All Blog
ตอนที่ 16 +++ ตัวต่อไม้ที่หายไป +++




+++++ต่อเรื่อง+++++





“เยี่ยมยอดไปเลยอะแม่ พวกออกัสต์เนี่ย” โต้งคุยกับแม่ที่โรงพยาบาล


“เรื่องอะไรกันล่ะ ตั้งแต่มาถึง ก็เอาแต่ยิ้มแป้นเลย” สุนีย์ถามลูกชาย


“ก็เรื่องเพลงที่โต้งจะร้องให้มิวฟังไงแม่ พอพวกออกัสต์รู้ ก็เลยช่วยกันฝึกซ้อมให้โต้ง
ใหญ่เลย ทั้งช่วยฝึกร้อง ช่วยสอนคีย์บอร์ด ที่สำคัญนะ พวกนั้นจะมาแจมเล่นกับโต้ง
ด้วยล่ะ ตอนนี้ก็เลยต้องขยันซ้อมหน่อย” ชายหนุ่มคุยไปยิ้มไป


“แล้วเรื่องสอบของเราล่ะ จะเอาไง” คนเป็นแม่ยังห่วงอนาคตลูก


“ได้ติวเตอร์คนใหม่แล้วแม่ เพื่อนมิวที่เล่นคีย์บอร์ดน่ะ ชื่อแวน เรียนเก่งขั้นเทพเลยล่ะ”


“เค้าจะช่วยติวให้เรารึไงล่ะ ก็ไหนว่าใกล้เปิดอัลบั้มแล้ว”


“ฮะ เค้าเก็งข้อสอบแม่นสุดๆเลย งานนี้ โต้งมีหวังสอบผ่านชัวร์”


“ได้อย่างนั้นก็ดี พวกเพื่อนๆมิวนี่เก่งเนอะ ไหนจะเล่นดนตรี ไหนจะเรียนดี”


“ลูกแม่ไม่เก่งอย่างที่แม่หวังใช่มั้ยครับ” สีหน้าโต้งสลดลง ผสมน้อยใจนิดๆ


“ไม่ใช่อย่างนั้น แม่แค่ดีใจ ที่โต้งมีเพื่อนดีๆน่ะ” สุนีย์ดึงตัวลูกชายเข้ามากอด


“แม่ไม่ต้องห่วงนะ โต้งจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังหรอกครับ” โต้งกอดตอบและซบไหล่แม่ตน





หลังจากกลับออกมาจากโรงพยาบาล ชายหนุ่มขึ้นรถเมล์ ขสมก.กลับบ้าน เพราะหลายวันนี้
ต้องจ่ายค่าแท็กซี่ไปเยอะแล้ว จึงต้องประหยัดไว้ก่อน เมื่อหาที่นั่งได้ โต้งก็หยิบไอพอดของมิว
ที่เจ้าของแอบเอาใส่กระเป๋ามาเปิดฟัง โต้งขอให้แวนช่วยบันทึกดนตรีคาราโอเกะของ
เพลงหลับตาไว้ให้ จะได้เอาไว้ฝึกตามลำพังได้ แต่เพราะที่บ้านโต้งไม่มีคีย์บอร์ด
ชายหนุ่มจึงต้องคิดหาวิธีฝึกซ้อมให้ได้ เมื่อรถเมล์วิ่งผ่านสี่แยกที่จะไปบ้านมิว โต้งจึงเปลี่ยนใจ
กดกริ่งเพื่อลงจากรถทันที




นั่งรถเมล์ ขสมก.อีกหนึ่งต่อ ร่างสูงก็เดินมาถึงปากซอยหน้าบ้านของมิว เห็นมือกีตาร์คิ้วหนา
เดินออกมาทางหน้าปากซอยก็หยุดทักทายเล็กน้อย



“อ้าวโต้ง ไหนว่าจะกลับไปเฝ้าพ่อไม่ใช่หรอ” เอ๊กซ์เอ่ยปากถามออกมา


“ไปมาแล้ว แต่แม่ไล่ให้กลับมาก่อน เราก็เลยตั้งใจจะไปขอนอนค้างที่บ้านมิวซะหน่อยน่ะ”


“เห็นไอ้มิวมันไม่อยู่ กะจะแอบใช้คีย์บอร์ดมันซ้อมเล่นอะดิ” เอ๊กซ์พูดอย่างรู้ทัน


“อือ แต่ไม่รู้จะคืบหน้ารึเปล่า ถ้าคืนนี้มีคนช่วยซ้อมให้คงจะคืบหน้าได้เยอะเลย”


“เอาจริงหรอ งั้นรอแป๊บ เด๋วเฮียจัดให้” พูดจบเอ๊กซ์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากด


“โทรหาใครหรอเอ๊กซ์” โต้งถามกึ่งสงสัย เพราะคิดว่าตนเองคงจะคาดเดาได้


“แหงแหละ ก็คีย์บอร์ดมือหนึ่งของออกัสต์อะดิ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ชวนพวกเพื่อนๆมานอน
บ้านไอ้มิวซะเลย ป้าอรคงไม่ว่าอะไรหรอก มาแอบนอนตอนที่ไอ้มิวมันไม่อยู่นี่แหละ”


“แล้วปกติ พวกนายไม่เคยมานอนค้างที่บ้านมิวกันเลยหรอ” โต้งถามหน้างง


“ไอ้มิวมันไม่ยอมให้ค้าง ขอค้างทีไร มันไล่กลับบ้านทุกที เคยอยู่หนนึง แต่ต้องนอนข้างล่าง
ห้ามนอนห้องเดียวกับมัน ว่าแต่โต้งเหอะ ถามแบบนี้ แปลว่ามิวมันยอมโต้งแล้วดิ”


“พูดอย่างงี้ แปลว่าอะไรวะ เรากับมิวไม่ได้....นะเว้ย”


“คิดไปถึงไหนเนี่ย เราหมายถึงเรื่องที่ไอ้มิวมันยอมให้นอนร่วมเตียงเดียวกันน่ะ”


“อ๋อ.....ก็เตียงนั่นเราเคยนอนมาตั้งแต่เด็กแล้ว เคยมาค้างทีละหลายวันด้วย”


“นี่แปลว่า ไอ้มิวมันคงรอคอยโต้งมาตลอดล่ะมั้ง ถึงได้หวงที่นอนนั่นนักหนา ขนาดตัวต่อไม้
มันยังหวง ไม่ยอมให้ใครมาจุ้นจ้านเลย” เอ๊กซ์บอกกับโต้งขณะที่เดินมาถึงหน้าประตูบ้านมิว


“อะไรเนี่ยเอ๊กซ์ ไหงกลับมาอีกล่ะ” หญิงทำหน้าสงสัย


“เปลี่ยนแผนอะหญิง คืนนี้จะขอนอนบ้านมิวดีกว่า” มือกีตาร์ตอบแฟนด้วยสีหน้าทะเล้น


“แล้วเจ้าของบ้านเค้าจะยอมหรอ” หญิงถาม


“ไม่รู้ดิหญิง เราว่ามิวคงไม่ว่าอะไรมั้ง ให้นอนกันข้างล่างก็ได้” โต้งเป็นฝ่ายตอบ


“งั้นเดี๋ยวหญิงเข้าไปเรียกป้าอรให้นะ” พูดจบ หญิงก็เดินนำเข้าบ้านมิวไปก่อน




คืนนั้นป้าอรใจดีอนุญาตให้พวกโต้งและเอ๊กซ์นอนในบ้านได้ โต้งให้แวนช่วยสอนเล่น
คีย์บอร์ดจนดึก จากนั้นก็เอาหนังสือติวข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของแวนมาอ่าน พอไม่เข้าใจ
ตรงไหนก็รีบถาม โดยเฉพาะวิชาเคมีที่โต้งไม่ชอบเอาซะเลย ถึงกับโดดเรียนวิชานี้อยู่บ่อยครั้ง



ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไป โต้งเล่นคีย์บอร์ดได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะยังดูเก้ๆก้งๆอยู่บ้าง
แต่ถ้าเทียบกับตอนเริ่มฝึกกับแวน ถือว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ร่างสูงลุกจากเตียงนอนสีขาว
หมอนและผ้าห่มสีเขียว ในห้องนอนของมิวตามลำพัง สอดส่องสายตามองไปยังลำโพงที่อยู่
ใกล้หัวเตียง แต่มีบางอย่างแปลกและแตกต่างออกไปจากที่เป็น เพราะเมื่อคืนนี้ แวนช่วย
ยกคีย์บอร์ดลงไปข้างล่าง ชายหนุ่มจึงไม่ได้สังเกตว่า ตัวต่อไม้หายไปแล้ว พวกเพื่อนๆ
ออกัสต์ของมิวไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้นัก เพราะทุกคนนอนอยู่ชั้นล่างกันหมด มีเพียงโต้งที่ขอ
นอนข้างบนเพียงลำพัง และก็ไม่มีใครค้านแม้แต่ป้าอร ดูเหมือนจะไม่มีเพื่อนคนไหนรู้เรื่อง
ตัวต่อไม้ด้วยซ้ำ นอกจากเอ๊กซ์ที่แวะมาบ้านนี้บ่อย และหญิงที่ขึ้นมาเป็นประจำ เหมือนกับเช้านี้
ที่เข้ามาปลุกเพื่อนๆและขึ้นชั้นบนไปปลุกโต้งให้เตรียมตัวไปโรงเรียนในตอนเช้า





“หายไปจริงๆด้วยอะโต้ง หรือว่ามิวจะเอาติดไประยองด้วย” หญิงตั้งข้อสงสัย


“ไม่มั้ง ขนาดไปเข้าค่ายลูกเสือ และ รด.ด้วยกันเป็นอาทิตย์ ไม่เห็นมิวจะพกไปเลย” เอ๊กซ์ตอบ


“แล้วใครเค้าพกของเล่นไปออกค่ายกันล่ะยะ”


“แต่นี่ไปบ้านป๊าแค่สามสี่วันนะหญิง ไม่น่าจะถึงขั้นต้องพกไปเลยนี่นา” โต้งพูดขึ้นบ้างอีกคน


“ก็ไม่รู้เหมือนกันอะโต้ง”


“เราชักรู้สึกไม่ดีซะแล้วสิหญิง” น้ำเสียงโต้งเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย





..............





.............






ผ่านไปจนถึงเช้าวันพุธ มิวยังคงไม่กลับ นี่เป็นอีกเช้า ที่โต้งตื่นมาบนที่นอนของมิวแต่เพียงลำพัง
ความเหงาอย่างประหลาดเข้าเกาะกุมหัวใจของชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงสิ่งที่มิวเคย
บอกกับตน เมื่อครั้งที่ตนเคยถามมิวเมื่อเกือบสองเดือนก่อนบนที่นอนตัวนี้




“แล้วที่ผ่านมา มิวเป็นไงบ้าง”


“ก็ดี เล่นดนตรี หนุกดี”


“แล้วอยู่คนเดียว ไม่เหงาบ้างเหรอ”


“เหงาจนน่ากลัว”


“แล้วมันเป็นไง เหงาจนน่ากลัว”


“ก็อย่างตอนเด็กๆ ความเหงาคือการไม่มีเพื่อนใช่ปะ แต่พอโตขึ้นน่ะ..........................
ความเหงามัน........................เชี่ยกว่านั้นมาก”


“แล้วมันเชี่ยใส่มิวยังไงอ่ะ”


“ไม่รู้จะบอกยังไงดี แต่มัน เริ่มตอนประมาณซัมเมอร์ ตอนเรากำลังจะขึ้น ม.2 ...............”








“มิวต้องตื่นมาอย่างเงียบเหงาบนที่นอนนี้ตามลำพังถึงห้าปี คงเหงาชะมัดเลยเนอะ ขนาด
เราเอง แค่สองวัน ยังรู้สึกเชี่ยแทบแย่แน่ะ” โต้งบ่นบนเตียงคนเดียวก่อนจะลุกไปแต่งตัว







ตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มเรียนหนังสืออย่างกระวนกระวายพิลึก ทั้งเรื่องตัวต่อไม้ที่หายไป
จากห้องนอนของมิว ทั้งเรื่องสอบที่ใกล้เข้ามาในอีกไม่กี่วัน เรื่องร้องเพลงและเล่นดนตรี
ให้มิวฟัง ที่สำคัญคือเรื่องความรู้สึกประหลาดหลังจากลุกจากที่นอนของมิวเมื่อเช้านี้ ยิ่ง
มิวไม่ติดต่อกลับมาหาเลยตลอดสี่วัน ทำให้โต้งหงุดหงิดและเซ็งมาก หลังเลิกเรียนโต้ง
จึงเดินมานั่งหน้าบันไดหน้าตึกเรียนที่เคยนั่งประจำ ก่อนที่เพื่อนๆจะตามมาสมทบ






“เฮ้ย นั่งเซ็งคนเดียวนะมรึง” เสียงเจ๋งดังมาจากด้านหลัง


“นั่งเบื่อเลย เป็นอะไรอีกล่ะวะ” เขาทรายเสริมอีกคน


“คิดถึงหวานใจมรึงเหรอวะ” เอิร์ธเอ่ยปากถาม


“รู้แล้วมรึงจะถามกรูทำไมอ่ะ” โต้งตอบอย่างคนหงุดหงิด


“มรึงเป็นเชี่ยอะไรเนี่ย” เขาทรายยังถามต่อไปอีก


“กรูเซ็งอยู่เนี่ย” โต้งบอก


“เซ็งอะไรวะ ไม่เห็นมรึงเซ็งเชี่ยอะไรเลย” เจ๋งถาม


“เซ็งหลายเรื่องเหรอ งั้นปะ” เอิร์ธเริ่มเอ่ยชวนเหมือนเช่นเคย


“ไปไหน” โต้งถามหน้างง


“แดรกนมบ้านกรู วันนี้วันอะไร” เอิร์แกล้งหันไปถามเขาทราย


“วันพุธ” เขาทรายตอบ


“อะไรของพวกมรึงวะ” โต้งยังงงอยู่


“ก็ไปท่องหนังสือสอบไง อีกไม่กี่วันก็สอบโอเน็ตแล้วนะมรึง พวกกรูก็รักดีนะเว้ย”


“เออ ไปเปล่า” เจ๋งสะกิดถามโต้งที่เริ่มหายงงแล้ว


“ไปไม่ได้ว่ะ เดี๋ยวแม่กรูมารับ” โต้งตอบ


“เอ้า...... สุนีย์น่ะนะ” แหวพูดขึ้นมาบ้าง


“ไอ้เชี่ยพวกมรึงแมร่ง ..... นึกว่าจะมีสาระ”


“ไอ้แหวมันล้อเล่น มรึงก็รู้ ว่าแต่ มรึงเครียดอะไรนักหนาวะ” เจ๋งแก้ต่างแทนเพื่อน


“ก็มิวอะดิ ป่านนี้ยังไม่ยอมติดต่อมาหากรูเลย สี่วันแล้วนะเว้ย” คนตอบยังหน้าเซ็งเหมือนเดิม


“เอาน่า เดี๋ยวเย็นนี้เค้าก็โทรหามรึงเองล่ะ” เจ๋งบอกเพื่อนอย่างมั่นใจ


“ได้งั้นก็ดีดิวะ แต่ไหงมรึงเชื่อมั่นอย่างงั้นวะไอ้เจ๋ง”


“กรูมีเซ้นส์เว้ย” เจ๋งตอบไปกระหยิ่มไป


“ว่าแต่ เพลงที่มรึงเลือกจะร้องให้เด็กเซ้นต์นิโคลัสฟังน่ะ ถึงไหนแล้ววะ ไหวปะ” แหวถาม


“สบายมาก พวกออกัสต์เค้าช่วยสอนกรูเล่นคีย์บอร์ดด้วย เห็นพวกนั้นว่า จะให้กรูเซอร์ไพร้ส์
มิวที่งานปาร์ตี้ภายในหลังแถลงข่าวเปิดอัลบั้มในเย็นวันวาเลนไทน์พอดี” โต้งตอบสบายใจ


“สุดยอด อย่างนี้มิวคงปลื้มใจตายแน่ๆ” เอิร์ธบอก


“อือ.....อ้าว รถแม่กรูมาพอดี เดี๋ยวกรูไปก่อนนะ ไปล่ะ” ร่างสูงพูดจบก็พุ่งออกไปทันที





...............






...............







ที่โรงพยาบาล ร่างโปร่งลุกจากที่นอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าได้พักใหญ่แล้ว นักร้องหนุ่มเลือก
ที่จะสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน สวมทับด้วยเสื้อยืดคอวีลึกสีเขียวเข้มสลับลายทางสีขาว กางเกง
ขายาวสีขาวกับรองเท้าผ้าใบสีเขียวคู่โปรด ที่คอยังคงสวมจี้เงินรูปกางเขนที่ได้รับจากโต้ง
ก่อนจะหยิบตัวต่อไม้มาดูใกล้ๆ มิวใช้ริมฝีปากสีชมพูอิ่มของตน จุมพิตเบาๆที่จมูกไม้สีแดง
ของตัวต่อไม้ที่โต้งตั้งใจทำมาให้เมื่อหลังปีใหม่ หนึ่งเดือนเศษที่ได้จมูกไม้อันใหมีนี้มา เป็น
ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของมิว แต่อีกไม่ถึงเดือนจากวันนี้ ความรู้สึกแบบนี้
อาจจะค่อยๆจางหายไปจากชีวิตของนักร้องนำวงออกัสต์ก็ได้





“แล้วมิวจะไม่บอกกับโต้งจริงๆหรอ” ลุงหมอถามขณะที่อยู่กับมิวในห้องของกร


“นั่นดิ แล้วนี่มิวจะบอกโต้งว่ายังไงฮึ” กรที่อาการทรงตัวดีแล้วถามอีกคน


“ก็คงบอกว่าเพิ่งกลับจากระยอง แล้วก็เลยมาเซอร์ไพร้ส์โต้งที่โรงพยาบาลไงครับ” มิวตอบ


“แต่น้าอยากให้มิวบอกโต้งเรื่องที่เราสละตับให้น้านะลูก”


“ไม่ดีกว่าครับน้ากร มิวไม่อยากให้โต้งรักมิวเพราะอยากตอบแทนคุณ มิวอยากให้โต้งรักมิว
เพราะรักมิวจริงๆมากกว่าครับ” นักร้องหนุ่มตอบด้วยสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย


“นี่เราหมายความว่า ไม่เชื่อใจลูกชายน้างั้นเหรอ” กรถามต่อ


“มิวไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นครับน้ากร มิวเชื่อมั่นในตัวโต้ง เพียงแต่..............”


“เพียงแต่อะไร” ทั้งกรและลุงหมอถามพร้อมกัน


“เพียงแต่เรื่องของมิวกับโต้งมัน............ น้ากรก็ทราบดีว่าความรักแบบนี้มันไม่ใช่อะไรที่
จะลงเอยกันได้ง่ายๆ ป๊าของมิวไม่เหมือนกับน้ากร ป๊าอีค่อนข้างจะ.....นั่นล่ะครับ อีกอย่าง
มิวรักที่จะร้องเพลง เล่นดนตรี แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงถ้าแฟนเพลงไม่ยอมรับเรื่องความรัก
ของมิวกับโต้ง แล้วโต้งจะทนได้เหรอครับ ถ้าต้องมีคนคอยจ้องหน้าแล้วพูดจาต่างๆนานาว่า.....”


“แล้วมิวจะยอมแพ้รึเปล่าล่ะ” กรถาม


“ไม่ครับ มิวรักโต้ง และจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพียงแต่ มิวไม่อยากเห็นโต้งต้องเดือดร้อนเพราะมิว”


“มิวไม่อยากให้โต้งเดือดร้อนเพราะมิว แต่มิวยอมเสี่ยงตายเพื่อโต้งเนี่ยนะ” กรว่า


“น้ากรครับ มันไม่ใช่..............”


“มิว....ฟังน้านะลูก ถ้าโต้งรู้ว่าเราอะ ยอมเสียสละเพื่อโต้งขนาดนี้ แต่ไม่ยอมให้โต้งสู้เคียง
ข้างไปด้วยกันกับเรา มิวลองคิดซิว่า ถ้ามิวเป็นโต้ง จะเสียใจและผิดหวังแค่ไหน”


“น้ากร.....” มิวโผเข้ากอดน้ากรที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาล โดยมีลุงหมอน้ำตาซึมอยู่ข้างๆ


“เป็นอะไรพี่หมอ แค่นี้ก็ต้องร้องไห้ด้วย” น้ากรแซวพี่ชายของตนเอง


“เปล่าซะหน่อย จริงสิมิว แล้วมิวพูดยังไง ป๊าเราถึงยอมให้ผ่าตัดล่ะลูก” ลุงหมอถาม


“เอ่อ........................” มิวตะกุกตะกัก ไม่กล้าตอบตรงๆ


“มีปัญหาแน่ๆใช่มั้ยลูก ลุงนึกแล้ว เห็นพยาบาลบอกว่าเรากับพ่อทะเลาะกัน” ลุงหมอพูด


“เล่ามาเถอะมิว เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะลูก มิวเหมือนลูกของน้าคนนึง มิวต้องทะเลาะกับ
พ่อเพราะต้องการช่วยน้า เล่ามาเถอะ เผื่อมีอะไรที่น้าพอจะช่วยได้” น้ากรขอร้องให้มิวพูด


“เอ่อ.........คือว่า........” นักร้องหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าให้กรและลุงหมอฟัง





...........





...........







“แม่ๆ เอาคลื่นนี้แหละ นี่ไง เพลงที่มิวแต่ง” โต้งพูดคุยกับสุนีย์ขณะขับรถไปโรงพยาบาล
ซึ่งสุนีย์กำลังเปิดวิทยุฟังเพลงระหว่างการจราจรติดขัดพอดี


“อะไรกัน แค่เสียงอินโทรท่อนเดียวก็รู้แล้วเหรอเราว่าเป็นเพลงของมิวน่ะ” สุนีย์แซวลูกชายตน


“จริงด้วยแฮะ นี่เสียงของมิวจริงๆด้วย” สุนีย์เริ่มมั่นใจเมื่อค่อยๆฟังเสียงนักร้องให้ชัดๆ


“รู้ดิ ก็ลูกชายแม่น่ะ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวงออกัสต์เชียวนะ” โต้งพูดอย่างภูมิใจ


“จ้า...แล้วก็เป็นแฟนคนเดียวของนักร้องนำวงออกัสต์ด้วย” สุนีย์หยอกโต้ง


“แม่อะ” โต้งเขินหน้าแดง แต่ก็แอบปลื้มใจไม่น้อย และดีใจที่แม่ของตนยอมรับมิว


“ว่าแต่....ตกลงว่าเพลงนี้ชื่อเพลงอะไรล่ะ” สุนีย์ถามลูกชายสุดที่รัก


“เพลงขอบคุณกันและกันครับ กำลังติดชาร์ตเลยนะแม่ มิวเค้าแต่งเพื่อเราสองคนเลยล่ะ”


“คงจะแอบภูมิใจมากสิเรา มิวเค้าแต่งเพลงเพื่อเราอีกแล้ว” สุนีย์อมยิ้ม


“เพลงเพราะดีเนอะ มิวเค้าแต่งได้ไงเนี่ย” สุนีย์เอ่ยถามลูกชาย


“แม่ถามเหมือนที่โต้งเคยถามมิวตอนที่มิวร้องเพลงกันและกันให้โต้งฟังตอนที่จัดปาร์ตี้ให้กับ
พี่จูนเลย แล้วตอนนั้นมิวก็จะตอบว่า......”ถ้าไม่มีโต้ง ก็คงไม่มีเพลงนี้หรอก”......” โต้งตอบ


“ที่ม้าหินหน้าบ้านใช่ปะ ก่อนที่เราสองคนจะ..............” สุนีย์ถามกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง


“ครับ ตอนนั้นมิวถามกลับมาว่า....”ฟังแล้ว โต้งว่าไง”....” โต้งหวนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น


“แล้วโต้งตอบไปว่าไงล่ะ สุนีย์ถามต่อ


“โต้งบอกกับมิวว่า....”ก็ไม่รู้เหมือนกัน”.....จากนั้น โต้งก็.................”



“แม่มาเห็นเราสองคนในตอนนั้นพอดี...รู้มั้ยตอนนั้น่ะ แม่ทั้งโกรธ ทั้งกลัวมากเลย”



“แล้วแม่ผ่านความรู้สึกนั้นมาได้ไงล่ะ” โต้งเปิดปากคุยกับแม่เรื่องนี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก


“ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่ง่ายหรอกนะโต้ง สำหรับแม่ทุกคน หากว่า.....”


“โต้งขอโทษนะครับแม่ ที่โต้ง..........”


“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกโต้ง เราไม่ได้ทำอะไรผิด อย่างที่พี่จูนเคยบอกไว้ไง”


“ว่า..........................”


“แม่คงรักลูกชายของแม่มากเกินไป จนทำเหมือนทำร้ายโต้งโดยไม่รู้ตัว มันคงเป็นเพราะ
แม่กลัว กลัวที่จะสูญเสียโต้งไปอีกคน”


“แม่ครับ...........” โต้งหันไปมองสุนีย์ด้วยแววตาสะท้อนความห่วงหา


“แต่แม่ก็โชคดีนะ ที่มีโอกาสแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น อย่างตอนนี้ แม่ไม่เพียงแต่ได้ลูกชาย
ของแม่เท่านั้น แต่ลูกชายคนนั้นยังกลับมาเป็นเด็กที่ร่าเริงได้อีกครั้งนึง แล้วยังแถมลูกชาย
คนพิเศษมาเพิ่มอีกคนด้วย” สุนีย์หันไปยิ้มให้กับโต้ง




โดยที่ไม่ได้พูดกันต่ออีก สุนีย์หันกลับไปขับรถต่อไป ชายหนุ่มที่นั่งข้างคนขับได้แต่อมยิ้ม
ที่หูเสียบไอพอดของมิวฟังเพลง”หลับตา”ซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายรอบ ขณะที่รถยนต์โตโยต้า วิช
Wish ที่แปลว่าหวัง ยังคงวิ่งต่อไปจนถึงโรงพยาบาล




.......................





..............





Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 14:56:59 น.
Counter : 608 Pageviews.

2 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments