยกลางคนร่างท้วมไม่แพ้กันก็กำลังนั่งฟังด้วยความเพลิดเพลิน ใกล้ๆกันนั้น สาวน้อยเพื่อนสนิทของมิวก็กำลังนั่งมองด้วยความมึนงง

โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:21:53 น.
  


“ อ้าวมิว มาพอดีเลย “

“ หญิง นี่เฮียหญิงเล่นไวโอลินเป็นด้วยหรอ รู้จักกันมาหกปีพึ่งเคยเห็นเนี่ย “

“ อย่าว่าแต่มิวเลย หญิงเป็นน้องในไส้แท้ๆ เฮียยังไม่เคยบอกเลย “

“ แล้วเฮียเล่นเพลงอะไรล่ะ เพราะชะมัดยาด ฝีมือขั้นเทพเลยนะ “

“ มิวก็รู้ ความรู้ด้านดนตรีของหญิงก็แค่หางอึ่ง มิวลองถามเฮียเอาเองละกัน “

เสียงสนทนาของเพื่อนรักต่างเพศทั้งสอง ทำให้ผู้หญิงสูงวัยกับหนุ่มใหญ่ที่ร่างท้วมไม่แพ้กันหันมาฟัง เฮียของหญิงที่หยุดสีไวดอลินได้พักหนึ่งแล้วหันมาคุยกับเพื่อนของน้องสาว

“ เฮียเล่นเป็นนานแล้วแหละ แต่ตอนย้ายบ้านอาม้าดันลืมว่าเอาไวโอลินไปเก็บไว้ไหน นี่เฮียก็พึ่งจะค้นเจอเมื่อบ่ายนี่เอง ไม่ได้จับมาหกปีเต็ม ฝีมือตกไปเยอะเลย “

“ ขนาดไม่ได้ซ้อมมาหกปีนะครับ เฮียยังเล่นเจ๋งเป้งสุดยอดขนาดนี้ ฝีมือแบบเฮียนี่ มิวว่าถ้าประกวดเนี่ย คว้าแชมป์สบายเลย “

“ อย่ารื้อฟื้นเลยมิว ได้แค่รองแชมป์ต่างหาก ผ่านมานานมากแล้วนะตั้งแต่ที่แพ้ประกวดตอนนั้น ช่างเหอะ ... ว่าแต่มิวชอบมั้ยล่ะ “

“ ชอบมากเลยครับเฮีย ว่าจะเอาเสียงไวโอลินไปใส่ในเพลงใหม่ที่มิวพึ่งจะแต่งเสร็จด้วย เฮียช่วยมิวหน่อยนะครับ “

ไม่ทันรอว่าหนุ่มร่างท้วมจะยอมช่วยหรือไม่ นักร้องหนุ่มร่างบางก็ลากนักไวโอลินร่างหนาขึ้นห้องนอนไป โดยมีหญิงวิ่งตามขึ้นไปอีกคน ป้าอรที่เดินออกมาจากในครัวพร้อมจานผลไม้ได้แต่ตะโกนเรียกให้ทานอะไรก่อนก็ได้ แต่มิวเหมือนรถที่ถูกสตาร์ทแล้วไม่ยอมโดนเบรกง่ายๆ สุดท้ายผลไม้แช่เย็นจานโตก็ถูกจิ้มเข้าปากหญิงสูงวัยสองคน



หญิงที่วิ่งตามผู้ชายทั้งสองขึ้นมาเดินเข้าห้องนอนมิวด้วยความเคยชิน เห็นเพื่อนรักกับพี่ชายของตนกำลังขะมักเขม้นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทีแรกหญิงก็คงแค่คิดจะสังเกตการณ์เฉยๆ แต่ด้วยความที่จักษุทวารของคุณเธอมักจะสอดส่องไปมาอยู่แล้ว ทำให้สาวน้อยเสื้อยืดลายขาวสลับชมพูเหลือบไปเห็นตัวต่อไม้ที่วางอยู่ในที่ที่มันเคยอยู่มาชั่วนาตาปี พลันสังเกตได้ว่าจมูกไม้ที่เธออุตส่าห์ทุ่มเทกว่าจะได้มากลับหายไปเสียแล้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปากถามมิว หญิงก็หยุดคำพูดไว้ก่อน เพราะคิดว่าตอนนี้มีเฮียอยู่ด้วยเอาไว้ถามทีหลังก็ได้ คิดอย่างนั้นแล้วหญิงก็เก็บคำพูดไว้ก่อน ได้แต่คิดในใจว่า ‘ทำไมมิวถึงต้องเอาจมูกไม้ออกไปเก็บที่อื่นด้วยนะ ทำไมนะมิว ทำไมนะ’





“ เฮียว่าเนื้อเพลงก็เพราะดีนะ แต่บางท่อนมันไม่เหมาะกับเสียงมิวเลย น่าจะให้คนที่เสียงสูงแหลมร้องมากกว่า ท่อนนี้ก็อีก ถ้าร้องประสานเสียงได้จะเพราะโคตรเลย วงมิวมีคอรัสด้วยใช่ป่ะ ลองซ้อมกับเพื่อนๆดูนะ รับรองเพลงนี้เวิร์กแน่ๆ “

เฮียของหญิงช่วยแก้ไขทำนองบางส่วนแล้วก็เรียบเรียงดนตรีกับออกแบบวิธีร้องเพลงนี้ให้กับมิว อีกทั้งยังบรรเลงไวโอลินใส่ไว้ในเพลงให้ด้วย ทำให้เพลงออกมาไพเราะมากกว่าตอนที่มิวแต่งเสร็จใหม่ๆมากโขเลยทีเดียว

“ ขอบคุณมากนะครับเฮีย เพลงนี้ต้องสุดยอดมากๆแน่เลยครับ “

“ ถ้าไม่มีคำร้องทำนองที่ไพเราะอยู่แล้วของมิว เฮียก็คงช่วยอะไรได้ไม่มากหรอก บังเอิญทำนองเพลงนี่ที่มิวเขียนมันมาเข้าทางเฮียพอดีมากกว่านะ ว่าแต่มิวตั้งชื่อเพลงนี้หรือยังล่ะ “

“ ยังเลยครับเฮีย ตอนแรกกะจะใช้ชื่อว่าเก็บไว้ในใจ แต่ไม่ค่อยโดนยังไงไม่รู้ “

“ ยังอยู่ในใจ “ เสียงของหญิงเปรยออกมาเบาๆ

“ ว่าไงนะหญิง ยังอยู่ในใจงั้นเหรอ เอ่อ คือเรา ...คิดว่ามัน... “

“ ก็ถ้ามิวไม่ชอบก็ไม่เห็นต้องว่ากันเลยนี่นา หญิงก็แค่เสนอขึ้นมาเฉยๆเอง “ หญิงรึบโพล่งออกมาทันทีด้วยความน้อยใจเพราะคิดว่ามิวไม่ชอบชื่อนี้

“ ใครบอกล่ะ ชอบมากต่างหาก ‘ ยังอยู่ในใจ ‘ สุดยอดเลยหญิง ขอบใจมากนะ ไม่รู้จะตอบแทนเฮียกับหญิงยังไงดี “

“ ไม่ต้องคิดากหรอก พาไปเลี้ยงซักมื้อใหญ่ๆ หนังซักเรื่อง กับตั๋วคอนเสิร์ตออกัสต์ฟรีๆก็พอแล้ว “

“ โนพร็อบเบิ้มครับเฮีย ขอบคุณมากจริงๆครับ ผมว่าเราลงไปกินผลไม้กินข้างล่างดีกว่านะ “ มิวพูดจบก็ดึงมือหญิงกับเฮียออกจากห้องลงบันไดไป

“ เดี๋ยวขอหญิงเข้าห้องน้ำก่อนนะมิว แล้วจะตามลงไปนะ “ หญิงพูดจบก็แกล้งทำทีเป็นเดินเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อพ้นสายตาของมิวกับเฮีย หญิงก็เดินกลับไปเข้าห้องมิว จากนั้นก็ลงมือค้นหาของบางอย่างในห้องนอนมิว

“ อยู่ที่ไหนนะ มิวจะเก็บไว้ที่ไหนได้นะ แล้วทำไมต้องเอาจมูกไม้ไปเก็บไว้ด้วยนะ โต้งรู้เสียใจแย่ คิดอะไรของเค้ากันเนี่ย “

หญิงค้นไปเรื่อยๆจนถึงลิ้นชักใกล้หัวเตียง แล้วก็เอื้อมมือไปดึงลิ้นชักออกมา

“ อ่ะ อยู่นี่เอง ขอหญิงเก็บไว้ก่อนแล้วกันนะมิว อย่าโกรธกันล่ะ “ หญิงพูดออกมาคนเดียว พร้อมรอยยิ้มแบบมีเลศนัย เหมือนวางแผนอะไรได้ซักอย่าง



“ อ้าวป้าอรครับ ผลไม้ในจานมัน .....” มิวตกใจที่เห็นจานผลไม้กลายเป็นจานเปล่า

“ มันหมดแล้วนี่นา อาม้าไหงกินเรียบเลยล่ะ หญิงตั้งใจจะมานั่งกินด้วยกันกับมิวและอาเฮียซะหน่อย “ หญิงที่เดินตามลงมาเริ่มบ่นบ้างเมื่อเห็นว่าผลไม้หมดแล้ว

“ ลื้อจะบ่นทำไมเนี่ย ปกติเฮียลื้อปากเสียจะตาย ยังไม่บ่นม้าเลย “ อาม้าเริ่มโวยวายอีกคน

“ อ้าว... ม้า ไหงวกมาลงที่อั๊วะได้เนี่ย อั๊วะไม่ได้ปากเสียซะหน่อย ก็แค่ .... “

“ ปากไม่ดีเป็นระยะๆ กวนโมโหชาวบ้านเป็นประจำ “

“ หยุดเลยอาหญิง ลื้อนี่ขี้บ่นชะมัด ทำตัวแก่ไปได้ “ เฮียเริ่มบ่นอีกคน

“ ก็มันจริงนี่เฮีย ม้าดูเฮียนะ มาว่าหญิงแก่ด้วย ปากไม่ดีอย่างม้าว่าจริงๆนั่นแหละ “

คราวนี้เสียงอาม้าเริ่มบ่นลูกทั้งสองอีกหน แต่เป็นภาษาจีนเร็วบรื๋อ ขนาดมิวกับป้าอรที่พูดภาษาจีนได้บ้างยังฟังไม่ทัน

“ ใจเย็นๆน่าเถ้าแก่เนี้ย หนูหญิงด้วย ป้าเก็บไว้ให้อีกจานนึงแล้ว แช่ตู้เย็นอยู่น่ะจ้ะ ไปหยิบมาสิ จะได้ทานด้วยกันสามคนไงล่ะ “

“ ขอบคุณค่ะป้าอร” หญิงพูดจบก็รีบวิ่งเข้าไปในครัว คว้าจานผลไม้มาทันที พร้อมกับแบ่งให้มิวกับเฮียนั่งทานด้วยกันสามคนอย่างเอร็ดอร่อย ลืมเรื่องที่กัดกับอาเฮียเมื่อกี้ไปเลย อาเฮียก็ลืมเรื่องที่ทะเลาะกับหญิงเช่นกัน พอของกินเข้าปากนี่ เรื่องทะเลาะเบาะแว้งก็ถูกวางทิ้งไปทันที คงจะเห็นแก่กินกันทั้งพี่ทั้งน้อง หรือไม่ก็เห็นว่าเรื่องกินสำคัญกว่าเรื่องที่จะมามัวกัดกันเองแน่ๆ

....................................

...........................

.................

โดย: Niramitr วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:24:53 น.
  
สนุกดีครับ จะคอยติดตามอ่านต่อไป
โดย: ขอบคุณครับ IP: 158.108.86.92 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:07:37 น.
  
สนุกดีค่ะ
ติดตามต่อไปนะคะ
โดย: minmin IP: 125.25.27.111 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:07:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments